ฉันกรีดร้องด้วยความเจ็บอยู่ในใจ หยุดได้แล้ว please พอได้แล้วกรุณาเถอะ หยุดเถอะ มีแต่เสียงโอ๊ยยยย โอยยย เท่านั้นที่หลุดออกมา ฉันร้องอยู่ตั้งนานสองนาน หมอที่นี่คงไม่รู้หรอกกระมังว่ามันแปลว่าอะไร ไอ้โอ๊ยยยย โอยยย ของฉันเนี้ย ฝรั่งอ่ะนะถ้าเจ็บเขาต้องร้อง Ouch! Ouch! แต่ฉันมันคนไทยร้องอย่างนั้นจะไปได้อารมณ์เจ็บอะไร้ กว่ามิสเตอร์เบลลมี่จะรู้ว่าฉันเจ็บและยอมเอานิ้วมือยาวๆ หนาๆ (อย่าคิดเป็นอื่นไป อิอิอิ)ของแกออกจากก้นฉัน ฉันแทบร้องไห้ ถ้าเขาแค่เอานิ้วจิ้มๆ ก็ยังเจ็บไม่เท่าไหร่ แต่นี่เขาเอานิ้วคลำแล้วก็สอดเข้าไปลึกเข้าๆ เพื่อจะสัมผัสดูว่าเจ้าเนื้อร้ายเป็นยังไงบ้าง ยาวไปถึงไหนแล้ว เขายังจะมีหน้ามาถามฉันว่ายังไม่ชินอีกเหรอ เขาจะต้องทำอย่างนี้กับฉันไปตลอดชีวิตเลยนะ คิดดูสิ ชีวิตฉันช่างอาภัพอะไรอย่างนี้ ใจจริงฉันก็ไม่อยากจะมาหาเขานักหรอก ก็ฉันกลัวโดนจิ้มก้นนะสิ ถ้าใช้ยาชา หรือยาสลบได้ก็คงจะดี แต่นี่จิ้มกันสดๆ เลย เจ็บน้ำตาแทบเล็ด ก่อนที่เขาจะจิ้มเขาก็ใส่ถุงมือ แล้วก็ใส่เจลแล้วหล่ะ แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดี ไม่รู้จะทำยังไง ก็ต้องทำใจดีสู้นิ้วเสือเอาไว้
ผลจากการที่ฉันได้ฉายรังสีกับทำคีโม เขาบอกว่าเจ้าเนื้อร้ายนี้ได้ย่อลงแล้ว และก็นุ่มลงมาก เป็นที่น่าพอใจ เขาดีใจที่ฉันได้พักการเรียนเอาไว้ เพราะเขาไม่อยากให้ฉันต้องพะวง เป็นห่วงว่าไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะเรื่องผ่าตัดและเรื่องอะไรต่างๆอีกจิปาถะ คนป่วยอย่างฉันเนี้ยคิดไปได้ 108 เลยแหละ เขาก็เป็นหมอที่ดีคนนึงเลยนะ ฉันละโล่งใจจริงๆตอนที่เขาตรวจเสร็จ ไม่ชอบเลยเวลาโดนจิ้มที่รูก้นเนี่ย
มิสเตอร์เบลมมี่บอกกะฉันด้วยสีหน้านิ่งๆ แล้วบอกกับฉันว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องผ่าเอาเนื้อร้ายออก นี่จะเป็นการผ่าตัดกับมิสเตอร์เบลมมี่เป็นครั้งแรก ครั้งก่อนนั้นเป็นการผ่าตัดกับคุณหมอโรมเพื่อ ยกรังไข่เอาไปเหน็บไว้ข้างๆ กระดูกซี่โครงเพื่อไม่ให้การฉายรังสีไปทำลายรังไข่ แต่เขาก็ช่วยไว้ได้แค่ข้างเดียว ก็ยังดีกว่าไม่มีสักข้างนะ ครั้งนี้ต้องเอาเจ้าเนื้อร้ายที่ลำไส้ส่วนปลายออก และฉันก็จะต้องใช้ถุงเพื่อช่วยในการขับถ่าย เพราะเวลาที่ผ่าเอาเนื้อร้ายออกนั้น เขาต้องต่อลำไส้ที่เหลืออยู่เข้าด้วยกัน จึงจะต้องใช้เวลาอย่างมากที่จะทำให้ลำไส้ทั้ง 2 ส่วนนั้นใช้การได้และเชื่อมติดเป็นเนื้อเดียวกัน เขาจะต้องผ่าเนื้อข้างๆสะดือเป็นแนวนอนไปประมาณ 4-5 เซนต์ เพื่อที่จะต้องดึงลำใส้ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อลำไส้ใหญ่กับลำไส้เล็ก