ความคิดเห็นที่ 1 มีการบันทึกเริ่มแรกในปี 570 ว่า นักแสวงบุญบรรยายว่าพบหอกลองจินุสในโบสถ์บาสิลิกาที่ภูเขาไซออน ( the basilica of Mount Sion ) ในกรุงเยรูซาเล็ม   ในปี 615 นายทหารของกษัตริย์เปอร์เซีย Chosroes เข้า ยึดครองกรุงเยรูซาเล็มและส่งต่อให้ Nicetas ชาวอิยิปต์นำไปไว้ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ณ โบสถ์นักบุญ โซเฟีย  ในปี 1214 จักรพรรดิ์กรุงคอนสแตนติโนเปิล บอลด์วินที่ 2 ( Baldwin II )  นำส่วนหัวของหอกไป จำนองแลกกับเงินจำนวนมากที่เวนิช   แต่ญาติของบอลด์วินที่ 2    พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 นำเงินไปไถ่และนำไป ไว้ที่กรุงปารีส  ณ โบสถ์แซนต์ชาเพล (  Sainte Chapelle ) อยู่เรื่อยมาจนศตวรรษที่ 18   ในช่วงปฏิวัติฝรั่ง เศสได้ย้ายไปยังหอสมุดแห่งชาติพร้อมกับสิ่งสำคัญอื่นๆและสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย  ปี 670 ส่วนล่างของ หอกยังคงพบในโบสถ์ที่กรุงเยรูซาเร็ม  และถูกนำไปให้ผู้แสวงบุญที่คอนสแตนติโนเปิลบ้าง  แต่เมื่อชาวเติรก์ ยึดครองเมือง  หอกแห่งโชคชะตานี้ได้ตกเป็นสมบัติของชาวเติรก์   ในปี 1492  สุลต่านบาจาเซทที่2   (  Bajazet II ) ได้ส่งเป็นเครื่องอภินันนาการให้  สังฆราชอินโนเซนต์ที่ 8 ( Pope Innocent VIII ) ได้นำไป ไว้ที่เสาต้นหนึ่งในวิหารนักบุญปีเตอร์ที่กรุงโรม จนถึงปัจจุปันนี้  แต่ไม่มีการยืนยันว่าเป็นของแท้หรือไม่ ส่วนที่เกี่ยวกับฮิตเลอร์จะกล่าวต่อไป จากคุณ : sofatboy - [ 19 ก.ย. 48 19:08:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 รูปสลักหินอ่อน นักบุญลองจินุสในวิหารนักบุญปีเตอร์บาซิลิกา โดย เบอร์นินิ ( Gian Lorenzo Bernini ) จากคุณ : sofatboy - [ 19 ก.ย. 48 19:37:27 ]

ความคิดเห็นที่ 3     Spear of Destiny  ที่มีความน่าเชื่อถือและมีการอ้างถึงว่าเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์อีกอัน คืออันที่อยู่ใน  Hofburg  Museum ในกรุงเวียนนา ออสเตรียสามารถสืบได้ไปถึงพระเจ้าคอนสแตนตินมหาราช  ( Constantine The Great )จักรพรรดิโรมันที่หันมานับถือศาสนาศริสต์เป็นพระองค์แรกและเชื่อว่าเป็นของ กาลิอัส คาสเซีย จริงๆ มีตำนานเล่าว่าใครก็ตามที่ครอบครองหอกศักดิ์สิทธิ์นี้ก็สามารถพิชิตโลกได้เช่นเดียวกัน   นโปเลียนพยายามที่จะได้มันมาหลังจากการต่อสู้ทื่  Auterlitz  แต่ไม่สำเร็จ  และมีเรื่องเล่าอีกเช่นกันว่า ชาร์ลเลอมาญ  นำหอกแห่งโชคชะตานี้ออกรบ 47 ครั้งโดยประสบความสำเร็จทุกครั้ง   แต่เสียชีวิตเมื่อทำหอกหลุดจากมือ เฟรดเดอริก บาร์บารอสซา( Frederick  Barbarossa )  ได้พบชะตาเดียวกันเมื่อทำมันหลุดจากมือขณะข้ามแม่น้ำ  มีการบันทืกในประวัติของ  Luitprand of Cremoma