ความคิดเห็นที่ 6
การที่รัชกาลที่ ๖ ทรงเร่งรัดขยายการศึกษาในระดับพื้นฐานด้วยการให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้อ่านออกเขียนได้ ซึ่งต่างจากแนวคิดของเจ้านายบางพระองค์ที่มุ่งหมายที่จะนำงบประมาณอันมีอยู่อย่างจำกัดไปปั้นคนให้เป็นเทวดาด้วยการส่งลูกหลานเจ้านายและข้าราชการไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วได้วิชากินเหล้าเคล้านารีกลับมาเป็นเรื่องโก้เก๋ ก็ด้วยมีพระราชประสงค์ว่า เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีการศึกษาอ่านออกเขียนได้ก็จะพระราชทานการปกครองท้องถิ่นให้ประชาชนในท้องถิ่นช่วยกันดูแลรับผิดชอบ (โปรดดูรายละเอียดใน แนวพระราชดำริทางการเมืองในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านการพัฒนาการเมืองโดยกระบวนการปกครองท้องถิ่น (๒๔๕๓-๒๔๖๘)" โดย สนธิ เตชานันท์ ซึ่งคุณ UP ได้แนะนำไว้) เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปกครองท้องถิ่นแล้วก็สามารถจะพัฒนามาร่วมกันรับผิดชอบในระดับชาติต่อไป กล่าวสั้นๆ คือ เริ่มจากระดับรากหญ้าแล้วจึงค่อยพัฒนามาสู่ระดับชาติ แต่จากการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยความไม่พร้อมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็น่าจะเห็นแล้วว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ นั้นเป็นอย่างไร ต้องมีคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้มีอำนาจในบ้านเมืองถูกสังหารไปมากน้อยเพียงไร ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้ไม่เคยมีในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม และเมื่อเปรียบเทียบการปกครองท้องถิ่นในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น อบจ. อบต. หรือเทศบาล ล้วนมีแต่เรื่องทุจริตตั้งแต่การเลือกตั้ง เมื่อได้รับเลือกเข้าไปก็ยังหนีไม่วายมีปัญหาทุจริตให้ได้พบเห็นกันอยู่มากมาย ในส่วนพระองค์รัชกาลที่ ๖ นั้น ก็ได้ทรงแสดงไว้ให้เห็นว่า การที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยไม่มีปาเลียเมนท์หรือรัฐสภาเป็นที่ปรึกษาเหมือนประเทศอังกฤษนั้นก็เป็นเรื่องที่ลำบากสำหรับพระองค์ เพราะหากทรงตัดสินพระทัยผิดพลาดประชาชนก็จะพากันรุมประณามว่าทรงนำประเทศชาติไปสู่งความเสียหาย แต่หากตัดสินพระทัยถูกก็เพียงแค่เสมอตัว แต่พระมหากษัตริย์อังกฤษนั้นเมื่อมีปัญหาจะต้องตัดสินใจก็ส่งปัญหานั้นไปให้สภาเป็นผู้พิจารณาตัดสิน หากผิดพลาดขึ้นก็โทษว่าสภาเป็นผู้แนะนำ ในการดำเนินพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ ๖ นั้น จึงต้องทรงพระราชดำริหลายชั้นจนยากที่คนในยุคนั้นหรือในยุคปัจจุบันจะสามารถตามแนวพระราชดำริได้ทัน ขอยกตัวอย่างให้เห็นสักเรื่องหนึ่ง คือ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ เกิดขึ้นในยุโรป ได้ทรงวางพระองค์เป็นกลางมาโดยตลอด จนทรงแน่พระราชหฤทัยว่า เยอรมันจะต้องประสบปัญหาด้านการส่งกำลังบำรุงจึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยประกาศสงครามกับเยอรมัน และออสเตรีย - ฮังการี