http://www.matichon.co.th/adm/tour/template1.php?idn=&selectid=1380&sid=&select=
ไม่มีทางลัดในการขจัดไขมัน จริงหรือ?
สุมิตรา จันทร์เงา
sumitra@matichon.co.th
ฉบับที่320 01/10/46
อันที่จริงตั้งใจว่าจะเริ่มเนื้อหาซีรีส์ใหม่ของ "คนรักผัก" ด้วยเรื่องราวของผลไม้ที่มีอยู่หลากหลายในบ้านเมืองเรา แต่พอนำเสนอ "ซุปกะหล่ำปลี กินอร่อย กินดี ลดไขมัน" เข้าเท่านั้นแหละ บรรดาแฟนคลับชมรมคนหุ่นดีก็มะรุมมะตุ้มถามไถ่ถึงสูตรเด็ดเคล็ดผอมมาอีกมากมาย
จะไม่สนองให้สาแก่ใจ ก็ดูกระไรอยู่ เพราะเรื่องสุขภาพความงาม โดยเฉพาะเรื่อง อ้วน-ผอม นี่ ยังน่าจะอยู่ในกระแสไปอีกยาวนาน
ในช่วงนี้ก็เลยจำเป็นต้องว่างเว้นเรื่องผลไม้ไปก่อนสักระยะหนึ่ง คงไม่เป็นที่โกรธขึ้งเคืองขุ่นของคนที่สนใจผลไม้ทั้งหลายนะคะ
มีคำถามเกี่ยวกับซุปกะหล่ำปลีที่ค่อนข้างซีเรียสจากผู้อ่านบางท่านว่า หลังจากปรุงซุปและจัดตารางอาหารในรอบ 7 วัน ตามสูตรที่ให้ไปแล้วนั้น จะมีวิธีการรับประทานซุปร่วมกับอาหารอื่น ๆ ในรอบวันอย่างไร และต้องกินทุกมื้อหรือไม่?
คำตอบก็คือ ซุปกะหล่ำปลีเป็นอาหารหลักที่เจ้าของสูตรเขาปรุงขึ้นมาเพื่อควบคุมปริมาณแคลอรีและไขมันในการบริโภคอาหารตลอดช่วงเวลาที่เข้าคอร์ส ดังนั้น ซุปจึงเป็นอาหารหลักที่ต้องรับประทานทุกมื้อทุกเวลาที่หิว แต่ที่เปิดโอกาสให้รับประทานร่วมกับอาหารอื่นในรอบวันนั้นได้ ก็เพราะกลัวว่าถ้าหากรับประทานซุปอย่างเดียวอาจไปไม่รอด
มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้การกินซุปอย่างเดียวเป็นเรื่องทรมานและน่าเบื่อหน่ายสำหรับคนไทยเพราะพวกเราคุ้นเคยและคุ้นลิ้นอยู่กับอาหารรสจัดแบบไทย ๆ เป็นประจำ เมื่อต้องหันมากินซุปทุกวัน แม้จะปรุงรสชาติให้ถูกปากได้ แต่ซุปก็ยังเป็น ซุป คือเป็นวัฒนธรรมการกินแบบฝรั่งที่ออกจะจืดชืด ไม่ค่อยมีเนื้ออาหารเหมือนพวกต้มแกงของบ้านเรา เวลาซดลงไปในท้องแล้วยังรู้สึกเบาโหวงเหมือนไม่ได้กินอะไร ฉะนั้น ถ้าอยากจะให้อิ่มก็ต้องกินปริมาณเยอะ ๆ
ลองคิดดูก็แล้วกันว่า การกินซุปกะหล่ำปลีในปริมาณเยอะ ๆ เพื่อให้อิ่มแทนอาหารอย่างอื่นตลอด 7 วันนั้น คนที่ติดรับประทานข้าวและกับทุกมื้อจะเป็นอย่างไร
แค่นี้ก็คงพอจะนึกออกแล้วใช่ไหมคะว่า ทำไมกินซุปกะหล่ำปลีถึงผอมได้!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉันค้นพบในระหว่างการทดลองเรียนรู้สูตรการควบคุมอาหารตามวิธีต่าง ๆ มากมายก็คือ การเปิดใจให้เรียนรู้และทดลองปฏิบัติแบบ "ทางสายกลาง" เท่าที่เรายังมีความสุข ความพอใจในความพอเหมาะพอดีของมัน คือไม่จำเป็นต้องทำตามรายการแบบเคร่งครัดจนอึดอัดไปเสียหมด
