ความคิดเห็นที่ 1 มีอีกครับ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ,ทำไมมีบางคนบอกว่าทฎษฏีของคุณครูใช้ไม่ได้กับคนไทย โดยคุณ sudham [07-11-2005 15:46] -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ s [07-11-2005 20:28] #879 (1/11) ตามความคิดของผมนะครับ อาจผิดหรือถูกก็ได้ เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่(ส่วนใหญ่นะครับ ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมด)จะขี้เกียจและไม่สามารถจัดระเบียบในการฝึกได้ ในหนังสือของครูเคทถ้าเราได้อ่านดูแล้วก็จะพบว่ามีหลายคนที่เรียนไม่ประสบความสำเร็จในการฝึกเนี่ย มีมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบ ยุ่งจนไม่มีเวลาฝึก ขี้เกียจฝึกหรือท้อแท้ง่ายๆอะไรประมาณนี้มั้งครับ และอีกอย่างนึงกับการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยจะยึดติด จะถูกปลูกฝังในเรื่องแกรมมาร์ ท่องศัพท์ ประมาณว่า ท่องกริยา 3 ช่อง พูด tense ให้ถูกนะ ไม่ได้คิดตามอย่างครูเคทสักเท่าไร คือพูดโดยยึดหลักไวยากรณ์แบบเนี้ย ซึ่งฝรั่งเขาไม่ใช่อย่างนั้น สำหรับฝรั่งคนนึงที่จะรู้เรื่องไวยากรณ์เนี่ย เท่าที่ผมเห็นมาจะเป็นระดับครูทั้งนั้นนะครับ แล้วเท่าที่ผมเห็นมาอีก ภาษาอังกฤษในชั้น high school จะสอนแต่ในเรื่องการอ่าน บทความอะไรประมาณนี้ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ Gong [09-11-2005 16:06] #906 (2/11) ผมคงฟังธง ให้ตอนนี้ยังไม่ได้หรอกน่ะคับ เพราะว่าผมเองยังไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างใจคิด หรือลื่นไหล (แต่ไถไป ไถมาได้ครับ อิอิ [ไม่ใช่น้องควายน่ะคับ]) แต่เพื่อนหลายๆ คนทำได้แล้วนี่นาช่ายป่าวครับ เพราะงั้นลองตั้งใจทำดูซักครั้งน่าจะดีไม่ใช่น้อย -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ เก่งกว่า [09-11-2005 18:33] #913 (3/11) บางคนที่ว่าน่ะใครครับ ถ้าเป็นคุณ keng ในเวปนี้ก็อย่าไปสนใจครับ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ saravut [10-11-2005 08:14] #920 (4/11) ก็เปิดใจให้กว้างสิ มัวงมโข่งอยู่กี่ปีก็ไม่สําเร็จหรอก -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ nuna [10-11-2005 09:43] #923 (5/11) ครูเคทเป็นคนไทยหรือเปล่า? คุณครูที่สอนที่โรงเรียนครูเคทเป็นคนไทยหรือเปล่า? แล้วคนที่เรียนหรืออ่านหนังสือกับครูเคทแล้วประสบความสำเร็จเป็นคนไทยหรือเปล่า? ถ้าให้อย่างเป็นกลางเลยนะ เหมาะไม่เหมาะขึ้นอยู่กับคนคนนั้นมากกว่า อย่าเหมารวม -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ กก [10-11-2005 12:05] #931 (6/11) แล้วแต่นะ บางคนก็ทำได้ อย่างคุณครูทีมงานของครูเคทงัย พวกที่ทำไม่ได้ก็มี นานาจิตตังนะ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ s [10-11-2005 21:38] #936 (7/11) สำหรับโดยสรุปของผมแล้ว ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการฝึก ที่ไม่เหมาะกับคนไทย เพราะคนไทย(ส่วนใหญ่นะครับ)ขี้เกียจ ไม่มีความมุ่งมานะเอาจริงเอาจังสักเท่าไร อยากเห็นผลลัพธ์ที่มันแบบเร็วๆ ขึ้นอยู่กับคนด้วย -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ keng [19-11-2005 01:00] #1009 (8/11) วิธีที่ผมฝึกและแนะนำไปทั้งหมดนั้น ผมนำคำแนะนำของครูเคทมาต่อยอด คือบูรณาการณ์ ต่างหาก ถ้าใครที่ไม่เห็นด้วย ก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เพราะว่าคุณจะต้องลำบากในการฝึกต่อไป และใช้เวลานานอีกด้วย และจะไม่คุ้มกันกับผลที่ได้ เมื่อเทียบกับเวลาที่เสียไป ที่จะทำให้พูดได้โดยสมบูรณ์ ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองไปถามใครก็ได้ เฉพาะในเมืองไทยก็ได้ ที่ฝึกพูดภาษาอังกฤษได้สำเร็จ ก็จะต้องแนะนำแบบเดียวกับที่ผมแนะนำนั้นเป็นวิธีมาตรฐานที่ดีที่สุดเลยทีเดียว และผมนั้นนำคำแนะนำของครูเคทมาใช้ประมาณ 40% เท่านั้น และอีก 60 % นั้นเอามาประยุกต์ และผลที่ได้จึง ออกมาดีเยี่ยมเลยทีเดียว..........................................อวสาน -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ songsak [19-11-2005 11:37] #1013 (9/11) วิทีของครูเคทถูกต้องแล้ว เป็นวิทีการเรียนภาษาที่จะเข้ามาแทนที่การเรียนภาษาอังกฤษในอนาคต เพียงแต่ครูเคทยังไม่ทราบวิธีการที่ถูกต้องสมบูรณ์ แบบร้อยเปอร์เซนต์ ที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจในสิ่งที่ครูเคทรู้สึกได้เท่านั้น เพราะขาดตัวแปรบางตัวที่ครูเคทไม่ทราบ รวมถึงฝรั่งเจ้าของภาษาด้วย -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ keng [19-11-2005 12:26] #1014 (10/11) นั่นไงแค่นี้ก็ชัดเจนมากเลยครับ คุณsongsak ชัดเจนที่สุดเลย และทุกคนฟังให้ดีนะครับ ขอย้ำว่าฟังให้ดีนะครับที่คุณ songsak บอกว่า " วิธีของครูเคทถูกต้องแล้ว เป็นวิทีการเรียนภาษาที่จะเข้ามาแทนที่การเรียนภาษาอังกฤษในอนาคต เพียงแต่ครูเคทยังไม่ทราบวิธีการที่ถูกต้องสมบูรณ์ แบบร้อยเปอร์เซนต์ ที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจในสิ่งที่ครูเคทรู้สึกได้เท่านั้น เพราะขาดตัวแปรบางตัวที่ครูเคทไม่ทราบ รวมถึงฝรั่งเจ้าของภาษาด้วย" ประโยคนี้เป็นประโยคที่ชัดเจนที่สุดเลย ไม่รู้ว่าคุณคิดเองหรือ ครูเคทได้บอกคุณใว้ เพราะว่าผมเห็นด้วยตรงนี้ และผมขอบอกว่าตัวแปรที่ว่านั้นก้คือ 60 % ที่ผมนำคำแนะนำของครูเคทมา ต่อยอดนั่นเอง จึงแก้ปัญหาตรงนี้ได้ยังไงล่ะครับ.....................................................