ความคิดเห็นที่ 2
[แผลเป็นสิว (ตอนที่ 2) ประเภทรอยหลุมสิว]
ปัญหาแผลเป็น รอยหลุมสิว มักเกิดจากสาเหตุการมีปัญหาสิวอักเสบมาก่อน เมื่อแตกหรือยุบตัว ก็เกิดรอยหลุมขึ้น ซึ่งมักจะเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่แตกและยุบตัวอย่างรวดเร็ว(แม้จะไม่ได้กดหรือบีบเอง) หรือสิวอุดตันหรือสิวอักเสบขนาดเล็ก ที่รักษาไม่ถูกวิธี มีการกดหรือบีบสิวอย่างผิดวิธี การป้องกัน: เมื่อเกิดปัญหาสิวบนผิวหน้า ควรพบแพทย์ผิวหนังตั้งแต่แรกที่เกิดขึ้น เพื่อมิให้เกิดผลแทรกซ้อน หรือร่องรอยของโรคหลงเหลือภายหลัง ห้ามกดหรือบีบสิวเองโดยเด็ดขาด ชนิดของรอยหลุมสิว( Contour irregularities acne scar) ( ดูภาพประกอบที่ 1) แบ่งได้เป็น 1. Ice Pick Scar: เป็นรอยหลุมจิกลึก ขอบแคบ ขนาดมักไม่เกิน 0.5 มม. แล้วอาจจะกว้างเล็กน้อยที่ฐานของหลุม มักเกิดจากการกดหรือบีบสิวอุดตันให้หลุดออก เป็นรอยหลุมที่รักษาให้เรียบได้ยากที่สุด กว่าแบบอื่นๆ 2. Box car Scar: เป็นรอยหลุมกว้าง ขนาดใหญ่ คล้ายล้อรถทับ ขนาดมักจะประมาณ 3-4 มม. ขอบและฐานหลุมขนาดใกล้เคียงกัน มักจะพบพังผืด (fibrosis) เกาะติดในชั้นหนังแท้ มักเกิดจากผลของอักเสบของสิวขนาดใหญ่ๆ หรือแผลเป็นอีสุกอีใส ทำให้เวลาดึงให้ตึงจะเรียบได้ยาก เป็นรอยหลุมที่รักษาได้ยากเช่นกัน 3. Rolling Scar: มีลักษณะเป็นรอยหลุมฐานโค้งคล้ายกะทะ พื้นนุ่ม เวลาดึงให้ตึง แล้วทำให้ขอบแผลเรียบได้ มักเกิดจากผลของอักเสบของสิวขนาดใหญ่ๆ ที่ได้รับการรักษามาบ้าง แต่การยุบตัวของสิวไม่สัมพันธ์กับการสมานผิว เป็นรอยหลุมสิวที่ให้ผลการรักษาได้ดีกว่ารอยหลุมแบบอื่นๆ การรักษารอยหลุมสิวในปัจจุบัน: มีหลายๆ วิธีที่ช่วยทำให้รอยหลุมจากสิวดีขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่มีวิธีใดได้ผล 100% แต่ละวิธี จะช่วยทำให้รอยหลุมตื้นและดีขึ้นได้ มากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยหลุมด้วย แบ่งกลไกการรักษาดังนี้ 1. การทำให้เซลล์หลุดลอกออก ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้น แบ่งเป็น 1.1. Chemical Peeling: โดยการแต้มด้วยกรดเข้มข้น เช่น 50-70 % AHAs หรือ 30-50% TCA กลไกการรักษา ก็คือ การทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกบริเวณรอยหลุม หลุดลอกออกช้าๆ เพื่อเตรียมให้บริเวณที่ต้องการรักษา นุ่มและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวใหม่ได้มีการแบ่งตัว และดันตัวขึ้นมาบริเวณรอยหลุม พร้อมแก้ไขเซลผิวหน้าชั้นนอกที่มีปัญหาให้กลับคืนสู่สภาพปกติ มักจะใช้ในการรักษารอยหลุมสิวทั้ง 3 แบบ คือIce Pick scar,Box car scar,Rolling scar โดยแต้มทุก 2-3 อาทิตย์ต่อครั้ง ( อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความเฉพาะแต่ละเรื่อง ค้นหาที่ Site Search คอลัมน์ขวามือ) 1.2 การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion ): โดยการกรอผิวหน้า ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณีขนาดเล็กมาก ประมาณ 80-100 Micron