CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ยิ้มไว้...เมื่อภัย(มะเร็ง)มา ตอน 19 เล่าจากเรื่องจริง

    ขอย้อนไปถึงขั้นตอนของการสมัครงานที่บริษัท Texcor ตามที่บอกค่ะ ฉันได้ไปสมัครกับทางวิทยาลัยที่เรียนอยู่ เพราะที่นี่เขามีบริการจัดหางานให้ด้วย ฉันน่าจะมาเรียนที่นี่ตั้งนานแล้วเนอะ จะได้ไม่ต้องไปตกระกำลำบากอยู่ที่โรงแรม มงกุฏ ทาวเวอร์ แต่ก็ไม่ลองไม่รู้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตละกัน ซึ่งช่วงที่เรียนอยู่นั้น อาจารย์ก็ได้สอนวิธีทำจดหมายสมัครงาน และประวัติของเราที่เรียวว่า เรซูเม่ (Resume) ซึ่งก็ช่วยฉันมากเลยทีเดียว ก่อนที่จะเอาไปสมัครงาน อาจารย์เขาก็ช่วยดูให้ แล้วเขาก็บอกฉันว่าไม่ควรใส่พวกป.โทเข้าไป เพราะเราสมัครแค่งานอ๊อฟฟิส มันดูจะโอเวอร์ไป ใส่แค่พวกประกาศนียบัตรก็พอ ฉันก็เขียนว่าฉันกำลังเรียนคอร์สนี้อยู่ด้วย แล้วเขาก็ให้ใส่ว่าทำงานที่โรงแรมไปด้วยก็ได้ และที่ขาดไม่ได้คือบุคคลอ้างอิง ซึ่งฉันได้ใส่ชื่อพี่ลอเลิศ และเอฟลิน เพื่อนที่เคยเรียนป.โท ด้วยกันซึ่งเอฟลินเขาก็เป็นอาจารย์สอนวิชาจิตวิทยาอยู่ในมหาลัยที่พวกเราจบมาด้วยกันอยู่แล้ว ตอนแรกฉันขอให้ชอนเป็นบุคคลอ้างอิงให้หน่อย แต่เขาไม่ยอมเพราะว่าเราเป็นคู่สมรสกัน มันไม่ถูกต้อง ฉันก็นึกน้อยใจดูสิ เขานะมีการศึกษาดีเลิศ และรู้จักฉันดีที่สุด ซึ่งทุกครั้งเวลาน้ำหวานไปสมัครงานที่ไหนนะ ชอนเขาก็เป็นคนอ้างอิงให้ทุกครั้ง แต่พอฉันไปสมัครมั่ง เขาบอกว่ามันไม่ดี เพราะว่าเรารู้จักกันมากเกินไป เพราะไม่ว่าจะถามยังไง ก็จะดูเหมือนคู่สมรสก็จะต้องเข้าข้างกันอยู่วันยังค่ำ ก็เลยจะทำให้ไม่น่าเชื่อถือ เออ ที่เขาพูดมามันก็ถูกอีกนั่นแหละ แต่ว่าคนเรามันก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้เพราะอยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่ช่วยกันไม่ได้ ฉันนี่แย่จริงๆ คิดอย่างนั้นไปได้ยังไงเนี่ย

    พอวันรุ่งขึ้นฉันก็ได้อีเมลจาก สตีฟ ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ตอนแรกเขาไม่ได้บอกชื่อบริษัทในใบประกาศรับสมัคร ดังนั้นเขาจึงส่งรายละเอียดว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทขายพวกแบ็ค อัพ ซอฟแวร์ เรียกว่าแบ็ค อัพ แอ็สซิส (Back up Assist) เหมาะสำหรับห้างร้าน บริษัทขนาดเล็กถึงขนาดกลางใช้ในการช่วยในการแบ็คอัพข้อมูล (คิดว่างั้นนะ) เพราะฉันไม่ได้จบพวกวิทย์คอม แต่ฉันจบมัลติมีเดีย ซึ่งจะต่างกันมาก สตีฟจึงนัดสัมภาษณ์ตอน 5 โมงเย็นของวันศุกร์ พอดีเลย ฉันเลิกเรียนตอน 4 โมงครึ่ง ดูจาหากแผนที่ที่เขาส่งมาให้ จากวิทยาลัยไปที่บริษัทนั้นอยู่ไม่ไกลกันเลย เดินไปก็ยังได้

