CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    วันแรกในอังกฤษ(ตอนต่อมา)

    ลงจากเครื่องวันแรกกว่าจะผ่าน ตรวจคนเข้าเมือง เราเข้าไปให้เขาดูพาสปอร์ตพร้อมกัน หนอย มาว่านี่ลูกชายหรอ กรำจริงๆน่ากะเหรี่ยงสามียิ่งอ่อนเยาว์อยู่ ไอ้เราขนาดว่าไปทำหน้าใสมาแล้วยังไม่สามารถลดไปได้เท่าเลย พอเราบอกไปว่าไม่ใช่ แม่คนนั้นดันขำกลิ้ง ดีๆๆ จะได้ไม่ต้องถามอะไรมาก เอาแต่ขำไป เลยไม่ค่อยได้ซักอะไรมาก ได้แต่ Stamp อย่างเดียว หลังจากนั้นก็ไปรับกระเป๋าที่สายพานเบอร์สอง แม่เจ้าโว๊ยย กระเป๋าเรานี่เด่นมาแต่ไกล ด้วยใบที่ใหญ่โต ข่มบารมีกระเป๋าชาวบ้านไปทั่ว อิอิ แต่ไม่ไหวมันหนักทำให้เดินถูลู่ถูกังเพราะกระเป๋าที่หนัก ขนาดใส่รถเข็นกันแล้ว แต่ขอบอกว่าแต่ละคนร่างกายบอบบางจะแย่ กว่าจะไปถึงทางที่จะขึ้นรถ Coach ได้ก็เมื่อยแขนเลยเนื่องจากต้องออกแรงในการบังคับรถเข็นมาก

    หลังจากนั้นก็ไปต่อรถ Couch ที่ Central Bus Station เดินตามลูกศรไปเรื่อยก็ถึงเองอ่ะ ป่วยการบอกว่า Terminal ไหน เพราะข้อมูลในคู่มือนักเรียนมันไม่อับเดทแล้ว จองรถได้เที่ยวที่ 9.45 ไปถึง St Margaret Market 12.00 น ก็เลยไปหาที่นั่งรอก่อนเพราะขณะนั้นแค่ แปดโมงนิดๆเอง เสียค่ารถไปคนละ 32 ปอนด์ ขอได้อย่าคิดคุณเป็นเงินบาทเชียว จะหนาว แค่ค่ารถเองยังขนาดนี้ รูดปรืดๆ ไปเลยบัตรจะได้ไม่คิดมาก

    หลังจากนั้นหาที่นั่ง ด้วยความที่รักในหลวง เลยใส่เสื้อเหลืองมากันเป็นเสื้อทีมทั้งกระเหรี่ยงผัวและกะเหรี่ยงเมีย พอเจอคนไทยที่ไหน ใครจะไม่รู้ก็บ้าไปแล้ว เลยได้รับการทักทายจากคนไทยไปทั้งสนามบิน รวมทั้งเจอน้องคนนึงที่เรียนอยู่ เบอร์มิ่งแฮม ก็มาลำเดียวกัน แต่เพิ่งจะมาคุยกันตอนรอรถเนี่ยหล่ะ จำไมได้หล่ะชื่ออะไร เดี๋ยวต้องไปควานหาก่อนว่าจดที่อยู่น้องเขาไว้ที่ไหน เผื่อว่าจะไปช๊อปปิ้งที่เบอร์มิ่งแฮมสักวันนึงข้างหน้า(ฝันหวานไปก่อน)