จบ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ songsak [20-11-2005 20:29] #1046 (11/11) ตอบ คุณKeng ผู้มั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ที่ผมพูดไม่ได้เกียวข้องกับ ครูเคท แต่ประการใด และที่คุณสงสัยนั้นไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้ เพราะเป็นความลับ ผมเพียงนึกสนุกอย่างเล่นอินเตอร์เนตเท่านั้น และเวลาที่คุณใช้ในการเรียนภาษาอังกฤษ 6 ปี ผมว่าคุณพับโครงการไปเถอะ เพราะถ้ารู้ถูกต้องจริงคงไม่ต้องใช้เวลาถึง 6 ปีหรอก แบบเรียนอย่างเดียวของคุณ ต้องขออภัยที่ใช้ภาษาไม่ค่อยสุภาพ เพราะ ผมใช้ความรู้สึกในการพูดภาษาไทยนะ ไม่ได้เรียงคำตามหลักไวยกรณ์ไว้ล่วงหน้า ( อันนี้เย้าคุณKeng กับ อาจารย์สอนภาษาอังกฤษทั้งของไทย และของเทศเล่นนะ กรุณาอย่าถือสา )-------------------------------------------------------- จากคุณ : tonmelb - [ 20 พ.ย. 48 23:06:02 A:203.209.117.101 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เเละอีก 1 @@@@@@@@@@@@@ คือไม่เก่งแกรมม่าอ่ะ เคยเรียน เอยูเอ ขึ้น level 7 แต่หยุดเรียนไประยะนึงแล้ว งานยุ่งมากๆ ไม่มีเวลา ตัวเองเนี่ย..อ่อนแกรมม่า จะมีวิธีการอย่างไร ให้เข้าใจ เพราะเวลาจะแต่งประโยคทีไร ต้องหยิบหนังสือ มาดูทุกที ว่าถูกไหม ต้องใช้ tenses ยังไง โอ้ยย..ปวดหมอง รบกวนขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ ผู้เชี่ยวชาญด้วยค่ะ โดยคุณ pookie [15-11-2005 19:28] -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ p [16-11-2005 10:32] #968 (1/9) ไม่เก่งซะด้วยเรา แต่เรียนตั้งระดับ 7 แล้วทำไมยังเป็นอย่างนี้ล่ะ ต้องวิเคราะห์ซะแล้ว ปรึกษาครูเคทดีเปล่าจ๊ะ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ Mr.Crowley [16-11-2005 11:52] #974 (2/9) จะเก่งแกรมม่าร์แบบที่ไม่ต้องเรียนแกรมมาร์นั้นง่ายมากครับ วิธีการเหมือนการฝึกพูดแบบครูเคทเลย คืออ่านเยอะ ๆ แล้วก็สังเกตว่าต้นตำรับเค้าใช้ยังไง แล้วก็พยายามฝึกเขียนตามเค้า ฝึกบ่อย ๆ แล้วแกรมม่าร์จะค่อย ๆ ซึบซาบเข้าตัวคุณ เหมือนเสกเด็กเข้าท้องเลย -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ pookie [16-11-2005 17:57] #978 (3/9) 5555+ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ หลงซื่อ [16-11-2005 19:18] #979 (4/9) เรียน AUA level 6 ครับ.. แกรมม่าได้ แต่พูดไม่ได้เลยครับ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ Jamz [17-11-2005 20:34] #994 (5/9) เรียนเหมือนกันครับ level 9 ครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าได้หรือเปล่า.. เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาวัด อะคับ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ chotiwat [18-11-2005 12:22] #996 (6/9) อ่านหนังสือภาษาอังกฤษมากๆ ครับ ทำความเข้าใจการใช้งานของมัน รูปแบบมีไม่กี่รูปแบบครับ แต่อย่าไปท่องจำแบบยัดเยียดนะครับ ต้องอ่านทุกๆวันด้วยครับ และเลือกอ่านสิ่งที่เราอยากอ่านจริงๆ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ keng [19-11-2005 00:14] #1007 (7/9) ทำไมคนส่วนใหญ่นั้นถึงไม่ชอบเรียนไวยกรณ์ กัน เพราะว่าจริงๆแล้วนั้นไม่มีอะไรมากเลย ขอย้ำว่าไม่มีอะไรมากเลยจริงๆ แล้วก็ใช้เวลาไม่มากด้วยในการทำความเข้าใจทั้งหมด แค่ 5 เดือน ก็รู้หมดแล้ว และพอเข้าใจแล้วจากนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจในส่วนของ ไวยกรณ์อีก ก็ฝึกในส่วนของทักษะทางด้านพูดไปเรื่อยๆ แต่อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจทางด้าน ไวยกรณ์ ที่เราได้เข้าใจแล้ว ที่ยากนั้นจะเป็นในส่วนของสำนวนภาษาอังกฤษต่างหาก สำหรับผมนั้นศึกษาไวยกรณ์ ในตอนแรกก็ใช้เวลาไม่นาน และเลิกอ่านหนังสือ ไวยกรณ์ มา3 ปีกว่าแล้ว เพราะแค่ทำความเข้าใจในตอนแรกเท่านั้นเองพอเข้าใจแล้วก็จบ และเป็นพื้นฐานในการไปฝึกทักษะอื่นๆต่อไป ขอย้ำอีกครั้งนึงว่าไม่มีอะไรมากเลยที่จะต้องศึกษา เพราะว่าไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปศึกษารายละเอียดทั้งหมดที่มีในส่วนของ ไวยกรณ์ ทำความเข้าใจในส่วนที่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้เท่านั้นเอง และถ้าถามว่า ไวยกรณ์ นั้นยากหรือเปล่า สำหรับผมนั้น ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยครับ เป็นเรื่องเล็กน้อยเลยก็ว่าได้ เมื่อเทียบกับในส่วนของ สำนวนต่างๆ ในภาษาอังกฤษ แล้วนั้น ยากกว่ามากมายเลยทีเดียว เช่น การใช้ two-word verbs และสำนวนอื่นๆ แต่ไม่ได้หมายถึงสำนวนสุภาษิตนะครับ...........จบ -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ jungjung [20-11-2005 06:37] #1028 (8/9) I would like to ask whether you have to learn Thai grammar in order to write an article in Thai. If you one of those, then think again!!! My point is that we dont learn Thai grammar, but we can still write an essay in Thai. The same principle applies to writing English. Bear in mind only linguistics learn grammar in order to analyse the nature of language, not for practical usage. So my suggestion is read and write a lot, even copying the text from an English article will help improving your writing. Hope this help!!! -------------------------------------------------------------------------------- โดยคุณ keng [20-11-2005 14:28] #1033 (9/9) คุณ jungjung ครับ ผมอยากจะบอกว่า ถ้าเป็นการอ่านในการจับใจความ หรือตีความหมายอะไรประมาณนั้น ถือว่าคุณนั้นสอบตกเลยทีเดียวเลยครับ ได้ 0 ต้องกลับไปเรียนกันใหม่เลยทีเดียว เพราะว่าที่คุณแสดงความคิดเห็นมานั้น มันผิดไปจากความหมายที่ผมต้องการสื่อเกือบทุกประโยคเลยทีเดียวครับ ไม่รู้ว่ารีบอ่านไปหรือเปล่า เลย งง โปรดกรุณาลองอ่านดูอีกเที่ยวนะครับ.............................