    พอเช้าวันศุกร์ฉันก็แต่งตัวใส่ชุดสูทสีดำ ที่ซื้อมาจากร้านโปรดตอนมันลดราคา ถ้าราคาเต็มก็ซื้อไม่ไหวเหมือนกัน ฉันแต่งหน้าอ่อนนิดๆๆ มัดผมรวบดูเรียบร้อยแต่ก็ไม่วายใส่เสื้อโค้ทสีขาวที่มีลำตัวยาวไปถึงหัวเข่า ซึ่งบดบังรัศมีเสื้อสูทที่ฉันใส่ชะมิดเลย ก็มันหนาวนิ ยิ่งฉันมันเป็นคนขี้หนาวอยู่ด้วย ชอนเขาก็ขับรถไปส่งที่วิทยาลัยตามเคย แล้วก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า พอพักเที่ยงฉันก็บอกเพื่อนๆ ว่าฉันจะไปสัมภาษณ์เย็นนี้ เพื่อนๆก็อวยพรขอให้ฉันโชคดี พอดีช่วงเย็นเรียนเสร็จอาจารย์ก็แจกหนังสือที่ใช้ประกอบการเรียนให้แล้วฉันก็ขอยืมหนังสือการใช้โปรแกรมเอ็ม วาย โอ บี (MYOB) ซึ่งเป็นโปรแกรมของการทำบัญชีต่างๆ พอตกเย็นหน้าตาที่ตบแต่งไว้ซะดิบดี ก็หายไปหมด เหลือแต่หัวกระเซอะกระเซิง แก้มเกิ้ม ปากเปิก หายหมด พอดีพกมาแต่ลิบสติก ก็เลยเติมปากไปนิดนึง แล้วก็เดินไปหาบริษัทมือก็หอบหนังสือเต็มไปหมด กว่าจะไปถึงที่นั่นก็เมื่อยมือไปหมด และแล้วฉันก็มาถึงตึกที่มาสัมภาษณ์งาน ซึ่งเป็นตึกสีเหลือง สูงประมาณ 5-6 ชั้น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เรียนนัก เดินไม่ถึง 10 นาที แต่พวกหนังสือที่ฉันหอบมามันหนักมากจาก ทำให้รู้สึกว่าเดินเป็นครึ่งชั่งโมง ฉันก็เขียนเว่อร์ไปนิดนึง แล้วฉันก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสอง ก็เดินมาหาบริษัท อยู่ซะหลบมุมต้องเดินลึกไปอีกหน่อย แต่ก็มีบริษัทเล็กๆ อยู่ก่อนที่จะถึง Texcor อีก 2 บริษัท

