CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ยิ้มไว้...เมื่อภัย(มะเร็ง)มา ตอน 20 เล่าจากเรื่องจริง

    " มะ...หมอ ว่าไงนะ พะ พูดอีกทีซิ!!" ฉันถามเสียงสั่นๆ มันเหมือนครึ่งหลังครึ่งตื่น แทบไม่เชื่อหูตัวเอง หูมันอื้อ หัวก็มึนตึบไปหมด "ผลจากซีทีแสกน (CT Scan) ออกมา ไอ้มะเร็งบ้านั่น มันเกิดแพร่ไปที่ตับ" หมอเบนพูดด้วยความโกรธ  "นี่ขนาดผมได้พยายามทำทุกอย่างแล้วนะ นึกว่าตัดมันออกไปได้แล้วซะอีก" เขายื่นมือมาจับที่ไหล่ของฉัน "ผมเสียใจด้วยนะที่ ..ที่เราหยุดไอ้มะเร็ง..บ้านั่นไม่ได้" เขาพูดเสียงสั่น เพราะคงไม่อยากเชื่อผลการตรวจเช่นกัน ฉันเห็นแววตาอันห่วงใยของหมอเบน ฉันมองไปที่เขา แต่เห็นเขาเบลอๆๆ เพราะน้ำตาฉันมันคลอเบ้า พลางจะไหลออกมาเสียให้ได้ แต่ฉันก็พยายามกลั่นมันไว้ แล้วฉันก็พูดอะไรไม่ออก อยากจะปล่อยโฮ แต่มันก็ร้องไม่ออก มีแต่น้ำตาคลอเบ้า ฉันพยายามกระพริบตาถี่ไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา หันไปดูชอนที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นเขาหน้าซีดเผือด ตาเขาแดงๆ ทุกคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วชอนก็เอ่ยขึ้น "จะมีทางรักษาได้ไหมครับ"  "เรื่องนี้ต้องคุยกับหมอโรเจอร์ แบรรี่เพื่อนของผม" หมอเบนแนะนำ "เขาเป็นหมอตับที่เก่งมากคนนึงของเรา ผมได้ติดต่อนัดให้พวกคุณไปพบเขา พรุ่งนี้ตอน 8 โมงเช้า เพราะตอนนี้อ๊อฟฟิสเขาปิดแล้ว ซึ่งเขาก็อยู่ข้างๆ อ๊อฟฟิสของผมที่คาบรินี่ นี่แหละ"  หมอเบนอธิบาย "อย่าคิดมากนะ ทุกอย่างต้องมีทางแก้ไข แพรว คุณจะต้องผ่าตัดด่วน จะยังกลับบ้านไม่ได้" เขาบีบไหล่ฉันแน่น "ไม่ว่ายังไง ผมไม่ยอมให้คุณกลับไปตอนนี้แน่ เพราะเท่ากับส่งคุณไปตาย " เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "แล้วเรื่องวีซ่าหล่ะครับ ทางอิมมิเกรชั่นบ้านั่น มันไม่ยอมให้แพรวอยู่ต่อ" ชอนพูดอย่างคับข้องใจ "เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ผมกับโรเจอร์ไม่ยอมให้เขามาไล่แพรวไปหรอก ต่อให้เขาเอาตำรวจมาลากตัวแพรวไป ผมก็จะขัดขวางให้ถึงที่สุด เพราะแพรวเขาต้องการการรักษาโดยด่วน" หมอเบนยืนยันเสียงแข็ง ฉันน้ำตาไหลพรากเพราะทั้งหมอเบนและชอน ดูเป็นห่วงฉันมาก ซึ่งในเวลานี้ ใจฉันมันอ่อนปวกเปียกไปหมด ยังนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาฉันมีความสุขมาก แต่มันก็สุขอยู่ได้ไม่นาน มันก็คอยมีมารมาผจญให้ฉันต้องมีเรื่องให้ทุกข์อีกจนได้ ไม่รู้ว่าฉันได้ทำบุญทำกรรมอะไรไว้นะ ไอ้เชื้อชั่วนั่นมันถึงได้ตามจองล้างจองผลาญ มันไม่ยอมตายเสียที

