สิ่งที่ฉันประทับใจมั่กมากในช่วงที่ฉันอยู่ในโรงพยาบาลก็คือฉันได้รับดอกกุหลาบสีแดงช่อสวยๆ จากคุณปู่และคุณย่าของชอน ซึ่งเราเรียกท่านว่า Nan and Pop (แนนกะพ๊อบ) ท่านทั้งสองใจดีมากและเป็นห่วงฉันเสมอ แม้วันเกิดของฉันท่านก็มักจะส่งการ์ดอวยพรมาให้ไม่เคยขาด พ๊อบท่านอายุได้ 82 แล้วส่วนแนนแก่กว่าพ๊อบ 1 ปี เหมือนอย่างที่ฉันแก่กว่าชอนไป 1 ปี พวกเราเลยมีอะไรคล้ายๆกับคู่ของท่านและฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้อยู่กับชอนไปนานๆ เหมือนแนนอยู่เคียงข้างกะพ็อบ เห็นอย่างนี้พ็อบยังขับรถไปไหนมาใหนได้สบายๆเลยนะคะ ท่านขับได้ดีด้วยไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย พูดกันง่ายๆว่าท่านยังเตะปี๊บดังอยู่ อิอิอิ พ็อบตอนสมัยหนุ่มๆ ท่านเป็นพนักงานดับเพลิง ที่ออสเตรเลียเนี่ยพนักงานดับเพลิงจะเป็นเหมือนฮีโร่ของทุกคน เพราะที่นี่จะเกิดไฟป่าหรือไฟไหม้บ้านบ่อยมั่กๆๆ ดังนั้นคนที่ทำงานในอาชีพนี้จะได้เงินเดือนสูงและเป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม ซึ่งก่อนเกษียณพ็อบก็ได้ตำแหน่งสูงสุดของหน่วยงานดับเพลิงของที่นี่เหมือนกัน
และที่น่าประทับใจมากคือเมื่อปีที่แล้วท่านทั้งสองได้ฉลองครบรอบ 60 ปีของชีวิตคู่ของท่าน คิดดูสิคะ จะมีสักกี่คนที่ได้ฉลองครบรอบ 60 ปีของวันแต่งงาน ก้อแนนกะพ๊อบนี่ไงคะ ท่านก็ได้การ์ดอวยพรจากคนที่มีชื่อเสียง เช่น พระราชินีของอังกฤษ นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย พวกนักการเมืองต่างๆ และผู้ที่ดูแลรัฐวิคตอเรีย คล้ายๆกับผู้ว่าฯ ทำนองนั้นแหละค่ะ สำหรับคนที่นี่แล้วการได้มีชีวิตคู่ที่อยู่ได้อย่างยืนยาวแบบนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และน่ายินดีอย่างยิ่งค่ะ
แนนกะพ๊อบมีลูกด้วยกัน 3 คนค่ะ มีคุณลุงเอริค คุณพ่อเฮนรี่(ป่ะป๊าของชอน) และก็คุณอาจีน ซึ่งคุณลุงเอริคท่านเป็นศิลปินประเภทพวกอาร์ทติสหน่ะค่ะ ท่านวาดรูปสวยมั่กๆ ฝีมือดีหาที่ติแทบไม่ได้ รูปที่ฉันวาดเนี่ย โอ๊ย อย่าไปพูดถึงเลยค่ะ เทียบกันไม่ได้หรอกค่ะแต่ฉันก็ชอบวาดรูปนะมันสนุกดี สนุกพอๆกับการเขียนเล่าประสบการณ์ชีวิตให้กับท่านๆได้อ่านกันนี่แหละค่ะ ส่วนคุณพ่อเฮนรี่ท่านก็เคยทำงานราชการแล้วพออยู่ในตำแหน่งสูงๆแล้วท่านก็เบื่อเลยมาทำธุรกิจส่วนตัว Bed & Breakfast