CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    "รักต้องไม่อ้วน" สำหรับสาวเอเชีย (บทความแนะนำจ้า)

    http://www.geocities.com/ekonomiz/article2003_4/article2003oct18p1.htm
    เอามาจากตรงนี้คะ  ให้เครดิตคนเขียน ฮิ ๆ ๆ

    "รักต้องไม่อ้วน" สำหรับสาวเอเชีย
    อาหารสมอง   วีรกร ตรีเศศ VARAKORN@DPU.AC.TH   มติชนรายสัปดาห์  วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2546 ปีที่ 23 ฉบับที่ 1209

    ละครโทรทัศน์เรื่อง "รักต้องอ้วน" ที่มีนางเอกหนักเหยียบร้อยกิโลกรัม ให้ความหวังแก่สาวจำนวนมาก และให้กำลังใจเป็นอันมากแก่ชายหนุ่มทั้งหลายที่ภรรยามีน้ำหนักมากขึ้นเป็นลำดับตามอายุ จนภาพที่ฝังตรึงในใจเห็นแต่ความสวยสดงดงามครั้งก่อนของภรรยาที่แอบซ่อนอยู่ข้างหลังความเจ้าเนื้ออาจเบลอไปบ้าง

    ความอ้วนเป็นปัญหาของสาวสมัยใหม่ที่สาวเมื่อ 400-500 ปีก่อนไม่ต้องกังวล

    ภาพเขียนของสาวงามของยุโรปสมัยนั้นล้วนมีพุง มืออูม หน้ากลม แก้มแดง แม้แต่รูปปั้น วีนัส เดอไมโล ที่ปั้นก่อนหน้านั้นนับพันปีก็ไม่มีรูปร่างสะอ้อนสะแอ้นเหมือนสาวสมัยนี้

    คนสมัยก่อนถ้าเห็นสาวหุ่นดีสมัยนี้คงต้องนึกว่าเป็นโรคอะไรสักอย่างเป็นแน่

    คนไทยสมัยอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็คงนิยมความงามแบบพีๆ เหมือนกัน เพียงแต่คงหาคนอ้วนได้ยากเพราะต้องทำงานหนัก การกินดีอยู่ดี ชนิดมีไขมันมากคงมีไม่มากนัก

    ผมเคยดูหนังทีวีชุด TWILIGHT ZONES เมื่อหลายสิบปีก่อน มีตอนหนึ่งที่ผู้หญิงสวยคนหนึ่งในมาตรฐานปัจจุบันหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของหญิงชายหน้าตาน่าเกลียด (มาตรฐานปัจจุบันเช่นกัน) และถูกเดียจฉันท์ว่าเป็นคนอัปลักษณ์ ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแทบเอาชีวิตไม่รอด

    หนังเรื่องนี้และเรื่องที่พูดถึงตอนต้นในเรื่องอ้วนพี ตรงกับสุภาษิตฝรั่งที่บอกว่า BEAUTY IS IN THE EYE OF THE BEHOLDER (ความงามขึ้นอยู่กับตาของผู้มอง) ซึ่งหมายถึงว่าคนทุกคนมิได้มีความเห็นเหมือนกันว่าอะไรคือสิ่งที่สวยงาม

    อย่างไรก็ดี ในสมัยปัจจุบัน BEHOLDERS (ผู้มองหรือผู้เห็น) ส่วนใหญ่อย่างท่วมท้นในโลกเห็นว่าความเปรียวลมหรือความไม่เจ้าเนื้อคือความงาม จึงเป็นเวรกรรมของสาวเจ้าทั้งหลายในโลกปัจจุบันที่เกิดผิดยุค ต้องอดอาหาร เลือกอาหาร ออกกำลังกาย เสียเงินเสียทองซื้อยาบำรุง กินสารพัดยา เพื่อทำให้ไม่อ้วน

    ทั้งๆ ที่ความลับของความไม่อ้วนมีอยู่ง่ายๆ เท่านั้นก็คือ รักษาความสมดุลให้แคลอรีจากสิ่งที่กินเข้าไปในแต่ละวันถูกใช้งานไปให้หมด หรือ INTAKE = OUTTAKE ทุกวัน ถ้าใช้ไม่หมดจากการเคลื่อนไหวธรรมดาก็ต้องออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญแคลอรีส่วนที่เหลือให้หมดและเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงจากการที่ปอดและกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง

    เมื่อเร็วๆ นี้ สื่อต่างประเทศประโคมข่าวว่าสาวเอเชียนั้นนิยมชมชื่นความมีรูปร่างเพรียวลมเหมือนคนอื่นทั่วโลก แต่ที่แปลกกว่าที่อื่นก็ตรงคำว่า "SLIMMING" กล่าวคือ นิยมผอม แต่มิได้มาจากการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกกำลังกายกลางแจ้งแต่อย่างใด หากใช้สารพัดวิธีที่จะลดน้ำหนักโดยไม่ต้องลำบากในเรื่องที่คนทวีปอื่นเขาทำกัน คือดูแลอาหารและออกกำลังกาย

    ในฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือแม้แต่บ้านเรา เกิดศูนย์ความงามโดยไม่เกี่ยวกับออกกำลังกายจำนวนมากมาย เพราะความต้องการของตลาด

    เธอเหล่านี้ใช้กินยาลดน้ำหนัก ใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ จี้กระตุ้นที่จุดต่างๆ เช่นกล้ามเนื้อเพื่อไม่ให้อยากอาหาร หรือใช้ขั้วไฟฟ้าอ่อนหนีบที่ขาอ่อน แขน ท้อง และจุดอื่นๆ ของร่างกายหรือคลุมร่างกายด้วยผ้าพิเศษเพื่อให้เหงื่อออก ฯลฯ

    ธุรกิจ "SLIMMING" จึงร้อนแรงในเอเชีย ที่สิงคโปร์นั้นในพลเมือง 6 ล้านคนมีถึง 70 ศูนย์ (โฆษณาว่า ไม่ต้องควบคุมอาหาร - ไม่มีการออกกำลังกาย - ไม่ต้องกินยาเพิ่ม") แต่มีศูนย์ออกกำลังกายอยู่เพียง 30 แห่ง

    วิธีการนวดด้วยครีมพิเศษที่ทำจากสมุนไพรของนักวิทยาศาสตร์ไทยที่มีการพิสูจน์กันและสามารถลดรอบเอวได้ถึง 2.5 นิ้วจากการนวดในเวลาหนึ่งชั่วโมงเป็นหนทางหนึ่งของวิธีการที่สาวเอเชียเหล่านี้ชอบ (ผมยังไม่เคยเห็นครีมนี้ แต่หัวหน้าทีมผู้ค้นคว้าคือ ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา นั้นเป็นเพื่อนผม เป็นของจริง มิใช่นักต้มตุ๋นหลอกลวง เป็นผู้สกัดสารฆ่าเชื้อโรคจากเปลือกมังคุดมาทำครีมล้างหน้าเพื่อส่งออก และผลิตยาเม็ดลดความอ้วนจากส้มแขกจนรวยไม่รู้เรื่องมาแล้ว)





    คําถามสำคัญก็คือ เหตุใดสาวเอเชีย ซึ่งโดยมาตรฐานโลกแล้วก็ไม่ใช่คนตัวใหญ่โตอ้วนท้วนแบบฝรั่ง จึงอยากผอมกันนัก และทำไมจึงหาทางออกด้วยวิธีง่ายๆ แบบไม่ลำบาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายหรือไม่ได้ผลเต็มที่คุ้มกับเงินที่เสียไป

    คำถามหลังตอบง่ายๆ ว่า เพราะมันไม่เหนื่อย และเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายกลางแจ้งอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเป็นพวกที่อยู่ในลักษณะการคิด (THINKING MODE) เหมือนคนไทยแทบทั้งหมดที่เชื่อว่าสามารถรวยได้จากการมีคนให้หรือถูกหวย เก่งภาษาอังกฤษได้ด้วยการหาครูเก่ง มีตำราดีมาหนึ่งเล่ม เสมือนกินยาวิเศษ ฯลฯ

    พูดง่ายๆ ก็คือ ปัญหาสามารถแก้ไขได้หมดอย่างง่าย เพียงแต่มีสิ่งวิเศษหรือผู้วิเศษมาแก้ให้เท่านั้น

    อย่างที่ อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี เรียกว่า การแก้ปัญหาแบบใช้ผู้วิเศษตามเทพตำนาน หรือวีรตำนานนั่นแหละ