ซึ่งผลึกครีสตัลที่นิยมใช้ ก็คือ Aluminium Oxide โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊มในกระบอกสูญญากาศที่ ปลอดเชื้อ ( Air flow in Sterile Closed system) โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้นได้และต้องทำหลายๆ ครั้ง เพราะต้องค่อยๆ กรอบางๆ เพราะถ้ากรอลึกเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยแดง รอยดำได้และทำให้เจ็บปวดขณะทำได้ นอกเหนือจากนี้ ผู้ทำการกรอควรเป็นแพทย์หรือผู้ที่เชี่ยวชาญและชำนาญด้านนี้มาพอสมควร จึงจะได้ผลดี และผลข้างเคียงน้อยสุด ระยะเวลาในการกรอ จะแตกต่างกันแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์ โดยคำนึงถึงผลที่ได้ และผลข้างเคียงที่จะเกิดภายหลัง เช่น กรอน้อยไป อาจจะได้ผลน้อยกว่า การกรอลึก หรือกรอนาน แต่ก็มีผลข้างเคียง (เช่น รอยถลอก รอยแดง หรือแสบหลังกรอ ทาครีมอื่นๆไม่ได้ ) ก็เกิดได้น้อยกว่า การกรอผิว มักจะใช้ในการรักษารอยหลุมสิวทั้ง 3 แบบ คือ Ice Pick scar,Box car scar,Rolling scar แต่ใน 2 แบบแรก จะได้ผลช้าและน้อยกว่า Rolling scar ส่วนใหญ่มักจะนัดกรอผิวทุก 1-2 อาทิตย์ และเว้นเป็นช่วงๆ เพื่อมิให้ผิวหน้าบางเกินไป ( อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความเฉพาะแต่ละเรื่อง ค้นหาที่ Site Search คอลัมน์ขวามือ) 1.3 การกรอผิวหน้าด้วยเลเซอร์( Laser Resurface): ที่นิยมทำ ก็คือ การกรอด้วยเครื่อง Co2 (UltraPulse) Laser หรือ Erbium:YaG Laser 2940 nm (Laser Peel) หรือทำทั้งสองอย่างร่วมกัน การกรอหรือลอกเซลล์ผิวหน้าด้วยเลเซอร์ นิยมใช้แก้ปัญหารอยหลุมที่มีมากและทั่วหน้า ได้ผลดีเร็วทันใจ รอยหลุม ทำให้ตื้นได้มากๆ และได้ผลเร็ว (สำหรับคนใจร้อนๆๆ) แต่ก็จะต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงที่ค่อนข้างมาก เช่น ความเจ็บปวดขณะทำ หลังทำคนไข้อาจมีรอยแดง มีการอักเสบ ต้องพักฟื้นหยุดงาน มากกว่า 1-2อาทิตย์ และมักเกิดรอยดำหลังการรักษา โดยเฉพาะในคนเอเซีย รอยดำคล้ำ อาจนานเป็นปี กว่าจะจางหายไป และก็มีโอกาสติดเชื้อจากบาดแผลก็เกิดได้สูงกว่า และต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้มาอย่างดี มักจะใช้ในการรักษารอยหลุมสิวทั้ง 3 แบบ คือIce Pick scar,Box car scar,Rolling scar ( อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความเฉพาะแต่ละเรื่อง ค้นหาที่ Site Search คอลัมน์ขวามือ) 2. การเติมให้รอยหลุมให้เต็มขึ้นใต้ผิวหนัง แบ่งได้เป็น 2.1 ยากลุ่มวิตามินเอ: โดยพบว่า Retinol ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ สามารถนำมารักษารอยหลุมจากสิวได้ระดับหนึ่ง โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้น แบ่งได้เป็น 2.1.1 0.05-0.1% Retin-A: ซึ่งเป็นวิตามินเอเจล ความเข้มข้นสูง นำมาการสลายไอออนด้วยเครื่องไอออนโต แล้วใช้หลักการประจุบวก ลบทำการผลักยาให้แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ลึกขึ้นกว่าการทำครีมปกติ ทำให้ผลการรักษาเร็วขึ้น