จบ จากคุณ : tonmelb - [ 20 พ.ย. 48 23:08:37 A:203.209.117.101 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เฮ้อ ! ไม่พิมพ์เเล้ว พิมพ์ไปตั้งเยอะ เผลอไปกด delete หายเลย ตั้งใจจะทำดี โกรธตัวเอง เหนื่อย ไปนอนก่อนครับ ( เลยไม่รู้เลยว่า tonmelb เขียนอะไร เเล้วคนอ่านจะงงหรือเปล่าเนี่ย จากคุณ : tonmelb - [ 20 พ.ย. 48 23:20:25 A:203.209.117.101 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คุณต้นเคยอ่านนิทานตาบอดคลำช้างไหมครับ? คนตาบอดเถียงกันแทบตายถึงรู้ว่าช้างมันไม่ได้เหมือนเชือกหรือเสาหรือกำแพงหรือพัด มันเป็นช้างทั้งตัวครับ ช้างที่มีคุณลักษณะเหมือนทุกอย่างที่ว่ามาผสมกัน ทักษะภาษาอังกฤษมันมีสี่ด้านคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน มันเป็นทักษะที่ต้องพึ่งพากัน อาจเรียนแยกส่วนได้ แต่ว่าในที่สุดมันต้องบูรณาการ ใครจะเรียนอะไรก่อนก็เป็นเรื่องของโอกาส และใครจะเรียนวิธีไหนได้เหมาะก็เป็นเรื่องของบุคคล ผมเองเรียนอ่านก่อน วิธีนี้มันใช้ได้กับผม คนอื่นเขาจะเรียนพูดก่อนก็เรื่องของเขา มันใช้ได้กับเขา ลางเนื้อชอบลางยาเป็นคำพังเพยที่จริงเสมอ ไม่เห็นจะต้องมาเถียงกันให้เหนื่อย ลองถามคนในนี้ดูเถอะ จะได้ความหลากหลายพอกับที่เขาเถียงกันน่ะแหละ สรุปคือไม่เข้าไปยุ่งดีที่สุดครับ ไม่เปลืองตัว เราไปพูดก็เท่านั้น เพราะว่าวิธีที่เราเห็นว่าดีนั้นมันอาจไม่เหมาะกับคนอื่นก็ได้ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 48 01:56:50 จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 พ.ย. 48 01:47:04 ]

ความคิดเห็นที่ 5 . . อ่านแล้วก็อยากจะตอบอย่างคุณหมอแอ๊ดว่าเป๊ะเลย....ผมขออนุญาตออกความเห็นว่าคุณต้นไม่ต้องไปแจมหรอกครับ......เชิญเขามาแจมที่นี่ดีกว่าไหม? อิ อิ ผมมีความรู้สึกว่าการสนทนาของสมาชิกที่คุณต้นยกมนั้นจะให้ความสำคัญว่า "ครูเคท" จะตอบว่าอย่างไรต่อคำถามอย่างนี้มากจนเกินเหตุ....โดยส่วนตัวผมคิดว่า ไม่ควรที่จะยึดอ้างคำตอบของครูเคทมาเป็นบรรทัดฐานว่าควรจะเริ่มต้นตรงไหน? อย่างไร? ....ผมคิดว่าส่วนไหนและตรงไหนเข้ากับจริตของใคร คนๆ นั้นน่าจะเริ่มตรงส่วนนั้น......ที่สำคัญการหวังผลจากการเรียนภาษาอังกฤษของแต่ละคนก็ล้วนแตกต่างกันไป บางคนก็ขอแค่เป็นพนักงานเสริฟที่อธิบายเรื่องอาหารการกินรู้เรื่องก็พอ เป็นแม่ค้าขายของที่ระลึก เป็นนักแปล เป็นล่าม เป็นไกด์ หรือแม้แต่เป็นนักการทูต ฯลฯ ตอนผมเป็นไกด์ ผมมีลูกหาบที่เป็นชาวเขาของผมพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งเข้าใจดี(ต่อมาเป็นไกด์เอง) แม้ไวยากรณ์จะไม่รู้เรื่องเลย เราก็ไม่อาจจะไปคะยั้นคะยอเขาได้ตรงนั้น เพราะเขาเริ่มต้นจากการพูดก่อนซึ่งเหมาะสมกับฐานะของเขา ผมรู้จักนักเรียนที่ไปเรียนประเทศอังกฤษหลายคน และสวนมากจะแน่นไวยากรณ์ แต่พูดไม่เก่งเหมือนลูกหาบชาวเขาของผมเลย และนั่นเราก็จะไปปรามาสนักเรียนเหล่านั้นไม่ได้ เพราะเริ่มต้นคนละอย่าง และผมรู้จักนักเรียนซึ่งเป็นคนอังกฤษแท้ๆ พ่ออังกฤษแม่ก็อังกฤษ เรียนในระดับมัธยมต้นถึงมัธยมปลายในประเทศอังกฤษ พูดภาษาอังกฤษทุกลมหายใจเข้าออก แต่อ่อนไวยากรณ์กว่านักเรียนไทยที่ไปเรียนที่อังกฤษหลายช่วง (รัฐบาลอังกฤษเป็นห่วงเรื่องนี้เอามากๆ) ที่พูดยกให้ฟังนี้ก็เพื่อที่จะยืนยันความคิดเห็นส่วนตัวว่า .....เริ่มตรงไหนและอย่างไร มันไม่ใช่ประเด็นว่าผิดหรือถูก.....ที่สำคัญก็คือ เมื่อเริ่มจุดใดจุดหนึ่ง (พูด เขียน คิด อ่าน) แล้ว ก็อย่า "ลำพอง" ตนว่าเก่งและหยุดอยู่แค่จุดนั้น ให้พยายามทอดสะพานไปยังจุดที่เหลือต่อไปเรื่อยๆ นั่นแหละถึงจะแตกฉาน สาเหตุที่เด็กนักเรียนอังกฤษอ่อนไวยากรณ์อังกฤษก็เพราะความลำพองตน สำคัญว่าเป็นของตายนี่แหละครับ รัฐบาลอังกฤษถึงพยายามอัดฉีดกระตุ้นให้นักเรียนอังกฤษในเรื่องไวยากรณ์อังกฤษ ส่วนหนึ่งในสาเหตุที่นักเรียนไทยในอังกฤษบางส่วนเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องและพูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ก็เพราะเคร่งและยึดติดในหลักไวยากรณ์จนแทบจะกระดุกกระดิกไม่ได้ จนขาด "ความมั่นใจ" ที่จะพูด(เพราะกลัวผิดไวยากรณ์) ฉะนั้น จะเริ่มต้นที่จุดไหนก็ได้ แต่อย่าหยุดที่จุดนั้นจุดเดียว ให้ทอดสะพานเชื่อมไปยังจุดที่เหลือ ผมโดยส่วนตัวยึดถือปรัชญาตรงนี้ครับ ความจริงเราแสดงความคิดเห็นของแต่ละคนในเรื่องนี้ที่ห้องยำภาษาก็น่าจะดีนะครับ อยากฟังความเห็นของทุกๆ ท่านจัง อย่าง ป้านวล ท่านหมอแอ๊ด เจ๊ลิลี่ย์ ท่านลุดวิก คุณพ่อโปรเจกต์ เจ๊ตา คุณบูม คุณภูมิ (รู้นะว่าแอบอ่านอยู่ อิ อิ อิ) ฯลฯ และอีกหลายๆ ท่าน ผมอยากอ่านความเห็นของทุกๆ ท่านจัง จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 21 พ.ย. 48 03:38:55 A:86.134.192.164 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เคยเขียนไปแล้วไม่ต่ำกว่าสามรอบครับ เท่าที่จำได้ เมื่อหลายปีมาแล้วในห้องนี้ล่ะ ตอนนี้ยังขี้เกียจอยู่อะครับ ไว้อารมณ์ใสๆแล้วอาจจะมาเขียนใหม่อีกที จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 21 พ.