    ถ้าพูดเป็นภาษาของผมก็คือ พวกนี้เชื่อว่าโลกนี้มีบางอย่างที่ฟรี หรือเกือบฟรี กล่าวคือ อยากผอมก็ไม่ต้อง "จ่าย" ด้วยการควบคุมอาหาร หรือออกกำลังกาย เสียทั้งเหงื่อและน้ำตา แต่มีวิธีที่ดีกว่าคือ "จ่าย" ด้วยเงินเพราะสะดวกกว่า และ "ถูกกว่า" สำหรับสาวเหล่านี้ด้วย ดังนั้น จึงถูกหลอกกันไปไม่น้อย

    สำหรับคำถามแรกนั้น อาจเป็นไปได้ว่าสาวเอเชียออกมาทำงานเป็นแรงงานสำคัญของเศรษฐกิจมากขึ้นเป็นลำดับ จึงมีอำนาจทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นสิ่งที่คุกคามความเป็นผู้หญิง

    กล่าวคือ หญิงซึ่งเป็นสิ่งงดงาม ชดช้อยในคำนิยามของตะวันออกดูจะแข็งแกร่ง ลดความงามในคำนิยามนั้นไปเมื่อมีเงินและมีความเป็นอิสระ ยิ่งถ้าตัวใหญ่และอ้วนแล้ว ภาพนั้นก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น

    ดังนั้น เพื่อมิให้ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของเธอเองเป็นตัวทำลายความน่าดึงดูดใจเพศตรงข้าม เธอจึงจำเป็นต้องลดน้ำหนักให้สอดคล้องกับความเชื่อทางวัฒนธรรมของตะวันออกที่ผู้หญิงต้องอ่อนแอและอ่อนช้อย (ความอ่อนช้อยแบบอ้วนพี คนตะวันออกยังมองไม่เห็นชัด ?)

    และความผอมคือสิ่งที่สื่อสิ่งเหล่านี้

    มีการสำรวจความคิดเห็นของคนจีนและคนฮ่องกงเมื่อเร็วๆ นี้ โดยบริษัททางการตลาดแห่งหนึ่ง (TAYLOR NELSON SOFRES) และพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองอ้วนเกินไป ถึงแม้ว่าจะมีเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นที่อ้วนเกินพอดีจริง

    หลักฐานนี้จึงค่อนข้างสนับสนุนว่าผู้หญิงเอเชียมีความกังวลในเรื่องความอ้วนเกินความเป็นจริง





    ในเรื่องการแก้ไขความอ้วนที่เกินขนาดจริงๆ เช่นหนักถึง 100 - 200 กิโลกรัม นั้น ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกามีวิธีการที่เรียกว่า BARIATRIC SURGERY คือการผ่าตัด ปิดทางเพื่อให้กระเพาะอาหารลดขนาดลง พร้อมกับตัดลำไส้ออกไป 1.2 เมตร หรือร้อยละ 20 ของความยาวของกระเพาะมนุษย์ เพื่อให้อาหารเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ ซึ่งจะทำให้ปริมาณอาหารที่อาจกินได้น้อยลง และดูดซับอาหารได้น้อยลงด้วย

    วิธีการนี้ถือว่ารุนแรง แต่ก็จำเป็นสำหรับคนอ้วนมาก เพราะจะนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจโต ปัญหาเกี่ยวกับไตและโรคเกี่ยวกับตับ โรคไขข้อ ฯลฯ ในอนาคตอันใกล้ แต่นับวันก็เป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ราคานั้นยังสูงอยู่ถึงประมาณ 40,000 เหรียญสหรัฐต่อราย

    มีการคำนวณว่าอาจมีคนอเมริกันถึง 250,000 รายที่อยู่ในข่ายต้องการการรักษาแบบนี้ ซึ่งได้ผลดีมาก

    แต่ก็มีข้อเสียอีกหลายประการเช่นกัน

    "YOU ARE WHAT YOU EAT" เป็นสัจธรรมที่คนในโลกเห็นชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในหมู่นักสุขภาพนิยม

    แต่แปลกที่คนจำนวนไม่น้อยยังไม่เชื่อว่า "YOU ARE WHAT YOU DO" เป็นอกาลิโก

     
     

    จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 8 เม.ย. 49 09:26:54 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป