ช่วงนั้นตั้งแต่เดือนสิงหา ไปจนถึงเดือนตุลา ฉันก็ยุ่งอยู่กับการเรียนและการรักษา สำหรับเรื่องเรียนนั้นฉันก็พยายามไปเรียนเท่าที่จะไปได้ เพราะว่าฉันจะต้องนั่งรถบัสไป
ประมาณ 5 นาที แล้วก็ไปต่อรถไฟเข้าเมืองอีกประมาณ 45 นาที แล้วจะต้องมาเปลี่ยนรถไฟจากในเมืองไปยังสถานีฟุทสเครอีกประมาณ 10 นาที ต่อด้วยรถบัสฟุทสเครจากสถานีไปยังมหาลัยอีก 10 นาที ชีวิตนี้ ทุลักทุเลมากค่ะ พอไปถึงที่เรียนก็เหนื่อยแล้ว ก่อนเข้าเรียนก็ไปเข้าห้องน้ำ พักเบรคก็เข้าห้องน้ำ เพราะว่าท้องจะเสียเป็นผลมาจากการทำคีโมด้วย ซึ่งช่วงนั้นก็จะมีอาการปากเป็นร้อนใน
ตามด้วยผมร่วง แล้วก็มีจะจับของเย็นไม่ได้ หรือแม้แต่ลมพัดเย็นๆ จะรู้สึกเป็นเหน็บที่มือ พวกนี้ล้วนแต่เป็นผลข้างเคียงของคีโมค่ะ อ้อ แล้วก็อ๊วกด้วยค่ะ กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวัน ซึ่งถ้าไม่ไปโรงพยาบาล ก็จะไปมหาลัย ถ้าไม่ไปมหาลัยก็จะอยู่บ้านเพื่อทำงานส่งอาจารย์
ช่วงนั้นจะยุ่งมากค่ะ แล้วก็ต้องคิดหัวข้อทำรายงานด้วย โดยที่ดิฉันก็ผันปัญหาให้เป็นโอกาส ในวิชาที่สอนให้ทำวิจัยเบื้องต้น ฉันก็ทำหัวข้อเกี่ยวกับมะเร็งในลำไส้ว่า คนไทยหรือคนออสเตรเลีย ชาติไหนจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในลำไส้มากกว่ากัน โดยเปรียบเทียบจาก กรรมพันธ์ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ค่านิยมเรื่องการกิน ศาสนา ความเชื่อและวัฒนธรรม เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้ทำวิจัยออกมาจริงๆนะคะ เพราะวิชานี้เขาแค่สอนให้เราได้รู้จักตั้งหัวข้อ แล้วก็เอาปัจจัยต่างๆมา วิเคราะห์และทำสถิติ ดูว่าเราจะมีการวางแผนการทำยังไง แล้วเราได้ไปศึกษามามากแค่ไหน มีงานวิจัยอะไรที่คอยสนับสนุนแนวคิดของเรา ฉันก็ทำเท่าที่จะที่ได้ค่ะ ถ้าไม่เข้าใจก็ถามชอน ซึ่งเขาก็ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี
ส่วนวิชาอินโนเวชั่น ฉันก็ทำรายงานเป็นเรื่องของการสอน Phonetic หรือการออกเสียงในภาษาอังกฤษให้เด็กไทย เพื่อให้ได้มีการออกเสียงอย่างถูกต้อง ก็ทำการวิเคราะห์ว่าควรจะสอนเด็กให้ออกเสียงอย่างถูกต้องตั้งแต่ตอนไหน แล้วควรฝึกอบรมครูสอนภาษาอังกฤษเสียใหม่ ในเรื่องการออกเสียงเพราะคนไทยออกเสียงผิดเพี้ยนไปเยอะเลย ซึ่งดิฉันก็เป็นบ้างเหมือนกันเพราะเราได้รับการสอนมาจากครูคนไทย ไม่ใช่เจ้าของภาษาโดยตรง และจะต้องแก้ไขยังไง อะไรทำนองนี้แหละค่ะ ฉันก็หาบทความและงานวิจัยต่างๆ แล้วก็ต้องมีการพรีเซนต์หน้าห้อง ซึ่งทุกคนจะต้องตอบคำถามจากเพื่อนๆและอาจารย์ให้ได้
