ก็ตามหัวข้อแหล่ะครับ
จริง ๆ แล้วสำหรับมนุษย์ คงไม่มีคำว่า "พอดี"
อยากมีโน่นมีนี่ พอมีแล้ว ก็ต้องการมากขึ้นไปอีก
ความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับมนุษย์เรา
วันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องความผอมของตัวเอง!!!!!
ผมสูง 185 ซม. หนัก 65 กก.
เมื่อคิดบวกลบ ตามหลักทฤษฏีของใครซักคนที่เค้าคิดขึ้นมาแล้ว จะเห็นได้ว่า
"ผมผอมเกินไป!!!!!"
ซึ่งผมมองตัวเองในกระจกแล้ว ก็เห็นด้วยเช่นนั้น ว่า
"ทำไมกรูผ๊อมมม ผอม"
คือว่า ผอมมาตั้งแต่เกิด เกิดมาไม่เคยรู้จักคำว่า "อวบ หรือ อ้วน" เลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีแต่ "ผอม กับ ผ๊อม ผอม"
มันผอมมาอย่างนี้ตั้งแต่เกิด มันก็ทำให้ผมชิน ในคำบอกของคนอื่น ๆ ว่า
"ทำไมผอมจังเลยล่ะ" จะเป็นคำที่ผมได้ยินอยู่เป็นประจำ แต่ทีนี้ เรื่องน่าคิดมันก็เกิด
เคยโดนคน ๆ เดียวกันทักบ่อย ๆ ไหมครับ ถ้าไม่เคย ผมจะเล่าให้ฟัง
ผมมีเพื่อนอยู่คนนึง ซึ่ง เจอกันไม่บ่อย นาน ๆ จะเจอกันซักที
พอมันเจอผมทีก็
"เฮ้ย ไมมรึงผอมจังวะ" ผมก็ตอบไป
"เออ กรูก็ผอมงี้มาตั้งนานแล้ว"
เอาล่ะ นี่ครั้งที่ 1 จากนั้น 3 เดือนถัดไปมันก็ทักอีก
"เฮ้ย มรึงผอมลงหรือเปล่า"
"จริงเหรอวะ กรูผอมลงจริง ๆ เหรอ" ผมตอบมันไป ทั้ง ๆ ที่น้ำหนักผมก็เท่าเดิม
นี่เป็นครั้งที่ 2 จากนั้นอีก 3 เดือน มันก็ทักอีก
"เฮ้ย ผอมลงอีกหรือเปล่าเนี่ย" ผมตอบกลับไป
"ถ้ากรูผอมลงๆ ตามมรึงพูดทุกเดือน ๆ จริงเนี่ยนะ ตอนนี้กรูคงเหลือแต่กระดูกแล้วแหล่ะ สาดดดดด"
พอมีคนทักมาก ๆ เข้า ผมก็เริ่มวิตกจริต
บังเอิญว่า ผมมีเพื่อน เป็นอาจารย์ สอนวิทยาศาสตร์การกีฬาอยู่คนหนึ่ง ผมก็ไปถามมัน
"เฮ้ย แมร่ง กรูอยากอ้วนว่ะ มรึงมีวิธีที่ทำให้กรูอ้วนไหมวะ มรึงเรียนมานี่"
"มีว่ะ"
คำตอบนี้ ทำให้ผมเริ่มมีความหวัง แต่ว่า ความหวังก็ดับวูบลง เมื่อผมฟังวิธีจากมัน
"เออ ทำไงวะ"
"แดรกข้าวให้เยอะ ๆ"
สาดดดดดดดดด มรึงวิทยาศาสตร์มากเลย ถ้ากรูแดรกข้าวแล้วอ้วน กรูคงไม่มาถามมรึงอยู่อย่างนี้หรอก
เมื่อพึ่งพามันไม่ได้ ผมก็ค้นหาวิธีการในการเสริมความอ้วนด้วยตัวเอง
ได้มา 4 วิธี คือ
1. กินยา
2. กินข้าวเยอะ ๆ ตามมันบอก (อย่างน้อย ก็เบสิกสุดแล้ว)
3. กินแล้วก็นอนเยอะ ๆ
4. ไปเล่นเวท
เริ่มจากวิธีที่ 1 คือ กินยา
มันจะเป็นยาที่ทำให้อยากกินอาหาร พอกินแล้วก็จะง่วง
ปรากฎว่า พอผมกินเข้าไป แทนที่มันจะอยากอาหาร แล้วก็ง่วง
มันเสือกง่วงอย่างเดียว!!! อยากจะนอน นอน นอน นอน
พอนอนมาก ๆ มันก็ไม่กิน เพราะเอาแต่นอน นอนจนเลยเวลากิน
ผมกินยานี่ได้ 1 อาทิตย์ แทนที่น้ำหนักจะขึ้น กลับลดลงไปตั้ง 2 กิโล
"สาดดดด กว่ากรูจะให้มันขึ้นมา 2 กิโลได้เนี่ย กรูต้องหมดเปลืองไปเท่าไหร่"
เอาล่ะ วิธีแรกไม่ได้ผล เพราะมันจะทำให้ผมชิบหาย มากกว่าจะอ้วนขึ้น
เพราะ ง่วงเหมือนกินยานอนหลับ ตามันจะปิดท่าเดียว!!!!!