ออกมาข้างๆสะดือไปทางด้านขวาที่เขาผ่าไว้ แล้วก็ตัดให้มีรู เพื่อที่จะได้ลำเลียงของเสียออกมาหลังจากการย่อย ซึ่งจะอาหารที่ย่อยจะไม่มีโอกาสส่งไปถึงสำใล้ส่วนปลาย แล้วขับออกมาเป็นอึ๊อึ แต่จะถูกขับออกมายังลำใส้ที่ยื่นออกมาจากข้างๆ สะดือ แล้วก็จะถูกขับออกมาใส่ถุงที่เก็บอุจจาระที่ติดครอบตัวลำใส้ที่ยื่นออกมา จะได้ไม่เลอะเทอะ หึ ....เป็นไงน่าเวทนาไหมล่ะตัวฉัน จะพิการก็ไม่พิการจะดีก็ไม่ดี ครึ่งผีครึ่งคนเรียกอย่างนี้ก็น่าจะได้นะ ดีไม่ดี ถ้าเกิดไม่พอใจใครก็ดึงถุงอึ๊อึมาปาใส่เขาไปเลย ...ล้อเล่นค่ะ ฉันไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ
ในเวลานั้นฉันก็ไม่ค่อยได้สนใจ ว่าเขาพูดอะไรบ้าง มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาในหัวสมองมีแต่ความว่างเปล่า อ๋อไม่สิ ผ่าอีกแล้ว ผ่าอีกแล้ว เสียงนี้มันก้องอยู่ในหูฉัน เพราะใจมันยังจดจ่ออยู่กับก้นเจ้าปัญหาด้วยความเจ็บ ก่อนที่จะกลับเขาย้ำวันผ่าให้ฉันอีกครั้งว่าเป็นวันที่ 10 เดือนพฤษภา เขาคงดูรู้แหละว่าฉันเศร้าขนาดไหน เขาก็คงจะดูออกอีกเหมือนกันว่าคำพูดของเขาไม่ได้เข้าไปในโสทประสาทของฉันเลย เขาก็กล้มเซนต์เอกสาร เพื่อใช้เป็นใบส่งตัวที่ฉันจะต้องนำไปในวันที่ฉันจะไปผ่า หรือะเรียกสั้นๆ ว่าแอ๊ดมิด มาจาก Admission คือการเข้าไปอยู่โรงพยาบาลนั่นแหละค่ะ แล้วเขาก็ยื่นให้มือฉัน เขาย้ำให้ฉันมั่นใจอีกครั้ง ว่าครั้งนี้เป็นการผ่าตัดครั้งนี้สำคัญมากเพราะเขาจะตัดเอาเจ้าเนื้อร้ายออกมาไม่ให้เหลือหลอ มะเร็งจะได้ไม่แพร่ไปที่ไหนได้อีก
ขอย้อนไปก่อนหน้านี้นิดหนึ่ง หลังจากที่ฉันได้ไปพักการเรียนไว้ ทางภาควิชาก็ได้ให้เอกสาร ให้ฉันเอาไปยื่นที่ อิมมิเกรชั่น Immigration หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง วันถัดไปฉันก็ไปที่นั่นกับชอน ที่เมลเบิร์น อิม (Immigration)จะอยู่ในเมือง ใกล้กับสถานีรถไฟ พาละเมนท์Parliament Station ขอเรียกอิมมิเกรชั่น สั้นๆว่า อิมนะคะ พอไปถึงฉันก็ไปรับบัตรคิว แล้วเขาก็จะให้นั่งรอจนกว่าจะถึงคิวของตัวเอง โดยที่หมายเลขคิดจะขึ้นโชว์ แล้วก็จะมีเสียงบอกว่าหมายเลขนี้ให้ไปที่เคาท์เตอร์ไหน สมัยนี้เวลาจะไปที่อิมจะต้องจองล่วงหน้าก่อน ไม่งั้นเขาไม่รับทำเรื่อง เพราะที่นั่นยุ่งวุ่นวายมาก ผู้คนเยอะแยะไปหมด (มีแต่ต่างชาติทั้งนั้น) บางคนก็เป็นนักเรียนต่างชาติ บางคนก็มาติดต่อเรื่องอยากย้ายถิ่นฐาน เยอะแยะไปหมด