ก่อนหน้าที่ฉันจะเรียนจบสองสัปดาห์ และแล้วฉันก็ได้รับจดหมายปฏิเสธวีซ่าจากอิมมิเกรชั่น ฉันผิดหวังและเสียใจมากที่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธวีซ่านักเรียนของฉันเพราะเขาบอกว่าฉันเป็นมะเร็งแล้ว
จะมีส่วนทำให้ค่ารักษานั้นตกเป็นภาระของรัฐบาลออสเตรเลีย ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ฉันเป็นนักเรียนต่างชาติ ฉันไม่ได้ใช้เงินของรัฐบาลในการรักษา และฉันก็ได้ทำประกันจากเมดิแบงค์ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน มันไม่ได้เกี่ยวกับรัฐบาลแม้แต่น้อย ฉันโมโหเจ้าหน้าที่มาก อยากจะเอาระเบิดไปปาตึกอิมเกรชั่นทั้งตึกให้มันพังทลาย ย่อยยับไปเลย จะได้ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ที่มีมันสมองเท่าสัตว์ชั้นต่ำอย่างอะมีบ้าหรือพารามีเซี่ยม (สัตว์ชั้นต่ำมันไม่มีสมองค่ะ) แต่ฉันด่าคนไม่เป็นเพราะคุณแม่ไม่ได้สอนให้สู้คนค่ะ เขาไม่เคยสอนให้พูดคำหยาบเลยพูดไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ แต่ตอนนั้นฉันโกรธมากจริงๆ ไม่รู้ว่าจะด่าพวกเขายังไงให้หายแค้น เพราะอีกแค่สองอาทิตย์ฉันก็จะเรียนจบแล้ว ยังมาเกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกจนได้ ซึ่ง เจ้าหน้าที่ทำผิดแท้ๆแต่ฉันจะต้องเดือดร้อนเพราะความไม่รู้ของเจ้าหน้าที่
ช่วงนั้นฉันน้อยใจในชีวิตมาก ทำไมปัญหาต่างๆมันมารุมเร้าฉันเหลือเกิน ฉันนอนร้องไห้ทุกคืน นี่ฉันไม่ได้ต่อสู้กับมะเร็งอย่างเดียวนะ ฉันจะต้องต่อสู้กับอิมมิเกรชั่นด้วย ชอนเขาก็โกรธไม่น้อยไปกว่าฉัน เขาบอกว่าพวกเจ้าหน้าที่งี่เง่ามาก ไม่รู้กฏหมายถึงได้ติดสินผิดอย่างนี้ แต่คนที่มารับกรรมต้องมาเป็นคนป่วยๆ อย่างฉัน เฮ้อ... ฉันเกิดความเหนื่อยหน่ายไม่อยากจะสู้ต่อไปแล้ว คิดไปผิดไปหรือปล่าวนะที่มาประเทศนี้ เป็นเพราะว่าฉันอยากมาตามหาความฝัน ก็เลยอยากจะมาเรียนที่นี่ซึ่งบ้านฉันก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ตอนนั้นที่บ้านก็มีเงินให้มาประมาณ 3 แสน แล้วก็กอรปกับได้รับการสงเคราะห์จากพี่โอปอกับพี่โยรีที่เคยทำงานแผนกเดียวกันที่บริษัทหมีน้อยแถวอยุธยา พี่ๆได้ให้ฉันยืมเงินเอาไปโชว์ในบัญชีเวลาขอวีซ่า คนละแสน สองแสน ฉันก็เลยได้มาเรียนที่นี่ ถ้าไม่ได้พี่ทั้งสองคนนี้ฉันก็คงจะไม่ได้มีโอกาสมาที่นี่แน่ บุญคุณของพี่ๆฉันก็อยากจะทดแทน แต่ความแค้นที่มีต่ออิมมิเกรชั่นก็อยากจะชำระ ... เกี่ยวกันไหมเนี่ย
เวลาฉันไม่สบายใจ ฉันก็จะโทรมาคุยกับพี่ๆและรูมเมทเก่าที่บ้าน 146 ซึ่งเป็นบ้านเช่าของบริษัท โดยมีพี่โอปอ ซึ่งเขาเป็นพี่ที่ดีมากสำหรับฉัน คอยช่วยเหลือฉันในทุกๆเรื่องและฉันก็รักพี่เขาเหมือนพี่สาวจริงๆ พี่โอปอนั้นอยู่ห้องเดียวกันกับพี่รดา ส่วนพี่รดาก็เป็นคนธรรมมะธรรมโม ใจบุญสุนทานและทานชีวจิตอีกต่างหาก ก็เลยจะเป็นพี่ที่ฉันนับถือมาก อีกห้องนึงเป็นของพี่แป๊ะยิ้ม สาวขาว อวบ ชอบกินของหวานๆ พวกเราทำงานแผนกเดียวกัน ก็เคยผ่านเรื่องร้ายๆมาด้วยกันบ่อยๆ เป็นเหมือนเพื่อนร่วมชะตากรรม พี่เขานั้นอยู่ห้องเดียวกันกะพี่ละออง ซึ่งพี่ละอองนั้นเป็นที่คนน่าสงสารมาก ไปทำงานตั้งแต่ไก่โห่ ทำงานหนักมั่กมาก พอกลับมาถึงบ้านก็ดึกเลย เขาเป็นคนมีความตั้งใจทำงานสูง แต่ด้วยความที่ไม่สู้คน ก็เลยโดนคนกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ ฉันเห็นใจพี่เขามาก ส่วนห้องต่อมาเป็นของพี่หนูจี๊ด ซึ่งพี่เขาเป็นคนที่ทำงานเรียบร้อย ทำงานเก่งและเป็นคนที่ขยันคนหนึ่ง ฉันก็นับถือพี่จี๊ดมาก พี่เขานั้นพักอยู่กะพี่ต่อแต้ ส่วนพี่ต่อแต้นั้น เป็นสาวล่ำบึ๊ก เพราะทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา พอวันหยุดเราก็มักจะหาอะไรทำด้วยกัน เช่นไปเรียนตีขิมและอื่นๆ อีก แต่พี่เขาจะชอบเรียนวาดภาพมากกว่า เราเลยไปด้วยกันได้ คนสุดท้ายเป็นเจ้าน้องน้อยซึ่งเป็นรูมเมทของฉันเอง เราพักอยู่ด้วยกัน ซึ่งเจ้านี่เป็นหนอนหนังสือตัวยง สามารถอ่านหนังลือได้ทุกท่า ท่าโปรดของเขาก็คือนั่งขัดสมาด เอาหัวพิงที่เตียง แล้วก็เอาหนังสืออยู่บนตักแล้วอ่าน ประมาณนั้น มีใครทำได้พิศดาลแบบนี้ไหม และเจ้านี่รักสัตว์มาก เลยเลี้ยงปลาไว้เต็มบ้านเลย เรารักกันมาก มีอะไรก็คุยกันตลอด หลังจากที่ฉันลาออกเพื่อไปเรียนที่ออสเตรเลีย ฉันก็ไม่เคยได้พบพวกเขาอีกเลย แต่เราจะโทรมาคุยกันบ่อยๆ ถ้าฉันไม่โทรไป พี่ละอองก็จะเป็นคนโทรมาหาเสียส่วนใหญ่ เพราะพี่เขาเป็นห่วงฉันมาก ยิ่งรู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง ก็ยิ่งโทรมาให้กำลังใจบ่อยๆ
ตอนหลังมาพี่โอปอได้ลาออกไปเพราะต้องตามคุณอูเย่สามีผู้แสนดีไปอยู่ที่เยอรมัน เมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวดีว่าสอบใบขับขี่ที่โน่นได้แล้ว พี่แกดีใจใหญ่เลย เพราะว่าสอบยากมั่กมาก ส่วนเจ้าน้องน้อยก็ลาออกไปทำงานบริษัทเกี่ยวกับลอจิสติกแถวๆชลบุรี ก็แฮ๊ปปี้กับแฟนใหม่ไปตามๆกัน ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังอยู่บ้าน 