ต่อมาวิธีที่ 2 คือ กินข้าวเยอะ ๆ แดรกเข้าไป มีอะไรก็แดรกเข้าไปให้หมด!!!
อย่าให้บอก ตั้งแต่เกิดมา ทุกคนบอกผมว่า
"ไอ้หมัน มรึงแดรกยังกะห่าลง" เนื้อติดมันนี่ของโปรด กินจนเส้นเลือดจะอุดตันตายอยู่แล้ว
ผู้จัดการพาผมไปเลี้ยงทีไร ก็จะด่าผมทุกที
"มรึงนี่นะ กินยังกะปล้น แต่ทำงานยังกะย่องเบา!!!"
เพราะฉะนั้นตัดไปได้เลยสำหรับข้อนี้ กินยังกะพายุ หมดค่ากินวันละเป็นร้อย
กินจนจุก บางที กินจนอ้วก!!!! เพราะเสียดายของ ฮืออออออออ
ต่อไปข้อ 3 คือ นอน กิน แล้วก็นอน
ก็อย่างที่บอกสำหรับผม กิน แล้วไม่นอน แต่พอนอน แล้วไม่กิน
มันเป็นยังไงล่ะ ????
ก็พอผมกินแล้ว ผมก็จะมีแรง ไม่ง่วง ก็จะทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย
ทำไปซักพัก หิวอีกล่ะ ก็กินอีก แล้วก็ทำอีก เป็นอย่างนี้ แต่พอถึงเวลาง่วงขึ้นมา
มันก็นอนอย่างเดียว นอนจนไม่อยากจะลุกขึ้นมากิน หิวก็ไม่ลุก
เพราะฉะนั้น ส่วนที่กินไปแล้ว เลยถูกเอามาใช้ในการนอนจนหมด ไม่เหลือไว้ให้อ้วนเลย
ซึ่งทุกวันนี้ กำลังหาวิธีที่จะไม่นอนอยู่ ตอนนี้นึกได้วิธีที่น่าจะได้ผล คือ
"หายาบ้ามากินซักเม็ดน่าจะดี"
คิดได้ไงวะ!!!!!!!!! แต่ว่านะจริงๆ ไม่ต้องกินก็ได้ เพราะทุกวันนี้ มรึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วแหล่ะ
เอาล่ะ ในเมื่อ 3 วิธีที่กล่าวมาใช้การไม่ค่อยได้ผล ก็เหลือวิธีเดียว คือ
วิธีที่ 4 ไปเล่นเวท (เวทเทรนนิ่ง)
ด้วยความที่เห็นหนุ่มๆ สมัยนี้ นิยมเข้าไปออกกำลังกายกันในฟิตเนส
ผมก็เอามั่ง ลงทุนไปสมัคร แต่ว่า ฐานะอย่างผม ก็สมัครได้แค่ ฟิตเนส ระดับล่าง ๆ
เพราะไม่มีปัญญาไปแบบที่มันอยู่ในห้าง ที่เสียค่าสมาชิกเดือนละเป็นพัน ๆ
ฟิตเนสที่ผมไปมา ไม่มีครูฝึก มีแต่คนที่เล่นมาก่อนเท่านั้น ที่จะคอยบอก
ว่าจะต้องทำยังไงบ้าง มีหลักอย่างไรในการยก
อยากใหญ่ ต้อง "ยกให้หนัก!!!!! น้อยครั้งไม่เป็นไร แต่ต้องหนัก!!!!"
อยากให้กระชับ ต้อง "ขมิบ!!" เอ้ย ไม่ใช่ ต้อง "ยกไม่ต้องหนักมาก แต่ให้มากครั้ง!!!!"
นี่เป็นหลักในการเล่นฟิตเนส................................