    รถที่นี่วิ่งตรงเวลาเป๊ะๆ ขอบอกมาถึงที่ก็ตรงเวลาแบบไม่มีช้าไปห้านาทีเลย ก้าวลงจากรถ 12.00 เด๊ะ เยี่ยมจริงๆ สมควรให้มาตรฐาน ISO ไปครอง ลงจากรถก็เอาล่ะจะไปทางไหนดี เดินไปจะโทรหาน้องเกด นักเรียนไทยที่ DMU ก็โทรศํพท์ดันกินเรียญอีก ไอ้บ้าเอ๊ย ดันกินไปตั้ง สองเหรียญ( 140 บาทเชียวนะ ไม่ใช้สองบาทบ้านเรา) ผละจากโทรศัพท์มาด้วยความหัวเสีย แล้วก็เอาล่ะไปแท๊กซี่กันดีก่า ก็เลยเรียกแท๊กซี่ ไปตามคู่มือนี่หล่ะ Inquiries Office ตึก Eric Wood แหมก็คู่มือมันดันบอกว่ามาถึงให้ไปที่ตึกนี้เสียด้วย ให้แท๊กซี่พาไป โหแค่สตาร์ท บ้านเราเริ่มต้นที่ 35 บาท บ้านมันเริ่มต้นที่ 2.2 ปอน์ด ขูดเลือดกันชัดๆ เลี้ยวซ้ายทีมิตเตอร์ขึ้น เลี้ยวขวาทีมิตเตอร์ขึ้น กว่าจะถึงแท๊กซี่พาหลงเสียสองเหลียว ถอยไปถอยมาก็ปาไปเกือบ 5 ปอน์ด เศร้า อะไรๆก็เป็นแพงหูดับไปหมด

    มาถึงก็แบบกะเหรี่ยงเข้าเมืองไปถึงตึก ก็เอาหล่ะ ถามดีก่าว่ามาหาใคร ว่าจะถามถึง Jamie ที่เป็นคนดูแลนักเรียนไทยที่ DMU กว่าจะพูดกันรู้เรื่องเพราะ she ที่ฟังแกเป็น อินเดียที่ทำงานอยู่ที่นั่นก็ ต้องเขียนกันล่ะ แล้วก็มีใครไม่รู้ใจดีมาโทรตามให้ หลังจากนั้น เจมี่ พ่อยอดขมองอิ่ม ก็โผล่มา พร้อมกับช่วยลากกระเป๋าไปตึกโน้นตึกนี้ และหาคนมาจัดแจงพาเราเข้าที่พักที Bede Hall ไปแท๊กซี่ฟรี ทีนี้ค่อยโล่งใจ แถมเจอเงินในแท๊กซี่อีก 1 ปอนด์ โอ๊ยดีใจ เมื่อกี้เสียกะโทรศัพท์ไปสองปอน์ด ยังเศร้าไม่หาย ถอนทุนคืนได้ 1 ก็ยังดีอ่ะ

    มาถึง Bede Hall ว่าจะไม่โหก็ต้องโห ดันให้กะเหรี่ยงแยกกันอยู่คนละห้อง แถมอยู่ตรงข้ามกัน ก้าวข้ามไปก้าวเดียวก็ถึงประตูอีกห้อง จะให้ตรูอยู่ทำไมฟะเนี่ยแยกกันอ่ะคิดในใจอย่างหัวเสีย เนื่องจาก อาทิตย์ละ ร้อยปอนด์ต่อห้องเชียวนะ ไม่ใช้เล่นๆ เครียดเลย เหงื่อตก แถมแชร์ห้องน้ำ 10 ห้องมีห้องส้วม 1 ห้อง ห้องอาบน้ำสองห้อง โอมายก๊อด จะบ้าตาย ครัวก็แชร์ เศร้า งานนี้คิดได้อย่างเดียวตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จะต้องหาที่อยู่ใหม่ให้ได้ อยู่ที่นี่แค่ สี่คืนพอ แค่นี้ก็แย่แล้ว

    หลังจากนั้นตอนเย็นมีนัดกับน้องปอ ชายหนุ่มที่มาเรียน อาร์ตที่ DMU แต่มาถึงก่อนอาทิตย์นึง ก็ไปเดินชมเมืองกัน ปอพาไปกินร้านอาหารจีนเป็นอาหารมื้อแรกที่ Leicester ราคา 3.99 ปอนด์ จานใหญ่มาก เลยสั่งมาจานเดียว กันกันสองคนผัวเมีย อิ่มจะแย่แล้วแค่นั้น

    หลังจากนั้นก็เดินชมเมืองสักพัก ไม่อยากจะบอกเลย ทุ่มนึงแล้ว ฟ้ายังสว่าง แบบไม่มีวี่แววว่าพระอาทิตย์จะตกเลยอ่ะ อะไรกันเนี่ย

