CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ยิ้มไว้...เมื่อภัย(มะเร็ง)มา ตอน 21 เล่าจากเรื่องจริง

    วันรุ่งขึ้นพวกเราก็รีบตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะไปพบคุณหมอแบร์รี่ ซึ่งตอนนี้ฉันก็มี คุณหมอเบน เบรดดี้ มิสเตอร์ สตีเฟ่น เบลมมี่ และคุณหมอโรเจอร์ แบร์รี่ ซึ่งนามสกุลของแต่ละท่าน ขึ้นต้นด้วยตัว B จนบางครั้งก็ทำให้ฉันสับสน พอมาถึงที่อ๊อฟฟิสของคุณหมอแบร์รี่ ฉันเห็นชายหนุ่มวัยกลางคนหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ไซส์เดียวกะชอนเลย เขาก็คือคุณหมอแบรรี่นั่นเอง "สวัสดีแพรว ยินดีที่ได้รู้จัก ผมโรเจอร์ แบร์รี่ เชิญทางนี้เลย"  ฉันทักทายแล้ว ชอนก็แนะนำตัว เขาก็พาฉันไปที่ห้อง แล้วพวกเราก็นั่งจับเข่าคุยกันอย่างเป็นกันเอง "ผมได้เห็นผลการตรวจแล้ว แต่ว่าเราจะต้องทำเพท แสกน เพื่อตรวจให้ละเอียดอีกที แต่ที่แน่ๆคุณจะต้องทำการผ่าตัดด่วน" หมอเขาอธิบาย "แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถึงแม้เราจะต้องตัดตับออกไปบางส่วน แต่มันสามารถงอกออกมาใหม่ได้" เขาให้กำลังใจ "เคยมีคนไข้เขาเกิดอุบัติเหตุโดนรถชน เขาต้องตัดตับออกไป เหลือแค่ 20 % ในร่างกายแต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะว่าตับมันงอกออกมาใหม่ได้" เขาอธิบายเสียยืดยาว เพราะไม่อยากให้ฉันกลัว "เท่าที่ผมดูใน CT Scan บริเวณส่วนที่เป็นมะเร็งนั้นยาวประมาณ 5 เซนต์ ผมอาจจะต้องตัดตับออกไป 8 เซนต์เพื่อจะได้มั่นใจว่าผมตัดมันไปได้หมด แต่ที่แน่ๆพรุ่งนี้ตอนเย็นคุณจะต้องไปทำเพท แสกน ที่โรงพยาบาลโมแนช (Monash Medical Center)" หมอแบร์รี่อธิบายคร่าวๆ  "แต่ตอนผ่าตัดเราต้องย้ายไปทำที่โรงพยาบาลแจ็สซี่ แม็คเฟอร์สัน (Jessy Mcferson) เพราะห้องผ่าตัดที่นี่เต็ม ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะทำให้ดีที่สุด" หมอแบร์รี่ปลอบใจ "แล้วเรื่องอิมมิเกรชั่นละครับ" ชอนถามด้วยความเป็นห่วง "ผมจะเขียนจดหมายรับรองให้อีกฉบับหนึ่ง แล้วคุณก็เอาเอกสารการรายละเอียดที่ผมจะต้องผ่าตัดให้คุณแพรวไปให้เขาดู ผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งเราจะผ่าตัดวันศุกร์นี้เลย คุณพร้อมหรือยังแพรว" ฉันจะพูดอะไรได้หล่ะ ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมเพราะมันมาถึงขั้นนี้แล้ว จากนั้นพวกเราก็ลากลับบ้าน  แต่ก่อนกลับเราก็แวะเอาเอกสารจากอ๊อฟฟิสของหมอเบน ซึ่งเลขาของเขาได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว เพื่อที่วันศุกร์ชอนจะได้เอาไปยื่นที่อิมมิเกรชั่น


    เมื่อมาถึงที่บ้านฉันก็โทรไปถามรายละเอียดของการทำ แพท แสกน ซึ่งชื่อเต็มๆของมันก็คือ Positron Emission Tomography (PET Imaging) ซึ่งเครื่องตรวจจะมีลักษณะเหมือนลูกโดนัทอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม จะมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องซีที แสกนหน่อยนึง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการถ่ายภาพ ในการตรวจวินิจฉัยโรค เพื่อให้ได้ความแม่นยำ ชัดเจนกว่าเครื่องฉายซีที แสกน ขั้นตอนในการทำนั้นเขาจะต้องฉีดสารที่เป็นรังสีที่จะมีส่วนประกอบของน้ำตาล ถ้าพูดตามศัพท์ของไทยแล้วฉันยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ เพราะเขาใช้คำว่า "สารเภสัชรังสี (radiopharmaceutical)" ซึ่งฉันขออธิบายตามภาษาของฉันเพื่อที่ผู้อ่านจะได้เข้าใจง่ายกว่า ไอ้สารนี้มีส่วนประกอบของน้ำตาลนี้ มันจะช่วยบอกตำแหน่งของมะเร็ง เพราะว่ามะเร็งมันชอบน้ำตาล ถ้าบริเวณไหนมีน้ำตาลรวมตัวกันอยู่มาก ก็แสดงว่าบริเวณนั้นมีเซลล์มะเร็งอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกให้ฉันอดอาหารตั้งแต่ 10 โมงเช้าเป็นต้นไป เพราะต้องอดหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ก่อนการทำแสกนนี้  ซึ่งก่อน 10 โมงเช้า ฉันก็กินอาหารเช้าตามปรกติ แต่จะต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล ฉันก็ต้องเตรียมตัว เตรียมใจเพื่อการตรวจในวันพรุ่งนี้ แต่ไม่ว่าผลมันจะออกมายังไง ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการผ่าตัด