ซึ่งท่านก็ชอบงานบริการด้านนี้มั่กมาก เหนื่อยแต่ก็สนุกเป็นนายของตัวเอง ท่านก็ทำจน Kingross โรงแรมของท่านก็ติดอันดับต้นๆของที่บีชเวิร์ทที่ท่านอยู่เลยค่ะ ทางด้านคุณอาจีนเป็นนางพยาบาลทำงานอยู่โรงพยาบาลที่ฉันไปฉายรังสีนั่นแหละค่ะ เพื่อใม่ให้น้อยหน้า ครอบครัวคุณอาจีนก็ส่งดอกกุหลาบสีเหลืองช่อใหญ่ๆมาให้ฉันเหมือนกัน น่ารักมั่กมากเลยค่ะ
ส่วนด้านคุณยาย ที่พวกเราเรียกว่าแกรนมา (Grandma) ท่านก็ส่งการ์ดมาให้ และอวยพรให้หายฉันเร็วๆ คุณยายท่านอยู่คนเดียวมาเกือบ 20 กว่าปีแล้วค่ะ หลังจากที่คุณตาหรือแกรนปา (Grandpa) ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งคุณตาก่อนที่จะเสียชีวิตท่านเป็นเมเยอร์ (Mayor) หรือคล้ายๆกับนายกเทศมนตรีหน่ะค่ะ ถ้าท่านไม่เสียชีวิตอาจจะได้เป็นนายกของออสเตรเลียก็ว่าได้ อิอิอิ ล้อเล่นหน่ะค่ะ
คุณตาท่านได้เปิดโรงงานถลุงเหล็กซึ่งมีพนักงงานเกือบ 200 กว่าคน หลังจากที่ท่านเสีย คุณยายก็ทำหน้าที่เป็นผู้บริหาร โดยมีคุณแม่เดลของชอนเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชีและฝ่ายบุคคล คุณแม่เดลท่านมีฝาแฝดค่ะ แต่เป็นผู้ชายชื่อคุณลุงแฮรรี่ (พ๊อทเตอร์) อิอิอิ คุณลุงแฮรี่ท่านเป็นผู้จัดการใหญ่คอยดูแลธุรกิจของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งคุณยายท่านมีลูกทั้งหมด 5 คน อีก 3 คนที่เหลือคือ คุณน้ารอน คุณน้าเชน และคุณน้าแอนนา คุณน้ารอนท่านเปิดร้านขายเรือและอุปกรณ์ตกปลาต่างๆ ท่านรวยมั่กๆ และคุณน้าเชนก็ไม่น้อยหน้าท่านก็ทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งรวยไม่น้อยหน้าพี่ๆเลย
ส่วนคุณน้าแอนนาน้องคนสุดท้องนั้นก็ไม่เป็นรองใครเลยเหมือนกัน มีบ้านหลังใหญ่มีสวนกว้างขวาง ซึ่งฉันก็อยากได้บ้านแบบนั้นเหมือนกัน แต่ ที่นี่ที่ดินแพงมั่กมากเลยค่ะ น้าแอนนามีสามีชื่อน้าซอรัสเป็นผู้ฝึกทหารอากาศ เคยไปทำงานที่อเมริกา ท่านบอกว่าตอนที่อยู่อเมริกาท่านเคยเป็นเพื่อนกับนายพลท่านหนึ่งของไทย ซึ่งอยู่ในคณะปฏิวัติที่ไม่มีการนองเลือดที่ผ่านมาไม่นานนี้ด้วยค่ะ ครอบครัวของน้าแอนนา มีลูกสาว 2 คน คือ เคทกับแนท ซึ่งพวกเราจะสนิทกับครอบครัวนี้ที่สุดในบรรดาญาติๆค่ะ เพราะเวลาที่น้าๆไม่อยู่ ฉันกับชอนก็จะทำหน้าที่ดูแลเด็กๆกับดูแลหมาค่ะ และครอบครัวนี้ก็รักฉันมากด้วย เด็กๆก็เขียนการ์ดอวยพรมาให้ฉัน ทำให้ฉันปลื้มมั่กมากเลยค่ะ