บิชช๊อบชาวอิตาลี  ว่า  กษัตริย์เฮนรี่ที่ 1 (876 -936) , King Henry I / Heinrich I the Fowlerหรือที่รู้จักกันในนามของ  ดยุคแซกซันนี  ( Duke of Saxony,Saxon King of Germany) ได้รับหอกศักดิ์สิทธิ์จากการชนะศึกกับ ชาวแมกยาร์ ( Magyards) โดยกษัตริย์  Rudolpl of burgundy  เป็นผู้มอบให้จักรพรรดิออตโตมหาราช      (Otto I The Great ,Saxon King of   Germany,Holy Roman Emperor )   ซึ่งปกครองช่วง 936 - 973   โป็ปจอห์นที่ 7 (Pope John XII ) ได้ใช้หอกนี้แต่งตั้งให้เป๊น   จักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์    ออตโตได้นำหอกศักดิ์สิทธิ์ไปได้ชัยชนะเหนือพวกมองโกลในศึกที่เมือง Leck  ( Battle of Leck )หลังจากออตโตมหาราชสิ้นพระชนม์   กล่าวว่ามีเรื่องราวที่ขัดแย้งเกี่ยวกับหอกแห่งโชคชะตานี้ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 48 09:44:31 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 48 09:35:32 จากคุณ : sofatboy - [ 20 ก.ย. 48 09:10:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เรื่องแรกคือ มันได้ถูกส่งต่อเป็นทอดๆจากลูกชาย ออตโตที่ 2 , ออตโตที่ 3  ไปยัง เฮนรี่ที่  2 (  Henry II the saint ) ตามลำดับ อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า               เหล่าอัศวินเคลื่อนย้ายมันไปยังเมือง อันติออก( Antioch ) ซีเรีย หลังจากการตายของออตโตที่ 1ไม่นาน แล้วมาพบอีกทีในปี 1098 ช่วงเวลาสงครามครูเสด ครั้งที่ 1 ขณะที่มีศึกติดพันอยู่นั้นและใกล้จะเสียทีเต็มแก มีนักบวชคนหนึ่งชื่อ ปีเตอร์ บาร์โทโลมิว เกิดเห็นภาพนิมิตรว่านักบุญแอนดริวมาบอกว่าหอกแห่งโชคชะตาฝ้งอยู่ใต้โบสถ์นักบุญปีเตอร์ จึงมีการขุดค้นหาและพบในที่สุด  ทำให้ชนะศึกกับพวกเตอร์ก ถึงเรื่องราวจะเป็นเช่นไรก็ตาม   หอกนี้ก็ได้ตกมาเป็นของราชวงศ์โฮเฮนสตาเฟน  ( Hohenstaufen )  ซึ่งสืบทอดสายเลือดโดยตรงจากแซกซอนเช่นเดียวกัน พระเจัาเฟรอเดอริก เฟรดเดอริก บาร์บารอสซา  แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งพิชิตอิตาลีในศตวรรษที่ 12  ถือครองหอกศักดิ์สิทธิ์ส่งต่อถึง  เฮนรี่ที่ 6 , ออตโตที่ 4 , เฟรดเดอริกที่ 2  ตามลำดับ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 48 20:13:28 จากคุณ : sofatboy - [ 20 ก.