version สมบูรณ์ พร้อมเพลงประกอบ ดูได้ที่

http://bignose.exteen.com/20051205/entry


เป้าหมายของคนที่ต้องการเก่งภาษาอังกฤษก็คือ การที่เราสามารถสื่อสารหรือ สนทนากับชาวต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเผชิญหน้ากับ “ฝรั่ง” บุคคลที่ทำให้เราอึดอัดเสมอทั้งๆที่ยังไม่ได้รู้จักกันมาก่อน!!





ผมขอแบ่งการรับมือกับฝรั่งโดยใช้ระดับความเครียดและสถานการณ์ในการเผชิญหน้านะครับ






“ฝรั่ง” ในฐานะนักท่องเที่ยวหรือแขกส่วนตัว
การรับมือในสถานการณ์นี้ถือว่า “หมู” ที่สุดครับ คือ ง่ายที่สุดในบรรดาสถานการณ์ที่กำลังจะพูดถึง แต่เราก็ยังคงความเป็น “หมู” อยู่เช่นเดิม เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ เพราะ “ใครๆก็เป็นหมูได้ - ตราบใดที่เราเป็นคนไทย เกิดในไทย โตในไทย” ตัวผมเองก็ยังคงความเป็น “หมู” เป็นบางเวลา แล้วแต่สภาพอากาศและสมองครับ


โดยบทบาทของแต่ละฝ่ายแล้ว ฝรั่งจะเป็นผู้ที่เกรงใจเรามากกว่า ในฐานะของผู้ขอความช่วยเหลือหรือขอคำแนะนำปรึกษา อีกอย่างที่สำคัญก็คือ จุดประสงค์ในการสนทนาไม่สำคัญมากนัก เพราะเกี่ยวกับเรื่อง ท่องเที่ยว หรือ พักผ่อนส่วนตัว “ความเขี้ยว” (เขี้ยวสำหรับเคี้ยวหมู)ของฝรั่งจึงไม่มี การสนทนาจึงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เห็นใจ “หมู” เป็นพิเศษ เพราะ...จะเอาอะไรกับ “หมู” เมื่อต้องพึ่ง “หมู”


การเตรียมรับมือในสถานการณ์นี้จึงไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลครับ และเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับคนไทยอย่างเราในการฝึกฝนสนทนาภาษาอังกฤษแบบไม่มีความกดดัน เตรียม “ปาก” ไปพูดอย่างเดียวก็เพียงพอ บวกกับความรู้พื้นฐานที่เรามีอยู่แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร





“ฝรั่ง” ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ
สำหรับสถานการณ์แบบนี้ ระดับความกดดันก็จะมากกว่าข้อ 1 แต่ไม่มากนัก เพราะผิดพลาดประการใดก็ยังคุยกันได้ เพราะ ฝรั่งกับเราเป็นพวกเดียวกัน ไม่ว่า จะเป็นในบทบาทของพันธมิตรทางการค้า ที่ปรึกษา คนในแวดวงหรือสังคมเดียวกัน ฯลฯ


แต่อย่างไรก็ตาม การสื่อสารที่ติดขัด ไม่มีประสิทธิภาพ หรือมีปัญหาบ่อยครั้งก็อาจจะทำให้ ฝรั่งอาจจะไม่สบอารมณ์ได้ เพราะวัตถุประสงค์ในการสื่อสารเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์ แม้ว่าจะเป็นผลประโยชน์ร่วมกันก็ตาม


เราควรจะต้องมีพื้นฐานในการใช้ไวยากรณ์ที่ดีพอสมควร เพื่อที่จะให้สื่อสารได้ถูกต้อง อย่างน้อยก็ควรจะเขียนได้ดีพอสมควร เพราะส่วนใหญ่เราจะต้องติดต่อกันผ่านอีเมลเป็นหลักในกรณีที่ไม่ได้อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน แต่ถ้าทำงานด้วยกัน ให้คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะคุณไม่ต้องไปเสียเงินเรียนภาษา เพราะมีคนมาสอนภาษาให้ถึงที่......แบบไม่ได้ตั้งใจ





“ฝรั่ง” ในฐานะฝ่ายตรงข้าม
สถานการณ์แบบนี้เราต้องแปลงร่างจาก “หมู” เป็น “อินทรี” ครับ สถานการณ์คือ การเจอฝรั่งในบทของลูกค้าที่ต้องมาเจรจาต่อรอง หิวโซแบบจะตรงเข้ามากินหมูท่าเดียว หรือ กำลังใช้ความได้เปรียบในทางภาษามาต้อนหมู ฯลฯ


เราต้องอย่าคิดว่า เราเป็นหมูครับ ต้องคิดว่าเราเป็น “พญาอินทรี”


ฝรั่งจะเข้ามาด้านซ้าย ขวา หน้า หลัง เราไม่กลัวอยู่แล้ว....ใช่ไหมครับ??  ...ผมรู้...

.

.

.

.

(Mung สรุปเอาเองนี่หว่า Koo ไปก่อนล่ะ!! ตัวใครตัวมัน - หลายคนแอบตอบ)





เราไม่กลัวอยู่แล้ว เพราะเราคือ “พญาอินทรี”  





.

.

.

.

.


เรายังบินหนีฝรั่งได้ โดยใช้พื้นที่โล่งด้านบน !!!

“มีปีก” ก็ดีอย่างนี้แหละ จอร์จ!!





.

.

.