    พอไปถึงหน้าห้อง ฉันก็เปิดประตูเข้าไป ฉันก็เห็นเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์อยู่ด้านหน้า แล้วก็มีพวกถังน้ำไว้ให้แขกดื่ม มีเก้าอี้ให้ผู้มาติดต่อนั่งรอ 2-3 ตัว แล้วมุมขวาของห้องจะมีตู้ไว้เก็บหนังสือ บนตู้จะมีวิทยุเทปวางอยู่ ถัดจากตู้วางหนังสือจะมีห้องกระจกซึ่งเป็นเหมือนห้องผู้จัดการประมาณนั้น แล้วถัดจากห้องผู้จัดการจะเห็นเป็นห้องประชุม เพราะจะมีโต๊ะตัวใหญ่ๆอยู่กลางห้อง และมีเก้าอีกล้อมรอบ ถัดจากเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ทางด้านซ้ายมือจะมีพาร์ทิเคิลกั้นไว้ทำให้ฉันมองไม่เห็นว่าเป็นอะไร แต่ด้านหลังของเคาท์เตอร์ แต่ข้างๆห้องประชุมจะมีพาร์ทิเคิลกันแล้วก็มีโต๊ะทำงานอยู่ นั่นก็คือโต๊ะของสติฟนั่นเอง "ขอโทษค่ะ นี่คือเทกซ์คอร์หรือปล่าวคะ" ยืนตะโกนถามอยู่หน้าเคาท์เตอร์ "อ้อ ใช่ ๆ แพรวใช่มั้ย ผมสติฟนะ ยินดีที่ได้รู้จัก" หนุ่มตี๋ๆขาวๆ หน้าตาสะอาดๆใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนแล้วก็ผูกไท้สีน้ำเงินเข้ม ทักทายฉันอย่างเป็นมิตร พลางยื่นมือมาให้จับ "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" ฉันจับมือเขาแล้วเขาพาไปที่ห้องประชุม "เชิญทางนี้เลยครับ เป็นไงหายากมั๊ย" เขาถาม "ไม่ค่ะ ไม่ไกลจากที่เรียนฉันเลย" "เชิญนั่งก่อนครับ" เขาเชื้อเชิญ  ฉันกล่าวขอบคุณ "ลองบอกประวัติของคุณอย่างย่อๆให้ผมฟังอีกทีซิ" เขาซักถาม "ฉันกำลังเรียนคอร์สสั้นๆเกี่ยวกับพวกแอ๊ดมิน แต่ตอนอยู่เมืองไทยฉันก็เคยทำงานแอ๊ดมินให้ชาวญี่ปุ่นค่ะ แล้วก็ฉันก็เคยทำงานที่โรงแรมมงกุฏ ทาวเวอร์ ตอนนี้ก็กำลังหางานทำเกี่ยวกับงานในอ๊อฟฟิสอยู่ค่ะ" ฉันร่ายยาว "แล้วคุณรู้จักเอฟลินได้ยังไง" เขาซักไซ้ "เขาเป็นเพื่อนที่เรียนปริญญาโทด้วยกันค่ะ" ฉันตอบ "อ้าวคุณจบปริญญาโทแล้วเหรอ" "ค่ะ แต่ฉันไม่ได้เขียนไว้เพราะว่ามันดูไม่ค่อยเกี่ยวกับงานที่ฉันทำ"ฉันอธิบาย  "พอดีผมได้โทรไปถามเอฟลิน เขาบอกว่าคุณเป็นคนดีมาก แล้วเขาก็บอกว่าผมจะไม่เสียใจเลย ถ้าได้จ้างคุณเพราะคุณเป็นคนเก่งมาก" เขาพูดไปยิ้มไป "ฉันว่าเอฟลินพูดเกินไปมั้งคะ" ฉันบอกอย่างอายๆ แหม ไม่นึกว่าเอฟลินจะโฆษณาขายฉันซะดิบดี "คุณมีคนอ้างอิงที่ดีมากเลยนะ เขาพูดข้อดีของคุณให้ผมฟังซะ จนอยากจะเห็นตัวจริงของคุณเลย" เขายอ "เอาหล่ะ คุณลองพิมพ์ตารางนี้ในคอมพิวเตอร์ซิ" เขาลองให้ฉันทำตาราง ฉันก็ถอดเสื้อโค้ท(ไม่ได้ถอดผ้านะ)ออกเพราะว่ามันพิมพ์ไม่ค่อยถนัด หลังจากนั้นฉันก็ทำตารางง่ายๆในโปรแกรมเอ็กซ์เซล "โอเค ดีมากคุณรู้โปรแกรมนี้ งั้นคุณลองทดสอบความเร็วหน่อยสิ ว่าคุณพิมพ์ได้เร็วไหม" แล้วเขาก็เปิดโปรแกรมทดสอบการพิมพ์ภาษาอังกฤษ ด้วยความตื่นเต้น ประกอบกับทำงานขัดๆ ถูๆ เสียนานทำให้ฉันพิมพ์ได้ช้ามาก ครั้งแรกได้ประมาณ 30 คำต่อนาที "อืม คุณพิมพ์ได้ช้านะ ลองดูอีกทีซิ" เขาให้ฉันลองทำใหม่ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร กลับช้ากว่าเดิมซะอีก ฉันยังหงุดหงิดตัวเองเลย เวลาฝึกพิมพ์นะ เร็วเชียว แต่เวลาเขาให้ทดสอบกลับทำให้ฉันขายหน้า แต่ฉันก็พยายามควบคุมอารมณ์ "อ้าว 24 คำต่อนาที ช้ากว่าเดิมอีก ไม่เป็นไร สงสัยคุณจะตื่นเต้น" เขาใจดีมาก "ทีนี้มาลองฝึกเอาเอาการใส่ซองจดหมายดูนะ เรียงตามลำดับก่อนหลังนะ ถ้าไม่เข้าใจก็ถามแม็ทนะ" แม็ทเป็นหนุ่มน้อยหน้าใส หน้าเด็กมั่กมาก ซึ่งเขาอยู่ในส่วนดูแลลูกค้า เขาก็อธิบายขึ้นตอนก่อนหลัง แล้วฉันก็ทำตาม ต่อจากนั้นก็ให้ฉันลองจ่าหน้าซองต่างๆ ฉันก็ทำตามที่เขาบอก ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าเป็นเอกสารอะไร