    พอตกเย็นฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากไลนิส "หวัดดีแพรว นี่ผมไลนิสนะ คุณว่างไหมพรุ่งนี้ ผมจะให้คุณมาที่บริษัทอีกทีนึง เพราะพวกเราจะต้องไปประชุมกันนอกสถานที่ แล้วไม่มีใครคอยอยู่ช่วย นุ่งเหน่ง ยังไงคุณช่วยมาทำงานพรุ่งนี้ได้ไหม แล้วเราจะได้เจอกันก่อนที่คุณจะกลับเมืองไทย" ไลนิสเขายังไม่รู้เพราะฉันยังไม่ได้บอก "ฉันกลับเมืองไทยไม่ได้แล้วค่ะ เพราะว่าฉัน ...ฉันเป็นมะเร็งที่ตับ" ฉันต้องกล้ำกลืนฝืนทนบอกเขา แต่มันก็ยังทำใจไม่ได้ ฉันเลยต้องร้องโฮออกมาต่อหน้าเขา "อะ... อะไรนะ.. คุณเป็นมะเร็งที่...ตับ แพรว ทำใจดีๆไว้นะ" เขาเสียงสั่น พูดเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง "แพรว แพรว ตอนนี้คุณอยู่กับใคร ไม่ได้อยู่คนเดียวใช่ไหม " เขาถามด้วยความเป็นห่วง คงกลัวว่าฉันจะคิดสั้น "ยะ..อยู่กับชอนค่ะ ตะ ..แต่เขาอยู่ข้างล่าง" ฉันสอึกสะอื้น "ดีมาก อย่าคิดมากนะแพรว แล้วคุณจะต้องทำอะไรต่อไป" เขาถามด้วยความเป็นห่วง "พรุ่งนี้ตอนเย็น ... ฉันจะต้องไปทำเพท แสกนตอน 6 โมงเย็น แล้วก็จะต้อง...ผ่าตัดในวันศุกร์นี้ค่ะ" ฉันก็ยังสะอื้นไม่หาย ไม่รู้ว่าต่อมน้ำตามันมาจากไหน นึกว่าเหือดแห้งไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้ก็ยังหลั่งไหลมาดั่งสายน้ำ ฉันเสียใจที่จะต้องออกจากงาน เสียใจที่ไม่ได้กลับบ้าน เสียใจที่มะเร็งมันแพร่กระจายไปที่ตับ เสียใจที่ฉันรู้ช้าไป และเสียใจที่มันเกิดขึ้นกับฉัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันอยากจะมีชีวิตทีปรกติเหมือนคนอื่นบ้าง ไม่ได้เชียวหรือ อยากจะถามโชคชะตานักว่า ฉันผิดอะไรถึงได้ถูกลงโทษอย่างนี้ บางทีก็นึกอยากตายเหมือนกัน มันจะได้จบๆๆไปซะ แต่ฉันก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะถ้าฉันตายไปชอนจะเป็นยังไง คุณแม่และญาติๆจะอยู่กันได้ยังไง เมื่อคิดขึ้นได้ฉันก็ต้องยอมรับกรรม อาจจะเป็นเพราะชาติที่แล้ว ฉันคงทำผิดไว้มาก ชาตินี้คงเกิดมาชดใช้กรรม คิดว่าก่อนมะรืนนี้ก่อนผ่าตัดฉันจะไปทำบุญ จะได้ช่วยให้สบายใจขึ้น เพราะวัดไทยก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านที่ฉันอยู่นี้