เราอาจจะเลือกทำเฉพาะในส่วนที่เราพอใจจะเรียนรู้หาคำตอบเท่านั้น ไม่ใช่ทดลองตามทฤษฎีจนไม่ลืมหูลืมตา
สำหรับซุปกะหล่ำปลีสูตรล่าสุดนี้ ฉันค้นพบว่า การเลือกหาวัตถุดิบและวิธีการปรุงที่เปิดโอกาสให้แต่งเติมรสชาติแบบปรับประยุกต์ตามรสนิยมของเรานั้น ช่วยให้อาหารไขมันต่ำคอร์สนี้สร้างความเร้าใจให้ปรุงรับประทานได้บ่อย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกับตารางอาหารครบ 7 วัน ตามที่เจ้าของสูตรระบุเลย
ผักต่าง ๆ ที่เลือกใส่ในซุป ดูเผิน ๆ เห็นเป็นผักหลากสีครบถ้วนก็รู้ว่า อุดมด้วยคุณค่าของวิตามิน เกลือแร่ และกากใยไฟเบอร์ แค่นี้ก็ให้สติกับเรามากมายแล้วว่าเป็นอาหารที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ตักเข้าปากเมื่อไหร่ก็ได้ประโยชน์เต็มคำเมื่อนั้น
เพียงแค่นี้ก็สนุกแทบตายที่ได้กินซุปกะหล่ำปลีแล้ว และไม่จำเป็นต้องกระหน่ำตามด้วยกล้วยหอมหลายลูก หรือเนื้อสัตว์ตามจำนวนน้ำหนักในตาชั่งที่กำหนดตามตาราง 7 วัน ด้วย เมื่อไม่ต้องบังคับตัวเองมากมาย การกินอยู่แบบรู้ว่าต้องดูแลอาหารอย่างไรก็จะมีความสุข ไม่ใช่แค่ฝืนใจอยากผอมเร่งด่วนแค่ 7 วันนี้ เท่านั้น ส่วนอีกครึ่งชีวิตที่เหลือช่างมัน
แบบนั้นไม่ประสบความสำเร็จแน่ค่ะ!
วิธีของฉันก็คือ วันไหนอยากจะตัวเบาสบายไม่หนักท้อง ก็เอาซุปออกจากตู้เย็นมาอุ่นสักถ้วย ตามด้วยผลไม้ที่ชอบสักอย่าง จะเป็นมื้อไหนก็ได้แล้วแต่ความพอใจ
ตามหลักการดูแลสุขภาพแบบไม่อด แต่ไม่ให้อ้วน ไม่ถึงกับเคร่งครัดเกินไปแต่ก็ไม่ปล่อยปละละเลย
และความสุขอีกอย่างในการเดินสายกลางของฉันก็คือ การไม่ปฏิเสธที่จะเรียนรู้และทดลองแนวทางหลากหลายเมื่อมีโอกาส เพื่อให้ "รู้จริง" ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร น่าเชื่อถือหรือไม่ มีกระบวนการอย่างไร ไม่ใช่แค่รับฟังแบบปากต่อปากแล้วเชื่อตาม ๆ กันมา โดยไม่รู้จักตรวจสอบ
ทางลัดสายไหน ๆ ที่ใครเขาว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่แพงสะตุ้งสตางค์จนเดือดร้อนก็จะทดลองดูให้เห็นจริง ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมจำพวกสารสกัดซูเปอร์ไฮโซล อาหารสูตรเคมบริดจ์ไดเอต พริกไทยดำ เครื่องดื่มบุก ครีมนวดละลายไขมันเฉพาะส่วน หรือแม้กระทั่งสถานเสริมความงามลดน้ำหนักด้วยอุปกรณ์ทุ่นแรงอย่าง "บอดี้เชฟ" ก็ผ่านประสบการณ์มาแล้วทั้งสิ้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ถามว่า ทางลัดเหล่านี้มีคำตอบหรือไม่?
มีค่ะ!
