ความคิดเห็นที่ 1
อันนี้เราได้มาจากเพื่อนคนนึงในพันทิพที่ใจดีแบ่งคีเฟอร์มาให้เราเลี้ยง ขออนุญาตเอยชื่อเธอนะคะ เธอใช้ ชื่อว่า "น้ำค้างบนใบหญ้า " ค่ะ เธอได้เมลล์มาบอกเรื่องราวเกี่ยวกับคีเฟอร์ให้เราทราบด้วยดังนี้
"บัวหิมะชนิดนี้ค้นพบโดยนักบวชธิเบต และได้เลี้ยงดู มีสรรพคุณดังนี้ 1. ทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายสร้างภูมิชีวิตที่ดี 2. สามารถป้องกันโรคหัวใจ และระบบการทำงานของหัวใจที่บกพร่อง 3. สามารถช่วยให้การทำงานของตับ และม้ามดีขึ้น 4. สามารถป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี และสลายนิ่วในถุงน้ำดี 5. ช่วยให้ระบบการขับถ่าย กระเพาะอาหาร ลำไส้ดีขึ้น 6. สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ขจัดเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย 7. ช่วยลดความดันโลหิต 8. ช่วยให้การทำงานของไต และกระเพาะปัสสาวะดีขึ้น 9. ระงับการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง 10. ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย ลดความเครียดได้ บัวหิมะนี้ประกอบด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการหลายชนิด ศาสตราจารย์นายแพทย์ชาวโปรแลนด์ ได้ปฏิบัติงานที่อินเดีย และธิเบต และได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ท่านนักบวชชาวธิเบตได้ใช้บัวหิมะรักษาท่าน ผ่านไป 1 ปีครึ่ง อาการป่วยก็หาย และร่างกายก็แข็งแรงดังเดิม นายแพทย์ท่านนี้ได้ขอบัวหิมะจากท่านนักบวชเพื่อนำไปเผยแพร่ แต่นักบวชได้ขอร้องให้ปฏิบัติ 3 ข้อ ดังนี้ 1. เลี้ยงบัวหิมะให้ดี จะทำให้สุขภาพแข็งแรง 2. ห้ามจำหน่ายเด็ดขาด 3. ถ้าเลี้ยงแล้วเจริญเติบโตมีมากเกินความต้องการ โปรดแจกจ่ายให้ญาติและมิตรสหาย
วิธีเลี้ยงหัวหิมะ 1. ใช้กระชอนกรองน้ำนมมาดื่ม (เป็นนมสดพร่องมันเนยยิ่งดี) ใช้ช้อนพลาสติกคน และเน้นน้ำหนักของช้อนลักษณะกดขึ้นลง ทำให้น้ำนมออกได้ดี 2. เมื่อกรองน้ำนมที่มีรสเปรี้ยวสะเด็ดแล้ว ให้ล้างบัวหิมะด้วยน้ำสะอาด (น้ำประปา) ให้ล้างบัวหิมะ จนเห็นว่าไม่มีคาบน้ำนมเดิมอยู่ หากจำเป็นสามารถใช้มือล้างเบา ๆ ได้ 3. รอจนน้ำสะเด็ด หรืออาจจะใช้มือบีบเบา ๆ เพื่อให้น้ำสะเด็ดเร็ว ๆ (โดยใช้ผ้าขาวบาง) 4. เตรียมภาชนะให้สะอาด (ชามแก้ว, หรือชามพลาสติก) เพื่อใส่บัวหิมะพร้อมเติมนมจืด 8 ออนซ์ครึ่ง (250 CC) (เป็นนมสดพร่องมันเนยยิ่งดี) 5. ดื่มก่อนนอนขณะท้องว่าง โดยไม่ดื่มร่วมกับเครื่องชนิดอื่น ให้ดื่มติดต่อกัน 20 วันแล้วให้หยุดพักเป็นเวลา 10 วัน 6. ระหว่างพัก 10 วัน ให้ล้างบัวหิมะทุกคืน เมื่อล้างบัวหิมะสะอาดแล้ว ให้ใช้ภาชนะแก้วหรือพลาสติกแช่ตู้เย็น หากต้องการดื่มนมจากบัวหิมะก็ทำการเติมนมจืด 8 ออนซ์ (250 CC) เก็บในอุณหภูมิห้อง 24 ชม. (บัวหิมะส่วนที่พอเหมาะคือ สองช้อนครึ่ง) 7. ห้ามเก็บในอุณหภูมิที่เย็นจัด รสนมจะมีรสเปรี้ยวจัดเกินไป หรือบัวหิมะอาจตายได้ 8. ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะทุกชนิด 9. บัวหิมะจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายใน 18 วัน การเลี้ยงและการดูแล เมื่อท่านได้รับเห็ดมาครั้งแรก เห็ดจะมีสภาพซึ่งแซ่อยู่ในนมแล้ว ให้นำมากรองแยกนมออกจากเห็ด โดยวิธีการกรองให้ใช้อุปกรณ์การกรองที่ไม่ใช่โลหะโดยเด็ดขาด ดื่มนมที่ได้จากการกรองซึ่งประมาณ 8 ออนซ์ หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดเห็ดโดยให้น้ำไหลผ่านจนสะอาดแล้วบิดให้แห้งแล้วใส่ลงไปในแก้วพลาสติก แล้วใส่นมเข้าไปประมาณ 8 ออนซ์แซ่ไว้ 24 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้องแล้วนำมากรองเพื่อจะดื่มเหมือนดังที่ได้มาตอนแรก ซึ่งนมที่ได้มาขณะนี้ได้เปลี่ยนมามีรสชาติเปรี้ยวและมีคุณสมบัติเปรียบสเมหือนยาให้ทำเพื่อดื่มทุกวันก่อนนอนเป็นเวลา 20 วันและหยุดพักการดื่มเป็นเวลา 10 วันและค่อยดื่มต่อวนเวียนไปเช่นนี้ในช่วงเวลาที่หยุดพักเป็นเวลา 10 วัน ณ วันนั้นเห็ดต้องได้รับการทำคามสะอาดทุกวันเหมือนดังตอนที่เราทำก่อนนำไปกรอง โดยเห็ดประมาณ 2.5 ช้อนโต๊ะสามารถที่จะทำได้ 1 แก้ว ข้อควรจำ - ห้ามแช่เย็น - เห็ดจะโตขึ้นเป็น 2 เท่าทุก ๆ 18 วัน - ห้ามไม่ให้เห็ดโดนโลหะโดยเด็ดขาด -ใช้ที่กรองพลาสติกใช้แก้วกระเบื้องห้ามใช้โลหะ การดูแลรักษาเห็ดได้ดี ให้มีความสะอาดย่อมจะทำให้สุขภาพของผู้ดื่มนมที่แช่เห็ดดีตามไปด้วยเนื่องจากจะได้นมที่สะอาดและมีคุณภาพสำหรับดื่ม สรรพคุณ 1. สร้างความสมดุลของภูมิต้านทานในร่างกาย 2. ช่วยให้ตับ, ม้ามแข็งแรง 3. ช่วยรักษากระเพาะ และลำไส้ 4. ทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ 5. ป้องกันการขยายตัวของมะเร็ง 6. ทำให้ร่างกายเป็นปกติ ลดความเครียด ช่วยบรรเทาความเหนื่อย 7. ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และช่วยลดคอเรสเตอรอล 8. ช่วยละลายนิ่ว 9. สร้างสารปฏิชีวนะในร่างกาย เพื่อช่วยให้การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ 10. รักษา ช่วยให้ตับ และระบบการขับถ่ายดีขึ้น 11. ประกอบด้วยสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ
ความเป็นมาของสรรพคุณเห็ด อาจารย์ทางด้านยาจากมหาวิทยาลัยพยาบาล GLEIVITZ ในโปแลนด์ ได้นำเห็ดมาสู่ยุโรปจากเอเชีย โดยในขณะที่ทำงานที่อินเดีย และธิเบต เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ พระที่ธิเบตได้นำเห็ดนี้มาให้เขากินเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา หลังจากนั้น 18 เดือนเขาสามารถหายป่วย ก่อนจะเดินทางกลับเขาจึงขอเห็ดนี้จากพระรูปนั้น พระรูปนั้นจึงได้ให้เขามาเป็นของขวัญ คุณภาพของนมเปรี้ยว (บัวหิมะ) pH = 3.7 ความเป็นกรด (% กรดแลคติก) = 1.6% Reducing sugar (แลคโตส กูลโครส หรือ กาแลคโตส) = 1.02% โปรตีน = 3.2%
อันนี้น่าสนใจมากเลย ยาวหน่อย แต่อ่านแล้วจะเข้าใจ ว่าทำไม นมบัวหิมะถึงมีรสเปรี้ยว
