CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ยิ้มไว้...เมื่อภัย(มะเร็ง)มา ตอน 23 เล่าจากเรื่องจริง

    เมื่อฉันมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ชอนก็ทำหน้าที่เป็นบุรุษพยาบาลคอยล้างและเช็ดแผลเจ้าปัญหาที่มีหนองออกมาได้ทุกวี่วัน ไม่เว้นแม้วันหยุดราชการเลยค่ะ ส่วนแผลใหญ่นั้นก็เริ่มแห้ง แต่ว่าบริเวณบนสุดของแผลก็มีรอยแดงเต่ง บวม เป็นสีแดงๆ ซึ่งฉันก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องหนองก็เลยรู้ว่ามันมีน้ำหนองอยู่ข้างในนั่นเอง ฉันเลยไปล้างมือก่อนเพื่อความสะอาดแล้วก็เอานิ้วชี้ของทั้งสองมือบีบที่หัวของแผล เพื่อให้น้ำหนองมันออกมา (เหมือนบีบสิวอะค่ะ)ได้ผลแฮะ! น้ำหนองสีเหลืองข้นๆ ก็ถูกรีดออกมา ฉันก็ใช้กระดาษทิชชู่เช็ด ยังไม่หมดค่ะ มีอีกที่นึง ก็ตรงแผลหัวมุมบริเวณเหนือสะดือ(จุ่นๆ)ขึ้นมาหน่อย ตรงนั้นมีรอยแดงๆ ฉันก็พยายามรวบรวมความกล้า หายใจลึกๆ แล้วก็บีบบบบ มันออก แล้วไอ้เจ้าหนองมันก็พุ่งออกมา สะใจดีแท้ๆ ฉันนี่ซาดิสม์จังเลยค่ะ

    ส่วนด้านคุณแม่และคุณน้าๆ ก็ใช่ย่อยหลังจากที่ฉันกลับมาบ้านแล้ว ท่านก็ได้ส่งหนังสือพวกอาหารต้านมะเร็งมาให้อ่าน อีกทั้งยังส่งหญ้าปักกิ่งที่เป็นแบบแค็บซูลมาให้กินด้วย ท่านๆได้ขอร้องให้ฉันกินหญ้าปักกิ่งที่ส่งมาให้เพราะท่านเชื่อว่าหญ้าปักกิ่งนั้นมีสรรพคุณรักษาโรคมะเร็ง โดยที่น้าหลินได้ไปอ่านในหนังสือเล่มนึงที่เขาให้สัมภาษณ์ผู้กินหญ้านี้แล้วหายจากโรคมะเร็ง ท่านเลยปักใจเชื่อ ก็เลยส่งมาให้ฉัน 6 ขวด โดยขวดนึงก็มี 50 แค็บซูล ฉันก็ทนการรบเร้าไม่ไหวจึงต้องกินเพื่อให้ท่านๆสบายใจ โดยจะต้องกินก่อนอาหารมื้อเช้า กับมื้อเย็น กินมื้อละ 2 แค็บซูล ก่อนหน้านั้นน้าหลินท่านก็ไปเก็บหญ้าปักกิ่งสดๆเลยแถมยังมีดินจากผืนแผ่นดินไทย ติดมาอีกด้วย เพราะจะได้รู้ว่าหญ้ามันสดจริงๆ แล้วท่านก็รีบเอามาใส่กล่องพัสดุ ส่งด่วนมาให้ฉันเลย เพราะฉันจะได้กินสดๆ แต่ที่ไหนได้ มันก็ไม่ผ่านด่านศุลกาการค่ะ เพราะว่าเขาไม่อนุญาตให้ส่งพวกพืชผักเข้ามา เพราะเกรงว่าจะมีพวกเชื้อโรคหรือเชื้อราที่ติดมากับผักเรา ไปทำให้ผักและต้นไม้ต่างๆในออสเตรเลียตาย ฉันเลยได้แต่กล่องเปล่าๆ พร้อมกันใบเตือนจากศุลกากรว่าถ้าทางเมืองไทยส่งพวกนี้มาให้ฉันอีกเขาจะปรับ และเท่านั้นยังไม่พอ คุณน้าสุดาก็ได้ส่งพวกเมล็ดข้าว ลูกเดือยต่างๆสำหรับทำพวกน้ำอาร์ซีมาให้อีก ซึ่งเขาไม่อนุญาติให้ส่งพวกเมล็ดพืชต่างๆเข้ามา ด้วยเหตุผลขั้นต้นดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ฉันก็ได้รับแต่กล่องเปล่าพร้อมคำเตือนมาอีก ตอนหลังท่านๆก็ไปหาหญ้าปักกิ่งที่เขาสกัดมาเป็นแค็บซูลจนได้ เห็นไหมคะ ที่บ้านฉันแต่ละท่าน มีความพยายามเป็นเลิศกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำร้ายจิตใจฉันที่สุดก็คือเวลากินหญ้าปักกิ่งแล้ว เขาห้ามกินผัก 5 อย่างคือ ผักบุ้ง ผักกาดขาว แตงกวา หน่อไม้และหัวไชเท้า เพราะผักพวกนี้จะไปต้านยา ซึ่งอาหารโปรดของฉันก็คือ สุกียากี้ ในเมื่อฉันกินผักบุ้งกับผักกาดขาวไม่ได้อย่างนี้แล้วฉันจะกินสุกี้ให้อร่อยๆได้ยังไง แต่ด้วยความรัก และครอบครัวต้องมาก่อน ฉันก็ต้องงดผักโปรดของฉันไปโดยปริยาย


