ขอบอกเลยนะว่า วันก่อนไปเห็นร้านอาหาร ร้านขายขนม แผงลอยทั่วๆไปตามริมถนน แล้วอึ้งมากๆเลย
คือหลังจากเขาเก็บร้านแล้วทำความสะอาดแล้ว เราก็นึกว่าเสร็จแล้ว แต่เรากลับเห็นเขาเอายาฆ่าแมลงมาพ่นตามที่ประกอบอาหาร เช่นบางร้านที่เป็นตู้ใส่เครื่องก๋วยเตี๋ยวก็พ่นเข้าไปในตู้เลย อึ๋งกิมกี้ไปเลย จะเข้าไปห้ามก็ไม่กล้า ก็เล่นฉีดซะควันยาฟุ้งไปหมด โดนตามมือตามตัว ของเขาเองก็ยังไม่สนใจ
ภายหลังเรามาเข้าใจว่าคนทั่วๆไปที่ไม่มีความรู้ทางด้านพิษวิทยา เขาคิดว่ายาฆ่าแมลงที่พ่นไปนั้น ถ้าปล่อยไปสักพักมันจะระเหยหายไปตามกลิ่น ประมาณว่ากลิ่นหมด ยาฆ่าแมลงก็หายไปหมดด้วย กลิ่นที่หายไปนั้นเป็นตัวทำละลายที่ระเหยหายไป (ตัวทำละลายบ้างตัวก็เป็นสารก่อมะเร็งด้วยเหมือนกัน)
ยิ่งชาวบ้านทั่วๆไปที่ไม่มีความรู้ในต่างจังหวัด เห็นมอดขึ้นที่ถ้งข้าวสาร ก็เอายาฆ่าแมลงมาฉีดใส่ อาจารย์เราเลยถามว่าฉีดอย่างนี้ยังจะกินได้หรือ ชาวบ้านก็ว่า ทำไมจะกินไม่ได้ เดี๋ยวปล่อยทิ้งไว้สักวัน สองวัน ก็กินได้แล้วไม่อันตราย
เรานึกว่าเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ (น่าจะมากกว่า90%ในประเทศไทย) น่าจะรู้ว่าไม่ควรให้ยาฆ่าแมลงปนเปื้อนในอาหาร เพราะตั้งแต่เด็กเราก็อ่านฉลากข้างกระป๋องก็รู้ว่ามีอันตรายมากแค่ไหน
แต่สิ่งที่เรานึกนั้นผิดมากๆ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงพิษภัยของยาฆ่าแมลงที่ตกค้างว่าอันตรายแค่ไหน และเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้คนในปัจจุบันเป็นมะเร็งกันมากขึ้น รวมทั้งโรคภูมิแพ้ทั้งทางอากาศและผิวหนังเพราะถูกกระตุ้นจากสารเคมีเหล่านี้
เพื่อนเราคนหนึ่ง คุณพ่อเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง คุณยายเขาก็เป็นมะเร็งแต่โชคดีที่รักษาหายแล้ว ตอนนี้เราคิดว่าที่บ้านเขาเป็นมะเร็งกันเยอะเพราะกินอาหารนอกบ้านตลอด ไม่ค่อยได้ทำอาหารกินเอง อาหารนอกบ้านไม่สะอาดอย่างที่เราคิด ถ้าเป็นเชื้อโรค ร่างกายเรายังมีระบบภูมิคุ้มกันรักษาตัวได้ แต่ถ้าเป็นสารเคมีร่างกายก็ขับได้บ้าง แต่ถ้ารับทุกวันก็จะสะสมจนเกิดเป็นโรคต่างๆ
ยิ่งโฆษณาเดี๋ยวนี้ที่บอกว่าปลอดภัยไม่มีสารตกค้าง อาจารย์เราท้าเลยว่า ถ้าปลอดภัยขนาดนั้น ก็ลองฉีดใส่มือให้ดูเลยพวกเซลล์ขายของจะกล้าไหม ฉีดไว้ในห้อง มันก็ตกอยู่ในห้องไม่ไปไหนหรอก ถ้าไปเช็ดไปล้างไปถูบ้านก็ติดตามมือเราอีกแล้วไปหยิบจับของกินสารก็เข้าปาก น้ำล้างบ้านนั้นก็มีสารฆ่าแมลง ก็ถูกระบายลงแม่น้ำลำคลองออกสู่ทะเล