ย. 48 03:58:43 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณครับ ไว้คืนนี้ผมกลับมาตอบ ( จ - ศ ผมกลับถึงบ้าน 10.30 ทุกคืนเลย) มีนิดคือ ผมนำ column ไปเเปะที่ห้องเสมอ 2-3 อาทิตย์ครั้งนึง เเต่ไม่ค่อยมีคนสนใจนะ ( คิดเอาเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมก็เหนื่อย เพราะไม่ดังหรือเปล่า หรือทฤษฏีผมผิดเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ฟังกันเลย) เพราะผมมาเเนวของท่านอาจารย์ยุคเดิม เช่น ม.ล. มานิจ ชุมสาย etc ที่อยากจะเข้าร่วม ไม่ใช่อยากเป็น hero หรอก เเต่เห็นว่า point นี้มันสำคัญต่อคนในชาติ ( คิดเองนะ) เมื่อคืนเขียนเยอะ เเต่คงเพลียมาก ไม่รู้ไปกดอะไร ไม่ esc เเต่ปุ่มด้านนี้ล่ะ มันหายไปเลย ก็เหนื่อย จากคุณ : tonmelb - [ 21 พ.ย. 48 07:57:32 A:203.209.123.34 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณต้นครับ ถ้าข้อความที่เขียนไว้มันหายไป แต่หน้าจอเก่ายังอยู่ ลองกด ctr+zสิครับ เผื่อมันกลับมา ถ้าคุณบังเอิญลบนะครับ จริตการเรียนภาษาของแต่ละคนไม่เหมือนกันแน่นอนครับ ไม่ว่าภาษาแม่หรือภาษาใดก็ตาม ทุกคนมีวิธีเรียนรู้ไม่เหมือนกันตั้งแต่ปฏิสนธิโน่นครับ แล้วก็พัฒนามาเป็นวิธีเฉพาะตัวของใครของมัน แต่วิธีการอะไรก็ตามต้องเหสมะสมกับตัวเอง หรือยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ หรือพูดให้เข้าใจง่าย คือหาแก่นของตัวเองให้เจอครับ ไม่ใช่ไปวิ่งตามทฤษฎีคนอื่น คนที่ทำอย่างนั้นเพราะไม่เคยมองตัวเอง ไม่เคยเข้าใจตัวเองว่าตัวเองต้องการอะไร ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง อ่อนแอ พยายามหาคนอื่นเป็นหลักยึด พอคนอื่นพูดก็คล้อยตามไปหมด ดูถูกตัวเอง ว่าตัวเอง"ม่เก่งเหมือนคนอื่น วิ่งหาคนมาช่วย โดยไม่พยายามเรียนรู้ด้วยตัวเอง คนเก่งๆของโลกมีใครที่ไปให้คนอื่นช่วยล่ะครับ ทุกคนเรียนรู้เองทั้งนั้น ไม่ว่า หมอ นักวิทยาศาสตร์ นักดนตรี นักกีฬาฯ อยากเล่นดนตรีเป้นแต่ไม่ฝึกเล่นดนตรี อยากว่ายน้ำเป็นแต่ไม่ฝึกว่ายน้ำ เมื่อไหร่มันจะเป็นล่ะครับ เอาล่ะคนอื่นอื่นเขาได้แต่เพียงแนะนำเท่านั้น เหมือนผู้ฝึกสอนกีฬา หรือสอนดนตรี อาจารย์หมอ ฯลฯ แต่เรื่องจะเก่งไม่เก่งมันอยู่ที่ตัวเรา ต้องฝึกฝนครับ การฝึกฝนทำให้เกิดความชำนาญ ไม่จำเป็นต้องมีไอคิว 800 หรอกครับ คนไทยยังเข้าใจผิดครับ คิดว่าความรู้มีสำเร็จรูปเหมือนบี่หมี หรือกาแฟ ไปซื้อเอาได้ตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ จริตเพียงแค่นี้ยังคิดไม่ตก แล้วจะเก่งได้อย่างไรครับ พื้นฐานความคิดของผมเป็นอย่างนี้ล่ะ ท่านอื่นก็คิดไปก็ไม่ได้ผิด ถึงคิดไม่เหมือนผมก็ตาม นะครับ จากคุณ : ลุดวิก - [ 21 พ.ย. 48 08:47:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ห้องนี้น่าจะมีกระทู้ปักหมุด เกี่ยวกับการเรียนรู้ฝึกฝนภาษาอัีงกฤษ สำหรับทักษะการ ฟัง พูด อ่าน เขียน (เน้นที่ พูด และ เขียน) กระทู้จะได้อยู่ไปตลอด ลุงๆ ป้าๆ จะได้ไม่ต้องมาตอบบ่อยๆ จากคุณ : rien - [ 21 พ.ย. 48 09:20:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 นั่นน่ะสิ รบกวน ลุงลุดวิก ลุงบูมเมอร์ ลุงอุดร บ่อยๆเดี๋ยวแกเหนื่อยแย่ ฮ่าๆๆๆๆๆ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 พ.ย. 48 12:32:51 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ค่ะพี่แอ๊ด จากคุณ : rien - [ 21 พ.ย. 48 14:06:07 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมเห็นด้วยกับทุกความเห็นข้างบนของลุงๆ เขานะคุณต้น ส่วนที่คุณต้นยกมาน่ะ ถ้าเขารู้ว่าเขาไม่รู้ จงสอน แต่ถ้าเขาไม่รู้ว่าเขาไม่รู้ จงหลบ ครับผม ส่วนที่เวลาคุณต้นไปแปะอะไรที่ไหนแล้ว feedback น้อย จนเหนื่อย ผมว่าคุณต้นยังแปะไม่ถูกจุด เรื่องเป็นประโยชน์นั้นใช่ แต่ลองนำเสนอในสิ่งที่เขาอยากรู้สิครับ สิ่งที่เขาเห็นประโยชน์ ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นประโยชน์ สิ่งที่ ถ้าเราไม่พูด ต้องมีคนถาม คุณต้นเข้าห้องครูเคท เอ๊ย เข้าเว็บครูเคท ก็น่าจะพูดในเรื่องที่เป็นจุดสนใจของพวกเขา เช่น ทักษะการพูด เข้าห้องสมุดก็พูดเรื่องที่เขาถามกันบ่อยๆ หรือเข้ายำภาษา ก็พูดในจุดที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ คุณต้นคงไม่คิดมากนะครับ ที่ผมตัดสินใจเขียนตรงนี้เพราะเห็นว่าคุณต้นมีความตั้งใจมุ่งมั่นมาตลอด เอาใจช่วยครับ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 21 พ.ย. 48 14:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ศัตรูของความรู้ไม่ใช่ความไม่รู้แต่คือความไม่รู้ว่าไม่รู้ It's not ignorance but ignorance of ignorance that is the death of knowledge. อ่านเจอที่ไหนจำไม่ได้ จำเขามาเล่าต่อ ขออภัยที่อ้างอิงเจ้าของเดิมไม่ได้เพราะจำไม่ได้ แต่คมดีจริงๆ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 พ.ย. 48 15:42:12 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เข้ามาเขียนต่อซะหน่อยระหว่างรอกินข้าวเย็นครับ ไม่รู้สิ ผมว่ามันไม่มีประเด็นที่จะต้องมาทุ่มเถียงกันว่าทำตามวิธีของใครแล้ว "สำเร็จ" เร็วกว่ากัน อย่าว่าแต่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของ "ฝึกภาษาอังกฤษได้สำเร็จ" เลย (คือ เค้าวัดกันยังไงว่าคนนั้นคนนี้ฝึกพูดภาษาอังกฤษได้สำเร็จ) เรื่องอย่างนี้ผมว่ามันเป็นศิลป์และทักษะ มากกว่าที่จะมาบอกว่า ทำไมไม่ชอบเรียนไวยากรณ์กันนะ หรือ ฝึกพูดอย่างเดียวโดยไม่เน้นไวยากรณ์จะทำได้ไหม หรืออะไรทั้งหลายแหล่ทำนองนั้น พอบอกว่าเป็นเรื่องของทักษะ มันก็มีอยู่ไม่กี่วิธีที่จะทำให้มีทักษะเพิ่มพูนขึ้นมาได้ อาจจะมีแค่วิธีเดียวด้วยซ้ำถ้าำไม่นับการตายแล้วไปเกิดใหม่เรื่อยๆจนกว่าจะได้สิ่งที่เค้าเรียกกันว่า "พรสวรรค์" วิธีเดียวที่ว่านั่นก็คือการฝึกฝน ใช่ครับ การฝึกฝน ถามใครใครก็รู้หมด ตอบได้หมดว่า ถ้าอยากเก่งต้องฝึกฝน ปัญหามันอยู่ตรงนี้ล่ะครับ ถ้าตัดพวกที่ขี้เกียจฝึกฝนทุกประเภทออกไป (เช่น ไม่รู้ว่าจะฝึกไปทำไม ภาษาพ่อภาษาแม่ก็ไม่ใช่ หรือพวกที่บอกว่า ไอ้โน่นก็ยังไม่พร้อม ไอ้นี้ก็ยังไม่เข้าขั้น ไว้ทุกอย่างพร้อมแล้วค่อยเริ่มฝึก ฯลฯ) ก็เหลือพวกที่ขยัน...