ฉันนั่งรอจนเขาเรียกหมายเลขของฉันแล้วก็ให้ไปที่โต๊ะที่มีเจ้าหน้าที่รออยู่ พวกเราไปถึงเจ้าหน้าที่ก็เชิญให้เรานั่ง ฉันก็ยื่นเอกสารให้เขา แล้วบอกว่าฉันได้ขอทำการพักการเรียนไว้กับทางโรงเรียนไว้ เพราะฉันเป็นมะเร็งในลำไส้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่นี่และฉันไม่สามรถทำในประเทศไทย เพราะหมอที่เมืองไทยยังไม่ค่อยมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรง และตัวฉันเองก็มีประกันสุขภาพ กับ Medibank (แล้ว) และถ้าทางประกันสุขภาพจะรับผิดชอบในเรื่องของค่าใช้จ่าย และชอนก็รับรองว่าเขาจะรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นที่นอกเหนือไปจากนั้น ซึ่งฉันจะต้องทำการผ่าตัดในเดือนหน้า ชอนนำพวกเอกสารต่างๆ จากหมอและผลตรวจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น CT Scan และ Colonoscopy เยอะแยะไปหมด เจ้าหน้าที่เขาก็ดู แล้วเขาก็บอกว่าเขาจะทำโน๊ตไว้ที่คอมพิวเตอร์ว่าฉันลาพักการเรียน แต่ว่าฉันจะต้องมาเรียนในเทอมหน้า ฉันก็รับคำ และก็เดินทางกลับบ้าน โชคดีที่ไม่มีปัญหาอะไร ฉันก็เลยไว้วางใจพวกอิมซะดิบดี แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดนะสิ ทิ้งท้ายไว้เท่านี้ก็พอ(ไม่อยากบอก ติดตามไปเรื่อยๆก่อน เดี๋ยวไม่ตื่นเต้นค่ะ)
ใกล้จะถึงวันผ่าอีกหน ฉันรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นเมื่อคิดถึงการผ่าตัด เวลาที่กลัวมันก็กลัวสาระพัด ไหนจะมีด ไหนจะเข็ม ไหนจะต้องใส่ถุงอึ (ตอนนั้นยังนึกไม่ออก) กลัวที่สุดน่าจะเป็นเจ็บหลังผ่า มันทั้งเจ็บและทรมาน เป็นใครๆ ก็กลัวนะคะ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย ใจหนึ่งฉันก็กลัวว่าจะหลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีนะสิ แย่แล้วสิ... ฉันเริ่มคิดมาก เริ่มคิดว่านี่ เอ...ฉันคิดผิดหรือปล่าวน้าาา ที่ดั้นด้นมาเรียนที่นี่ ถ้าฉันยังอยู่ที่เมืองไทยจะเป็นยังไงนะ ฉันคงไม่เป็นมะเร็งแน่ๆ เลย เพราะฉันทำงานที่บริษัทหมีน้อย เราก็ทำการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งอยู่แล้ว แต่พอมาที่นี่ฉันไม่ได้ตรวจอะไรจริงๆจังๆ เลย นอกจากจะตรวจร่างกายเพื่อทำเรื่องขอต่อวีซ่านักเรียนเท่านั้น และไม่นึกว่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นด้วยหล่ะ ออกจะแข็งแรง ขนาดไปทำงานฟาร์มที่รัฐควีนสแลนด์ ก็ยังไปมาแล้ว เฮ้อ ...คิดไม่ตก