ย. 48 09:31:53 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ข่าวล่าสุด เกี่ยวกับหอกเล่มที่อยู่ที่ออสเตรีย ที่ถูกลือว่า ของจริงอาจถูกนำไปโดย นาซีเยอรมัน ผู้ตรวจสอบได้ ยืนยันเรื่องหอกเล่มนี้แล้ว ข่าวดี หอกที่อเมริกาส่งคืนให้ออสเตรียเป็นของจริง ข่าวร้าย หอกเล่มนี้มีอายุแค่ คริสตศรรตวรรษที่ 7 สรุปหอกเล่มนี้น่าจะถูกสร้างในสมัยพระเจ้าชาเลอมาญ ปล. ผู้ตรวจสอบกล่าวอย่างมีความหวังว่า มีเศษโลหะ ชิ้นเล็กๆ ที่ถูกผสมเข้าไปในหอก ทำให้ยังมีความเป็นไป ได้ที่จะมีการผสมเนื้อโลหะจากตะปู หรือตัวหอกจริงๆลง ไปในหอก จากคุณ : Pongkm (Pongkm) - [ วันเยาวชนแห่งชาติ 09:56:01 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีครับคุณ Pongkm มีการลือกันว่าหอกอันจริงๆน่าจะถูกเก็บไว้ที่ใดที่หนึ่ง  หรือถูกปลอมด้วยเหตุผลบางอย่าง ถ้ามองในอิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่มีต่อประวัติศาสตร์ก็น่าสนใจทีเดียว ผมกลัวคนอ่านจะเบื่อซะก่อน ปูพื้นยังไม่ถึงนาซีซะที จากคุณ : sofatboy - [ 20 ก.ย. 48 10:35:55 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ..... Spear Of Destiny  ที่ตั้งแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์แฮมสเบริก์  กรุงเวียนนา ที่เห็นเป็นแผ่นทองคำหุ้มอยู่ ทำขึ้นทีหลังในสมัย จักรพรรดิชารล์ที่ 9 ประมาณปี 1354 จากคุณ : sofatboy - [ 20 ก.ย. 48 10:49:51 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องนี้น่าสนใจมากครับ มารออ่านต่อนะครับ จากคุณ : กริช (กริชครับผม) - [ วันเยาวชนแห่งชาติ 15:51:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 นับตั้งแต่ปี 1273 หอกนี้ได้ถูกใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ในตะวันตก  เริ่มต้นศตวรรษที่ 13 มีการกล่าวถึงในเอกสารศาสนา  และศตวรรษที่ 14 ได้รับการยอมรับเป็นทางการในที่สุด ด้วยความเชื่อศรัทธาทางศาสนาบวกกับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้  จึงตัดสินไม่ได้ระหว่างความจริงกับสิ่งที่บอกเล่าเกี่ยวกับหอกศักดิ์สิทธิ์นี้  แต่มันก็มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ยุโรปเรื่อยมา  หอกนี้เชื่อว่ามาจาก มอริสเทียส ( Maritius ) หรือนักบุญมอริส ( St. Maurice ) นักรบโรมันที่สืบเชื้อสายจากลองจินุสโดยตรงมอริสเทียสเสียชีวิตเพราะไม่ยอมทำลายหอกอันนี้กับเปลี่ยนความเชื่อโดยคำสั่งของจักรพรรดิแมกซิเมียน (  Maximian  Herculius )   แต่แมกซิเมียนก็ไม่กล้าทำลายเอง ในปี 307 จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช แต่งงานกับ Frusta ลูกสาวของจักรพรรดิเเมกซิเลียน  เขาได้รับหอกอันนี้เป็นของขวัญวันแต่งงานเขาได้เปลี่ยนมานับถือคริสต์และถือหอกศักดิ์สิทธิ์เข้าโบสถ์และประกาศตนว่าเป็น สาวกคนที่ 13ได้รับอำนาจจากเบื้องบนทำให้ชนะศึกที่สะพานมิลเวียนใกล้กรุงโรม  และได้ตั้งศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของอาณาจักรโรมัน  ปี 326 หอกศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกฝังพร้อมมารดาของคอนสแตนตินในกรุงเยรูซาเล็ม     