ก็เป็นปัญหาอีกว่าขยันแบบไหน ผมยกตัวอย่างเรื่องฝึกกีตาร์ก็แล้วกัน ไปเปิดหนังสือตำรากีตาร์ (และทฤษฎีดนตรี) เล่มไหนก็ตาม มันก็มีเรื่องสเกลหมดทุกเล่มใช่ไหมครับ (อ้อ ยกเว้นผมไปเจออยู่เล่มนึง เค้าบอกว่าฝึกแล้วสามารถเล่นกีตาร์เป็นได้โดย "ไม่โน้ต" ...ก็ค่อนไปทางซังกะบ๊วยนิดหน่อย) มันก็ต้องมีแบบฝึกหัดให้ฝึกไล่สเกล อะไรอย่างนั้น ไอ้คนฝึกก็ฝึกไปสิ ไล่สเกล ไล่เช้าไล่เย็น วันละแปดชั่วโมงเป็นฟูลไทม์จ๊อบไปเลย ฝึกอย่างงั้นซักสามปี ผมรับประกันได้เลยว่าคุณจะเป็นคนที่ไล่สเกลได้เก่งที่สุดในโลก แล้วไงล่ะ ไปเล่นดนตรีแจมกับคนอื่นได้รึเปล่า ก็ไม่แน่ใช่ไหมครับ นั่นล่ะ ได้ทักษะเหมือนกัน ทักษะการไล่สเกล จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 21 พ.ย. 48 16:08:56 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขออนุญาตไปทานข้าวก่อน เดี๋ยวมาบ่นต่อครับ จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 21 พ.ย. 48 16:30:50 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ระหว่างที่พ่อบูมทานข้าวอยู่ ผมขออนุญาตหยิบกีตาร์มาโซโล่ต่อนะครับ คือผมมองอย่างนี้......ระบบการศึกษาของไทยพึ่งจะถูกแยกออกมาจาก "วัด" ไม่นานมานี้เอง กลิ่นไอของการเรียนแบบวัดยังคงหลงเหลือและตลบอวนอยู่บ้าง ยิ่งหากกล่าวถึงการเรียนภาษาซึ่งไม่ใช่ภาษาไทยของเราเองแล้ว.......ดูเหมือนว่าทักษะการเรียนภาษาบาลีจะถูกวางเป็นแม่แบบนำร่องในการเรียนภาษาอื่นๆ.......จะเป็นกล่าวเกินเลยไหมถ้าจะบอกว่าภาษาบาลีคือภาษาต่างด้าวที่คนไทยเล่าเรียนกันอย่างเป็นระบบ.......กลุ่มคนที่แตกฉานภาษาอังกฤษกลุ่มแรกของสยาม ล้วนต่างผ่านการเรียนภาษาบาลีมาแทบทั้งสิ้น........และการเรียนภาษาบาลีส่วนมากจะเน้นและเคร่งครัดเรื่อง "ไวยากรณ์" มากๆ .....ตรงนี้แหละที่ผมมองว่าคือ "กลิ่นไอ" ที่ยังหลงเหลืออยู่ในระบอบการเรียนภาษาอังกฤษของไทย ณ ปัจจุบัน......เปล่าหรอก...นี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย?? แต่ก็อย่าลืมว่าการที่นักบาลีต้องทุ่มเทการเรียนบาลี "ไวยากรณ์" จนหมดหน้าตักนั้น ก็เพราะว่าภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว คือไม่ได้ใช้พูด ฉะนั้นจุดโฟกัสใหญ่ก็คือไวยากรณ์ ซึ่งจะปูทางให้นักบาลีได้เรียนรู้การแต่งการวิเคราะห์รูปประโยค รูปศัพท์ วลี ฯลฯ ยกเว้นอย่างเดียวคือการพูด เราไม่จำเป็นต้องสลัด "กลิ่นไอ" ของการเรียนสมัยก่อนออกไปจนสิ้นเชิง แต่ควรประยุกต์และไม่ยึดติด (ความจริง ท่าจะว่าไปแล้ว ผมคิดว่าผมคือผลงานของระบบการเรียนสมัยก่อนเกือบทั้งแท่ง) องค์ประกอบที่สมบูรณ์ของภาษา (ที่ยังไม่ตาย) คิดว่าน่าจะมีดังนี้ 1. ไวยากรณ์ 2. การสื่อสาร 3. ความหมาย(ที่สื่อไปและรับมา) อ้าว พ่อบูมทานข้าวเสร็จพอดี มาร่ายต่อเลยครับ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 21 พ.ย. 48 17:25:13 A:193.195.73.66 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอไม่ไปแจมอ่ะ แค่บอร์ดนี้ก็หลายรอบแล้ว ใครมีความสามารถก็กรุณาไปเสิร์ชของเก่ามาแปะหน่อยก็ดีนะคะ ขอเสริมที่ว่ามาข้างต้นกันแล้วนั้น คือนอกจากจะขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละคนแล้ว ยังขึ้นอยู่กับโอกาสด้วยว่า วาระไหนจะมาถึงก่อนกัน บางคนมีโอกาสที่จะได้พูดก่อนเรียน บางคนได้เรียนก่อนพูด หรือไม่ก็ทั้งเรียนทั้งพูดในเวลาเดียวกัน แต่จากประสบการณ์นั้น เห็นได้ว่า ถ้าฝึกพูดก่อนโดยไม่ใส่ใจเรียนหลักการใช้แล้ว ส่วนใหญ่ จะแป๊กเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ไม่สามารถทะลุทะลวงเปิดจุดทั่วร่างได้ (แหะ แหะ ขอใช้สำนวนกำลังภายในหน่อยเถอะ) มันอยู่ที่ว่า เราจะใช้ภาษาเพื่อการใด ถ้าจะใช้เพื่อพูดอย่างเดียว โดยไม่ต้องเขียน ก็เอาเลย ลุยแบบครูเคทว่า แต่ถ้าในอนาคต คิดจะต่อยอดขยับขยายการงาน ก็สมควรที่จะเขียนให้คนอ่านอ่านรู้เรื่อง และให้เครดิตคนเขียนว่า พอมีความรู้บ้าง ไม่ใช่พออ่านก็คิดดูถูกกันเสียแล้ว แต่ก็อีกล่ะ สมองเป็นส่วนแรกที่คิดประโยคก่อนที่จะส่งต่อมาทางปากให้พูดออกมา หรือทางมือให้เขียนออกมา ถ้าดาต้าที่บรรจุในสมองนั้น มันผิดมาแต่ต้น การที่จะตามไล่หาข้อมูลที่ผิดเพื่อทำให้ถูกนั้น มันยากกว่าที่จะบรรจุข้อมูลที่ถูกต้องลงไปแต่แรกเลย จริงหรือไม่ จะลบทิ้งทั้งหมด แล้วโหลดข้อมูลใหม่ ก็ทำไม่ได้ เพราะสมองไม่ใช่คอมพิวเตอร์ - แต่ซับซ้อนเก่งกว่าคอมพิวเตอร์มาก คิดดูก็แล้วกันว่า สมองควมคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ควบคุมคอมพิวเตอร์ คนอื่นเป็นยังไง ป้าไม่ทราบ แต่ส่วนตั๊วส่วนตัวแล้ว ถ้าสมัยที่เรียนนั้น หากไม่ได้แกรมม่าร์พื้นฐานไปก่อน และรู้เรื่องพอประมาณ ตัวเองคงเรียนวรรณคดีท้องถิ่นไม่รอดแน่ เพราะมันมีแต่เขียนกับเขียน เขียนบรรยายเสียด้วย เขาไม่ยอมให้สอบพูดง่ะ อ้อ อีกเรื่องก็คือ มีโรงเรียนครูดังในเมืองสารขันธ์เน้นสอนพูดให้เด็ก สอนให้เด็กโต้ตอบภาษาสารขันธ์ว่า ครู: How are you today? เด็ก: I'm OK. ง่า ... มันก็ไม่ผิดล่ะ แต่มันก็ไม่ใช่นะ คือมัน ง่า.. ง่ะ (แบะ แบะ แบะ) จากคุณ : o;] - [ 21 พ.