CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ยิ้มไว้...เมื่อภัย(มะเร็ง)มา ตอน 15 เล่าจากเรื่องจริง

    ตอนนี้ฉันก็อยู่กับเจ้าถุงอึจนเริ่มชินแล้วหล่ะ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็พอทนไหวทนได้ค่ะ เพราะอีกไม่นานมันก็จะต้องออกจากชีวิตของฉันไปละ  แต่ก็มีอยู่วันหนึ่งหลังจากที่ฉันอาบน้ำแล้วก็เปลี่ยนเอาเจ้าถุงใหม่มาใส่ ด้วยแรงคิดถึงเพื่อนจึงใส่ถุงแบบเร็วๆหน่ะ เพราะว่าทำอยู่ทุกวันด้วยความเคยชิน แล้วฉันก็โทรไปหาเพื่อนซี้ที่ชื่อลำไพรซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ กับสามีสุดหล่อและลูกสาวน้อยๆ แสนน่ารัก ไปอยู่ซะไกลเลย แต่ระยะทางไม่อาจขวางกั้นพวกเราได้ เรามักจะเม้าข้ามขอบฟ้าด้วยกันบ่อยๆ   พวกเราเคยเรียนอยู่ด้วยกันตั้งแต่มอ.หนึ่งจนถึงมอเฌิงดอย ซึ่งเป็นมหาลัยใหญ่อยู่แถวภาคเหนือค่ะ พวกเราเป็นสาวเหนือเจ๊า ผู้อ่านอย่าแปลกใจนะเจ๊า ถ้าสำนวนการเขียนของดิฉันจะมีกลิ่นไอของคนเมืองเหนือ (ที่ชอบกินน้ำพริกหนุ่มกับแค็บหมู) อยู่หน่อยๆ เพราะภาษากลางของดิฉันไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ บางทีก็มีสำเนียงเมียงๆ (Northern Dialect) ติดอยู่หน่อยๆ  ถ้าเป็นคนเหนือด้วยกันก็จะฮู้กันเจ๊า

    พวกเรา 3 คน (รวมทั้งพิณ ซึ่งเป็นรูมเมทอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกัน ตอนนี้เธอก็รับราชการเป็นพนักงานคุมประพฤติอยู่จังหวัดที่อยู่เหนือสุดในสยามค่ะ)เป็นรูมเมทกันถึง 3 ปี  จนเรียกได้ว่าไก่เห็นตีนเหี่ยวๆของงู และงูก็เห็นนมเล็กๆของไก่ ลำไพรเป็นเพื่อนที่มีพฤติกรรมแปลกๆ ก็มีแต่ฉันกับพิณเท่านั้นค่ะที่รับได้ คือเธอจะเป็นคนที่ไม่กินผัก ไม่กินเอามากๆเลย ขนาดไปสั่งอาหารที่ร้านสุกี้ ลำไพรสั่งสุกี้ไม่ใส่ผัก ส่วนฉันสั่งสุกี้ไม่ใส่พริก ซึ่งทำให้คนขายปวดหัวมานักต่อนักละ ส่วนพิณนั้นไม่เรื่องมากอะไรก็กินได้ เจ้าไพรนั้นจะเป็นคนที่ไม่ชอบกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะคิดว่าน้ำลายมันเหม็น ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอคิดได้ยังไง พอตอนกลางคืนตอนเธอนอนหลับเธอก็จะอมน้ำลายไว้ แล้วตอนเช้ามาก็จะวิ่งไปบ้วนทิ้งที่ห้องน้ำ แต่ก็บ่อยครั้งที่น้ำลายก็จะไหลไปสู่หมอนที่เธอหนุนอยู่ จึงทำให้หมอนเธอมีกลิ่นเหม็นยิ่งกว่าตัวสะกั๊งอีกค่ะ คิดดูสิคะ แปลกมะ แต่ก็มีแต่พวกฉันนี่แหละค่ะ ที่ทนอยู่ด้วยกันได้

    มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ เพราะจะให้พูดเรื่องแปลกๆของเธอ สามวัน เจ็ดวันก็ไม่หมดหรอกค่ะ และฉันก็โทรคุยกับลำไพรเรื่องสัพเพหระแหละค่ะ แต่ด้วยความที่อยากเม้าให้มันส์ในอารมณ์ ฉันก็ขึ้นไปนอนบนเตียง คุยกันไปคุยกันมาฉันก็รู้สึกว่ามีน้ำอะไรหยดๆ ก้มลงดูที่ท้องปรากฏว่าถุงอึมันรั่วค่ะ ยี้ ... มันเป็นภาพที่ไม่พึงปรารถนา เหม็นก็เหม็น แล้วก็มีอึไหลออกมาเลอะเสื้อ กางเกงและรวมทั้งผ้าปูที่นอนเป็นทางยาวเลย เป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะ แต่ตอนนั้นฉันก็หัวร่อ งอหายกันกะลำไพรเพราะมันตลกมั่กมาก แต่คนที่ไม่ตลกคือคุณชอนค่ะ เขาทำหน้ารำคาญเพราะว่าฉันทำเตียงเลอะอึ จนเขาต้องรื้อผ้าปูที่นอนไปซักใหม่ ที่เขาไม่ค่อยแฮปปี้ก็เพราะว่าเรามีผ้าปูอยู่ชุดเดียวไม่มีสำรองค่ะ คืนนั้นก็เลยต้องนอนกันเกือบตีสองเพราะรอผ้าปูที่นอน กว่าจะซักและกว่าจะอบให้แห้ง ส่วนฉันก็ต้องไปอาบน้ำใหม่ค่ะ ฉันก็หวังว่ากลิ่นอึของฉันคงจะไม่ลอดสายโทรศัพ์ไปเหม็นที่นอร์เวยนะคะ อิอิอิ ขอเตือนนะคะ ถ้าใครใส่ถุงอึจะต้องติดตัวแถบกาวเข้ากับตัวเราให้มากที่สุด และกุมไว้สักพักให้กาวมันโดนความร้อนในตัวของเราแล้วมันจะติดดี ไม่มีรั่ว ต้องใจเย็นๆ แต่ฉันใจร้อนไปหน่อย เลยเจอของเหม็นๆๆ

    ตอนเย็นวันอาทิตย์ของต้นเดือนสิงหาคม ชอนก็พาฉันมาที่โรงพยบาลคาบรินี่เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นฉันก็จะผ่าต่อลำใส้ละ ในใจฉันเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะได้เป็นเหมือนกะคนปรกติแล้ว ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าตัวฉันเหมือนเป็นมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ปาน เพราะมีพวกถุงอะไรเต็มท้องไปหมด  ดีนะที่เป็นวันอาทิตย์ชอนเขาก็จะได้อยู่กับฉันไปนานๆหน่อย ปรกติเขาก็แค่มาส่ง แต่วันนี้เขาก็มานั่งๆ นอนๆ เป็นเพื่อนฉันที่ห้อง พอช่วงเย็นๆก็จะมีหมอยาสลบมาถามอีกละ ว่าจะเอาแบบไหน นี่จะเป็นแค่ผ่าเล็กๆน้อยๆ ถ้าเทียบกับการผ่าตัดในครั้งก่อนๆ ฉันก็เอาแบบกดหน่ะค่ะ มันถูกดี เจ็บเมื่อไหร่แล้วค่อยกดเมื่อนั้น ไอ้บล็อคหลังมันแพงกว่ากันเยอะเลยค่ะ