    "ผมจะเขียนจดหมายรับรองว่าคุณแพรวต้องการการผ่าตัดด่วน พรุ่งนี้ตอนคุณไปคุยกับโรเจอร์ ก็แวะไปเอาที่อ๊อฟฟิสของผมเลยนะ ผมจะให้เลขาผมเตรียมไว้ให้ แล้วคุณก็เอาไปให้อิมมิเกรชั่นได้เลย" หมอเบนแนะนำ "แล้ววันถัดไปแพรว คุณต้องไปทำเพท แสกน ( PET Scan) ที่โรงพยาบาลโมแนช เพราะเราไม่มีที่นี่ ที่อยู่ตามเอกสารนี้นะ" "การทำแสกนนี้มันจะตรวจได้อย่างละเอียดว่าตอนนี้มันได้แพร่ไปที่ไหนบ้าง เราจะได้ทำการวางแผนเพื่อทำการผ่าตัด แต่ว่าค่าใช้จ่ายนั้นคุณต้องออกเองนะเพราะผมคิดว่าทางประกันคงไม่จ่ายให้แน่ๆ แม้แต่คนที่นี่ถ้าทำก็จะต้องจ่ายเอง เพราะเครื่องมันแพงมาก ทางรัฐบาลไม่ได้ให้เงินสนับสนุน เลยทำให้ชาวบ้านตาดำๆ ต้องมารับภาระหนักไป" หมอเบนพูดอย่างเห็นใจ พลางยื่นเอกสารให้ชอน เพราะเขารู้ว่าถึงเอาให้ฉันมันก็ไม่มีประโยชน์ ในตอนนี้หัวสมองของฉันมันว่างปล่าว ไม่อยากรับรู้เรื่องอะไร หมอเบนพูดต่อว่า "แต่เครื่องนี้มันให้ความแม่ยำสูง เพราะมันสามารถตรวจไปจนถึงเนื้อเยื่อต่างๆ จะทำให้เรารู้ว่าไอ้มะเร็งมันได้แพร่ไปที่ไหนบ้าง เราจะได้ทำการแก้ไขได้ทัน" หมอเบนหันไปพูดกับชอน "ผมกับโรเจอร์จะจัดการเรื่องการรักษาส่วนคุณก็ไปจัดการเรื่องอิมมิเกรชั่น ส่วนแพรวทำใจให้สบายทุกอย่างต้องมีทางแก้ไข อย่างน้อยคุณก็ได้อยู่กับชอนต่อ คิดในแง่ดีเข้าไว้นะ" หมอเบนปลอบ "วันนี้กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ อย่าคิดมากนะแพรว" หมอเบนพูดอย่างเห็นใจ ฉันรู้สึกได้ได้ว่าเขาเป็นห่วงฉันด้วยใจจริง ซึ่งเขาก็ได้ทำทุกอย่างที่จะช่วยให้ฉันได้อยู่ที่นี่ต่อไป ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมเขาทำให้ฉันกับชอนรอเสียนานสองนาน เป็นเพราะว่าเขาได้โทรไปติดต่อหมอโรเจอร์และเรื่องทำเพท แสกน ฉันรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเขามาก อย่างน้อยฉันก็โชคดีที่ได้เจอหมอดีๆอย่างเขา ซึ่งเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจที่มีเขาเป็นเสมือนพี่ชายคนนึงที่คอยห่วงใยฉันมาก