ตอนนั้นใจฉันใจไม่ค่อยจะสู้ดีแล้วล่ะสิ คิดถึงบ้านจังเลย คิดถึงแม่ น้องชาย ญาติๆ และเพื่อนๆทุกคน ฉันไม่ได้กลับบ้านมา 3 ปีแล้ว ฉันเหนื่อยใจมากทั้งท้อและล้าเหลือเกิน น้ำตาไม่ต้องพูดถึงเลย ฉันนอนร้องไห้ทุกคืนอยู่แล้ว เคยคิดว่าถ้าฉันตายจะมีใครเสียใจไหม ฉันตายไปก็น่าจะดีนะคนรอบข้างฉันจะได้ไม่ลำบาก สงสารชอนจัง แล้วก็สมเพทตัวเองด้วย ฉันไม่น่ามาที่นี่เลย อยู่เมืองไทยก็ดีอยู่แล้วเชียว ฉันคิดมาก จนเลยเถิด ฉันบอกชอนว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันขอไม่มาที่นี่ดีกว่า เพราะมาแล้วทำให้ฉันเป็นมะเร็ง เขาบอกว่าพูดแบบนี้ เขาเสียใจนะ เขาไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันเลยเหรอ ถึงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอย่างนี้ ฉันก็บอกเขาว่าฉันไม่ดีพอสำหรับเขา เขายังมีโอกาสได้เจอคนที่ดีๆ และมีครอบครัวที่อบอุ่น ฉันอาจจะมีลูกไม่ได้ และเรายังมีอะไรด้วยกันไม่ได้อีก ฉันเหมือนเป็นตัวถ่วง ความเจริญของเขา เขาร้องไห้แล้วบอกว่า สำหรับเขาแล้ว เซกส์ ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของฉัน ขอให้ฉันหายก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง คำพูดของเขาทำให้ฉันร้องไห้ เราสองคนกอดกันกลมแล้วร้องไห้ เขาดีมาก ดีมากจนเกินไป ฉันทำบุญหรือทำกรรมอะไรไว้นะ มันควรที่จะเป็นช่วงที่ฉันมีความสุขที่สุดไม่ใช่เหรอ ที่มีคนที่ฉันรักอยู่เคียงข้าง แต่แล้วทำไมในเวลาเดียวกัน มันก็เป็นช่วงที่ฉันมีความทุกข์ถึงที่สุด ทุกข์ทรมานมากที่เป็นโรคนี้ ชอนบอกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่ฉันเป็นมะเร็ง และมันก็ไม่ใช่ความผิดของฉันด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมทอดทิ้งฉัน เพราะเขาสงสารฉัน
ตอนวันศุกร์ฉันได้รับโทรศัพท์จากคุณจูลี่นางพยาบาลของโรงพยาบาลคาบรินี่ Cabrini อยู่แถวมาลเฟิร์น ซึ่งทั้งหมอเบนและมิสเตอร์เบลลมี่ทำงานอยู่ที่นั่น คาบรินี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดของเมลเบิร์น ขนาดไคลี่ มินอค นักร้องเพลงป๊อบยอดนิยม ก็เคยมาผ่าตัดที่โรงพยาบาลนี้ตอนเธอเป็นมะเร็งในเต้านม เขาให้ฉันมาตอนเช้า ของวันที่ 10 พฤษภา ซึ่งเป็นวันจันทร์ ฉันจะต้องงดอาหารตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมพร้อมที่จะต้องผ่าตัดประมาณ 4 โมงเย็น แล้วคุณพยาบาลจูลี่ ก็บอกว่าเขาได้เช็คแล้วทางประกันสุขภาพ Medibank จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย แต่ว่าก็ต้องมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ฉันต้องออกเอง ฉันก็บอกไม่มีปัญหา