    การผ่าตัดครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดีค่ะ ฉันไม่ขออธิบายเพราะมันก็จะซ้ำๆกันนั่นแหละค่ะ แต่ว่าหลังจากผ่าแล้วหน่ะสิคะ มิสเตอร์เบลมมี่เขาก็เตือนว่าฉันจะต้องเข้าห้องน้ำบ่อยนะ ถ้าท้องมันเดินแล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นหนักเลย พอดึกๆของวันที่ฉันผ่าตัดหลังจากที่ชอนกลับบ้านแล้ว เมื่อวานนี้เขาก็มาอยู่กับฉันนานสองนาน วันนี้ก็เพิ่งกลับไป แต่ฉันก็ยังไม่อึ แต่มันก็รู้สึกนิดๆละ แต่ว่าฉันก็พยายามทำให้มันอึ พยาบามเบ่ง เบ่งมากก็ไม่ได้ค่ะ เพราะแผลผ่าตัดที่เขาปิดพลาสเตอร์ใสเอาไว้ เดี๋ยวกลัวมันปริ ตอนนี้เขาก็เอาเจ้าสตอม่ากลับเข้าไปต่อตามเดิมละ แต่ผ่าคราวนี้ไม่มีสายฉี่ค่ะ ถ้าปวดฉันก็ลุกไปฉี่ที่ห้องน้ำเอง ก็ทุลักทุเลหน่อยค่ะ

    พอช่วงดึกๆ ฉันก็รู้สึกว่าจะมีอึอยู่ฉันก็พยายามเบ่ง ให้มันออกมา ฉันนอนไม่หลับค่ะ เพราะมันรู้สึกเหมือนจะมีอะไรคาอยู่ที่ลำใส้ ฉันก็เบ่งจนเจ็บแผล แล้วก็พยายามไล่ลมเข้าไปในท้องให้มากที่สุด ทรมานมากค่ะ แล้วฉันก็รีบวิ่งไปในห้องน้ำ ตอนที่เบ่งนั้น นอนอยู่บนเตียงค่ะ พอวิ่งไปนั่งที่ชักโครก ฉันก็ได้ยินเสียง "บุ๋ง" ซึ่งเป็นเสียงอึน้อยๆ ที่น่ารักที่คอยฉันเลี้ยงดูไว้ได้ออกมาดูโลกค่ะ แต่มันเป็นก้อนเล็กนิดเดียว เท่าๆลูกอมฮอลล์เลยค่ะ ฉันก็เบ่งซะแทบตายแต่ออกมาเล็กนิดเดียว

    สักพักมันก็มากันเป็นฝูงใหญ่เลยค่ะ ฉันท้องเสียมั่กมาก มันออกมาแบบไม่ต้องเบ่งเลย ฉันก็เข้าๆ ออกๆ ห้องน้ำทั้งคืน เหนื่อยมาก ถ้ามันทรมานอย่างนี้ก็ใส่ถุงซะยังจะดีกว่า ฉันก็ไม่ค่อยมีความพอดีหรอกค่ะ ได้คืบจะเอาศอก ได้ไส่ถุงอึ แต่ก็อยากจะเอาออก แต่แล้วก็ต้องมานอนในห้องน้ำเลย เพราะไปไหนไม่รอด มันพุ่งมาจู๊ดๆๆ เลย บางครั้งฉันก็กลับไปนอนที่เตียงแต่มันก็ไม่วายพุ่งออกมาจนเลอะกางเกงใน จนฉันขอเปลี่ยนเป็นกางเกงของโรงพยาบาลตั้งหลายผืนแล้ว นางพยาบาลเขาสงสารเขาก็เอาผ้าอ้อมสำเร็จรูปมาให้แต่ว่ามันจะเป็นคล้ายผ้าอนามัยยักษ์ซะมากกว่า พอใส่ไปอึมันก็เลอะออกมา มันใส่ได้ไม่มิดตัวค่ะ ฉันเปลี่ยนผ้าอนามัยยักษ์ไปเป็นสิบๆชิ้นแล้ว แต่อึก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยค่ะ มันคงอัดอั้นมา 3 เดือนแล้ว ตอนนั้นเลยแย่งกันมาดูโลกกว้างซะจนฉันเจ็บก้นไปหมดเลย ฉันใช้กระดาษเช็ดก้นไม่ได้เลย เพราะว่ามันระคายเคืองไปหมด เจ็บมากจนก้นแดง นางพยาบาลก็เอาครีมสีขาวๆ เหนียวๆ ที่สำหรับใส่ก้นมาให้ค่ะ แล้วฉันก็ใส่ถุงมือป้ายครีมทาก้นทุกครั้งหลังถ่าย แต่ก็ไม่วายก้นพัง หนังลอกหมดเลย