ผมอยากให้มันใหญ่ เอ่อ กล้ามเนื้อนะครับ อย่าคิดเป็นอื่น ผมก็ต้องยกให้มันหนักเข้าไว้
ตอนนั้น สถิติสูงสุดที่เคยยกได้ คือ ข้างละ 25 กิโล 2 ข้าง 50 บวกกับคานอีก 20 รวมทั้งสิ้น 70 กิโลถ้วน ๆ
ยกทีก็ร้องเป็นควายออกลูก
ยกครั้งที่ 1 "ฮึบบบบบบบ อืซซซซซซ" ยกไปใจก็คิด ต้องล่ำ ๆ ๆ
ยกครั้งที่ 2 "อ๊าซซซซซซซซซซซซซซ" ต้อง ล่ำ ๆ ๆ ๆ
ยกครั้งที่ 3 "โอ้วววววววววววววววววว" เพื่อความล่ำ ๆ ๆ ๆ
ยกครั้งที่ 4 "อ๊ากกกกกกกกกกก" สู้โว้ยยยยยยยย
ยกครั้งที่ 5 "ช่วยกรูด้วยยยย ไม่ไหวแล้ว T_T" (ยกไม่ขึ้น คานเหล็กทับหน้าอกตัวเอง T_T อย่างนี้ก็ล่ำไม่ไหว)
เดือดร้อนคู่ยกที่ต้องมาช่วยยกเอาคานเหล็กขึ้นอีก ทุลักทุเลเหลือเกิน T_T
ยกได้ 5 เดือน ได้ผลเหมือนกันครับ เริ่มล่ำขึ้นมาหน่อย น้ำหนักขึ้นมาเป็น 70 กก. ตอนนั้นขอบอก
"โคตรเท่ห์" สาว ๆ งี้มองกันเหลียว พร้อมถุยน้ำลายใส่ "ถุ๊ย!!!!" T_T
แต่ว่า ผมล่ำอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน นรกก็มาเยือนผม
โดยการ "ยกดัมเบล" ด้วยท่าเบสิกสุด ๆ !!!! คือ ยกขึ้น - ลง ๆ แค่นั้นเอง
ข้างละ 20 ที หนักข้างละ 20 กิโล
คือมีเพื่อนผมคนหนึ่ง ที่ต้นแขนมัน เท่ากับต้นขาผม (มันเล่นมานานแล้ว)
มันสามารถต่อยผมให้หัวหลุดได้ในหมัดเดียว!!!!!!
โห อย่าให้บอก กระเทยเห็นกระเทยกรี๊ดสลบ หน้าอกงี้หืมมม
แล้วก็ชอบใส่เสื้อที่มันรัดรูป โชว์สัดส่วน ก็ว่ามันไม่ได้ เพราะมันเล่นมาก็เพื่อการนี้
เห็นหมดแหล่ะ หัวนง หัวนมมัน เสื้องี้แทบจะขาดตอนมันเบ่งกล้ามโชว์
มันเห็นเรายก มันก็หวังดี ด้วยการมาบอกเคร็ดวิชาลับของมันให้กับผม
"เฮ้ย ๆ หมัน มรึงยกอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะขึ้น มันต้องอย่างนี้โว้ย เอามือตั้งขึ้น"
เพื่อน ๆ นึกลักษณะการยกดัมเบลไว้นะ ปกติที่เรา ๆ เห็นกันนั้น
เราจะยกในลักษณะ หงาย (มือ) กำปั้นที่จับดัมเบลไว้ใช่ไหมครับ
แล้วก็ยกดัมเบลนั่นเข้าหาตัว แล้วก็ปล่อยลง แล้วก็ยกขึ้น
แต่เคร็ดวิชาของเพื่อนผม มันไม่ใช่อย่างนั้น มันบอกให้ตั้งมือ
ตั้งมือของมันในที่นี้คือ จะเอาหัวแม่มือขึ้น นั่นก็คือ กำดัมเบล แล้วจับมันตั้งขึ้นนั่นเอง
(งงกันไหมเนี่ย อย่าว่าแต่คุณเลย ผมยังงง T_T)
เอาละครับ เมื่อได้เคร็ดวิชาลับมาจากมัน ผมก็เริ่มทันที
ครั้งที่ 1 "อึซซซซซซ" เฮ้ย ดี ๆ
ครั้งที่ 2 "อึซซซซซซซ" เจ๋งว่ะ
ครั้งที่ 3 "อึซซซซซซซซ" สุดยอด
ครั้งที่ 4 "อึซซซซซซซซซ" โห งี้ล่ำแน่ ๆ
ครั้งที่ 5 - 10 "อึซซซซซซซซซซซซซซซซซซ" ต้องล่ำ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
(มันก็เสียงเดียวกันทั้งหมดแหล่ะ เพียงแต่ว่ามันจะยาวขึ้นแค่นั้นเอง
เออ นั้นสิ!!! แล้วมรึงจะพูดทำด๋อยอะไรเนี่ย)
จนถึงครั้งที่ 11 ซึ่งเป็นครั้งที่จบชีวิต การเล่นเวทของผม
เมื่อยกครั้งที่ 11 แทนที่ผมจะ อึซซซซซซซซซซ กลับกลายเป็น "กรึ่บ!!!" แล้วก็ "โอ้ยยย!!!!" แทน
เสียง กรึ่บ!! แรกนั้นคือ กระดูกนิ้วหัวแม่มรึง เอ้ย แม่มือ ผม หลุด!!!