วันหนึ่งขณะที่ฉันนอนดูทีวีอยู่ และแล้วฉันก็มีแขกมาเยี่ยมค่ะ น้องฝันและพี่จ๊ะโอ๋ ซึ่งเราเคยทำงานอยู่ร้านอาหารไทยด้วยกันค่ะ ฉันประทับใจมากเลยเพราะว่าระยะทางจากบ้านน้องเขามาถึงที่โรงพยาบาลนี่ไกลโขเลยค่ะ ถ้านั่งรถรางมาก็ร่วมหนึ่งชั่วโมงได้ ฉันต้องขอขอบคุณน้องๆพี่มาในที่นี้ด้วยค่ะ น้องฝันจะเป็นสาวห้าว ตัวโตๆ แรงเยอะมาก แต่หน้าตาสะสวยแบบหวานๆ น้องฝันเป็นน้องคนหนึ่งที่ฉันชื่นชมเป็นอย่างมาก เพราะน้องเขาขยันทำงานแถมยังเรียนเก่งอีกด้วย น้องเขาจบปริญญาโทจากนิด้าที่เมืองไทยหนึ่งใบ แล้วก็มาคว้าปริญญาโทจากที่นี่เป็นใบที่สอง น้องฝันเป็นคนที่ประหยัดและเก็บเงินเก่งอีกด้วย ตอนนี้ก็ได้เป็นพีอาร์ หรือ Permanent Resident คนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่อย่างถาวร และก็มีสิทธ์ต่างๆในประเทศนี้เกือบทุกอย่างแต่ยังไม่ได้สัญชาติค่ะ ต้องรอปีหน้าก็คงจะได้แล้วค่ะ อยากให้หลายๆคนเอาน้องเขาเป็นตัวอย่าง ฉันเชื่อว่าอีกไม่กี่สิบปีน้องฝันอาจจะได้ขึ้นทำเนียบเศรษฐีนีของบ้านเราก็เป็นได้ค่ะ ส่วนพี่จ๊ะโอ๋ก็เป็นรูมเมทอุตส่าห์มาเยี่ยมและก็มาเป็นเพื่อนน้องฝันจะได้ไม่หลง น่ารักมากค่ะ อุตส่าห์หอบช่อดอกลิลลี่สีขาว ซึ่งเป็นช่อดอกไม้ที่สวยที่สุดที่ฉันเคยได้รับมาในชีวิตนี้ ไม่รู้ว่าเขารู้ได้ไงนะว่าฉันชอบดอกลิลลี่ ฉันตื้นตันใจแทบน้ำตาร่วง เพราะนึกไม่ถึงเลยว่าน้องเขาจะเป็นห่วงฉันมากถึงขนาดนี้ ขอบคุณมั่กมากค่ะ
วันต่อมาก็มีพี่ทัศน์และพี่ตูน สองสามีภรรยาซึ่งเป็นเจ้าของร้านไทยนที ที่ฉันเคยทำงานอยู่ ร้านเดียวกันกับที่น้องฝันทำอยู่ พี่ๆเขามาพร้อมกับการ์ดอวยพร แล้วพี่ตูนก็บอกฉันว่าลองเปิดอ่านดูก็ได้นะ ฉันก็รู้สึกแปลกใจ แต่พอฉันเปิดดูในการ์ด ปรากฏว่าพี่เขาสอดเงินไว้ในนั้นประมาณ 300 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็เกือบหมื่นกว่าบาท ฉันดีใจมากแต่ฉันไม่อยากรับ และแล้วฉันก็ขัดไม่ได้ พี่เขาอยากจะช่วยเหลือ มันอาจจะไม่มากพอสำหรับค่ารักษาแต่มันก็พอที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆ ช่วยต่อชีวิตฉันให้อยู่รอดไปได้อีก ตลอดเวลาที่ฉันมาอยู่ที่นี่ฉันก็ทำงานในร้านนี้มาตลอด โดยที่พี่ทัศน์และพี่ตูนก็คอยช่วยเหลือให้งานฉันทำ ให้เงินฉันยืมในยามที่ฉันเดือดร้อน เพราะก่อนหน้านั้นฉันยังไม่ได้เจอชอน พวกพี่เขามีพระคุณกับฉันเป็นอย่างมากเลยค่ะ รวมทั้งพี่พุ่มซึ่งเป็นน้องสาวของพี่ทัศน์ก็ดีกับฉันมาก คอยเป็นห่วงและถามถึงฉันอยู่ตลอดเวลา พี่พุ่มจะทำกับข้าวเก่งไม่แพ้พี่ทัศน์เลย