นำประเทศสยามเข้าร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในท่ามกลางการคัดค้านของพระบรมวงศ์และเสนาบดี พร้อมกันนั้นได้โปรดให้รับทหารอาสาสมัครไปร่วมรบ ๑,๕๐๐ คน จัดเป็นกองบินทหารบก ๕๐๐ คน และกองทหารบกรถยนต์ ๑,๐๐๐ คน ผลของสงครามครั้งนั้นตามที่มีการบันทึกกันเอาไว้คือ ประเทศสยามในฐานะผู้ชนะสงครามครั้งนั้นสามารถเจรจายกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและภาษีร้อยชักสามได้สำเร็จในรัชกาลที่ ๗ แต่กว่าจะแก้ไขสนธิสัญญานั้นได้สำเร็จกินเวลากี่ปีไม่มีใครหยิบขึ้นมากล่าวถึง และผู้ที่ไปเจรจาแก้ไขสนธิสัญญานั้นคือ พระยาบุรีนวราษฐ (ชวน สิงหเสนี) ซึ่งเคยเป็นราชเลขานุการในพระองค์มาก่อน ซึ่งจะว่าไปผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญานั้นก็คือรัชกาลที่ ๖ นั่นเอง ขอย้อนมากล่าวถึงเรื่องกองทหารอาสาบ้าง ในทางทหารถือกันว่า ทหารถ้าไม่ได้ออกสนามก็จะไม่สามารถขีดความสามารถของหน่วยทหารนั้นๆ การที่ทรงตัดสินใจส่งกองทหารบกรถยนต์ไปช่วยรบ ๑,๐๐๐ คน ทั้งๆ ที่ประเทศไทยในเวลานั้นมีรถยนต์อยู่เพียง ๘๐๐ กว่าคัน ก็เพื่อให้นายทหารเหล่านั้นไปเรียนรู้วิธีการขับรถยนต์และซ่อมเครื่องยนต์ ยิ่งกว่านั้นกองบินทหารบก ๕๐๐ คน ที่ส่งไปช่วยรบนั้นมีคนขับเครื่องบินเป็นอยู่ ๘ คนเท่านั้น เริ่มจากเมื่อผู้แทนการบินฝรั่งเศสนำเครื่องบินมาลงที่สนามม้าราชกรีฑาสโมสรใน พ.ศ. ๒๔๕๔ แล้ว ก็ทรงตระหนักดีว่า กองทัพสยามจะต้องมีเครื่องบินไว้ใช้บ้าง จึงโปรดให้นายทหารไทยไปเรียนการบินที่ฝรั่งเศส ๓ คน (เพราะมีเงินส่งไปได้แค่นั้น) ทั้ง ๓ ท่าน คือ พระยาเฉลิมอากาศ พระยาทยานพิฆาต และพระยาเวหาสน์ยานศิลปประสิทธิ์ ได้กลับมาสอนนายทหารไทยให้เป็นนักบินได้อีก ๕ คน พอดีเกิดสงคราม นายทหารในกองบินทหารบก ๕๐๐ คนนั้นเมื่อเดินทางไปถึงฝรั่งเศสก็ได้เป็นศิษย์การบินส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งแยกไปเรียนการซ่อมและบำรุงรักษาเครื่องบิน สงครามสงบพวกที่เป็นศิษย์การบินก็ได้อยู่เรียนต่อจนสำเร็จเป็นนักบินกลับมาอีกราว ๑๐๐ คน และในตอนปลายรัชกาลที่ ๖ นายทหารเหล่านี้ได้ริเริ่มสร้างเครื่องบินขึ้นใช้ในราชการแต่ไปสำเร็จเอาในต้นรัชกาลที่ ๗ ที่กล่าวมานี้รัฐบาลไทยไม่ต้องเสียเงินฝึกนายทหารทั้ง ๑,๕๐๐ คนนั้นเลย ลองคิดค่าใช้จ่ายดูเถิดครับว่า หากต้องใช้จ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวเราจะต้องใช้เงินมากมายเพียงไร
เมื่อกล่าวถึงเรื่องการเงิน ผมเคยอ่านวิทยานิพนธ์ฉบับหนึ่งว่าด้วยเรื่องการใช้จ่ายเงินในรัชกาลที่ ๖ ในวิทยายิพนธ์ฉบับนั้นกล่าวว่า รัชกาลที่ ๖ ทรงทุ่งเทงบประมาณไปกับการป้องกันประเทศเป็นจำนวนถึงกว่า ๒๐% ของงบประมาณแผ่นดิน ในขณะที่จัดสรรงบเพื่อการศึกษาเป็นลำดับที่ ๓ ในวงเงินราว ๑๐% เท่านั้น แต่ในวิทยานืพนธ์อีกฉบับที่ว่าด้วยแนวพระราชดำริในการสร้างชาติกลับบอกว่า รัชกาลที่ ๖ ไม่รักทหาร ในเรื่องแนวพระราชดำริทางการป้องกันประเทศนั้น มีวิทยานิพนธ์อีกฉบับหนึ่งกล่าวถึงการจัดโครงสร้างกองทัพไทยในช่วง พ.ศ. ๒๔๕๑ - ๒๔๖๘ ซึ่งเป็นช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องรัชกาลที่ ๖ ว่า กองทัพบกไทยมีการวางอัรากำลังไว้เป็น ๑๐ กองพล คือ กองพลที่ ๑ มณฑลกรุงเทพฯ กองพลที่ ๒ มณฑลนครไชยศรี กองพลที่ ๓ มณฑลอยุธยา กองพลที่ ๔ มณฑลราชบุรี กองพลที่ ๕ มณฑลนครราชสีมา กองพลที่ ๖ มณฑลนครสวรรค์ กองพลที่ ๗ มณฑลพิษณุโลก กองพลที่ ๘ มณฑลพายัพ กองพลที่ ๙ มณฑลปราจิณ กองพลที่ ๑๐ มณฑลอุดร ร้อยเอ็จ และอุบล ในแต่ละกองพลจัดอัตรากำลังเป็น ๒ กรมทหารราบ ๑ กองทหารม้าหรือทหารพราน ๑ กองทหารช่าง ๑ กองทหารพาหนะ และ ๑ กองทหารสื่อสาร โปรดสังเกตนะครับว่าหน่วยทหารระดับกรมมีเพียงทหารราบซึ่งเป็นกำลังหลัก ที่เหลือเป็นกองทหารเพราะไม่สามารถจัดให้เป็นกรมทหารได้ ในจำนวน ๑๐ กองพลนั้น จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบกในเวลานั้นเคยมีรับสั่งว่า มีแต่โครงไม่มีอัตรากำลัง กำลังพลของกองทัพบกไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั้นมีอัตรากำลังจริงๆ เพียง ๒ กองพลครึ่งเท่านั้น เหตุที่จัดได้เพียงเท่านั้นก็เพราไม่มีงบประมาณพอ และถ้าสังเกตการจัดอัตรากำลังดังกล่าวอีกนิดจะเห็นได้ว่า ภาคอีสานซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๒ ใน ๕ ของประเทศมีอัตรากำลังเพียง ๑ กองพล แต่ภาคใต้ตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ลงไปไม่มีกองทหารเลย ทั้งนี้เพราะมีสัญญาลับกับฝรั่งเศสและอังกฤษที่ทำกันเอาไว้แต่ครั้งรัชกาลที่ ๕ ที่กำหนดให้ตลอดแนว ๒๕ กม. ริมฝั่งแม่น้ำโขงฝั่งประเทศไทย ต้องไม่มีกองทหารตั้งอยู่ และดินแดนในคาบสมุทรมลายูประเทศไทยจะต้องไม่ส่งกองทหารลงไปประจำการ เพื่อเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินจากอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ เพราะข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้ รัชกาลที่ ๖ จึงต้องทรงตั้งกองเสือป่าขึ้นเพื่อฝึกพลเรือนให้พร้อมรบเยี่ยงทหาร คนที่มาฝึกเป็นเสือป่าล้วนเป็นอาสาสมัครที่มีการศึกษา ต่างจากทหารที่เกณฑ์มาส่วนใหญ่จะไม่รู้หนังสือ การฝึกเสือป่านั้นก็คือการฝึกทหารดีๆ นี่เอง แต่เสือป่าต้องจัดหาเครื่องแต่งตัวมาเอง ต้องมารับการฝึกฝนด้วยความสมัครใจ ต้องเสียเงินค่าบำรุงซึ่งก็โปรดให้นำเงินนี้ไปบำรุงการกุศลสาธารณะรวมทั้งไปใช้ซื้อเรือหลวงพระร่วง ฝึกเสร็จก็ต่างคนต่างกลับบ้านของตน รัฐไม่ต้องจ่ายเงินเดือน เสื้อผ้าและที่พัก ในขณะที่เสือป่ามีเครื่องแบบที่แน่ชัดมีสายการบังคับบัญชาเช่นเดียวกับทหาร เมื่อถูกจับย่อมต้องได้รับการปฏิบัติในฐานะเชลยสงครามไม่ใช่จารชน นอกจากนั้นเสือป่าไม่ใช่ทหารจึงมีกองเสือป่าตั้งอยู่ทั่วประเทศแม้ในมณฑลนครราศรีธรรมราชหรือมณฑลปัตตานีที่เป็นเขตปลอดทหาร เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ ๖ ไม่มีศึกสงครามมาประชิดบ้านเมืองจึงยังมองไม่เห็นประโยชน์ของเสือป่า จนญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในคาบสมุทรมลายูสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ผู้ที่ออกหน้ารับข้าศึกก่อนทหารล้วนเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองที่เคยได้รับการฝึกเสือป่าและลูกเสือในรัชกาลที่ ๖ ร่วมกับยุวชนทหารมิใช่หรือ หากไม่เคยมีการฝึกเสือป่าไว้ก่อนแล้วข้าศึกจะยกพลขึ้นมาได้ง่ายดายเพียงไร ในเรื่องนี้ได้ทรงแสดงภาพตัวอย่างไว้ให้เห็นในบทละครเรื่อง หัวใจนักรบ ซึ่งเมื่อข้าศึกยกข้าพรมแดนมา เสือป่าและลูกเสือซึ่งอยู่ในพื้นที่ได้ช่วยกันต้านข้าศึกไว้ก่อน เมื่อกำลังทหารยกมาถึง เสือป่าและลูกเสือก็ได้ถอนกำลังเป็นกองสนับสนุน ขอย้อนไปกล่าวถึงเมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ รัชกาลที่ ๖ ทรงคาดไว้แล้วว่า หากข้าศึกจะยกเข้ามาเช่นในกรณี ร.ศ. ๑๑๒ หรือจะยกพลขึ้นบกเหมื่อนญี่ปุ่นนั้นก็จะทรงย้ายฐานที่มั่นไปตั้งที่พระราชวังสนามจันทร์ซึ่งมีการวางรูปแบบเป็นวงๆ โดยมีศูนย์กลางเป็นที่ประทับ และมีบ้านพักข้าราชบริพารและที่พักทหารและเสือป่าเป็นชั้นๆ ตามลำดับออกไป เมื่อข้าศึกยกไปจากกรุงเทพฯ เมื่อทำลายทางรถไฟแล้วก็จะเหลือเส้นทางคมนาคมทางน้ำเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็จะสะดวกแก่การซุ่มโจมตีของเสือป่าที่ถูกฝึกมาให้รบได้ทั้งในและนอกรูปแบบ หรือหากยกพลขึ้นบกจากหัวหิน (ชายทะเลสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรีเกือบทั้งหมดมีสภาพเป็นป่าชายเลนไม่สามารถยกพลขึ้นบกได้) ดังเช่นที่ญุ่ปุ่นยกมา ก็จะมีกองพลที่ ๔ ราชยุรีเป็นแนวปะทะ โดยมีกำลังหนุนจากกองพลที่ ๒ นครไชยศรี ซึ่งมีถนนทรงพลเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ระหว่างนครปฐม - ราชบุรี และมีเสือป่าและลูกเสือเป็นกองหนุน
ในเรื่องการทรงละครและการสนับสนุนการแสดงต่างๆ นั้น ขอได้โปรดนึกถึงสภาพบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่เป็นยุครับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา คนไทยในสมัยนั้นนิยมศิลปและสถาปัตยกรรมฝรั่งกันมาก เห็นว่าเป็นของโก้เก๋แล้วพากันทิ้งศิลปวัฒนธรรมไทยซึ่งเห็นว่าล้าสมัย จนรัชกาลที่ ๖ ทรงตระหนักว่า หากไม่ทรงเร่งฟื้นฟูไว้ศิลปวิทยาการของไทยๆ จะต้องสูญ จึงได้ทรงทนุบำรุงนาฏดุริยางคศิลป์ไว้เป็นมรดกมาจนถึงทุกวันนี้ ครูโขน ครูละครและครูดนตรีผู้เป็นปรมาจารย์ในยุคนี้ก็ล้วนสืบเนื่องมาจากกรมมหรสพในรัชกาลที่ ๖ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นครูเอื้อ สุนทรสนาน ครูอาคม สายาคม ครูมนตรี ตราโมท ฯลฯ ในเรื่องการทรงพระราชนิพนธ์ต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน หากพิจารณาบทละครของพระองค์ให้ถ่องแท้แล้วจะเห็นสอดคล้องกับที่ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เคยกล่าวไว่ ทรงใช้บทละครสอนพลเมืองของพระองค์ ดังตัวอย่างเรื่อง หัวใจนักรบที่ได้กล่าวถึงแล้ว และในเรื่องนี้ยังได้ทรงพระชนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งว่า ให้ระวังข้าศึกกำลังจะยกมาจาก "ซ่องฮอย" คำว่า "ซ่อง" ย่อมาจากไซ่ง่อน (โฮจิมินท์ซิตี้ในปัจจุบัน) "ฮอย" มาจากคำว่า ฮานอย แล้วลองย้อนไปดูเหตุการณ์เมื่อสมัยสามสิบปีที่แล้วเปรียบเทียบกับปัจจุบันและอนาคต ในอดีตอาจจะเป็นข้าศึกที่ยกกองทัพมารุกราน แต่ปัจจุบันและอนาคตคงจะเป็นภัยทางเศรษฐกิจ
จากคุณ :
V_Mee (V_Mee)
- [
2 ต.ค. 48 14:24:54
]
|
|
|