เสียง โอ้ย!! ก็คงไม่ต้องบอก ว่าผมจะแหกปากลั่นฟิตเนสขนาดไหน
ส่งโรงพยาบาลโดยด่วน เอ็กซเรย์ ดูแล้ว หมอบอกว่า ต้องผ่าตัด
เพราะเอ็นฉีกด้วย อะไรด้วยเค้าพูดมา ผมก็ไม่ได้ฟังแล้วแหล่ะ อารมณ์นั้น
หมอก็ถามว่า จะผ่าไหม หมอผ่าได้ หมอเคยผ่า
จะไม่ผ่าก็ได้ เอายาแก้อักเสบไปกิน มันก็จะลดอาการเจ็บ
แต่เดี๋ยวมันก็หลุดอีก!!!!!!!
ผมก็ถามว่า ผ่าแล้วจะหายไหม หมอก็บอกว่า หาย แต่!!!!!
ผมคิดในใจ "เสือกมีแต่อีกนะ"
คุณเคยเห็นนิ้วของ หม่ำ จ๊กม๊กไหม นิ้วก้อยน่ะ ที่มันคด ๆ
ผมตอบว่า "เคยครับ เคยเห็น"
หมอบอกมาว่า "นั่นแหล่ะ มันอาจจะเป็นอย่างนั้น" T_T
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมไปหาหมอ ทั้ง ๆ ที่หมอนัดมาให้ไปผ่า ผมก็ไม่ไป
จะบ้าเหรอ ผมไม่เสี่ยงหรอก ถ้านิ้วโป้งผมคดขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ
นิ้วโป้งคด จะโป้งใครก็ไม่ได้ จับมือสาว ๆ ก็คงจะทุเรศพิลึก!!!
ตกลง ผมก็ปล่อยให้มันหลุดอยู่จนถึงทุกวันนี้
วันดีคืนดี เอานิ้วไปกระแทกอะไรแรง ๆ มันก็หลุด T_T
หรือไม่ ผมเท้าพื้น ทำอะไรก็แล้วแต่ มันก็หลุด T_T
ผมไปต่อยใคร มันก็หลุด T_T
ผมยกอะไรหนัก ๆ มันก็หลุด T_T
หลุด ๆ ๆ ๆ ๆ หลุดจนเบื่อ หลุดจนชิน
ถามว่าพอมันหลุดแล้วเจ็บไหม โถ ถามมาได้ "เจ็บชิบหาย น้ำตาไหลเลยนะ"
เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด กทำให้รูปร่างผม ก็ยัง ผอม ผ๊อม ผอม มาจนถึงทุกวันนี้
จากที่เคยมีตอนเล่นเวท พอไม่ได้เล่น มันก็แฟ่บ
มันแฟ่บได้จริงๆ นะ ถ้าไม่เล่นอย่างต่อเนื่องเนี่ย แฟ่บหมด
ก็เล่าให้ฟังครับ ว่าตอนนี้ เริ่มมีมาอีกแล้ว ทักกันจังเลย ทักจนผมเริ่มวิตกจริตอีกแล้ว
หาที่ชั่งน้ำหนัก ชั่งมา มันก็หนักเท่าเดิม 65-67 กิโลเท่าเดิม
ไม่รู้ว่า มันจะทักอะไรกันนักหนาว่า ผอมนะ ผอม ผ๊อม ผอม
สมันน้อย เบอร์ 14
แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 49 01:23:19
จากคุณ :
สมันน้อย เบอร์ 14
- [
29 มี.ค. 49 00:55:37
]