อาณาจักรของคอนสแตนตินมีอาณาเขตกว้างขวางไปทั้งยุโรปตะวันตกทั้งหมดรวมถึงเยอรมันยกเว้นแต่อังกฤษและโปรตุเกรสเท่านั้น มีเรื่องเล่าว่าอัลติล่า ( Attila the Hun ) เข้าล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลเพื่อต้องการทองคำหนัก 6,000 ปอนด์และหอกศักดิ์สิทธิ์จากจักรพรรดิทีโอดอเซียนที่ 2 ในปี 452  อัลติล่าต้องถอนกำลังเนื่องจากโรคระบาดและขาดแคลนเสบียงและต้องนำหอกศักดิ์สิทธิ์ไปคืนที่หน้าประตูเมือง ปี 395 กษัตริย์อาราริส( Alaric of the Visigoth 370-410) แห่งวิสิกอส นำกองทัพบุกโจมตีอิตาลี  เชื่อว่าเขาถือหอกนี้ตลอดตลอดเวลาสู้รบ  ปี 451 กษัตริย์ธีโอดอริกต่อสู้กับพวกฮั่นที่บุก Gaul (ฝรั่งเศส )โดยมีหอกอันนี้อยู่ข้างตัวตลอดเวลา  เป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของพวกฮั่น มีการล้มตายมากมายรวมถึงธีโอดอริกด้วย  เล่ากันว่าหอกลื่นหลุดจากมือในช่วงเวลาหนึ่งก่อนเสียชีวิต จากคุณ : sofatboy - [ 20 ก.ย. 48 15:59:04 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ....การตรึงกางเขนพระเยซู จากคุณ : sofatboy - [ 20 ก.ย. 48 16:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 .....คอนสแตนตินมหาราช /  metropolitan museum จากคุณ : sofatboy - [ 20 ก.ย. 48 16:35:09 ]

ความคิดเห็นที่ 12 หอกแห่งโชคชะตาได้ถูกเปลี่ยนมือมาสู่กษัตริย์แห่งเบอร์กันเดียน Sigismund  ที่สืบสายเลือดจากธีโอดอริก  ได้ทำสงครามกับน้องเขย  โคลวิส กษัตริย์แฟรค์( Clovis of the Franks )  เพื่อแย่งชิงดินแดนเบอร์กันดี  โคลวิสเป็นฝ่ายชนะได้ครอบครองทั้งดินแดนและหอกศักดิ์สิทธิ์ ส่วน Sigismund ถูกประหารชีวิต    ปี 732 ชาร์ล มาเทล ( Charles Martel 688 - 741) ผู้สืบเชื้อสายจากโคลวิส  ได้นำหอกศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กับพวกแขกซาราเซ็น ที่เมืองตูรส์ (Tours) เพื่อป้องกันการรุกรานยุโรปของอิสลาม หอกอันเดียวกันนี้ได้ถูกส่งต่อไปยังหลาน จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญ (  Charlemagne the Great ) ผู้ปกครองอาณาจักรแฟรงค์และโรมันใช้มันต่อสู้เพื่ออาณาจักรคริสต์  ชนะศึกทั้งหมด 47 ครั้ง  และไม่ปล่อยใหัหอกศักดิ์สิทธิ์ห่างตัวแม้แต่เวลานอน  และเชื่อว่าเป็นแหล่งพลังอำนาจ ปี 1000 ออตโตที่ 3 ได้นำตะปูที่ตรึงกางเขนพระเยซูผนึกเข้ากับหอกศักดิ์สิทธิ์ด้วย ปี 1189 เฟรดเดอริก บาร์บารอสซา นำหอกไปต่อสู้ในสงครามครูเสดครั้งที่ 3  เพื่อปลดปล่อยเยรูซาเล็ม  10 มิถุนาคม 1190  เขาทำหอกหลุดลงในแม่น้ำ  Saleph เอเชียไมเนอร์  เขาคอหักและจมน้ำตายในที่สุด  และเยอรมันพ่ายแพ้ยับเยิน จากคุณ : sofatboy - [ 20 ก.ย. 48 19:55:55 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญ จากคุณ : sofatboy - [ 20 ก.