ความคิดเห็นที่ 6
ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
ชื่อวิทยาศาสตร์ Aloe vera (Linn.) Burm. f., Aloe barbardensis Mill. ชื่อวงศ์ Liliaceae ชื่ออังกฤษ Mediteranean aloe, Star cactus, True aloe ชื่อท้องถิ่น ว่านไฟไหม้, หางตะเข้
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์
1. สารสำคัญในการออกฤทธิ์เป็นยาถ่าย
สารที่พบจากยางที่เปลือก คือ anthraquinone มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย (1) Aloin เป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญ โดยไปกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (2-6)
2. ฤทธิ์สมานแผล
มีผู้ทดสอบพบฤทธิ์สมานแผลของ aloe gel (7-10) โดยมีฤทธิ์เร่งการจับตัวของเซลล์ (11) และเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ (12)
3. สารสำคัญในการออกฤทธิ์สมานแผล
สารออกฤทธิ์สมานแผลคือ Aloctin A (13) และ Aloctin B (14)
4. ฤทธิ์ลดการอักเสบ
aloe gel มีฤทธิ์ลดการอักเสบ (15)
5. สารสำคัญในการออกฤทธิ์ลดการอักเสบ
5.1 สารซึ่งออกฤทธิ์คือ Aloctin A (16-21) โดย Aloctin A ไปยับยั้งการสังเคราะห์ prostaglandin E2 จาก arachidonic acid (21)
5.2 มี Bradykininase ซึ่งเป็น enzyme พวก carboxypeptidase ซึ่งจะไปทำลาย Bradykinin ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบ (22, 23)
6. ฤทธิ์ต้านฮีสตามีน
6.1 วุ้นว่านหางจระเข้มี aloe ulcin ซึ่งยับยั้งการสังเคราะห์ histamine จาก histidine (24)
6.2 วุ้นว่านหางจระเข้มี magnesium lactate ต้านการสังเคราะห์ histamine จาก histidine (25)
7. ฤทธิ์ขยายหลอดเลือด
มีการทดลองฉีดสารสกัด aloe ให้กระต่ายแรกเกิด พบว่าไปขยายหลอดเลือดใน cortex (26)
8. ฤทธิ์รักษาแผลไฟไหม้, แผลน้ำร้อนลวก
8.1 ได้มีผู้ทดลองผลการรักษาแผลไฟไหม้เนื่องจากรังสี (27-29) และความร้อน (30-32)
8.2 มีผู้พบสารออกฤทธิ์คือ polysaccharide (31) และ methyl derivative ของ polysaccharide (33)
9. ฤทธิ์แก้ปวด
aloe gel มีฤทธิ์ระงับปวด (33, 34) มีผู้มาใช้แก้ปวดเนื่องจากพิษแมงกะพรุน (35)
10. การทดลองทางคลินิก ใช้รักษาแผลไฟไหม้, แผลน้ำร้อนลวก
10.1 มีการทดลองใช้น้ำเมือกจากว่านหางจระเข้ หรือขี้ผึ้งทาภายนอก รักษาแผลไฟไหม้ในคน พบว่าได้ผลดีในแผลไหม้ที่เกิดจากความร้อน X-ray และรังสีจากกัมมันตรังสีอื่นๆ (36-42)
10.2 Crew ได้รายงานผลการรักษาผู้ป่วยที่มีบาดแผลไหม้ที่ขา และลำตัวด้วยวุ้นสดและครีม พบว่าให้ผลการรักษาดี มีผลข้างเคียงในเรื่องท้องเสีย เนื่องจากสาร anthraquinones ในน้ำเมือก (40)
11. การทดลองทางคลินิก ใช้รักษาอาการบวม, ฟกช้ำ, อักเสบ
11.1 มีผู้ทดลองฉีดสารสกัดจากใบว่านหางจระเข้ให้คนไข้ 50 คน ซึ่งเป็นโรคเหงือกอักเสบระยะแรก และระยะที่ 2 พบว่าได้ผลลดการอักเสบ แต่ถ้าเป็นระยะที่ 3 จะไม่ได้ผล (43, 44)
11.2 มีรายงานการทดลองทางคลินิก ใช้รักษาพิษของ ivy (45)
12. การทดสอบความเป็นพิษ
12.1 วุ้นว่านหางจระเข้
12.1.1 การทดลองพิษเฉียบพลัน และพิษเรื้อรัง โดยให้น้ำเมือกทางปากกับหนูในขนาด 1, 4, 16, 64 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 2 วัน ไม่ทำให้ SGOT, SGPT, BUN หรือระดับ creatinine เปลี่ยน (46)
12.1.2 การทดลองพิษเฉียบพลัน โดยให้ว่านหางจระเข้กับหนูถีบจักรและหนูขาวกินจนถึงขนาด 20 กรัม/กิโลกรัม ไม่พบพิษ (47)
12.1.3 การทดลองพิษกึ่งเรื้อรัง โดยให้ว่านหางจระเข้กับหนูถีบจักร และหนูขาวจนถึงขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม เป็นเวลา 45 วัน ไม่พบพิษ (48)
12.2 ยาง
12.2.1 คนไข้ที่เป็นโรคดีซ่าน เมื่อได้รับการรักษาขนาด 1 กรัม ของยาที่ผสมว่านหางจระเข้ โกฐน้ำเต้า และชุมเห็ด เสียชีวิตเนื่องจากทำให้ตับถูกทำลาย รวมถึงไต ม้าม หัวใจ และปอด (48)
12.2.2 ว่านหางจระเข้อาจเป็นสาเหตุ hypersensitivity ในคน (49)
13. ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์
anthraquinone มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ในการทดลองกับ Salmonella typhimurium สาย TA1535, TA100, TA1537, TA1538, TA98 (50) แต่มีผู้พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ (51)
การใช้ว่านหางจระเข้รักษาอาการท้องผูก
กรีดยางจากว่านหางจระเข้มาเคี่ยวให้งวด ทิ้งไว้ให้เย็นจะได้ก้อนสีดำ (ยาดำ) ตักมาปลายช้อนชา เติมน้ำเดือด 1 ถ้วย คนให้ละลาย เด็กรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชา ก่อนนอน (52)
การใช้ว่านหางจระเข้รักษาแผล, ฝี
นำใบสดมาปอกเอาแต่วุ้นถู และปิดที่แผลเนื่องจากโดนความร้อน การรีบรักษาใน 24 ชั่วโมง จะทำให้การรักษาได้ผลดี (53, 54)
ข้อควรระวัง
1. ระวังเรื่องการติดเชื้อ เพราะวุ้นว่านหางจระเข้ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ
2. วุ้นว่านหางจระเข้ไม่คงตัว ถ้าปอกแล้วเก็บไว้ได้เพียง 6 ชั่วโมง
3. ควรปอกแบบ aseptic technique เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
4. ระวังการปนเปื้อนของ anthraquinone ซึ่งทำให้แพ้ได้ จึงต้องล้างวุ้นให้สะอาด http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/alovera.html
จากคุณ :
NIIIM
- [
8 ส.ค. 49 19:16:11
]
|
|
|