สืบเนื่องจากกระทู้ "เหลืออีกสามอาทิตย์จะแต่งงานแล้ว... แต่(เจ้าบ่าว)ไม่อยากแต่ง จะเลี่ยงยังไงดี" ของคุณ nouvo
********************************************
ก่อนอื่น พูดถึงฝ่ายที่ไม่อยากแต่งก่อน
ถ้าคุณไม่อยากแต่งเพราะแค่เกิด"กลัว"ขึ้นมาเฉยๆ อย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Cold Feet อันนี้ต้องลองไปคุยกับจิตแพทย์ดู เคยอ่านเจอว่าหลายคนมีอาการนี้เพราะเกิดอาการเครียดก่อนแต่ง(ไม่ใช่ไม่รักแฟนแล้ว) เป็นเรื่องธรรมดานะ ไปรับการบำบัดแต่เนิ่นๆ น่าจะหายเป็นปกติ
>
>
>
>
>
ทีนี้มาพูดถึงฝ่ายที่อยากแต่ง แต่ถูกอีกฝ่ายปฎิเสธ
เราเองก็เคยเป็นม่ายขันหมากเหมือนกัน
หมั้นมาสองปี พอก่อนแต่งไม่ถึงเดือน บอกเพื่อนฝูงญาติพี่น้องไว้หมดแล้ว พ่อมาบอกเลิกกลางอากาศซะงั้น
เหตุผลที่เขาให้คือไม่อยากรับผิดชอบลูกของเรา(ม่ายลูกสอง) เพิ่งคิดได้ในนาทีสุดท้าย
ก่อนหน้านั้นคือเพราะรักมันบังตา เขาก็เลยคิดว่าจะทำใจได้ พอจวนจะแต่งอยู่รอมร่อแล้วนั่นแหละ ถึงตัดสินใจได้ว่าตัวต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไรในชีวิต
ม่ายขันหมากโดยเฉพาะสังคมบ้านเรา แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งเจ็บปวด ทั้งอาย ตอนนั้นซึ้งจริงๆกับวลีที่ว่า "แทบจะเอาปี๊บคลุมหัวเดิน" ไปไหนมีแต่คนถามเรื่องแต่งงาน
ตอนนั้นได้แต่พยายามหาเหตุผลดีๆมาคอยปลอบใจตัวเอง คนเราถ้าไม่ใช่เนื้อคู่ ต่อให้ขันหมากมาจ่อหัวบันไดบ้านแล้ว มันก็มีเหตุให้ต้องคลาดแคล้วกันไปจนได้(ล่ะวะ)
>
>
>
>
>
>
>
สี่ปีผ่านไป เราได้พบรักและแต่งงานกับคนที่รักเราและลูกเรามาก เราก็รักเขามากเช่นเดียวกัน ไอ้ที่บอกตัวเองตอนอกหักใหม่ๆว่าฉันจะไม่รักใครอีกแล้ว(โว้ย) ก็กลืนน้ำลายตัวเองไปนมนานแล้ว
ทุกวันนี้ชีวิตแฮปปี้มากๆ นึกขอบคุณอดีตคู่หมั้นเสมอที่เดินออกไปจากชีวิตของเราในตอนนั้น ทำให้เราได้มาเจอคนที่รักเราทั้งแพ็คเกจ(เพราะแพครวมมากับลูก)ไม่ได้รักแต่ตัวเรา แถมคนนี้ยัง หนุ่มกว่า หล่อกว่า แข็งแรงกว่า(สุขภาพน่ะ อย่าคิดมากกก) โรแมนติกกว่า ฯลฯ
โบราณเค้าถึงว่าไว้ว่า คนเรา ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน เศร้าแล้วเดี๋ยวก็สุขได้อีกแหละ
ส่วนเขาคนนั้น ก็ได้ข่าวว่าเขาแต่งงานไปกับสาวใหญ่อายุใกล้เคียงกัน สดหรือเปล่าไม่รู้ แต่เดาเอาว่าสาวเจ้าคงไม่มีเรือพ่วงแน่ๆ
ได้ยินมาว่าครอบครัวเขาก็มีความสุขกันดี เราก็ดีใจด้วยจากใจจริง ไม่รู้จะไปเก็บความโกรธเคียดแค้นไปทำไม อยู่บนโลกใบเดียวกันอีกไม่กี่สิบปีก็ต่างคนต่างตายจากกันไปแล้ว
เมื่อตอนที่เขาทิ้งเราไปแรกๆน่ะแค้นหรอก แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ใช่แม่พระนี่หว่า
แต่เมื่อดำรงชีวิตต่อมาได้ จนมาเจอคนที่"ใช่" ตอนนี้กลับมาสำนึกเสมอว่า โห เรานี่โชคดีมากๆ ถ้าเขาไม่ออกไปจากชีวิตเราในตอนนั้น เราก็คงไม่ได้เจอผู้ชายประเสริฐๆที่เราได้ร่วมชีวิตด้วยทุกวันนี้หรอก
ตอนที่อกหักจริงๆมันก็เจ็บแป๊บเดียวเอง มันอยู่ที่ตัวเราทำตัวเองด้วยนะว่าจะรู้จักมองโลกในแง่ไหน พอเลิกร้องห่มร้องไห้แล้วก็ลุกมาแต่งตัวสวยๆ นัดกินข้าว ช้อปปิ้งกับเพื่อนๆ เเรกๆก็ยากหน่อย พอวัน เดือน ปี มันเคลื่อนคล้อยไปเรื่อยๆ ความเจ็บมันก็ละลายไปเรื่อยๆ จากก้อนเท่ามะพร้าว สามปีผ่านไปเหลือเล็กเท่าเม็ดพริกไท
ถ้าตอนนั้นเกิดได้แต่งกับคนเก่า คงได้ทะเลาะกันเป็นกิจวัตร ไม่รู้จะทนอยู่ด้วยกันนานไหม เผลอๆถ้าอึดทั้งคู่อาจตะบอยทนอยู่อย่างนั้นเป็นปีๆ เด็กๆคงพลอยไม่มีความสุขไปด้วย ถ้าได้แต่งสมใจแต่ต้องมีชีวิตสมรสแบบนั้น ก็ไม่รู้จะอยากแต่งไปหาอะไร
ยิ่งนึกก็ยิ่งดีใจจริงๆ และขอบใจจริงๆที่เขาทิ้งเราไป
>
>
>
>
>
ใครก็ตามที่กำลังอกหัก ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^
จากคุณ :
Jennifer Lowclass
- [
17 ส.ค. 49 11:02:56
]