แล้วที่บอกว่าพวกฝรั่งยังใช้กันเลยไม่เห็นเป็นอะไร ไม่อยากบอกเลยฝรั่งก็ไม่มีความรู้เหมือนกัน อเมริกาถึงมีคนตายด้วยโรคมะเร็งมากมาย
ในงานโคคาโคล่า เวิลด์ คาลนิวัล ที่มาจัดในไทย เราก็ไปที่เมืองทองไปเล่นเกมส์เอาตุ๊กตา แล้วมีแมลงเม่ามาเกาะตุ๊กตา ฝรั่งคนคุมเกมส์ ก็หยิบยาฆ่าแมลงมาพ่นไม่หยุด เราก็ยืนมอง อึ๊ง จนเด็กคนไทยมาบอกให้เขาเลิกพ่นสักที ในใจเราคิดสงสารคนที่จะเล่นเกมส์แล้วได้ตุ๊กตาที่พ่นยาฆ่าแมลงไปเต็มๆ สงสารคนในนั้นที่โดนละอองยาฆ่าแมลงตกใส่ผิวหนังและหายใจเข้าไป
เคยมีเรื่องภรรยาน้อยใจสามี อมยาฆ่าแมลงประชด ไม่ได้กลืน อมแค่แป๊ปเดียวเท่านั้น พอบ้วนออกมาก็เป็นลม เข้าICU โคม่า 2 อาทิตย์ก็ตาย ทรมานทั้งคนเจ็บทั้งคนดูแล
การฉีดพ่นยาฆ่าแมลงต้องมีการป้องกันที่ดีมีเสื้อผ้ามิดชิด มีที่กันละอองเข้าจมูกด้วย เพราะยาฆ่าแมลงพวกนี้สามารถซึมเข้าผิวหนังได้ง่ายมาก เข้าทางลมหายใจก็ได้ ถ้าตกค้างตามพื้นเราเข้าไปเหยียบก็ติดเท้าซึมเข้าทางผิวหนังได้อีก ผิวหนังที่ปนเปื้อนสารเคมีพวกนี้แค่ล้างสบู่ก็ไม่ออกง่ายๆ ต้องล้างหลายๆครั้งและนานๆ (ก็ยังมีตกค้างอยู่ดี)
ส่วนพวกทำความสะอาดต่างๆก็มีสารตกค้างได้ แต่คงไม่มีใครเอามาใช้แล้วไม่ล้างน้ำออก แต่ก็อยากให้ระวังด้วย
อยากให้คนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้มีความระมัดระวังในการใช้ยาฆ่าแมลงให้มากๆ และถ่ายทอดความรู้พื้นฐานนี้แก่ญาติๆหรือคนรู้จัก
อยากให้กลับบ้านไปถามคนที่บ้านว่ามีความรู้เรื่องการใช้ยาฆ่าแมลงแค่ไหน ถ้าเรารู้คนเดียวแต่คนที่บ้านเราไม่รู้ เราและญาติๆก็อาจจะได้รับสารเคมีที่เป็นพิษโดยที่ไม่รู้ตัวเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
และสุดท้ายอยากให้ทุกคนหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในการฆ่าแมลงเพราะถึงแม้ว่าระวังแค่ไหนโอกาสที่จะได้รับสารตกค้างจากการใช้ก็ยังสูง ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ใช้ด้วยความระมัดระวังอ่านฉลากข้างกระป๋องบ่อยๆจะได้ใช้ให้ถูกวิธี
......ไม่มียาฆ่าแมลงชนิดไหนที่ไม่เป็นพิษต่อคนและไม่เหลือสารตกค้างอย่างคำโฆษณาจริงๆหรอก......
มาแก้ไขเรื่องครึ่งชีวิตของยาฆ่าแมลงจ้า
แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 49 09:54:22
แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 49 14:04:08
แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 49 13:24:39
จากคุณ :
bubblebaba
- [
5 ต.ค. 49 13:20:43
]