อาหารเสริมพวกสารสกัดต่าง ๆ ที่ทำให้อิ่มท้องนั้นได้ผลจริงค่ะ แต่เมื่อไหร่ที่เราหยุดบริโภคหันกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ น้ำหนักที่เคยหายไปก็จะกลับมาหาเราอีกอย่างรวดเร็วด้วยความคิดถึง และเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหากเสพติดสารอาหารพวกนี้ในชีวิตประจำวันอย่างยาวนานเพื่อรักษารูปร่างให้คงที่จะมีผลข้างเคียงอย่างไรต่อร่างกายเรา
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ความสุขในการใช้ชีวิตกินอยู่แบบคนธรรมดาของเราจะต้องปิดฉากลงอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะตกเป็นทาสของอาหารเสริมเสียแล้ว
ส่วนสถานเสริมความงามประเภทใช้อุปกรณ์เขย่าไขมัน ทั้งนวดและตบตีเนื้อตัว แถมยังมีโภชนากรคอยช่วยแนะนำการควบคุมอาหารนั้นก็ "ได้ผล" ในการลดน้ำหนักจริง ๆ ค่ะ แต่คุณต้องใช้ความอดทนและเพียรพยายามอย่างล้นเหลือที่จะไปใช้บริการใน "ความถี่" ที่เหมาะสมเพื่อให้กระบวนการเผาผลาญไขมันของคุณดำเนินไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่ในที่สุดแล้วหากคุณไม่ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายในการใช้ชีวิตปกติประจำวันเสียบ้าง การรีดไขมันออกไปอย่างถาวรก็จะไม่เป็นจริง
และสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ คุณจะต้องใช้เงินก้อนใหญ่จำนวนมหาศาลเพื่อที่จะกำจัดส่วนเกินออกไปให้ได้สัก 4-5 กิโลกรัม
ดังนั้น คุณอาจจะสวยได้ก็เฉพาะตอนที่มีเงิน ตอนไหนที่กระเป๋าแฟบเส้นรอบเอวก็ถามหา ต้องดิ้นรนเก็บเงินก้อนใหม่เพื่อเข้าไปใช้บริการซ้ำอีก
นี่ก็เป็นวงจรของทาสความงามอีกอย่างที่จะต้องยอมรับเช่นกัน
เอาเป็นว่า ฉันรู้สึก "ทึ่ง" อย่างมาก ในกระบวนการรีดไขมันของสถานเสริมความงามที่ตัวเองเคยมีประสบการณ์ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือสลายไขมันรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นวิทยาศาสตร์และสามารถอธิบายได้ว่า ส่วนเกินที่หายไปได้นั้นเกิดขึ้นอย่างไร และกระบวนการของมันจะไปสิ้นสุดลงตรงไหน สามารถพิสูจน์ได้ วัดสัดส่วนกันให้เห็นจะจะไปเลยว่าลดลงมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ยินดีจะใช้เงินซื้อความสุข ความพอใจตรงนี้ และฉันเองก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์อะไร หากใครจะเลือกเดินทางลัดสายนี้
คงต้องบอกว่า "ทางใครทางมัน"
อันที่จริงฉันชอบคำแนะนำของ ผศ.ดร.วินิจ วินิจวัจนะ ผู้อำนวยการสถานเภสัชชุมชน โอสถศาลา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เคยกล่าวไว้คราวหนึ่งว่า
"ไม่มีทางลัด ไม่มีปาฏิหาริย์ ในหนทางแห่งการลดความอ้วน" และวิธีที่จะแก้ปัญหาได้ในระยะยาวแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็คือ ตัวเราเองต้องตั้งตัวเป็นผู้จัดการดูแลบริหารความอ้วนของเราเอง เหมือนกับที่เราไปใช้บริการคลินิกหรือสถานเสริมความงามนั่นแหละ
การบริหาร "โรคอ้วน" ด้วยวิธีการของคุณหมอวินิจก็คือ ต้องวินิจฉัยตัวเองเสียก่อนว่าอ้วนด้วยสาเหตุใด เพราะพฤติกรรมการกิน โรคต่อมไร้ท่อ ฮอร์โมนผิดปกติ หรือโรคทางพันธุกรรมกันแน่ แต่หากไม่แน่ใจค่อยไปปรึกษาหมอ