    ชอนพาฉันขับรถกลับบ้าน ฉันนั่งอยู่นิ่งๆ ไม่พูดไม่จา น้ำตามันก็หลั่งออกเป็นสาย "เบบี้ อย่าคิดมากสิ อย่างน้อยเราก็จะได้อยู่ด้วยกัน" ชอนพยายามปลอบ "แต่ไอ้มะเร็งบ้านั่น ก็ไม่น่าแพร่ไปที่ตับเลย เราก็คิดว่าคุณจะหายแล้วเสียอีก" ชอนพูดด้วยความเสียใจ ฉันก็ได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆ ฟังเขาพูดไป นั่นสินะ ฉันนึกว่าฉันหายแล้วซะอีก เพราะฉันก็อยู่อย่างปรกติสุข ไม่มีอาการเจ็บปวดอะไร ให้ระแคะระคายใจเลย นอกจากอาการท้องเสียที่ยังมีอยู่ ไอ้มะเร็งร้ายนี่มันเป็นภัยเงียบที่เข้ามาครอบงำ เงียบมากจนฉันแทบไม่รู้ตัวเลย นี่ถ้าฉันไม่ไปตรวจเลือดก็คงจะไม่มีทางรู้แน่ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันก็ประมาทด้วยกระมัง รู้จักพิษสงของมันน้อยไป มองโลกในแง่ดีไปหน่อย ซึ่งหลังจากที่ทำคีโมครั้งนั้นแล้ว ฉันก็ไม่ได้มาพบกับหมอเบนอีกเลย เพราะเขาบอกว่าฉันได้ทำการรักษาเสร็จแล้ว แต่ก็ต้องรออีก 5 ปี ถ้ามะเร็งร้ายมันไม่กลับมา ฉันก็จะหายขาดได้ 100% แต่นี่มันกลับมาแล้ว กลับมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    ฉันบอกให้ชอนพาไปแถวบ๊อกซิลเพราะวันนี้เขานัดให้ไปเอาตั๋วเครื่องบิน แต่ฉันก็คงจะไม่ได้บินกลับไปเมืองไทยแล้ว จำต้องเปลี่ยนเป็นยกเลิกตั๋วแทน พอไปถึงที่จอดรถ ฉันเปิดประตูแล้วก็รีบเช็ดน้ำตาออกไปจากแก้ม ไม่อยากให้คนขายตั๋วเห็น พอไปถึงที่เอเจนซี่ที่ขายตั๋ว "อ้อ มาแล้วเหรอคะ" คนขายก็ทักขึ้นเพราะจำหน้าฉันได้ แล้วเขาก็เปิดลิ้นชักเอาตั๋วเครื่องบินของฉันออกมา "นี่ค่ะ ตั๋วของคุณ" ฉันรีบบอกเขาว่า "ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันคงจะกลับเมืองไทยไม่ได้แล้ว เพราะฉันไปโรงพยาบาลมา แล้วหมอบอกว่า ....ฉันเป็นมะเร็ง....ที่ตับ" ฉันปล่อยโฮออกม ที่หน้าเคาท์เตอร์เลย เพราะฉันมันกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว คนขายตั๋วตกใจ "เสียใจด้วย นะคะ ถ้างั้นฉันจะรีบยกเลิกตั๋วเลย แต่ว่าคุณจะต้องเสียค่ายกเลิกนะคะ" เขาพูดพร้อมกับหมุนหน้าจอคอมพิวเตอร์มาให้ฉันดูว่าจะต้องจ่ายเงินค่ายกเลิกตั๋วให้กับสายการบิน "แต่ว่าดิฉันไม่คิดค่าเสียเวลานะคะ ฉันสงสารคุณจังเลย" คนขายตั๋วพูดอย่างเห็นใจ "ขอ..ขอบคุณมากค่ะ" ฉันพูดไม่ค่อยออกมาเป็นคำ น้ำตามันก็ไหลออกมาเป็นทาง คนขายเขาก็รีบคืนเงินให้ด้วยความเห็นใจ ฉันก็ได้เงินประมาณ 1000 เหรียญเพราะเขาหักค่ายกเลิกตั๋วที่จะต้องเสียให้ทางสายการบินไป ฉันก็รีบกลับมาบ้านพักผ่อนที่บ้านเพราะฉันเหนื่อยใจเหลือเกิน