ช่วงหลังๆฉันไม่ได้ทำงานที่นั่นแล้วเพราะว่าฉันเป็นมะเร็ง หลังจากนั้นฉันก็กลับไปทำอีก แต่พอตอนหลังมีเรื่องอีกหลายๆอย่าง (ยังไม่อยากบอกผู้อ่าน เดี๋ยวจะไม่ตื่นเต้น แต่เผลอบอกไปบ้างแล้วนะเนี่ย) จนฉันไม่สามารถทำงานได้ และไม่อยากให้พี่ๆเดือดร้อน เพราะว่าวีซ่าที่ฉันมีอยู่เขาไม่อนุญาติให้ทำงาน แต่ในใจฉันก็คอยระลึกถึงบุณคุณของพี่ๆเขาเสมอ
ตอนบ่ายของวันนั้นฉันก็มีแขกมาเยี่ยมอีก โอ้ โห ช่วงนั้นฉันฮ้อทมากค่ะ มีแต่แขกไม่มีหนวดมาเยี่ยม และก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกค่ะ คุณหนึ่ง เพื่อนที่ทำให้ฉันได้พบกับชอนนั่นแหละค่ะ ถ้าไม่มีเขาฉันก็ไม่ได้เจอกะชอน เขามากับพี่ซันนี่และน้องเก่ง ซึ่งพี่ซันนี่เป็นเจ้าของร้านลิน ลิน ร้านอาหารเวียดนามที่ฉันเคยทำงานอยู่ สมัยก่อนฉันเป็นเด็กเสิร์ฟมาราธอนค่ะ พอทำงานเสร็จจากร้านลินลินตอนเช้า ก็ไปต่อที่ไทยนทีตอนเย็น อีกวันหนึ่งทำที่ร้านสตรีไทยตอนเช้าแล้วก็ไปต่อที่ไทยนทีตอนเย็น ทำ 3 ร้านในเวลาเดียวกันเพื่อจะนำเงินมาใช้หนี้ให้ชอน ทำไป ทำมา แทบไม่ได้พัก แล้วฉันก็มาจบเอาที่โรงพยาบาลนี่แหละค่ะ เลยได้พักยาวเลย .... สมใจมั๊ยหล่ะ พี่ซันนี่มาพร้อมกับซอง เหมือนอั้งเปาเลย เขาให้ฉัน ประมาณ 450 เหรียญ(หมื่นสองกว่าๆ) แนะ ฉันใจดีมาก พี่เขาสงสารหน่ะค่ะเลยใส่อั้งเปามาให้ เขาบอกว่าให้เงินดีที่สุด เพราะว่ามันเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉันจะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นของที่อยากได้ เขาก็คิดดีนะ แถมยังกำชับให้ฉันไปเอาข้าวสารที่ร้าน หลังฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว ชอนก็ช่วยฉันแบกข้าวสาร เกือบ 10 กิโล ที่พี่เขาอุตสาห์มีน้ำใจ เพราะกลัวว่าฉันจะอดตายหลังผ่าตัด น่ารักซะไม่มี
ส่วนน้องเก่งก็เป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านลิน ลินเหมือนกัน ซึ่งน้องเก่งก็มีรสนิยมเหมือนคุณหนึ่ง คือเป็นคนชอบตัดไม้ในป่าเดียวกัน อิอิอิ เขาก็มีแฟนเป็นคนที่นี่ รักกันมาก และก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เพราะที่นี่เขาอนุญาติให้เพศเดียวกันอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย แต่คุณพ่อและคุณแม่ของน้องเขาก็ยังไม่รู้ เขาไม่อยากบอกท่านเพราะท่านคงรับไม่ได้แน่ ฉันก็สงสารทั้งสองฝ่ายนั่นแหละค่ะ แต่ที่แน่ๆ ฉันสงสารตัวเองมากกว่า ที่ต้องมานอนซมอยู่ที่นี่ อิอิอิ