โยเกิร์ตบัวหิมะหรือคีเฟอร์ (kefir) เป็นผลิตภัณฑ์นมหมักชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับโยเกิร์ต แต่แตกต่างกันตรงหัวเชื้อที่ใช้ในการหมัก กล่าวคือในการหมักโยเกิร์ตนั้นจะใช้แบคทีเรียกลุ่มที่ผลิตกรดแลคติกเป็นหัวเชื้อในการหมัก เช่น Lactobacillus แต่คีเฟอร์จะใช้หัวเชื้อที่มีลักษณะพิเศษ เป็นก้อนเหนียวยืดหยุ่น มีสีครีม คล้ายดอกกะหล่ำ เรียกว่า kefir grain ภายในจะมีจุลินทรีย์จําพวกแบคทีเรียหลากหลายชนิด ซึ่งมีกิจกรรมทางเอนไซม์ในการหมักย่อยโปรตีนและน้ำตาลในนมให้เป็นกรดหลายชนิด และยังมีเชื้อราจําพวกยีสต์ปนอยู่ด้วยซึ่งจะช่วยหมักย่อยน้ำตาลในนมให้เป็นแอลกอฮอล์ (0.08-2% เมื่อมีการหมักประมาณ 24 ชม.) และสารให้กลิ่น (acetaldehyde) ทําให้ kefir มีกลิ่นเฉพาะตัวซึ่งมีกลิ่นคล้ายการหมักที่เกิดจากยีสต์ที่ต่างจากโยเกิร์ตทั่วไป การอยู่ร่วมกันของแบคทีเรียและยีสต์ใน kefir grain นั้นจะมีการเอื้อประโยชน์ในแง่ของสารอาหาร ซึ่งกันและกันรวมทั้งยังช่วยกันผลิตสารต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดอื่นซึ่งทําให้นมบูด ปัจจุบันในการทําคีเฟอร์ทําได้ง่ายๆ ที่บ้านได้โดยใช้นมจากแหล่งต่างๆ เช่น นมวัว, นมแพะ, นมแกะ หรือน้ำกะทิ, น้ำคั้นจากข้าว, น้ำนมถั่วเหลือง มาใช้ในการหมักได้โดยนํามาผสมกับหัวเชื้อคีเฟอร์ (kefir grain) ซึ่งหัวเชื้อนี้สามารถนํามาใช้ซ้ำได้ แล้วบ่มไว้ที่อุณหภูมิห้อง หรือตู้บ่มอุณหภูมิในช่วง 20-30 องศา เป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง จะได้นมหมักคีเฟอร์ที่มีลักษณะข้นมีรสเปรี้ยวเรียกว่า curd และมักมีกลิ่นเฉพาะตัว รสเปรี้ยวดังกล่าวเกิดจากกิจกรรมทางเอนไซม์ของเชื้อ และผลิตกรดต่างๆ ออกมา เช่น กรดน้ำส้ม, กรดมะนาว (Citric acid), กรดแลคติก (Lactic acid) และกรดมะขาม (Tartaric acid) เป็นต้น เดิมทีเดียวนั้นนมหมักชนิดนี้ยังไม่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย มีการบริโภคกันเฉพาะชนเผ่าแถบเนปาล รัสเซีย (Northern Caucasus Mountains) ต่อมาได้มีการผลิตกันมากขึ้นและขยายไปสู่การค้า จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่าในคีเฟอร์อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น - ทริปโตเฟน (Triptophan) ช่วยในการทํางานของระบบประสาท แคลเซียม และแมกนีเซียม - ฟอสฟอรัส ช่วยในการเผาผลาญสารอาหารพวกน้ำตาล, ไขมัน และโปรตีน เพื่อให้ได้พลังงานไปใช้ในการเจริญเติบโตของเซลล์ - มีวิตามิน B1, B12 และวิตามิน K ซึ่งช่วยให้การทํางานของตับ, ไต, ระบบประสาท และผิวพรรณ สดชื่น การดื่มคีเฟอร์ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยมีการทดลองใช้กับผู้ป่วยเอดส์, เริม, มะเร็ง แล้วพบว่ามีอาการดีขึ้น แต่ยังไม่เป็นผลแน่ชัด รวมทั้งยังช่วยลดอาการเครียดหรือปัญหาการนอนไม่หลับอีกด้วย มีรายงานว่าคนที่ดื่มคีเฟอร์เข้าไปแล้วจะทําให้ระบบการขับถ่ายดี ลําไส้บีบตัวได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ทําให้มีสุขภาพดีขึ้น นอกจากการหมักคีเฟอร์เพื่อดื่มแล้ว ยังมีการทดสอบนําไปใช้ในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น ผลิตผักกาดดอง, ชีส, ขนมปัง, เค้ก, เบียร์ เป็นต้น โดยเฉพาะการนํามาใช้ในด้านเครื่องสําอาง ได้มีการยืนยันในผู้ที่ทดลองใช้คีเฟอร์เป็นเครื่องสําอางทาบนใบหน้าแล้วพบว่า ช่วยขจัดปัญหาของสิวอักเสบ รวมทั้งช่วยกระชับรูขุมขนบนใบหน้าให้ดีขึ้น ทําให้ใบหน้าเต่งตึงดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น "
จากคุณ :
ChaoyhinG
- [
22 มิ.ย. 49 13:24:18
]
|
|
|