    พอมาถึงที่บ้าน ฉันก็คิดไม่ตก ว่าจะทำยังไงดี จะบอกทางบ้านได้ยังไง ฉันก็ต้องพยายามรวบรวมความกล้าที่จะต้องโทรไปบอกทางบ้านให้เขารู้ก่อนว่าฉันไม่ได้กลับแล้ว ถ้าไม่รีบบอกกลัวว่าทางบ้านเขาจะไปรอรับเก้อที่สนามบินเชียงราย (ถึงแม้ว่าฉันจะอยู่จังหวัดพะเยาแต่อำเภอเชียงคำที่ฉันอยู่นั้นจะอยู่ใกล้เชียงรายมากกว่า ก็จะใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงจากสนามบินมาที่บ้าน) ก่อนหน้านี้ด้วยความดีใจที่จะได้กลับบ้านเพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ได้จะ 5 ปีแล้วฉันไม่เคยได้กลับบ้านเลย คุณแม่กับพวกญาติๆต่างก็คิดถึงฉันมาก พวกเราไม่ได้เจอกันเลยแต่ก็คอยติดต่อกันทางโทรศัพท์เอา ซึ่งฉันบอกได้บอกวันเวลากลับพร้อมเที่ยวบินจะลงเรียบร้อยแล้ว คุณแม่เลยให้คุณน้า น้าเขยและน้องๆ เตรียมให้ไปรับฉันที่สนามบิน ทุกคนก็เฝ้ารอวันที่ฉันจะเดินทางกลับอย่างใจจดใจจ่อ ทางบ้านคุณย่า คุณอาและน้องๆต่างก็วางแผนกันไว้แล้วว่าจะพาฉันไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ส่วนคุณพ่อ คุณปู่ และคุณยาย พวกท่านได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ฉันก็คิดว่าพวกท่านคงเฝ้ามองฉันอยู่จากสวรรค์เบื้องบน  ทางด้านคุณตาท่านก็ได้เตรียมชุดหล่อเพื่อจะมารับฉันเรียบร้อยแล้ว ท่านบอกว่าคิดถึงฉันมาก นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกันเลย ถ้าเจอก็ขอกอดให้หายคิดถึง  แล้วอย่างนี้ฉันจะบอกพวกเขาได้ยังไงหล่ะ ฉันไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของทุกคน ซึ่งตอนนี้ฉันก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นสายเลือดอยู่แล้ว ฉันรู้สึกสิ้นหวังมาก ทำไมมันจะต้องมาเกิดอะไรร้ายๆขึ้นกับฉันคนเดียว มันไม่จบไม่สิ้นซะที ชอนเขาดีใจอยู่ลึกๆที่ฉันไม่ต้องกลับบ้าน ฉันก็บอกไม่ถูกว่าจะให้ดีใจหรือเสียใจดี เพื่อที่ฉันจะได้อยู่ที่นี่ต่อไป ฉันจะต้องแลกมันด้วยการเจ็บป่วยและความเจ็บปวดของฉัน ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะคุ้มค่ากันหรือปล่าว ฉันก็นึกไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้จะเป็นการผ่าตัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉันและมันได้ทิ้งแผลเป็นไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าฉันได้ถูกผ่าท้องเพื่อเปิดเอาตับออกมาผ่านการเอ๊กซ์เรย์แล้วก็ตัดเอาเนื้อร้ายออกไป คิดละกันว่าแผลมันจะใหญ่ขนาดไหน ซึ่งตอนนั้นฉันก็ไม่รู้เลย และไม่อยากจะรับรู้อะไรด้วย

    แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 49 17:42:09

    แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 49 16:19:43

    แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 49 14:20:11

    แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 49 14:15:08

    แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 49 14:11:17

    จากคุณ : Summer_scent - [ 19 ต.ค. 49 13:54:20 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com