พูดเล่นนะครับ เป็นพญาอินทรี ไม่ใช่ให้บินหนี แต่ ให้รู้สึกว่าควบคุมสถานการณ์ได้

เรามีวิธีรับมือดังนี้ครับ

1.      เตรียมเนื้อหาที่เจรจาให้ดี ไม่ใช่แค่รู้ว่า เนื้อหาเป็นอย่างไร แต่ต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้ดี คิดเป็นไทยนี่แหละครับ เอาหลักการไว้ก่อน ส่วนการสื่อสารค่อยมาหาทางออกทีหลัง เพราะอย่างน้อยถ้าคุยกับแบบยุ่งอีรุงตุงนังขนาดไหน เนื้อหาหลักๆที่คุยกันก็ไม่หนีไปไหน ถ้าฝรั่งยังไม่รู้ประเด็นหลักๆที่เราต้องการสื่อ ก็เลิกเจรจาดีกว่าครับ แสดงว่า เจรจาผิดคนแล้วหละ มันไม่ใช่เรื่องภาษาแล้ว แต่เป็นเรื่อง “กึ๋น”


การเน้นการสื่อสารในเรื่องหลักๆที่สำคัญ ก็เพื่ออย่างน้อยเราก็รอดจากการเป็นผู้เสียเปรียบ แต่ถ้าภาษาเราดีเราสามารถเป็นฝ่ายรุกได้ครับ คือ การเปลี่ยนฝรั่งให้เป็นหมูได้




2.      อย่ากลัวหรือตื่นเต้นในการเจรจา ให้ลดความเครียดโดยการทักทายง่ายๆอย่าง How are you? หรือ nice to meet you หรืออาจจะชมว่า office สวยมาก หรือชวนคุยเรื่องทั่วไปก่อนเจรจา ซัก 3-5 นาที หรือว่า ปัญหาคือ การชวนคุยเรื่องทั่วไปอีก?? --"

ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องพวกนี้เราเตรียมการก่อนได้อยู่แล้ว โดยใช้สถานการณ์ในชีวิตประจำวันเป็นตัวเดินเรื่อง อย่างเช่น ข่าวดังๆในขณะนั้น ความเกี่ยวข้องของข่าวกับธุรกิจของเขา ดินฟ้าอากาศ การดำเนินการหรือสภาพธุรกิจของเขา เช่น ธุรกิจนี้น่าจะไปได้ดีนะเพราะอะไรก็โม้ไป ..ชมอีกหน่อยว่า งานท้าทายมากเพราะเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะทำอย่างนั้น ใครๆก็ชอบคำชม แค่นี้ก็นั่งฟังฝรั่งโม้ไปอีก 10 นาที ถึงตอนนั้นก็หายเครียดแล้วล่ะ แต่ถ้ายังไม่หายเครียดอีก ก็ต้องไปปรึกษาแพทย์ด่วนเลย แสดงว่า คุณมีปัญหาอื่นที่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องภาษาแล้วล่ะ


ตรงนี้นอกจากจะช่วยทำให้เราคลายความเครียดลงแล้ว ฝรั่งก็จะผ่อนคลายลงด้วยเช่นกัน เพราะจริงๆแล้ว พวกฝรั่งไม่ได้เขี้ยวอย่างเราๆด้วยซ้ำ ไม่ต่อรองมาก ทำอะไรตรงไปตรงมา จบคือจบ คำไหนคำนั้น ไม่ตุกติก ฯลฯ ผมว่า ต่อรองกับฝรั่งง่ายกว่าคนไทยเยอะเลย ให้ตายเถอะ Tony Jaa


ที่สำคัญ คุณอาจจะแปลกใจว่า ภาษาของคุณดีกว่าที่คุณคิดไว้มากๆ มันเป็นเรื่องธรรมชาติของเรา(จิตใต้สำนึก) ที่มันจะแสดงความสามารถออกมาหากไม่มีแรงกดดันหรือความเครียด คุณจะเห็นความแตกต่างชัดเจน ระหว่างการเจรจาที่มีความกังวล กับการเจรจาที่เป็นไปอย่างธรรมชาติและสบายๆ




3.      คิดบวกครับ การคาดหมายที่สูงเกินไปกับผลลัพธ์ในการเจรจาจะทำให้เรากังวล เครียด และนำไปสู่การสื่อสารที่แข็งกร้าวโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่า มันสื่อสารออกมาได้ ไม่ใช่แค่ภาษาที่ใช้ แต่มันแสดงออกมาทางกริยาท่าทาง น้ำเสียง สายตา

ให้คิดในทางบวกว่า นอกจากเรายังมีงานให้ทำแล้ว ยังได้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วย เพราะการหาฝรั่งคุยยิ่งยากๆอยู่ด้วย


การคิดในแง่นี้จะทำให้ภาษาของเราดีขึ้นครับ ไม่ใช่ดีขึ้นเพราะเราต้องเตรียมการพูดมาให้ดีก่อนการเจรจานะครับ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า ธรรมชาติจะทำให้ภาษาอังกฤษคุณดีขึ้นเองโดยอัตโนมัติแบบผู้ใช้ไม่รู้ตัวเมื่อคุณสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นบวก คือ ไม่เครียด ไม่กังวล ไม่กลัว ไม่มีอะไรจะเสีย หรืออะไรก็ตามที่เป็นบวก


ลองทำดูครับ แล้วคุณจะรู้ว่า ภาษาอังกฤษของคุณดีกว่าที่คุณคิดหลายเท่าตัว!!! ไม่ใช่เพราะคุณมีสมองที่ล้ำเลิศ แต่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติของคนทั่วไปที่ทำได้อยู่แล้ว





สักวัน “หมูจะบินได้”





ปล. ขออภัยนะครับ ถ้าผู้อ่านท่านใดเป็นมุสลิม