แด่ทุกท่าน...ที่ต้องเจอบ้างไม่มากก็น้อย .... ทุกข์เพราะความรัก
ความรัก ที่จะเขียนต่อไปนี้ หมายถึงความรักระหว่างเพศ ได้แก่ชายรักหญิง หรือหญิงรักชาย เพื่อความเสน่หาที่เจือด้วยราคะเท่านั้น มิได้หมายถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อบุตรธิดา หรือความรักที่เกิดจากเมตตาอันบริสุทธิ์
เพราะความรักประเภทอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวด้วยราคะนั้น ไม่ก่อให้เกิดทุกข์รุนแรงนัก ด้วยมีความเห็นแก่ตัวน้อย หรือไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย
คนที่มีความรักแล้ว ยังไม่เคยผิดหวังหรืออกหัก ก็ย่อมจะไม่รู้ถึงพิษสงของความพลาดรัก อันเกิดจากความไม่สมหวัง หรือคนที่ยังไม่เคยมีความรักเลย บทความนี้อาจไร้ค่าไม่น่าอ่านก็ได้ หรือจะอ่านไว้เผื่อเป็นเกาะป้องกันตัวไว้ก่อน หรือเอาไว้ช่วยเหลือเตือนสอนคนที่พลาดรักก็น่าจะมีอานิสงส์ไม่น้อย
พระพุทธองค์ตรัสว่า มีความรักที่ไหน ย่อมมีความทุกข์ที่นั่น มีรักมากก็ทุกข์มาก มีรักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง ไม่มีรักเลยก็ไม่ทุกข์เลย
ใครที่ไม่เชื่อ ก็แล้วกันไป ส่วนใครที่เชื่อว่า มีรักที่ไหนก็ย่อมมีทุกข์ที่นั่น ถ้ามีความรักขึ้นก็ควรจะปันใจไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อเก็บไว้รอความผิดหวังคือ ความทุกข์ เมื่อเราถูกเข้าวันใด มันก็จะได้มีภูมิคุ้มกัน ไม่ถึงกับต้องลงเหวลงนรกทั้งเป็น และตาใจก็จะได้ไม่มืดบอดเสียทีเดียว
ทำไมรักแล้วจึงต้องมีทุกข์ด้วย....?
ก็เพราะตัวความรักมันเป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา อยู่ในกฎแห่งไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา มันไม่ได้อยู่นอกกฎของความยกเว้น แต่ .... เพราะเราไปฝืน อยากจะให้ความรักมันเป็นนิจจัง คือเที่ยงแท้ ถาวร และเป็นของเราคนเดียวตลอดไป
เพราะเราไปฝืนกฎของธรรมชาติ เราจึงเป็นทุกข์และทรมาน และเมื่อถูกความทุกข์เล่นงานอยู่นั้น มันก็หาได้ทำให้เราสมรักขึ้นมาได้ไม่ แต่เราจะต้องไม่ฝืนกฎแห่งธรรมชาติ คือยอมรับความจริง ทุกข์จึงจะหาย
ในตัวความรัก ที่เรากำลังรักอยู่ และได้ผิดหวังจนเป็นทุกข์นั้น ถ้าเราเจาะให้ลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ แล้ว มันก็หาเป็นตัวเรารักเองไม่ ที่แท้เจ้าตัวตัณหาราคะ อันมีมูลรากมาจากโมหะหรืออวิชชา ( ความไม่รู้ ) เป็นแม่คอยหนุนให้เราสนองมันเท่านั้นเอง !
ตัวเราจริง ๆ หาได้รับรู้อะไรด้วยไม่ ลองพิจารณาดูเถิดว่า ถ้าไม่มีตัณหาหรือราคะแล้ว เราจะรักใครลงไหม...?
มันจะไม่รัก และรักไม่ลงแน่ ๆๆๆๆๆๆ เพราะอะไร ๆๆๆๆๆ ......?