พอถึงวันจันทร์ตอนเช้าชอนก็มาส่งฉันแล้วก็จูบลาฉันเบาๆ เขาทิ้งท้ายให้ฉันหายไวๆ แล้วเขาก็เลยไปทำงาน ฉันใจชื้นขึ้นมาหน่อย ตัวฉันเองก็เดินตรงปรี่ไปรายงานตัว คาบรินี่เป็นโรงพยาบาลที่สวย สะอาดและตัวอาคารดูใหม่ มีสวนกว้างๆ ปลูกดอกไม้สวยๆ และมีต้นไม้สีเขียวๆ เต็มไปหมด บรรยากาศดี ครั้งนี้เจ้าหน้าที่เขาจัดให้ฉันอยู่ห้องพิเศษเพราะว่าฉันจะต้องพักรักษาตัวนานหน่อย ประมาณ 2 อาทิตย์ ห้องของฉันอยู่ชั้น 4 เป็นห้องที่อยู่ไม่ไกลจากเคาท์เตอร์ จะมีพยาบาล เจ้าหน้าที่เดินไปมา คุยกันเสียงก็เข้ามาที่ห้องฉัน แต่ก็ดีฉันจะได้ไม่เหงา แต่บางครั้งก็น่ารำคาญ ภายในห้องผู้ป่วยมีทีวี ตู้เย็นเล็กๆ และมีห้องน้ำในตัว ซึ่งสะอาดและสะดวกสบายเป็นอย่างมาก
ที่โรงพยาบาลแรกที่ฉันเคยไปอยู่นั้น ฉันต้องเดินไปอาบน้ำ ไกลก็ไกล ไม่สะดวกเลย ผิดกับที่นี่อย่างเห็นได้ชัด และนางพยาบาลที่นี่ก็ดีกว่าเขาจะเรียกชื่อฉัน และจำฉันได้ทุกคน ฉันต่างหากหละที่จะชื่อเขาไม่ค่อยได้กัน ก็จะดูที่ป้ายชื่อเอา เขาให้ฉันเปลี่ยนชุดกาวน์ แล้วก็ให้นอนพักไป ฉันก็นั่งไป นอนไป ดูทีวีไป เพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ส่วนใจก็ตุ้มๆ ต่ำๆ กังวลนิดๆ เขาก็เอาเอกสารมาให้อ่าน สักพักก็มีคุณเฮเลน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับทางด้านท้องและลำใส้ต่างๆ เขามาแนะนำว่าฉันจะต้องใส่ถุงที่เรียกว่าอีลีออสโตมี แบ็ก( Ileostomy bag) เป็นถุงที่ใช้เก็บอุจจาระที่ย่อยเสร็จแล้ว ขอเรียกว่า "ถุงอึ" นะคะ เขาก็เอาเอกสารมาให้ฉันอ่านว่าจะต้องดูแลรักษายังไง เมื่อเต็มแล้วจะเปลี่ยนยังไง ต่างๆนานา ฉันก็ไม่ค่อยได้สนใจ เพราะว่าใจฉันอยู่ที่ห้องผ่าตัดแล้ว คุณเฮเลนก็มาวัดตรงที่ท้องเลยสะดือไปด้านขวา แล้วเขาก็ทำเครื่องหมายกากบาทไว้ว่า จะต้องดึงลำใส้ออกมาที่จุดนี้ แล้วเขาก็ฉีดเสปรย์ใสกันน้ำ เพื่อไม่ให้เครื่องหมายที่เขียนไว้โดนลบไป แล้วเขาจะมาอธิบายการใช้ถุงอีกทีหลังจากที่ฉันผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว
สักพักก็มีหมอที่มีถามว่าจะใช้ยาสลบแบบไหน เหมือนเคย จะเอาแบบล็อคหลัง หรือเอพิทูรอล เป็นการฉีดยาเข้าไขสันหลัง epidural เพื่อให้มีอาการชา จะได้ไม่เจ็บแผลหลังผ่าตัด แต่ฉันก็ขอเลือกวิธีที่กดปุ่มเอา เมื่อเราเจ็บ แล้วก็ไม่แพงด้วย วินาทีที่รอคอยก็มาถึง บุรุษพยาบาลก็เข็นเตียงเปล่าๆมาเพื่อที่จะนำฉันไปที่ห้องผ่าตัด ฉันก็พยายามทำใจให้สบาย หายใจเข้า ออก พุท โธ ให้ใจสงบนิ่งมากที่สุด พยายามไม่คิดอะไรเลยเถิด แล้วเขาก็พาฉันมาที่หน้าห้องผ่าตัด ครั้งนี้ฉันไม่ต้องทำอะไรมาก ที่โรงพยาบาลนี้เขาโกนขนให้ฉันขณะที่ฉันสลบไปแล้ว ฉันก็ไม่รู้เรื่องหรอก เขาอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง
จากคุณ :
Summer_scent
- [
30 ก.ย. 49 10:45:22
]