146 ด้วยความหวังสักวันจะได้เจอคนดีๆ อย่างชอน จะได้มีครอบครัวเป็นตัวเป็นตนอย่างฉันและพี่โอปอไง พี่ๆและเพื่อนๆก็คอยให้กำลังใจแก่ฉันเป็นอย่างดี ฉันอยากกลับบ้าน คิดถึงพวกพี่ๆ เราอยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวตามประสาสาวโสด แต่ก็มีหนึ่งหนุ่มใหญ่ คือพี่โหน่ง ซึ่งพี่เขาทำงานอยู่แผนกคอมพิวเตอร์ จะคอยมาแจมที่บ้านเราด้วย เมื่อก่อนพี่โหน่งก็เคยดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ สูบบุหรี่ อีกทั้งยังชอบกินอาหารแซ๊บๆ เผ็ดๆ เค็มๆ วันดีคืนดีเกิดตัวบวมขึ้นมา ตอนแรกนึกว่าบวมเบียร์ แต่แท้ที่จริงแล้ว ไตแกไม่ทำงานค่ะ ที่เราเรียกว่าไตวายนั่นแหละค่ะ เลยต้องนอนอยู่โรงพยาบาลไปพักใหญ่ และต้องคอยฟอกไตอยู่เป็นประจำ (ตอนนี้ก็รอคนบริจาคไตอยู่ค่ะ แต่ยากมั่กมาก) จากคนที่เคยอยู่อย่างปรกติสุขก็กลายมาเป็นคนป่วย ลางานไปโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ต้องเลิกหมดเลยทั้งเหล้า เบียร์ และบุหรี่ มาถึงทุกวันนี้ฉันก็เข้าใจความรู้สึกของพี่โหน่งเป็นอย่างดี เพราะเราก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ กลายเป็นคนขี้โรคไปซะแล้ว ทั้งๆเมื่อก่อนก็ไม่เคยป่วยไข้ ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลย คนที่เคยทำอย่างพี่โหน่งก็ระวังนะคะ เราไม่รู้ว่าวันไหนมันจะมาถึงเรา ถ้ายังไม่ดูแลตัวเองให้ดี ขนาดฉันไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ยังเป็นได้ถึงขนาดนี้เลย
หลังจากนั้นชอนเขาก็ไปศึกษาข้อมูลจากอินเตอร์เนทเกี่ยวกับเรื่องการสู้คดี เรียกว่ารีวิว ไทรบูนอล (Review Tribunal) ก็คือแผนกที่คอยตัดสินว่า อิมมิเกรชั่นทำถูกหรือปล่าว ถ้าทำผิดเขาก็จะให้เราชนะ แล้วก็จะมีการแก้ไขในวีซ่า แต่ถ้าเราทำผิด เราก็จะแพ้คดี นอกจากจะไม่ได้เงินคืนแล้ว ก็จะไม่สามารถเข้าประเทศนี้ได้เป็นเวลา 3 ปี แต่เราจะต้องเสียเงิน 1,600 เหรียญ (ประมาณ 45,000 กว่าบาท) เพื่อเป็นค่าสมัครให้เขาพิจราณาคดีให้เราใหม่ ถ้าเราชนะก็ได้จะเงินคืน แต่ถ้าเราแพ้เงินนั้นก็เสียไปเลย พวกเราไม่มีทางเลือกแล้ว ก็เลยต้องสมัครไปโดยที่หมอเบนออกจดหมายรับรองให้ว่าอาการของฉันดีขึ้นมากแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้ติดต่อหมอเบนได้เลย แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยติดต่อหมอเบนเลย เราก็ต้องจ่ายเงินเลย เพื่อที่จะให้ฉันได้อยู่ในประเทศนี้ต่อไป พระเอกของฉันก็ไม่เคยคิดเสียดายเงิน เขาดีกับฉันมากจริงๆ ถ้าไม่มีเขาฉันก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่มาจนป่านนี้