เพราะร่างกายที่ว่าสวยงามน่ารักนักหนานั้น เพียงแต่คนที่เราว่าสวยน่ารักเ หรือหล่อถูกใจเป็นที่สุดนั้น ไม่อาบน้ำ ไม่ขัดถูขี้ไคล ไม่แปรงฟัน ไม่ล้าง หรือเช็ดก้นให้ดี มันก็จะเหม็นจนเราไม่อยากเข้าใกล้ อย่าว่าแต่กอดจูบ หรือทำอย่างอื่นมากไปกว่านั้นเลย
นี่เพียงแต่สิ่งภายนอก ของคนที่ว่าสาวๆ หนุ่ม ๆ ยังถึงขนาดนั้น ยิ่งดูเข้าไปให้ถึงภายใน ชำแหละให้เห็นเครื่องในเหมือนที่มนุษย์ทำกับสัตว์ ก็จะเหม็นจนเป็นลม
แล้วคนที่ว่าสวยๆ หล่อๆ ที่สุดนั้น ถ้าเกิดตายลง แค่ 3 วัน ( อืดสุดๆ น้ำหนองเยิ้ม ตาถลน ลิ้นจุกปาก มือเท้า กาง หงิก เหมือน กบ คางคกที่นอนหงาย เน่าตาย ) มันจะน่ากอด น่าจูบ น่าเสพอยู่อีกหรือไม่.... ???
พระพุทธองค์ตรัสว่า กามทั้งปวงให้ความสุขน้อย แต่มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษของกามมากมายยิ่งนัก และ กามทั้งปวงเป็นของไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น และมีหนามเป็นอันมาก
พึงพิจารณาดูเถิด เมื่อเริ่มต้นรัก และกำหนัด ก็มีความเร่าร้อนอยู่ภายในแล้ว เมื่อได้ก็ติดใจ ต้องการเสพอีกไม่รู้เบื่อ เมื่อไม่ได้ก็เกิด โทสะ และพยาบาท
ขณะที่กำลังเสพกามอยู่ ก็แสนเหน็ดเหนื่อย เสพเสร็จแล้วก็อ่อนเพลียด้วยกันทั้งคู่ เพราะต้องเสียกำลังไปมาก คนที่หมกมุ่นต่อกามคุณมากๆ จึงมักอายุสั้น เป็นโรคภัยไข้เจ็บหนักๆ ได้ง่าย เป็นอัมพฤติ ได้ง่าย ( ผู้ชายมักเป็นกันมาก ถ้าหมกมุ่นมาก ในช่วงอายุ 50 ขึ้นไป ขาจะเริ่มสั่น และไม่ค่อยมีแรง ส่วนผู้หญิง ก็อาจเป็นมะเร็งที่ปากมดลูก และจิตมักหมอง เศร้า ) ที่สำคัญ ไตจะวาย ไตจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ
อนึ่ง...ความสุขที่เกิดจากกามนั้น ก็มิใช่ความสุขสงบ แต่มันเป็นสุขที่เร่าร้อน ต่างจากความสุขทางใจ อันเนื่องมาจากเราทำความดีงามต่างๆ การช่วยเหลือ การให้อภัย ใส่บาตร ทำบุญ ปล่อยปลา และการนั่งภาวนา ทำใจให้นิ่งแล้วแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล
ด้วยเหตุนี้ และเพราะโทษแห่งกามมากมายอย่างนี้พระพุทธองค์จึงไม่ประสงค์จะให้คนมีคู่หรือครองเรือน ถ้าสามารถช่วยได้ พระองค์ก็ช่วยเต็มที่ แม้คนที่กำลังจะเข้าหออยู่แล้ว ก็ยังทรงพรากมาบวชจนได้ ( พระนันทะ )
เมื่อคนเข้ามาบวชในวันแรก พระอุปัชฌาย์ ท่านจึงมักจะรีบให้ปลงกรรมฐานเสียก่อนว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นสิ่งปฏิกูล น่าเกลียด มีกลิ่นเหม็นโดยธรรมชาติ แต่...เพราะเราเอาของหอมไปทาไว้ภายนอก มันก็หอมอยู่เพียงชั่วคราวในกลิ่นน้ำหอม มิใช่ร่างกายหอม ( ผู้ชายหลายคนก็มักติดกับหญิงรูปงาม น่ารักใคร่ ที่ผสมกับเครื่องประทินความสวย ความหอมต่างๆ พอผู้ชาย หูตาสว่าง ก็มักเบื่อหน่ายเมื่อรู้ความจริง ( ทีหลัง ) ... คงได้รู้ได้เห็นทั้งกายและใจแล้วนั่นแหละ......
ในร่างกายจิรงๆ ไม่มีอะไรหอมเลย เหม็นตั้งแต่เด็กจนแก่ตาย คนเราจึงต้องทำความสะอาดกันวันละหลายๆ ครั้ง มิฉะนั้นคนเราก็จะเข้าใกล้กันไม่ได้ จะต้องอุดจมูกคุยกัน
ที่หนุ่มสาวรักกันนั้น เขามิได้มองในแง่ของความเป็นจริง เพราะเขาถูกราคะความกำหนัดย้อมใจ จนขาดความเป็นตัวของตัวเองไปสิ้น จึงสมัครที่จะเกลือกกลั้วของเหม็นเหมือนแมลงวันต้องการของเหม็น เห็นเป็นสิ่งน่าอภิรมย์ ฉะนั้น
แล้วทำอย่างไร จึงจะดับทุกข์เพราะรักได้...???