    พอรุ่งเช้ามิสเตอร์เบลมมี่ก็มาหา ฉันก็ฟ้องเขาใหญ่เลยว่าถูกอึรังแกจนก้นแทบพัง เขาก็บอกว่าเขาเตือนฉันแล้วนะ ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะหนักขนาดนี้ เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะ ฉันก็พยายามกินอาหารอ่อนๆ แล้วก็ใช้น้ำชุปกระดาษทิชชู่ เวลาเช็ดก้นถึงแม้มันจะแสบ แต่มันก็นุ่มกว่ากระดาษแห้งๆ ช่วงนั้นฉันแย่มากเลย ท้องเสียจนเหนื่อย ก้นก็แสบ นอนแทบไม่ได้ ชอนเห็นก็สงสารไม่รู้จะช่วยยังไง เวลาเขาจะมากอด ฉันก็วิ่งเข้าห้องน้ำ เวลาออกมาเขาจะมาหอมแก้ม ฉันก็วิ่งเข้าห้องน้ำ จนเขาไม่รู้จะทำยังไง ฉันก็บอกว่าฉันไม่ไหวจริงๆ รู้แล้วว่ารัก แต่ไม่ต้องกอดแล้วเดี๋ยววิ่งไปอึไม่ทัน

    แล้วฉันก็พักอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 7 วัน ฉันไม่มีปัญหาอื่นนอกจากท้องเสีย แต่มันก็ทุเลาขึ้น จากวันแรกๆ 100 ครั้ง ก็ค่อยๆ กลายมาเป็นวันละ 20 ครั้ง ก็ยังดีนะคะ วันรุ่งขึ้นฉันก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ว่าเย็นวันนั้นชอนเขาขับรถมาจากจีลองซึ่งเป็นอีกเมืองหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมลเบิร์น โดยขับรถจากบ้านของเราไปก็ร่วม 2-3 ชั่วโมง  เขาก็เหนื่อยพอดูเหมือนกัน เพราะมหาลัยที่เขาทำงานอยู่คณะวิศวะ จะอยู่ที่จีลองซึ่งจะไกลออกไป แล้วเขาจะต้องไปที่โน่นอย่างน้อย อาทิตย์ ละวัน สองวัน พอมาหาฉันมันก็เกือบจะสองทุ่มละ มานั่งอยู่ได้สักครึ่งชั่วโมงเขาก็ไล่กลับบ้านแล้ว ก่อนกลับเขาก็มาจุมพิตที่หน้าผาก "ผมไปก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้เช้า ผมจะมารับกลับบ้านนะ" เขาพูดอย่างอ่อนหวาน "ค่ะ แล้วเจอกันค่ะ ไนท์ ไนท์" ฉันก็บอกราตรีสวัสดีเขา โดยการพูดไนท์ ไนท์ (nite nite) ซึ่งฝรั่งเขาจะพูดเหมือนเด็กๆ มันสั้นและมีใจความดี ฉันก็ดีใจ แค่นอนอีกหนึ่งคืนฉันก็จะได้กลับบ้านแล้ว

    สองชั่งโมงผ่านไป ชอนเขาก็โทรมาบอกฉันว่ารถเขาเสียตรงทางโค้ง อีกสิบนาทีจะถึงบ้านแล้ว มันสตาร์ทไม่ติด ไม่รู้เป็นอะไร แล้วเขาก็โทรไปให้ประกันรถยนต์ให้เขาเอารถบรรทุกคันใหญ่มารับแล้วก็บรรทุกรถของชอนไปส่งที่บ้าน ซึ่งประกันที่นี่เขาจะมีเจ้าหน้าที่คอยไปรับตามที่ต่างๆ ถ้ารถของเราเสียแต่เราก็จ่ายเงินเป็นค่าสมาชิกเป็นปี เขาไม่ได้ทำให้เราฟรีๆ ฉันรู้สึกสงสารชอนมาก เขาเหนื่อยก็เหนื่อยแล้วรถก็ยังจะมาเสียอีก แต่ก็ยังดีที่กลับไปถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว

    รุ่งเช้าชอนเลยให้นิคกี้น้องสาวของเขามาส่งเขาที่โรงพยาบาลแล้วก็มารับฉันกลับบ้าน ฉันก็เก็บเสื้อผ้าเตรียมตัวไว้ ไม่ให้เสียเวลาเพราะนิคกี้ต้องไปทำงานต่อ แต่เขาก็บอกหัวหน้าว่าจะต้องไปสายหน่อย ส่วนชอนก็โทรไปลางานเพราะรถเสียเขาจะต้องรอคนมาซ่อมให้ที่บ้าน พอมาถึงที่บ้าน นิคกี้ก็รีบไปทำงาน แล้วชอนก็รอคนมาซ่อมรถ ก็เสียค่าซ่อมไป 500 กว่าเหรียญ เขาก็ไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่ แต่ก็ทำไงได้ เขาไม่ค่อยจะเอารถไปเข้าอู่พอซ่อมทีก็เสียเยอะเลย แต่เขาก็บอกว่าเขาก็ประหยัดค่าเข้าอู่ไง มันแพงกว่านี้อีก แหม... คิดได้ไงเนี่ย

    หลังจากมาพักอยู่บ้านได้หนึ่งอาทิตย์แล้วฉันก็ต้องไปเรียนหนังสือเพราะลาเขาไว้แค่สองอาทิตย์ ก็ใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลไปอาทิตย์นึง แล้วก็มาอยู่บ้านอีกอาทิตย์นึง ก็หมดเวลาพักแล้ว และฉันก็ต้องไปทีคีโมกับหมอเบน โดยทำแบบทำติดกันสองอาทิตย์แล้วก็พักสองอาทิตย์ ซึ่งเขานัดฉันให้ทำเช้าวันจันทร์ แล้วฉันก็ไปเรียนวันพุธและวันพฤหัสตอนเย็น วันๆนึงฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลาเจ็บแผลหรอกค่ะ เพราะว่าอยากเรียนซะให้จบเทอมนี้ จะได้ไม่คาราคาซัง ฉันต้องทำให้ได้ค่ะ เพราะมันเป็นเทอมสุดท้ายแล้ว พอถึงวันจันทร์ชอนก็พาฉันไปที่โรงพยาบาล ตอนนั้นฉันไม่มีเจ้าพิคค์ ไลน์แล้วหมอเบนก็ต้องเปลี่ยนเป็นยาที่เติมเหมือนเติมน้ำเกลือเอา แต่ฉันก็ต้องไปรอคิว แต่ละครั้งอย่างต่ำก็ครึ่งชั่วโมง บางทีก็เป็นชั่วโมงเลยก็มี เพราะวันจันทร์จะเป็นวันที่ยุ่งมาก

    ต่อจากนั้นก็จะมีพยาบาลมาเรียกชื่อฉัน แล้วเขาก็จะถามว่าฉันแพ้อะไรไหม ฉันก็บอกว่าฉันแพ้พวกพลาสติกที่ใส่ไว้ปิดแผล (ตอนที่ใส่เจ้าพิคค์ พวกพลาสิกใส่ที่ปิดแผลกับเจ้าพิคค์ มันทำให้ฉันแพ้แล้วก็เกิดการติดเชื้อ) พวกเจ้าสองตัวนี่แหละที่ฉันแพ้หน่ะ เขาก็เอาปลอกแขนสีแดงมาใส่ที่ข้อแขนของฉัน เพื่อที่จะต้องทำการตรวจชื่อว่าถูกต้องไหม ที่อยู่ถูกไหม วันเกิดถูกไหม กันพลาดเวลาให้ยา จะได้ไม่ให้ผิดคน ผิดยา พอไปถึงนางพยาบาลก็พาฉันไปนั่ง ซึ่งจะมีโซฟานุ่มๆ แบบมีที่พักเท้าให้ฉันได้นั่งเพราะว่าฉันจะต้องนั่งยาวเลยเวลาเติมเจ้าคีโม

    ...มีต่อข้างล่างนะคะ พอดีข้อความยาวไปหน่อย ...

    แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 49 21:04:31

    จากคุณ : Summer_scent - [ 10 ต.ค. 49 14:09:50 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com