สามารถทำได้ 2 ครั้งต่ออาทิตย์ 2.1.2. ยารับประทานกลุ่ม Retinoids: ซึ่งสกัดจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น Roaccutane,Isotretinoin,Acnotin มักนิยมให้คนไข้ไปรับประทานทุกวัน วันละ 10-20 มก. เพราะนอกจากจะแก้ไขปัญหาผิวหน้ามัน สิว กระชับรูขุมขนแล้ว ยังมีหลักฐานสนับสนุนว่า ช่วยทำให้ผิวหน้าและรอยหลุมเรียบเนียนขึ้น โดยไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูสภาพผิวในชั้นหนังแท้ แต่ตัวยาดังกล่าวก็มีผลข้างเคียงเช่นกัน ถ้าใช้ติดต่อกันระยะเวลานาน 2.1.3. ครีมทาลบแผลเป็นริ้วรอย: ซึ่งประกอบด้วย วิตามินเอ อี AHA จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลใหม่ให้ เลื่อนขึ้นมาเต็มบริเวณรอยหลุม แต่ทั้งนี้บริเวณเซลผิวชั้นนอก ต้องมีความยืดหยุ่นอ่อนนุ่ม(ซึ่งควรจะได้รับการรักษาก่อนด้วย) 2.2. การเติมรอยหลุมด้วย Filler agents: คือ การฉีดสารเติมให้เต็มเข้าไปที่รอยหลุมโดยตรง ได้ผลเร็ว แต่มักจะใช้ในกรณีรอยหลุมแบบ Rolling Scar ที่ไม่มีพังผืดยึดเกาะที่ฐาน เพราะรอยหลุมแบบอื่นๆ ไม่สามารถเติมให้เต็มได้ เพราะผนังจะหนาและแข็ง ทำให้ สารที่เติมขณะฉีดจะไปอยู่ในชั้นผิวหนังปกติ ทำให้คลำเป็นก้อนๆ ได้ การเติมด้วยสารนี้ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 2.2.1 Temporary filler agents: คือ การฉีดเติมสารเข้าไปที่รอยหลุมโดยตรง แต่อยู่ได้ชั่วคราว ประมาณ 3 เดือน ถึง 1 ปี ได้แก่ คอลลาเจน เช่น Zyplast,Zyderm (ซึ่งเป็นสารโปรตีน ที่สกัดจากสัตว์ มีอายุอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน แต่มีข้อเสีย คือ ต้องเทสต์ก่อนฉีดจริง เนื่องจากอาจทำให้แพ้ได้ ),Hyaluronic acid โมเลกุลเล็ก เช่น Restylane,Hyalaform ( เป็นกลุ่มที่สกัดจากแบคทีเรีย และหงอนไก่ ในห้องทดลอง มีอายุได้ประมาณ 1 ปี มีข้อดีก็คือ ไม่แพ้ และไม่ต้องเทสต์ก่อนฉีดจริง ) ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน มากกว่าการฉีด คอลลาเจน 2.2.2 Semi- permiable filler agents: คือ การฉีดเติมสารเข้าไปที่รอยหลุมโดยตรง แต่อยู่ได้ชั่วคราว ประมาณ 2-3 ปี มักไม่พบอาการแพ้ ได้แก่ กลุ่ม Hyaluronic acid โมเลกุลใหญ่ เช่น Dermalive,Dermadeep หรือกลุ่ม Artecoll แต่ข้อมีข้อจำกัดก็คือ จะฉีดยากและเจ็บกว่าแบบแรก และก็มีโอกาสเกิดก้อนเนื้อ (Granuloma)ๆได้ประมาณ 5% 2.2.3 Premanent Filler agents: ได้แก่ new-fill (เป็นสารสังเคราะห์ประเภท Polylactic Hydrogel ) Bioplatique ที่แม้จะมีอัตราการแพ้น้อย และอยู่ได้นานกว่าหลายปี แต่ก็มีข้อเสีย ก็คือ ฉีดยาก เจ็บ และมักคลำก้อนได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดก้อนเนื้อ Granuloma ได้ถึง 30 % ( อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความเฉพาะแต่ละเรื่อง ค้นหาที่ Site Search คอลัมน์ขวามือ) 2.3. IPL (Intense pulse Light): โดยการฉายคลื่นแสง ความถี่จำเพาะ ไปกระตุ้นการสร้างเซลล์และคอลลาเจนใหม่ ด้วยวิธี Photorejuvenation ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ในการรักษาปัญหาผิวหน้า และรอยหลุม โดยออกฤทธิ์ ทำให้ผิวหนังชั้นหนังแท้(Dermis) มีการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจน และปรับเซลล์ผิวหน้าในชั้นหนังกำพร้าให้กระชับมากขึ้น จึงทำให้รอยหลุมเรียบเนียนได้ แต่มักจะใช้ในกรณีรอยหลุมแบบ Rolling Scar ที่ไม่มีพังผืดยึดเกาะที่ฐาน ส่วนรอยหลุมแบบอื่นๆ จะได้ผลน้อยกว่า แต่ก็ต้องทำหลายๆ ครั้ง คงต้องใช้ ความอดทนอย่างมาก เพราะค่าใช้จ่ายจะสูงมาก และผลที่ได้ค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นควรสอบถามแพทย์ที่ทำให้แน่ใจ ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่าย และการสนองต่อการรักษา แต่ก็ถือว่าปลอดภัย ไม่เจ็บปวดมากนัก และไม่พบผลข้างเคียง หลังการรักษาสามารถไปทำงานได้ตามปกติ แต่ก็ต้องทำหลายๆ ครั้งจนกว่าจะพอใจ การแก้ไขด้วยการเติมให้เต็มด้วย IPL ถือว่าเป็นการกระตุ้นโดยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเอง ในปัจจุบันเป็นที่นิยมมากทั้งในแถบยุโรป และอเมริกา แต่ก็ยังมีราคาแพงมากอยู่มากทีเดียว และผลที่ได้ก็ยังไม่ 100% ทีเดียว ( อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความเฉพาะแต่ละเรื่อง ค้นหาที่ Site Search คอลัมน์ขวามือ) 3. ศัลยกรรมกับการรักษารอยหลุมสิว: แบ่งได้เป็น 3.1 Punch excision: มักนำมารักษารอยหลุมสิว แบบ Ice Pick scar และ Box car scar ที่มีขนาดไม่เกิน 3 มม. โดยการใช้เครื่องมือตัดรอยหลุม แล้วเย็บปิด หรือปิดด้วยเทป Sterile Strip หรือ Dermabond 3.2 Punch elevation: มักนำมารักษารอยหลุมสิว แบบ Box car scar ที่มีขนาดไม่เกิน 3 มม. โดยการยกรอยหลุมขึ้นในระดับเดียวกับขอบหลุม แล้ว เย็บปิด 3.3 Punch grafting: มักนำมารักษารอยหลุมสิว แบบ Ice Pick scar และ Box car scar ที่มีขนาดความลึกไม่ค่อยเท่ากัน โดยการนำผิวหนังจาก ที่อื่นมาเย็บปิดตรงรอยหลุม 3.4 Elliptical excision: มักนำมารักษารอยหลุมสิว แบบ Box car scar ที่มีขนาดไม่เกิน 4 มม. โดยการกรีดผ่าตัดแบบกรีดตามวงรี แล้วทำการเย็บปิด 3.5 Subcision: คือการใช้เข็มที่เรียกว่า Nokor needle เบอร์ 18 แทงเซาะบริเวณใต้ฐานหลุมที่เชื่อว่าเกิดจากพังผืดยึดเกาะให้หลุดออก ทำให้รอยหลุมอาจจะดีดตัวให้ตื้นขึ้นเองได้ การทำศัลยกรรมรอยหลุมสิว มักจะทำในกรณีที่มีจำนวนรอยหลุมไม่มากนักในร่างกาย แต่ก็ต้องทำโดยแพทย์ที่ชำนาญอย่างมาก เพราะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง ได้มากๆ เช่น รอยเย็บ สีผิวบริเวณรอยหลุมไม่เท่ากันกับสีผิวข้างเคียง การที่กร้าฟที่นำมาปะรอยหลุมอาจจะไม่ติด เกิดการติดเชื้อ หรือแผลเป็นนูนภายหลังได้
เรียบเรียงและค้นคว้าใหม่ โดยนพ.จรัสพล รินทระ .......ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด.....6 September 2005
http://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=3&&col_id=224
จากคุณ :
NIIIM
- [
22 มิ.ย. 49 19:00:08
]
|
|
|