อย่าเอาถึงดับเลย เอาแค่บรรเทาให้เบาบางก็ดีมากแล้ว ด้วยการทำใจ และปฏิบัติดังนี้
1. เอาสติคอยห้ามใจ มิให้จิตคิดในเรื่องราคะ ไม่ดูรูป ไม่ฟังเสียง ที่จะเป็นสื่อให้เราคิดถึงคนรัก ไม่พูดไม่คุยถึงเรื่องนั้น ไม่คบกับคนที่จะชักพาไปในทางนั้น
2. ระลึกถึงอสุภารมณ์ เมื่อเราไม่อาจที่จะหักห้ามใจได้ เพราะความรักมันรุนแรง ก็ให้คิดในแง่ตรงข้ามกับความสวยงาม ทางพระเรียกว่าปลงอสุภะ คือพิจารณาในสิ่งที่ไม่สวยงาม ราคะมันจะเบาบาง น้อมระลึกถึงภาพที่น่ารังเกียจ ศพคนตายในที่ต่างๆ ที่เราเคยพบแล้ว ก็เอาไปเปรียบเทียบ กับคนที่เรากำลังรักอยู่ ว่าถ้าเขาตายแล้วมันก็จะมีสภาพไม่ต่างอะไรกัน ทั้งตัวเรา และตัวเขาด้วย
3. หากเพื่อนคุย ที่รู้ใจกัน หรือไปหาท่านผู้รู้ให้ท่านช่วยให้ข้อคิด หรือเตือนสติ ทำให้เกิดปัญญารู้เท่าทัน ความคิด ไม่หลงผิด ก็ย่อมจะดีกว่าการคุยกันโดยไร้สาระ
4. อ่านฟังธรรมะ หาหนังสือธรรมะมาอ่าน หรือฟังเทป
5. ไม่ต้องทำอะไรเลย มันทุกข์มันทรมาน ก็ให้รับรู้มัน ไม่ต้องไปละ ไม่ข่มให้ลืม ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งนั้น ดูมันเหมือนดูละคร ปล่อยให้มันผ่านไปวันๆ เดี๋ยวมันจะค่อยๆ จางคลายไปเองกับอารมณ์ผิดหวังนั้นๆ เพราะเจ้าตัวความทุกข์เองมันก็เป็นอนิจจังเหมือนกัน แม้เราจะพยายามไม่ให้มันลืม มันก็ต้องลืมไปตามกฎแห่งอนิจจัง เพียงแต่เราอย่าใจร้อน อย่าเร่งวันเวลาปล่อยให้มันผ่านไปเรื่อยๆ แล้วมันตะลืมของมันไปเองเพียงแต่ว่ามันอาจช้าหน่อยเท่านั้นเอง
6. โยนิโสมนสิการ ความรักเกิดจากราคะ ราคะเกิดจากความดำริผิด คือขาดโยนิโสมนสิการได้แก่การกระทำในใจไว้โดยไม่แยกคาย นั่นก็คือการหมกมุ่นแต่ในเรื่องเพศ ลุ่มหลงมัวเมาในกามคุณหรือกามราคะ จึงเกิดความกำหนัดขึ้น เมื่อเกิดความกำหนัด ก็ต้องการจะสนองมันด้วยการสัมผัส เมื่อได้สนองก็ติดใจ ใคร่จะสนองมันเรื่อยๆ ไปเมื่อไม่ได้สนองก็ทุกข์ใจ และทรมานใจ ร่านทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด ความรักจึงเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์นานา
ปุถุชนคนกิเลสหนาตัณหาจัด จึงยอมสยบในเรื่องนี้ เพราะความเห็นผิด และดำริผิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นเอกบุรุษของโลก ที่ทรงค้นพบความจริงของสรรพสิ่งในโลก และทรงอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น
ในฐานะชาวพุทธ เราจึงควรที่จะเอาธรรมะของพระองค์มาดับทุกข์ ไม่ควรที่จะเอาสิ่งอื่นมาดับ เพราะไม่มีทางที่จะดับได้อย่างแท้จริง
จากคุณ :
Toad
- [
9 ม.ค. 49 07:41:00
]