ย. 48 20:23:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ...มาต่อแล้วครับ  เรื่องราวดำเนินมาเรื่อยๆใกล้ถึงปัจจุบันแล้วครับ  หวังว่าคงไม่เบื่อเสียก่อน  มีใครสนใจอยู่หรือเปล่า...ขอเสียงหน่อย ช่วงศตวรรษที่ 14  อิทธิพลของมันได้มีผลต่อราชบัลลังก์เหมือนกัน  มีการโฆษณาชวนเชื่อว่ากษัตริย์ชาร์ลที่ 4 ( 1316-1378) ซึ่งปกครองโบฮีเมียนและเยอรมันมีสิทธิในราชบังลังก์เพราะครอบครองหอกศักดิ์สิทธิ์อันนี้ แล้วมันก็มาสู่นูเรมเบิรก์ ( Nuremberg ) โดย Sigismund of Luxembourg ( 1368 -1437) เพื่อเป็นสิ่งสำคัญในการราชาภิเษกของอาณาจักรเยอรมัน ขอเสริมว่าจากที่อาณาเขตดั่งเดิมของราชวงศ์แฮปส์เบริก์ที่มีอยู่เล็กๆในสวิตเซอร์แลนด์ปัจจุบัน  ได้ถึงจุดสูงสุดในสมัย ชาร์ลที่ 5  ในศตวรรษที่ 16 ขยายอาณาเขตไปทั่ว โบฮีเมียน  ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ และสเปน จากความตั้งใจเดิมที่จะรักษาหอกแห่งโชคชะตาที่นูเรมเบิรก์ตลอดไป  เพราะกองทัพของนโปเลียนได้บุกเข้าโจมตี  มันได้ถูกนำไปยังกรุงเวียนนาในปี 1806  คราวนี้ละทางออสเตรียก็ไม่ยอมคือนะซิจะ   และในปี 1913 ไกเซอร์วิลเฮมของเยอรมัน ( Kaizer Wilheim  of Germany 1859-1941) ต้องการครอบครองหอกศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะทำสงคราม  พระองค์ได้ส่งจดหมายเพื่อขอยืมหอกจากจักรพรรดิฟรานโจเซฟแต่ได้รับการปฏิเสธ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 48 12:38:19 จากคุณ : sofatboy - [ 21 ก.ย. 48 10:25:57 ]

ความคิดเห็นที่ 15 รีบมาต่อจ้า...รู้สึกว่าเดี่ยวกระทู้ร่วงก่อนจบ  เดี่ยวนี้ห้องประวัตศาสตร์ร้อนแรงหรือเกิน ตอนนี้ละค่อยใกล้ปัจจุบันแล้ว ด้วยประวัติต่อเนื่องของหอกนี้เกี่ยวข้องกับศึกสงครามแยะหรือเกินรวมทั้งประวัติต่อเนื่องการันตีอีกต่างหาก มันก็ได้ไปต้องตา ท่านผู้นำและเขาคือ ฮิตเลอร์นั้นเอง  ฮิตเลอร์ผู้ซึ่งหนีทหารแต่ก็กลายเป็นผู้นำทหารเอง  มาร่ายถึงฮิตเลอร์พอสังเขปนะครับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์(Adoft Hitler 1889 -1945) เกิดที่เมืองบราวนาว,Braunau  ตั้งอยู่ที่ทางเหนือของออสเตรีย ปี 1913 ได้หนีทหารที่แคว้นบาวาเรีย แต่กลับสมัครเป็นทหารจนได้กางเขนเหล็กที่เยอรมัน  แรกเดิมทีอยากเป็นจิตรกรแต่เหมือนมีอะไรลิขิตจึงต้องเป็นทหารแทน  เป็นการเบนเข็นชีวิตแบบเปลี่ยนชีวิตคนอื่นเป็นล้านๆ  จะว่ากันไปแล้วผลงานของฮิตเลอร์ก็เช่นว่าดีเด่นอะไร   ที่มาประมูลในยุคหลังๆคงเป็นเพราะผลงานอย่างอื่นของแกมากกว่า   นักวิจารณ์ศิลปะต่างลงความเห็นว่าอีตานี่คงเอาดีทางนี้ไม่ได้แน่  หลังจากพลาดหวังจากสมัครเข้าเรียนวิชาการวาดรูปสถาบันศิลปะเวียนนา ( Vianna Academy of Fine Arts ) ปี 1907 หลังจากนั้นแกก็เป็นกรรมกรกับจิตรกรรับจ้าง  พล่ามมานานบางคนบอกว่าไม่เห็นเกี่ยวกันเลย   แต่เกี่ยวซิจะบอกให้ ฮิตเลอร์ได้มักจะมาชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์แฮมสเบิร์ก  ได้สะดุดตากับหอกศักดิ์สิทธิ์อันนี้และยิ่งได้รับรู้ว่าผู้ที่ได้ครอบครองล้วนแต่เป็นผู้กุมชะตา อำนาจในอดีต   และคงคิดถึงพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่และโชคชะตาของโลกในมือ  และเมื่อฮิตเลอร์คิดจะสร้างอาณาจักรไรซ์ที่ 3   เขาก็ได้คิดจะครอบครองหอกนี้ ......ในความคิดของ ฮิตเลอร์  อาณาจักรไรซ์ที่ 1   อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรไรซ์ที่ 2  ปี 1871 - 1918   อาณาจักรไรซ์ที่ 3   1918 -  ช่วงที่ฮิตเลอร์มีอำนาจ จากคุณ : sofatboy - [ 21 ก.ย. 48 12:06:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ..... อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ 1889 - 1945 จากคุณ : sofatboy - [ 21 ก.ย. 48 12:11:09 ]

ความคิดเห็นที่ 17 และแล้วฮิตเลอร์ก็ได้ถือครองหอกศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด  ในนามของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ในวันที่  12 มีนาคม 1938   มันถูกส่งทางรถไฟโดยหน่วยทหารเอสเอสไปยังนูเรมเบิร์ก  ในวันที่  13 ตุลาคม 1938 วันเดียวกับที่เหล่าอัศวินเทมปลาร์ถูกทำลายเมื่อ หลายร้อยปีก่อน..... เชื่อกันว่าฮิตเลอร์เชื่อถือโชคลางมาก     มันถูกนำไปไว้โบถส์นักบุญแคทารีนที่พึ่งทางจิตวิญญาณ ของนาซีเยอรมัน  เป็นเวลา 6 ปี  ก่อนที่จะย้ายไปในที่ปลอดภัย และแล้ววันสุดท้ายของสงครามยุโรปก็มาถึง  วันที่ 30 เมษายน 1945 เวลาบ่ายสองสิบนาที  นายทหารวอลเตอร์ วิลเลี่ยน ฮอน ( Lt. Walter William Horn )  หมายเลขประจำตัว 01326328  กองทัพที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา ได้ครอบครองหอกศักดิ์สิทธิ์ในนามของรัฐบาลสหรัฐ   ขณะนั้นกองทัพรัสเซียได้บุกบังเกอร์ของฮิตเลอร์ในกรุงเบอร์ลิน   ประมาณบ่ายสามสามสิบนาที   เพียง 80 นาที ที่สหรัฐอเมริกาครอบครองหอกศักดิ์สิทธิ์   ฮิตเลอร์ยิงตัวตาย นายพลแพลตันและไอเซนฮาวน์ ได้ส่งมันคืน ที่พิพิธภัณฑ์แฮมสเบิร์กต่อมา ปัจจุบันยังเป็นที่คลางแคลงใจว่าหอกศักดิ์สิทธิ์ทีอยู่ในเวียนนาเป็นของจริงหรือไม่   บ้างก็ว่าทำเทียมโดยนาซีและ ของจริงอยู่ในกรุสมบัติที่ขโมยโดนนายพลฮิมเลอร์และหน่วยเอสเอสซ่อนอยู่ที่อเมริกาใต้หรือแอนตาร์กติกา จากคุณ : sofatboy - [ 21 ก.ย. 48 13:49:05 ]