แต่พวกเราก็ต้องรอผลการตัดสินซึ่งเขายังบอกไม่ได้ว่าเราจะรอไปถึงไหน ทำนองว่าเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น แต่ชอนเขาก็ไม่มีปัญหาเพราะยิ่งการตัดสินใช้เวลานานเท่าไหร่ ฉันก็สามารถอยู่กับเขาได้นานเท่านั้น ถ้าแพ้ก็ไม่เป็นไร เพราะ เงิน 1,600 เหรียญนี้เป็นเหมือนซื้อเวลาให้ฉันได้อยู่กับเขา ดูสิ เขาเป็นคนที่แสนจะละเอียดกระเดียดไปทางโรแมนติก ชาตินี้คงไม่มีใครที่จะรักฉันจริงได้อย่างชอน คงไม่มีอีกแล้วหล่ะ ซึ่งการรอในครั้งนี้ฉันได้วีซ่ารอที่เรียกว่า บริดจิ้ง เอ (Bridging A) ซึ่งเป็นเหมือนสะพานที่จะเชื่อมวีซ่านี้ไปอีกวีซ่าหนึ่ง ก็เลยมีชื่อเรียกเหมือนสะพาน (Bridge) นั่นก็หมายถึงว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่บนสะพานยาวๆ จะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ก็ข้ามไปเรื่อยๆ ยังไม่ถึงฝั่งเลย ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ว่าจะไปถึงฝั่งเมื่อไหร่ สำหรับพวกเราแล้วยิ่งไกล ยิ่งดี เราจะได้ข้ามไปเรื่อยๆ และข้อดีของวีซ่านี้ก็คือ ฉันสามารถทำงานและเรียนได้ เงื่อนไขทุกอย่างยังเหมือนวีซ่านักเรียนอยู่ ก็ถือว่ายังโชคดีอยู่เหมือนกัน
วันสุดท้ายของการเรียนอินโนเวชั่นซึ่งเป็นวันที่ฉันจะต้องไปทำคีโม เนื่องจากว่าหมอเบนไม่ว่างในวันจันทร์ ฉันก็เลยต้องมาทำคีโมในวันพุธตอนเช้า แล้วก็เลยไปเรียนหลังจากทำคีโมเสร็จ ในวันนั้นฉันเป็นไข้หวัด ฉันเจ็บคอมากจนทำให้เสียงฉันหายไปเลย คิดดูสิว่าฉันจะต้องไปพรีเซนต์หรือว่าไปรายงานหน้าห้องแต่ฉันแทบที่จะไม่มีเสียงเลย ก็เหมือนเวลาคุณเจ็บคอนั่นแหละค่ะ เวลาพูดออกมามันเป็นเหมือนเสียงกระซิบเสียมากกว่า ผีซ้ำด้ามพลอย ฉันละสมเพชตัวเองเสียจริงๆ เคราะห์ดีที่ฉันได้ทำรายงานไว้แล้ว ฉันต้องทำทั้งสองตัว เพราะว่าจะได้เอาไปส่งอาจารย์ในวันเดียวกันจะได้ไม่ต้องมาวันอื่นให้เสียเวลา แต่ฉันก็ลำบากหน่อยที่จะต้องทำรายงาน 2 ตัวติดกัน แต่ชอนก็คอยให้คำแนะนำอยู่ข้างกาย ถ้าไม่มีเขาฉันก็แย่เหมือนกัน เขาเป็นเหมือนเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยฉันไว้ในทุกๆเรื่อง
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 49 21:02:34
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 49 10:42:10
จากคุณ :
Summer_scent
- [
11 ต.ค. 49 10:16:37
]