ย. 48 17:58:30 A:221.128.109.178 X: TicketID:012689 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เพิ่งเห็นของคุณคนอุดร (หาชื่อพยางค์เดียวได้ป่าว ขี้เกียจบรรจงคีย์น่ะ) เห็นด้วยกับ 1 2 3 ด้วยเหตุผล ที่กรุณาไปอ่านใน #17 จากคุณ : o;] - [ 21 พ.ย. 48 18:03:12 A:221.128.109.178 X: TicketID:012689 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ข้าวขาหมูเสร็จไปแล้วสองจาน... กลับมาต่อก็แล้วกันนะครับ เขียนค้างไว้ ...ทีนี้ถ้าอยากจะไปเล่นดนตรีแจมกับคนอื่นได้ (หรือได้บ้าง) ตอนที่ฝึกไล่สเกลนั่นก็น่าจะต้องคิดตามซักหน่อย ว่าชาวบ้านชาวเมือง นักดนตรีคนอื่นๆที่ว่าเก่งๆนั้น เค้าเอาที่เรากำลังฝึกนั่นมาใช้กันบ้างไหม แรกๆก็คงยังฟังไม่ออก ก็ต้องพยายามต่อไป นั่นก็คือ ปัญหามันอยู่ที่ตอนฝึก ว่าจะเอาสิ่งที่ได้ไปเห็นไปสังเกตไปเรียนรู้มานั้นมาปรับปรุงตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเกี่ยวกับการฝึกพูดภาษาอังกฤษก็คือ ไอ้ที่เราพูดๆไปนั่น เค้าฟังเราออกไหม ถ้าเค้าฟังไม่ออกเคยถามเค้ามั้ยว่าทำไมถึงฟังเราไม่ออก เราออกเสียงไม่ถูกต้องหรือเปล่า หรือเน้นไม่ตรงพยางค์ หรือพูดเสียงค่อยไป หรือพูดช้าหรือเร็วไป หรือคนฟังมันเฮงซวยเอง ฯลฯ ข้างบนนั่นพูดถึงเรื่องการฝึกพูดภาษาต่างด้าวอย่างเดียวนะครับ เรื่องหลักภาษาหรือไวยากรณ์ ถ้าเทียบกันผมก็คงเทียบกับเรื่องของสเกล เรื่องของโหมด และ ฯลฯ ซึ่งอย่างที่บอกไว้แต่แรกว่าจะต้องมีเรื่องนี้ในหนังสือเรื่องดนตรีเกือบทุกเล่ม ถามว่า สมมุติว่าเราอยากเล่นกีตาร์ให้เป็นวันนี้พรุ่งนี้นี่ เราข้ามพวกทฤษฎีพวกนี้ไปก่อนได้ไหม เอาให้ร้องเพลงตีคอร์ดเป็นได้ซักเพลงนึงก่อน เรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน มันก็ได้อะนะผมว่า ไปจนถึงจุดนึงที่เราจะพบว่า บ๊ะ เล่นไปเล่นมาทำไมมันมีอยู่แค่สี่คอร์ดนี่เอง เอาไปเล่นเพลงของ Dream Theatre ก็ไม่เห็นได้ ก็แปลว่า ถึงเวลาต้องเรียนรู้เพิ่มเติมแล้ว มันถึงทางตันอย่างที่ป้านวลว่าล่ะครับ จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 21 พ.ย. 48 18:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 20 การถึงทางตันนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอกครับ ผมเองกลับเห็นว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง คนที่รู้ว่าตัวเองถึงทางตันนั่นก็นับได้ว่าได้ประเมินผลตัวเองแล้ว เห็นข้อดีข้อเสีย รู้ว่าตัวเองยังขาดตกบกพร่องตรงไหนบ้าง และที่สำคัญคือ ได้รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร (จะได้ไปเลือกปรับปรุงตรงนั้นก่อน) แต่ยังไงก็ตาม คนที่จะพาตัวเองไปจนถึงทางตันนี่ มันก็ต้องออกไปตะลุยปะทะสังสรรค์กับผู้คนอื่นๆบ้างใช่ไหมครับ จะชกลมอยู่กับบ้านอย่างเดียวนี่ไม่ได้เรื่องแน่ นักดนตรีก็ต้องหัดฟังงานของคนอื่นบ้าง ไปเล่นแจมกับคนอื่นๆบ้าง จะหัดพูดหัดเขียนหัดใช้ภาษาอังกฤษ ก็ต้องพาตัวเองไปในที่ที่มันจะได้ใช้ภาษาอังกฤษบ้าง (เช่นอาจไปสมัครเป็นพนักงานประกาศบนรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้พูดภาษาอังกฤษทุกๆหนึ่งกิโลเมตร next station More Shit อะไรงั้น) ไม่งั้นมันก็ไม่รู้ว่าตัวเองแน่แค่ไหน และไม่แน่แค่ไหน จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 21 พ.ย. 48 19:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เห็น How are you today? ของป้านวลข้างบนแล้วก็อดขำไม่ได้ครับ สมัยผมเรียนประถม เค้ามีแพทเทิร์นอย่างงี้ครับ ครู...เดินเข้าห้องเรียน นักเรียน...ยืนทำความเคารพ 'Good morning, teacher' กูด ม้อ นิ่ง ที้ เฉ่อ ครู...'Good morning. How are you today?' นักเรียน...'Fine, thank you. And you?' ฟาย แต้ง กิ้ว แอ่น ยู้ (สตริกต์ลี่สปี๊กกิ้ง ออกเสียงกันอย่างนี้ทั้งห้องเลย) ครู...ฟาย แต้ง กิ้ว ซิต ดาว ที่มันฝังอยู่ในหัวผมก็ตรงอันหลังสุดนี่ล่ะครับ ได้ยินใครพูด จนถึงตอนนี้ก็ยังแอบเติม ซิต ดาว ให้ในใจ น่าตลกตัวเองเหมือนกัน จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 21 พ.ย. 48 19:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณป้านวลครับ ถ้าเอาชื่อพยางค์เดียวว่า "พราหมณ์" พอได้ไหมครับ? //// :-) \\\ จากคุณ : พราหมณ์ - [ 21 พ.ย. 48 21:04:16 A:193.195.73.66 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คุณต้นค่ะ กว่าจะเข้ามาอ่านเจอ พี่ป้าน้าอาลุงทั้งหลายก็ตอบกันไปแทบหมดแล้ว เรื่องจะไปแจมถึงโน่นคงไม่ไหวหรอกค่า ไม่มีทั้งความอยากและความสามารถ เรื่องภาษาทำอย่างไรถึงจะ"เก่ง"นี่ ตอบง่ายก็ง่าย ตอบยากก็ยาก แต่คืนนี้ขอไม่ตอบได้ไหม เพราะนึกให้มันง่ายๆ ไม่ออก :-)) จากคุณ : lilymay - [ 21 พ.ย. 48 22:03:28 ]

ความคิดเห็นที่ 24 จะชกใต้เข็มขัดมากไปไหมครับ ถ้าผมจะบอกว่าสิ่งที่พูดกันอยู่ในเว็บที่คุณต้นยกมา  ก็ไม่ค่อยต่างจากโฆษณาเครื่องสำอางหน้าขาวสวยใสในพริบตา ที่มีนางแบบหน้าขาวปิ๊งเป็นพรีเซนเตอร์ บอกว่าแค่ใช้เพียงเดือนเดียวก็ขาวแบบนี้แล้วค่ะ คนดูโฆษณาหน้าดำๆ ก็ซื้อมาทากันเข้าไป หารู้ไม่ว่าพรีเซนเตอร์คนสวยเธอขาวเป็นหยวกกล้วยมาตั้งแต่เกิด ทำนองเดียวกัน คนข้างๆ ตัวสายไม่ลับของผมศิษย์ร่วมสถาบันบอกว่า ครูต้นตำราพูดตามหนังทีวีเพียง 6 เดือนก็พูดได้นั้น  เธอเป็นเด็กเรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ภาษาอังกฤษก็แตกฉาน เพียงพูดติดสำเนียงไทยแบบเด็กโตในเมืองไทย ซึ่งฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง พอใส่จริตลงไปในประโยคที่เธอพูดถูกอยู่ไวยากรณ์อยู่แล้ว หรือตัดประโยคให้ทันสมัยเป็นภาษาพูดแบบที่ฝรั่งมันพูดกัน ฝรั่งก็เข้าใจ ถ้าเป็นคนจบวัดลิงขบ 6 เดือนจะเลิก ยู อิส ไอ อาร์ หรือเปล่ายังไม่รู้เลย จากคุณ : โทเมอิ - [ 21 พ.ย. 48 23:08:43 ]