ความคิดเห็นที่ 18 .....หอกศักดิ์สิทธิ์ The Holy Lance ตามข้อมูลในพิพิธภัณฑ์ ราชวงศ์คาโรลิงเจียน ศตวรรษที่ 8 เนื้อโลหะประกอบขึ้นจาก เหล็ก บรอนซ์ เงิน   ทอง และ แผ่นหนัง ยาว 50.7 cm. จากคุณ : sofatboy - [ 21 ก.ย. 48 14:06:46 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ### จากคุณ : sofatboy - [ 21 ก.ย. 48 14:07:33 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านอยู่ครับสนุกดี เคยดูอิเดียน่าโจนส์ตอนที่เป็นจอกศักดิ์สิทธิ์อันนี้มีจริงหรือเปล่าครับ จากคุณ : Geckomanz - [ 21 ก.ย. 48 16:14:07 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าตอบอย่างฟันธง จอกศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีอยู่จริงไม่งั้น พระเยซูจะใช้อะไรเสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้ายเล่า ล้อเล่นนะจะ  เรื่องราวเกี่ยวกับจอกดูเหมือนจะเป็นตำนานมากกว่า เป็นที่กล่าวถึงในยุคกลาง  เรื่องคิงอาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม  อย่างว่าสิ่งของที่เกี่ยวกับพระเยซูต่างก็อ้างว่ามีในครอบครอง  ยกตัวอย่างเช่น ไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซู  ที่อ้างถึงเขาว่ารวมๆกันก็สร้างเรือลำโตๆได้เลย จากคุณ : sofatboy - [ 22 ก.ย. 48 08:53:20 ]

ความคิดเห็นที่ 22 จอกศักสิทธ์ ไม่ใช่ แมรี่ แม็กดาลีนหรอครับ ในดาวินชี่โค๊ดบอกเอาไว้น่ะครับ อยากรู้เรื่องพวก knight templar น่ะครับ จากคุณ : กริช (กริชครับผม) - [ 22 ก.ย. 48 21:20:24 ]

ความคิดเห็นที่ 23 wait a sec...you said "เชื่อว่าผู้ที่ครอบครองหอกลองจินุสมี  กษัตริย์เฮรอด ( Herod the Great , King of Judea 73 BC-4BC)"...but that's before jesus was crucified! จากคุณ : HotChoc - [ 26 ก.ย. 48 18:00:58 ]

ความคิดเห็นที่ 24 Prophet Phineas forged spear as symbol of       Jewish race   possessed by Herod the Great 73BC-4 BC,     King of Judea, 37BC-4 BC,   held when ordered massacre in     Bethlehem ...son Herod Antipas, 21BC to 39 AD,Tetrarch of Galilee, executed John   Baptist,  held spear when used on Jesus  เป็นอีกตำนานหนึ่งที่พ่วงเอาประวัติของยิวไปด้วยเขียนไว้เช่นนี้  แต่ดูข้อมูลใน Wikipedia   King Herod the Great  กลายเป็น  74 BC - 4BC  กลายเป็นว่าตายก่อนเยซูเกิด  /   ข้อมูลจากหลายแหล่งทำพิษซะแล้ว   แต่ในทางทั่วไปจะถือเอาตั้งแต่  ประวัติเซนต์ลองจินุสครับและถือการตรืงกางเขนเป็นสำคัญ    สงกระสัยข้อมูลตีกันมั่ว... คุณHotChoc เอาตั้งแต่การตรึงกางเขนจะชัดเจนมากกว่าครับ   เพราะส่วนใหญ่เขาจะ   อ้างถึงแต่ช่วงนี้ลงไป    ขอบคุณมากครับที่อ่านและให้ความเห็นมา  ยินดีครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 48 21:16:23 จากคุณ : sofatboy - [ 26 ก.ย. 48 20:51:54 ]