    รุ่งเช้าฉันก็ไปทำงาน ก่อนไปถึงอ๊อฟฟิส ฉันก็แวะไปซื้อซาละเปาใส้หมูกินก่อน โดยที่ลืมนึกไปว่าซาละเปามันก็น่าจะมีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ แต่ก็ไม่ได้เอะใจ โชคดีที่ไม่ได้มีผลอะไรกับแสกนในครั้งนี้ พอไปถึงที่ทำงานก็เห็นใครนอกจากนุ่งเหน่ง เพราะคนอื่นต้องไปประชุมกันหมด ฉันก็อยู่ที่ทำงานถึง 4 โมงเย็น ก่อนหน้านั้นทางสตีฟได้โทรมาว่าอย่าเพิ่งกลับบ้านนะ ยังไงๆ ก็ต้องรอเขาก่อน ตอนนี้เขาออกมาจากที่ประชุมก่อน ซึ่งคนอื่นก็ยังประชุมอยู่ ฉันก็รอจนสติฟมาถึง แล้วเขาก็หอบดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่มาให้ พร้อมตุ๊กตาหมีสีขาวที่มีขนปุกปุย เมื่อฉันจับดู ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความนุ่มของมัน เหมือนกับความรักและความอบอุ่นที่เพื่อนๆทุกคนในบริษัทมีให้ฉัน ฉันดีใจจนน้ำตาไหล แล้วเขาก็มีการ์ดมาให้ฉันด้วย โดยที่แต่ละคนก็เขียนอวยพรให้ฉันอย่างของไลนิสเขาก็จะเขียนว่า

    It's been a pleasure & joy to work with you and get to know you. You've touched us with your enthusiastic spirit.
    We wish you all the best through these difficult times and a speedy recovery.


    ฉันตื้นตันใจมากเมื่อรู้จากสติฟว่า เมื่อคืนหลังจากที่ไลนิสโทรมาหาฉันแล้วเขาก็ไม่สบายใจ เป็นห่วงและสงสารฉันมาก เขาเลยโทรไปหาสติฟให้เตรียมสั่งดอกไม้มาให้ฉัน ซึ่งพวกเขาก็รีบเขียนการ์ดกันในที่ประชุมแล้วก็ให้สติฟออกมาก่อน เพื่อที่จะได้ไปหาซื้อตุ๊กตาหมีมาให้ฉันเอาไว้กอดตอนนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันซึ้งในน้ำใจของพวกเขามาก แต่ก็ต้องรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาลเลยได้แต่ร่ำลาแค่สติฟกับนุ่งเหน่ง แล้วชอนก็มารอรับอยู่ข้างล่าง จากนั้นเราก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลเลย ซึ่งใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการเดินทาง พอมาถึงเจ้าหน้าที่ก็ให้กรอกรายละเอียดอีกตามเคย ฉันเหลือบเห็นป้ายบอกว่าจะต้องจ่ายเงินในวันนี้เลย โห เจ้าหน้าที่นี่ก็งกจริงๆ ฉันคิดอยู่ในใจ แล้วเขาก็พาฉันมาในห้องแล้วก็ให้เปลี่ยนเสื้อกาวน์ในห้องนั้นเลย แล้วนางพยาบาลก็พาฉันไปนั่งที่โต๊ะ แล้วก็ตรวจน้ำตาลในเลือดของฉันโดยการใช้เครื่องตรวจเล็กๆกดลงไปที่ปลายนิ้วกลางของฉัน ฉันรู้สึกเจ็บแปล็บเหมือนโดนเข็มจิ้ม แล้วก็มีเลือดไหลออกมา เขาก็เอาเครื่องมาวัดเลือดฉัน แล้วก็ได้ค่าออกมาตามที่เขากำหนดให้ (ลืมไปแล้วว่าเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว) แล้วเขาก็ฉีดสารรังสีที่ว่านั้นเข้าไปที่แขนข้างขวา จากนั้นก็ให้ฉันนอนอยู่เงียบๆ ห้ามกระดุกกระดิก เขาให้ฉันทำใจให้สบาย แล้วเขาก็ปิดไฟ ปล่อยให้ฉันนอนอยู่คนเดียวในห้อง ฉันก็พยายามทำใจให้สบาย ท่องพุทธ โธ ในใจ แต่มันก็ไม่ค่อยสงบ ฉันนอนไปเกือบชั่วโมง เขาก็มาเรียกไปที่ห้องตรวจ โดยให้นอนเตียงเล็กๆสีขาว หลังจากนั้นก็เขาเครื่องตรวจ ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่งโมง หลังจากนั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ต้องมาปิดบัญชีโหด โห โหดมาจริงๆ เพราะค่าทำแสกนตั้ง 890 เหรียญแนะ ซึ่งเป็นเงินที่ฉันจะต้องจ่ายเอง ทางประกันเขาไม่จ่ายให้เพราะเครื่องนี้มันแพง เขาไม่มีงบให้ ฉันก็เลยต้องใช้เงินค่าตั๋วเครื่องบินที่ได้มา จ่ายให้เขาไปเกือบหมดเลย เสร็จแล้วเราก็รีบกลับบ้าน เพราะคุณพ่อคุณแม่ของชอน และน้องสาวกับแฟนของเขารออยู่ ซึ่งเดิมทีท่านจะมาเลี้ยงส่งฉันก่อนกลับเมืองไทย แต่มะเร็งมันดันมาแพร่ไปเสียก่อน ฉันเลยอดกลับบ้านเลย ดังนั้นพวกเขาก็เลยมาให้กำลังใจก่อนผ่าตัดครั้งใหญ่

    แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 49 08:46:44

    จากคุณ : Summer_scent - [ 20 ต.ค. 49 08:05:42 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com