    และก็ไปซื้อซิมโทรศัพท์ อิอิ มาวันแรกก็มีเบอร์โทรศัพท์ใช้แล้ว ค่าซิมแค่ 5.5 ปอนด์ ไปซื้อของ O2 เอา เขาบอกว่าถูกสุดอ่ะ คนที่บอกคือคนที่ขายของอีกยี่ห้อนึง ตอนมันบอกนี่ทำทีกระซิบกระซาบชอบกล 555 เราเลยย้ายร้านไป เสียค่า Top up ไป 10 ปอนด์ รวมเป็น 16 ปอนด์โดยประมาณสำหรับการได้ติดต่อผู้คนในครั้งแรก

    หลังจากนั้นก็ไปไหนต่อหนอ อ้อไปหาน้องเกด ช่วยเกดย้ายหอก่อน ขนกันพะรุงพะรัง ไปถึงหอเกด ก็กลับมานอน

    คืนแรกที่เหมือนฝันร้ายที่ไม่อยากจำ เราหลับไปก่อนแล้วแต่คุณสามียังนั่งใช้เนตอยู่ ขอบอกว่าห้องตรงข้ามกัน สุดท้ายก็ดอดมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี จะไปแยกอยู่ให้มันเหงาเว้งง้างทำไม เช๊อะ สามีล้มตัวลงมานอนได้ไม่นาน เวลาประมาณ ตีหนึ่ง มีเสียง aLARM ลั่นหอ ประหนึ่งว่าไฟไหม้ โหเรางี้ตกใจ กระเหรี่ยงชายโดดไปห้องตัวเอง เห็นไฟที่เพดานห้องตัวเอง (สัญญาณไฟ)ร้อง ก็คิดว่าไฟมาจากห้องตัวเอง ก็ร้อง Help me Help me แต่ขอโทษ ห้องอื่นหันกลับมามองแบบไม่ค่อยสนใจ ส่วนกะเหรี่ยงเมียหรอ เก็บเงินก่อนเลย ของที่มีค่า อ้อ พาสปอร์ต กระเป๋า โน๊ตบุ๊คหรอเก็บแต่ดันลืมหยิบไป แล้วได้ยินเสียงคนตะโกนบอกว่าให้วิ่งออกไปนอกตัวอาคาร ก็เลยวิ่งตามๆกันไป โชคดีนะที่พักอยู่ชั้นล่างสุด ไม่อยากจะบอกเลยว่า งง กะมันมาก ทำไมผู้คนคืนอื่นวิ่งมาแต่ตัว แถมแต่งตัวกันสบายๆ ไม่ถือแม้แต่กระเป๋าสตางค์ นี่มันเรื่องจริงๆหรือนี่ อยากจะเคาะกบาลตัวเอง หรือว่าเราฝันหว่า ก็ได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่าให้เข้าไปข้างในแล้วเขาก็เชคชื่อ ……….. โอ๊ย อยากจะบ้าตาย สรุปคือเขาซ้อมเสมือนจริงกันหรอ คนที่อยู่มานานเขาชินแล้ว กรำแล้วนี่ไม่บอกสักคำ อายจะตายเป็นยายบ้าหอบของออกมา ดีนะไม่บ้าพลังหอบกระเป๋า ตู้เย็น ออกมาด้วย

    ทั้งอาย ทั้งขำ แถมยังรู้สึกว่า นี่ถ้ามันไหม้จริงๆ ไอ้พวกที่คิดว่าซ้อมอ่ะ มันจะเสียดายไหมที่ไม่ได้เอาอะไรออกมาแม้แต่เสื้อใน มันยังไม่ใส่กันออกมาเลย ดูสิ หลังจาก งง กับเหตุการณ์ดังกล่าว ก็นอนไม่ค่อยหลับแล้ว ตีสาม เริ่มสว่างไรๆแล้ว ตีสี่นี่สว่างจ้าเลย โห พระอาทิตย์ไมจะรีบขึ้นนัก เมื่อคืนกว่าจะมืดก็ สี่ทุ่ม ท่าพระอาทิตย์จะทำโอทีอ่ะบ้านเมืองนี้

     
     

    จากคุณ : นางฟ้าของมารี - [ 26 ก.ค. 49 23:17:45 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com