ถัดจากขั้นตอนการวินิจฉัยแล้ว เราต้องหันมาประเมิน "ความตั้งใจ" ที่จะลดน้ำหนักว่ามีมากน้อยแค่ไหน ต้องการลดเพื่อตัวเองไม่ให้ทุกข์ทรมานกับโรคนี้หรือลดเพื่อบุคคลอันเป็นที่รัก เงื่อนไขเหล่านี้ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่จะพิชิตความอ้วน
ขั้นตอนต่อไปคือ การควบคุมปริมาณอาหาร ลดจำนวนแคลอรีลงทีละน้อย ด้วยการลดสัดส่วนการรับประทานอาหารจำพวกไขมัน แป้ง น้ำตาล และโปรตีน แล้วหันมาเพิ่มอาหารจำพวกผักผลไม้แทน ส่วนเนื้อสัตว์นั้นให้เปลี่ยนวิธีการปรุงมาเป็นการย่าง นึ่ง หรืออบ แทนการผัดหรือทอด แล้วก็งดบุหรี่ และเหล้า
สุดท้ายที่จะต้องทำควบคู่กันไปคือ การออกกำลังกาย เคลื่อนไหวใช้พลังงานอยู่เสมอ โดยคุณหมอให้ตัวเลขที่น่าสนใจไว้ว่า การเดินวันละ 30 นาที ด้วยความเร็วที่สม่ำเสมออย่างต่อเนื่องนั้น พลังงานจะถูกใช้ไปถึง 3,500 แคลอรี ทำให้น้ำหนักลดลงไปถึงครึ่งกิโลกรัม หากควบคุมอาหารอื่นไปด้วย
เมื่อปฏิบัติตัวตามกระบวนการทั้งหมดแล้ว หน่วยประเมินผลอย่างง่ายที่สุดก็คือ ตาชั่งวัดน้ำหนักที่บ้านของแต่ละคนนั่นเอง
เห็นไหมคะว่าทางเลือกสายนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตหรือสร้างความกดดันใด ๆ ให้เลย ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเติมเพื่อซื้ออาหารเสริม หรือเข้าคอร์สใช้เครื่องสลายไขมัน ไม่ต้องทนทรมานเกินไปกับการปฏิบัติตัวเคร่งครัดตามสูตรการรับประทานอาหารเสริม
แถมยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนในการกำหนดวิถีชีวิตด้วยตัวของคุณเอง
มีคุณหมออีกท่านหนึ่งคือ ศ.น.พ.สุรัตน์ โคมินทร์ ประธานฝ่ายวิชาการ ชมรมโรคอ้วนแห่งประเทศไทย ให้คำแนะนำง่าย ๆ ด้วย สูตร 10-20-30
10 หมายถึง การเสียสละเวลาครั้งแรกแค่ 10 นาที ในการเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับโรคอ้วนของตัวเองว่าควรจะหาแนวทางแก้ไขมันอย่างไร
20 หมายถึง การลดปริมาณของพลังงานที่ได้รับแต่ละวันให้ลดน้อยถอยลงไป 20% ของปริมาณอาหารที่เคยบริโภคอยู่ตามปกติ
30 หมายถึง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที โดยเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองว่า ควรจะเป็นการบริหารร่างกายแบบไหน
เห็นไหมคะว่าสูตรนี้ก็ง่าย ไม่บังคับฝืนใจ ไม่โหดร้ายกับคนอ้วนที่ส่วนใหญ่มักมีปัญหาจากพฤติกรรมการกินแทบทั้งสิ้น
ถ้ายังไม่พอใจ ก็ลองเอาสูตรคุณหมออีกสูตรหนึ่งไปพิจารณาดูก็ได้ ท่านผู้นี้คือ น.พ.วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งเสนอแนวทางของการมีหุ่นดีไว้ง่าย ๆ ว่า
"กินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น"
แนวทางนี้เป็นวิธีลดความอ้วนด้วยการป้องกันไม่ให้อ้วน เพราะคุณหมอเชื่อว่าความอ้วนเกิดจากการกินเข้าไปมากแต่ใช้พลังงานน้อย ดังนั้น ต้องใช้วิธีแก้ด้วยการจำกัดอาหารการกิน ให้บริโภคปลาเป็นหลัก ร่วมกับผักและผลไม้ ซึ่งมีใยอาหาร วิตามิน เกลือแร่มากมาย เพียงแค่นี้ร่างกายก็จะได้รับสารอาหารครบถ้วน แล้วก็ต้องออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานด้วยจึงจะครบสูตร
คุณหมอวิชัยยังบอกอีกว่า หลายท่านอาจจะยังไม่รู้ว่า การดื่มน้ำหวานเพียงวันละ 1 แก้ว เป็นเวลา 1 ปี จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 6 กิโลกรัม!
ใครชอบเดินทางไหนเลือกกันได้เต็มที่เลยนะคะ
จากคุณ :
กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย
- [
25 พ.ค. 49 13:12:45
]