ความคิดเห็นที่ 25 วรรคแรกของคุณโทนั้น ทำให้เห็นภาพเลยล่ะ แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่ง มันเป็นการให้กำลังใจคนที่ท้อแท้หรือเปล่า ให้เห็นว่าใน impossibility ก็มี probability อยู่ด้วยสักกระจี๊ดก็ยังดี อ่านที่คุณโทเขียนมา "เธอเป็นเด็กเรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ภาษาอังกฤษก็แตกฉาน เพียงพูดติดสำเนียงไทยแบบเด็กโตในเมืองไทย ซึ่งฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง" แล้วทำให้นึกสงสัย เลยเสิร์ชประวัติเธอดู ถึงได้ถึงบางอ้อ อืม... เข้าใจแล้วล่ะ นี่ นี่ นี่ คุณคนฯ เหลือพยางค์เดียว แต่ให้สะกดง่ายๆ ได้ป่ะ อย่าง พรต ยังงี้อ่ะนะ เห็นใจวัยรุ่น(เดอะ)บ้างเด้อ จากคุณ : o;] - [ 22 พ.ย. 48 00:30:50 A:221.128.107.234 X: TicketID:012689 ]

ความคิดเห็นที่ 26 "...ภาษาอังกฤษก็แตกฉาน เพียงพูดติดสำเนียงไทยแบบเด็กโตในเมืองไทย ซึ่งฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง.." ฮ่าๆๆๆ เหมือนผมเปี๊ยบเลย เพราะผมอ่านจนแตกฉานมาก่อน การเขียนก็ซึมซับมาจากการอ่านน่ะแหละ แต่เรื่องฟังและพูดนี่จนใจที่ไม่อาจแตกฉานได้ในตอนเล็กๆเพราะว่าฝรั่งมันก็ไม่ค่อยหลงไปแถวหนองหมาว้อของผมซะด้วย ก็ได้แต่ฟังสำเนียงไอๆยูๆของพวกเดียวกันที่ฟังกันรู้เรื่องดีมากแต่พอเจอฝรั่งตัวจริง เขาพูดมาเราก็ต้องเดาๆเอา เราพูดไปยิ่งหนักเพราะเขาฟังไม่ได้ศัพท์เหมือนกัน ภาษาพูดของผมมาดีขึ้นเอาตอนอยู่ ม.ปลายเพราะมีหลักสูตร เอยูเอ ไปเปิด เอาฝรั่งจริงมาสอน แล้วก็มาแน่นขึ้นตอนทำงานแล้ว ได้ทุนไปนอก ต้นสังกัดเขาจับเข้าโรงเรียนภาษาทำการติวเข้มเพื่อไม่ให้ไปห้าแต้มเสียชื่อ นั่งฟังซาวด์แล็บครึ่งวันแล้วก็มาพูดจริงในห้องกับฝรั่งอีกครึ่งวัน ทำอยู่สามเดือน ก็เป็นการเติมสำเนียงและจังหวะจะโคนให้กับคำพูดที่เราเรียบเรียงเองได้ดีและถูกต้องอยู่แล้ว แค่นี้ก็ฉลุย แต่ก่อนฉลุยนั้นไก่บินว่อนออกจากเล้าเป็นฝูง ก็ผมไม่เคยฟังฝรั่งพูดจริงๆนี่ครับ เห็นใจเด็กบ้านนอกเหอะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 22 พ.ย. 48 00:44:07 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เอาเรื่องสำเนียงกันต่อหน่อย ผมเรียน ป. ตรี ชั่วโมงแรก วิชาพูด-ฟังภาษาอังกฤษ ดร. ผม จบจาก ม. ลอนดอนมาใหม่ๆหมาด เข้าสอนพวกผมเป็นชั้นแรก ให้ฟังเทบแล้ตอบคำถามในใบงานให้ห้องแล็บ ผมยังจำได้เป๊ะ เพราะผมเดาเอา ประโยคมีแค่นี้ครับ I haven't got a dog but I have a cat. And my sister has a goldfish. (มันออกเสียงว่า "อ๊าย แฮฟฝึ่นท์ ก้าท ท่ะ ด้าก บั่ท ถ่าย แฮ่ฟ ฟ่ะ แข่ท แอ่นด์ หม่าย สิ่ซเส่อร์ ฮั่ซ ซ่ะ โก้ลด์ฝิ่ช") แบบนี้แหละครับ พูดยานๆด้วย อันฟังกันออกเกือบทุกคน (แต่มีคนฟังไม่ออกอยู่ ประมาณ 2-3 คน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ) ที่นี้คำถามว่า 1. What has the speaker got? 2. What hasn't the speker got? 3. what has his sister got? เชื่อมั๊ยครับ นักเรียนภาษาอังกฤษปริญญาตรีตอบไม่ได้เกือบ 90 % เพราะว่าฟังคำถามไม่ออก และคนที่ตอบได้ก็อาศัยการเดาช่วยด้วย แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ฟังเพลงบ่อย ดูหนังบ่อย และพอได้คุยกับฝรั่งอยู่บ้าง เพราะคนที่ว่านี่ไม่รุ้เป็นอะไร เขาก็ไม่ได้แสวงหาโอกาสพูกอังกฤษมากนักหรอกครับ แต่โหวงเฮ้งดี ฝรั่งชอบเข้ามาถามบ่อยๆเวลาเดินไปตามถนนหนทาง สงสัยหน่วยก้านดีว่างั้น ผมรู้จักคนๆนี้ อิอิ คงเดาออกนะครับ (ขออนุญาตหน่อย) เอามาว่ากันทำไม่มันฟังไม่ออกและตอบคำถามไม่ได้ สำเนียงใบเทบที่ได้ยินมันว่าอย่างนี้ครับ 1. What has the speaker got? (ว้าท ฮั่ซ ด่ะ สปีคเขอะรฺ กาท) 2. What hasn't the speker got? (ว้าท ฮั่ซสึ่นท์ ด่ะ สปีคเขอะรฺ กาท) 3. what has his sister got? (ว้าท ฮั่ซ ซิส ซิสซ่ะรฺ กาท) เขียนไม่ถุกครับ แต่นึกภาพออกเสียงยานๆนะครับ จะใกล้เคียง ผมฟังเที่ยวแรก ยอมรับครับว่าฟังคำถามไม่ออกเหมือนกัน ที่นี้ฟังเสร็จ พวกเรานักเรียนก็ไปพัก คุยกัน ทาสาเหตุว่าทำไมฟังไม่รู้เรื่อง สรุปปัญหาได้ดังนี้ สำหรับพวกฟังไม่รู้เรื่อง 1. ทีฟังไม่รู้เรื่องเพราะไปฟังเอาแต่คำถามเท่านั้น 2. ไม่เคยได้ยินสำเนียงแบบนั้น สำหรับพวกฟังรู้เรื่อง 1. เคยได้ยินเจ้าของภาษาพูดสำเนียงแบบนั้น 2. เดาเอาจากบริบทของเรื่องข้างบน และจากไวยากรณ์ สำหรับผม อยู่ในกลุ่มที่ 2 ข้อ 2 ครับ ผมคิดแต่ว่า เรื่องเล่ากับคำถามมันต้องไปด้วยกัน ไม่มีใครให้ฟังเรื่องดาวเสาร์แล้วเอาคำถามดาวอังคารมาถามหรอก คิดแค่นั้นแหละ มันครับ ก็เลยไล่คำตอบ และแกะคำถามออกมาได้ สำหรับพวกที่อยู่ในข้อ 2 กลุ่มที่ 1 มีอยู่คนเดียว เคยไปอยู่ลอนดอนมา 555b3 จบครับ (ถ้าไม่จบก็เอาไว้ต่อ) แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 48 07:54:27 จากคุณ : ลุดวิก - [ 22 พ.ย. 48 02:05:37 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ้อ ลืมไป ที่ฟังไม่ออก เพราะฟังคำว่า "got" และ "dog" ไม่ออกครับ ก็มันออกเสียงว่า "กาท" นี่นา มีหลายคนที่ฟังเป็น "gaurd" และ ฟัง "dog" เป็น "dark" ไปโน่นเลย พวกเราไม่รู้ว่า "got" และ "dog" ออกเสียงอย่างนั้น เท่านั้นเอง ทั้งๆที่รู้ไวยากรณ์ว่า ทั้ง gaurd และ dark อยู่ในตำแหน่งนั้นในประโยคไม่ได้ อย่างผมนี่ก็เดาเอาจากไวยากรณ์และบริบทของเรื่อง เรื่องมันเลยวุ่น (เรื่องเดาเป็นกริยาช่วยที่ผมถนัดมาก มักใช้ได้ผลทุกที เมื่อไม่แนใจ แม่นยิ่งกว่าใช้ verb to do ไม่มีอะไรจะใช้แล้ว ก็ต้องใช้ "verb to เดา" สิครับ) อิอิ บาย ไปนอนล่ะ แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 48 07:52:25 จากคุณ : ลุดวิก - [ 22 พ.