    สุดท้ายสติฟก็พาไปพบกับไลนิส ซึ่งเป็นเอ็ม ดี (Managing Director) ฉันแท็บช็อค ไลนิสนี่ก็หน้าอ่อนมาก ดูอ่อนกว่าฉันซะอีก ซึ่งในบริษัทนี้นะ แต่ละคนชื่อนี้สติฟ แม็ท ไลนิส แต่ว่าหน้าตาตี๋เชียว ไม่ใช้ฝรั่งกันซักคน (มีแต่สามพี่น้องตระกูลซ่ง) ไลนิสเขาเกิดที่นี่สำเนียงเป็นออสซึ่เลย ด้วยความที่เป็นคนเก่งเขาก็เลยได้เป็นเอ็มดี ตั้งแต่อายุยังน้อย ท่าทางเขาใจดีมาก เขาก็แค่มาทักทาย แล้วสติฟก็บอกฉันว่า "ต้องขอบคุณมากเลยนะที่อุตส่าห์สละเวลามาสัมภาษณ์ในวันนี้ แล้วทางเราจะติดต่อกลับไปนะ" เขาพูดแบบไม่ไห้ความหวังกันเลย ฉันกล่าวล่ำลาเขาแล้วก็เดินคอตกไปหาชอน ซึ่งเขาได้จอดรถรออยู่ข้างล่าง เราได้นัดกันไว้ตั้งแต่ตอนเช้าที่เขาไปส่งที่วิทยาลัยแล้วว่า เขาจะต้องมารับที่หน้าตึกสีเหลืองแห่งนี้เมื่อฉันสัมภาษณ์เสร็จ

    "เป็นไงบ้างจ๊ะ เบบี้" ชอนถามอย่างเป็นห่วง ฉันไม่พูดอะไร เพราะยังโกรธตัวเองไม่หายที่ตอนสอบพิมพ์ทำได้ช้ามาก ยิ่งคิดไปคิดมา ยิ่งโกรธตัวเองมากขึ้น ฉันเลยเอามือเขกหัวตัวเองๆ แรงๆๆ ไปตั้งหลายที ให้เลือดโง่มันออกมั่ง "เบบี้ๆๆ อย่าทำอย่างนั้น" ชอนตะโกนห้ามเพราะเขาขับรถอยู่ "ฉันมันโง่ ฉันมันแย่ ตอนสอบพิมพ์ก็ทำช้า" ฉันปล่อยโฮ เพราะผิดหวังที่ฉันมาตกม้าตายเอาดื้อๆอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง กอรปกับคำพูดของสติฟ ไม่ได้ให้ความหวังเลย ฉันคิดว่าคงไม่ได้แล้วแน่ๆเลย "ไม่เป็นไรหรอก เบบี้ เดี๋ยวเราก็ไปหาสมัครที่อื่นใหม่นะ" ชอนพยายามปลอบ พอฉันมาถึงบ้านฉันก็ซึมไปเลย ไม่ยอมกินข้าวกินปลา เพราะอยากลงโทษตัวเอง คืนนั้นทั้งคืนฉันก็เข้าไปหางานใหม่ในเวป ฉันก็สมัครมันแทบทุกงานแหละแม้แต่เป็นพนักงานในเทนพิน โบว์ ซึ่งเป็นศูนย์โบว์ลิ่งอยู่แถวๆ วิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่นั่นแหละ ฉันไม่มีทางเลือกนิ เพราะฉันไม่อยากทำงานที่โรงแรมแล้ว มันเหนื่อยมั่กมาก ๆๆๆๆ