พอตกเย็น ชอนก็มาถึงเขาแปลกใจแกมดีใจที่เห็นฉันได้เงินจากพี่ๆ เขายังพูดติดตลกว่าฉันควรจะป่วยบ่อยๆนะ จะได้เงินเยอะๆ ดูสิ ...เขาคิดได้ไงเนี่ย เขาก็บอกว่าเราต้องขอบคุณพวกเขานะที่อุตส่าห์มีน้ำใจ แล้วฉันก็เอาเงินให้เขาหมดเลย เพราะฉันอยู่โรงพยาบาลไม่จำเป็นต้องใช้เงิน ฉันเลยให้ชอนเป็นคนเก็บไว้ เขาดีใจมาก แต่มันไม่ใช่วัฒธนะธรรมของเขา ฝรั่งเขาจะให้ดอกไม้ การ์ด หรือตุ๊กตา เป็นของเยี่ยมไข้ แต่ส่วนใหญ่คนไทยการให้เงินก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง แต่ผู้รับก็จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจแกมดีใจ ส่วนนิคกี้น้องสาวของชอนก็ให้ตุ๊กตาหมีสีม่วงน่ารักๆ ให้ฉันไว้กอดเวลานอนอยู่ที่โรงพยาบาล ต้องขอบอบคุณทุกคนเลยนะคะที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจ อาจเป็นเพราะแรงใจจากทุกคนเลยทำให้ฉันฟักฟื้น และหายอย่างรวดเร็วก็เป็นได้
หลังจากที่พักอยู่ในโรงพยาบาลได้ 14 วัน มิสเตอร์เบลมมี่ก็อนุญาติให้ฉันกลับบ้านได้ ใจหนึ่งฉันก็ดีใจที่จะได้กลับบ้าน แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากกลับเพราะไม่มีคนคอยทำอาหารให้ ฉันต้องทำเอง ดูสิ ฉันอยากอยู่ที่โรงพยาบาลก็แค่เพราะว่ามีคนคอยทำอาหารให้ ฉันไม่เคยอดเลยแม้แต่มื้อเดียว แต่พอกลับไปบ้านแล้วฉันคงอยู่อย่างอดๆ อยากๆ เป็นแน่ ฉันก็คิดไปต่างๆนานา 108 ตามประสาคนคิดมาก และแล้วชอนก็มารับแต่เช้า โชคดีที่เราไม่ต้องจ่ายเงินค่าอะไรเพิ่ม เขาจะส่งไปยังประกันเลย ฉันก็ได้แต่ยาแก้ปวดมากิน จะต้องคอยกินทุก 6 ชั่วโมง บางทีฉันก็ไม่กินเพราะฉันทนเอา กลัวติดยาแก้ปวด ดูสิ...ฉันนี่คิดมากอีกละ ยังไม่จบนะคะ มีต่อข้างล่างคุ่ะ พอดีข้อความยาวไปหน่อยค่ะ
แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 49 16:47:54
แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 49 16:35:20
แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 49 16:14:14
จากคุณ :
Summer_scent
- [
5 ต.ค. 49 15:01:07
]