ย. 48 02:11:25 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณทุกท่านเลยครับ คุณพ่อโปรเจ็กต์ครับ ถูกต้องครับ ชัดเจนเลย คือตรงนี้มันมาจากนิสัยของผมด้วย ผมมีนิสัยหรือเเนวทางคล้าย ๆ คุณสุกี้เเห่งเบเกอรี่ music คือถ้าไม่ indy ไม่ใช่คุณสุกี้ อีกคนก็คุณศุ บุญเลี้ยง เเต่มิใช่หมายว่า ไม่เคยเอาใจของคนอ่าน(วัยหนุ่มสาว)มาใส่นะ เพียงเเต่ว่า ยังไม่พร้อมจะให้มากกว่านี้ คืออยากเขียนอะไรที่มีประโยชน์ เเละตัวเองมีความสุขด้วย โดยไม่ตามกระเเส ( ขอตามใจตัวเองก่อน) เเต่ เเต่ อย่างไรก็ตาม ขอเรียนเชิญทุกท่านมาเยี่ยมชมเวปของ tonmelb ได้ในวันที่ 5 ธ.ค. นี้ ( ถ้าตาม plan) ครับ เป็นเวปที่จะช่วยอธิบายการบ้านของเด็ก ป. 4 - ม. 6 (ไม่ตอบทุกข้อ เลือกตอบเเละตอบตามกำลัง สบาย ๆ ) ไม่ทำการบ้านให้ เเต่อยากอธิบายให้มัน clear กระจ่างใจเเก่เด็กไทยบ้าง เข้าได้หมด ( โดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัด) ๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒ คงจะยังไม่เข้าไปยุ่ง เพราะช่วงนี้ก็ยุ่ง ขอบคุณครับ ถึงมีเวปเเล้ว ห้องนี้ก็ยังต้องเข้า เพราะเสพติดเเล้ว จากคุณ : tonmelb - [ 22 พ.ย. 48 23:47:45 A:203.209.115.3 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ......ขอเรียนเชิญทุกท่านมาเยี่ยมชมเวปของ tonmelb ได้ในวันที่ 5 ธ.ค. นี้..... จะรอคอย...และเป็นกำลังใจให้ครับ และถ้าช่วยได้จะไม่รีรอ จะแวะไปบ่อยๆ ....ช่วยบอกลิงค์ด้วยนะครับ จากคุณ : ดอน - [ 23 พ.ย. 48 21:50:32 A:193.195.73.66 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 31 จะตามอ่านค่ะ cheers! จากคุณ : bbco - [ 30 พ.ย. 48 11:49:16 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณครับ คงจะเสร็จทัน ( webmaster บอกครับ) webmaster ก้เป็นเพื่อนกัน สอนคอม ผมเองไม่เป็นคอม เเต่มีความคิดบรรเจิดมาก เสนอเเต่ละครั้ง เพื่อนผมมึน ช่วงเเรก web คงดูเเข็งไปบ้าง เเต่(จะต้อง)ดีขึ้นเรื่อย ๆ เเน่นอนครับ ช่วยกันติดตามด้วยนะครับ ผมตั้งใจไว้ถ้าเกิน 6 เดือน web นี้น่าจะรอด เพราะลงทุนพอสมควร พอเห็นค่าใช้จ่าย เสียดายเหมือนกันนะ เเต่ เเต่ รายได้จากสอนพิเศษ(ก็พอสมควร) ก็ช่วยได้ ไม่รู้จะเสียดายไปทำไม เงินทองของนอกกาย เเละมันก็มาเรื่อย ๆ -------------- เเต่ tonmelb ขออย่างเดียว เรื่องการเห็นคุณค่ากัน เรื่องใจเรื่องใหญ่ เรื่องเงินเรื่องเล็กครับ สำหรับ tonmelb---------------- ( เเละมีนิสัยที่ว่า ถ้าจะทำอะไร ต้องทำให้ดีที่สุด) เเละถ้ามีทุนเพิ่ม จะทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เเต่อยากให้เข้าใจนิดนึงว่า ที่ทำไม่ใช่ต้องการที่จะโฆษณาหาลูกค้าอะไร เพราะ audience กว้างมาก เเต่ถ้ามีก็ถือว่าเป็นบุญ เเต่ที่ทำ เพราะความมัน เพราะฝันอยากทำ(ฝันมา 3 -4 ปีเเล้ว) อยากให้น้อง ๆ โดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัด ( กรุงเทพฯ อย่าน้อยใจล่ะ tonmelb หวังดีทุกคน) ได้มีเวปที่----อธิบายการบ้านเเละภาษาอังกฤษ ชัด ๆ เเบบกระจ่างใจเลย---- จากคุณ : tonmelb - [ 1 ธ.ค. 48 00:11:51 A:203.209.117.29 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ทำไมไม่เริ่มต้นด้วยการใช้เวปฟรีล่ะ ... โยนหินถามทางก่อน ถ้ามีเด็กเริ่มเข้ามาอ่านมากขึ้น ถึงจะเริ่มเช่าพื้นที่ จากคุณ : o;] - [ 2 ธ.ค. 48 17:27:29 A:221.128.101.90 X: TicketID:012689 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เดี๋ยวจะไม่ได้ดังใจนะครับ มี webmaster คงช่วยได้หมด เพราะผมไม่เป็นเรื่อง comเลย จากคุณ : tonmelb - [ 2 ธ.ค. 48 23:56:27 A:203.209.122.221 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตรง Sign in บัตรผ่าน เห็นทาง pantip เขียนว่า ----------------บัตรผ่านของคุณถูกระงับชั่วคราว (เเต่ยัง post ได้อยู่ งง) ถ้า pantip เห็นว่านี่คือ---------------การลักไก่การโฆษณา-------- ขอให้บอก เเละตัดผมออกได้เลยนะ คนอย่าง tonmelb ไม่มั่วนิ่มอยู่เเล้วครับ จากคุณ : tonmelb - [ 3 ธ.ค. 48 00:03:20 A:203.209.122.221 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผิดพลาดทางเทคนิคมั้ง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 3 ธ.ค. 48 00:26:33 ]

ความคิดเห็นที่ 37 sign in เข้ามาไม่มีข้อความนี้เเล้วครับ -----------------บัตรผ่านของคุณถูกระงับชั่วคราว ------------- นี้เเล้วครับ เเต่นี่คือจุดยืนของผม ถ้าคุณแอ๊ด เเละเพื่อน ๆ พี่ ๆน้องเตือน ผมจะเชื่อเเละขอบคุณ เพราะเขาเตือนเรา เเสดงว่าเราเป็นคนในครอบครัวของเขา member ไม่ใช่ number เเต่อย่าห้ามมาเเบบนี้ (ถ้าผิดพลาดทางเทคนิค ไม่เป็นไรครับ เเต่อ่านเเล้วโกรธ) ผมเชื่อพี่ ๆ น้อง ๆ ที่นี่ ไม่ใช่ webmaster นี่คือ tonmelb ใจนักเลง มีอะไร ขอให้พูดกันก่อน จากคุณ : tonmelb - [ 3 ธ.ค. 48 07:50:25 A:203.209.121.179 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คุณต้น อย่าคิดมาก เข้าใจว่า ระบบคงรวนมากกว่า เพราะถ้า บัตรผ่านถูกระงับจริงๆ คุณคงโพสต์อะไรไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ ใจเย็นๆ จากคุณ : o;] - [ 3 ธ.ค. 48 18:50:44 A:221.128.89.179 X: TicketID:012689 ]