    เช้าวันจันทร์ฉันก็ได้รับข่าวดีจากสตีฟ โดยที่เขาได้พอใจกับผลงานของฉันมาก จึงอยากจะให้ฉันมาเริ่มงานในวันพุธที่จะถึงนั้นเลย ฉันดีใจมาก เขาบอกว่าฉันไม่ได้มาเป็นเลขาไว้คอยพิมพ์งานเพราะฉะนั้นไม่ต้องพิมพ์เร็วก็ได้ ไม่เป็นไร ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เยยยยยยย้....ฉันได้งานทำแล้ว ฉันก็รีบโทรไปหาชอน เขาดีใจมากแต่ก็ไม่วายพูดเสียดสี "เบบี้ไม่น่าทำร้ายตัวเองในเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยนะ ดูสิตอนนี้เขาก็รับเข้าทำงานแล้ว" ที่ชอนพูดก็ถูก เวลาฉันโกรธแล้วไม่มีทางออก ฉันก็มักจะตีหัวยัยแพรวเสมอ เพื่อที่จะให้มันจำ จะได้ไม่ทำผิดซ้ำๆอีก บางทีก็สงสารแพรวเขาอยู่เหมือนกันแต่ว่าทำแล้วมันสะใจดี ฉันนี่เป็นโรคจิตอ่อนๆแน่ๆเลย

    วันแรกของการทำงานในบริษัท ฉันก็มิวายใส่ชุดสูทให้ดูเท่ห์ๆหน่อย ถึงเตี้ยแต่ก็ดูดีค่ะ พอไปถึงที่ทำงานสติฟก็พาไปแนะนำอีกสองหนุ่มคือ ทิมมี่กับเกรก ทั้งสองคนนี้เป็นออสซี่ค่ะ ซึ่งทิมมี่อยู่ในฝ่ายไอที ส่วนเกรกอยู่ฝ่ายวิจัย ซึ่งที่นี่จะเป็นบริษัทเล็กๆ ยกเว้นไลนิสกับสตีฟ คนอื่นๆก็นั่งโต๊ะติดๆกันโดยมีพาทิเคิลกั้นเป็นล็อคๆๆอีกทีนึง โดยที่ทิมมี่จะนั่งข้างๆ แม็ท ส่วนเกรกก็นั่งอยู่ตรงกันข้ามทิมมี่ ฉันคิดว่าเกรกคงไม่ค่อยสนิทกับใครมากนักเพราะสติฟบอกฉันว่าเกรกเขาจะลาออกแล้ว ส่วนคนอื่นๆ เขาอยู่กันมามานแล้ว ส่วนโต๊ะทำงานของฉันก็อยู่ที่เคาท์เตอร์มีที่นั่งและคอมพิวเตอร์ให้เสร็จสรรพ์ คอยต้อนรับผู้มาเยือน เหมือนเป็นตุ๊กตาเรียกฝนอยู่หน้าบ้าน ซึ่งทำงานในอ๊อฟฟิสต่างจากเป็นแม่บ้านโรงแรมอย่างลิบลับ ฉันมีความสุขในการทำงานมาก ไม่ต้องมีคนมาคอยเร่ง ไม่ต้องคอยเข็นรถที่หนักยังกะรถสิบล้อ ไม่เหนื่อยด้วย พวกๆหนุ่มๆก็แสนจะใจดี มีแต่คนคอยเอาใจเพราะฉันเป็นสาวน้อยในไร่ส้มอยู่คนเดียว หน้าที่หลักๆของฉันก็คือคอยส่งจดหมายที่มีเอกสารแนะนำบริษัท และแผ่นซีดีแบ็คอัพที่เป็น Trial version ส่งไปให้ลูกค้าลองใช้ดูก่อนแล้วถ้าพอใจก็ค่อยสั่งซื้อ โดยที่ลูกค้าจะโทรมาขอตัวอย่าง ทิมมี่กับแม็ทก็จะเป็นคนคอยรับโทรศัพท์แล้วก็จดรายละเอียดมาให้ฉัน ฉันก็แพ็คของแล้วก็ส่งไปให้เขา ถ้าเขาพอใจก็จะโทรมาสั่งกับจูลี่ ซึ่งเป็นเหมือนลูกค้าสัมพันธ์ อีกทั้งคอยทำเกี่ยวกับเรื่องบัญชีต่างๆ แต่เขาทำงานอยู่กะบ้าน นานๆจะเข้ามาบริษัททีนึง

    แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 49 19:06:06

    แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 49 18:58:06

    แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 49 18:54:49

    แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 49 18:53:42

    จากคุณ : Summer_scent - [ 17 ต.ค. 49 17:25:35 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com