    และแล้วก็ถึงเวลาไปพบคุณหมอแบร์รี่รสผลไม้ เมื่อไปถึงเขาก็บอกว่าเขาได้เอาตับที่ตัดออกนั้นไปตรวจดูอีกทีผลปรากฏว่ามันไม่มีปัญหาอะไร เขามั่นใจว่ากวาดเจ้ามะเร็งร้ายไปได้หมดแล้ว ส่วนเรื่องถุงน้ำดีนั้น เวลาฉันกินอาหารมันๆๆ ฉันก็จะไม่มีตัวดักจับไขมัน ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี  มันก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าขืนเขาไม่เอามันออกไป ฉันก็อาจจะต้องไปแทนมัน ครั้งต่อไปดวงอาจจะไม่แข็งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งคุณหมอเขาก็บอกว่าฉันก็กินอะไรได้ตามปรกติ อย่าไปควบคุมอะไร เพราะกินได้หน่ะดีแล้ว ดีกว่ากินอะไรไม่ได้ แล้วเขาก็ให้ฉันไปนอนที่เตียงคนไข้ เพื่อตรวจดูแผล ซึ่งฉันก็บอกเขาก็เห็นว่ายังมีน้ำหนองออกมาจากบริเวณแผลด้านบนสุด แล้วเขาก็ใช้ไม้ยาวๆ เหมือนไม้เสียบลูกชิ้นเลย เขาก็ใช้ไม้นั้นจิ้มไปที่ยาฆ่าเชื้อซึ่งจะเป็นสีออกดำๆหน่อย แล้วก็มาแตะๆ ที่แผลของฉัน ส่วนไอ้แผลที่เป็นรูๆแล้วก็มีน้ำหนองออกมานั้น เขาก็ใช้ยาฆ่าเชื้อนั้นเช็ดๆ ไปที่ปากแผลแล้วก็ใช้ผ้าก๊อดกับพลาสเตอร์ปิดปากแผลอีกที ซึ่งก็เป็นอันเสร็จพิธี ไอ้หนองพวกนี้มันกลัวหมอเนอะ พอเขาทำให้หน่อยเดียวมันก็ใจเสาะ เหือดแห้งไปหมด ฉันนี่น่าจะมาหาหมอตั้งนานละ แต่เขาก็ยังไม่ได้นัดเรานิ ในวันนั้นฉันเลยไม่ได้อาบน้ำเพราะว่าอยากจะให้แผลมันแห้งๆ แล้วพวกเราก็โล่งอกที่ปัญหานี้ ได้แก้ไขไปแล้ว ก็จบไปอีกหนึ่งเปราะ


    ต่อมาก็ต้องไปหาหมอเบนเพื่อคุยกันถึงเรื่องการทำคีโม อีกละ! ฉันนี่ละเบื่อมันจริงๆ ซึ่งครั้งนี้เขาเปลี่ยนเป็นตัวใหม่ ซึ่งจะต้องทำแบบอาทิตย์ละครั้งติดกันไป 4 อาทิตย์ แล้วก็พัก 2 อาทิตย์ ซึ่งรวมทั้งหมดแล้ว ฉันจะต้องทำ 16 ครั้ง ให้มันตายกันไปข้างนึง ซึ่งฉันก็จะต้องเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 29 สิงหา 2005 เป็นต้นไป เป็นเพราะว่าฉันอายุยังน้อยอยู่ (แต่จริงๆแล้ว 30 มันก็ไม่น้อยแล้วนะ) หมอเบนก็เลยอยากจะทำการรักษาแบบเข้มข้น เพื่อฆ่าเชื้อมะเร็งไห้มันตายๆ ไปซะจะได้ไม่ต้องมารุกรานฉันอีก ก็เลยต้องทำคีโมเยอะๆ หน่อย และฉันก็ได้ถามหมอเบนว่าฉันควรจะกินหญ้าปักกิ่งดีไหม เขาก็บอกว่า "ถ้าอยากให้ทางบ้านสบายใจก็กินไปเถอะ อย่างน้อยเราก็จะได้ทำให้พวกเขาหมดห่วง" นี่ก็เป็นคำแนะนำของหมอเบน "แต่เรื่องที่ว่ามันจะรักษามะเร็งได้หรือปล่าวผมก็ไม่รู้นะ" เขาก็ตอบแบบหมอทางด้านประเทศตะวันตก


    ช่วงนั้นชอนก็ยังหางานทำไม่ได้ เขาก็คอยไปส่งฉันที่โรงพยาบาลตลอด ซึ่งตอนนั้นเงินที่เรามีอยู่ก็ค่อยๆ ร่อยหรอไป เพราะว่าไหนจะค่ารักษาฉันที่เราจะต้องจ่ายไปเพราะการรักษาบางอย่างมันก็ต้องมีออกเองในบางส่วนด้วย เช่น การทำรังษีเราก็ต้องออกเอง เกือบ 3,800 เหรียญ หรือว่า แสนกว่าบาท แต่มันก็ยังมีค่าส่งผ่อนบ้านอีก ซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็ต้องเอาเงินเก็บก้อนใหญ่ไปดาวน์บ้านอีก เพราะไม่นึกว่าชอนจะมาตกงานไปเสียก่อน รู้อย่างนี้ก็คงจะยังไม่ซื้อบ้านเป็นแน่ ไหนจะค่าประกันสุขภาพ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่าตัดแต่ละครั้งที่ฉันผ่าไปอีก เราก็ต้องออกเองด้วย และยังค่าจิปาถะอื่นๆอีก ทำให้เราแทบไม่เหลือเงินไว้สำหรับใช้จ่ายเลย เพราะพวกเราก็ไม่มีรายได้อะไร แต่รายจ่ายก็เพิ่มเอ๊า เพิ่มเอา ซึ่งช่วงนั้นชอนเชาก็เครียดมาก แต่เขาก็ไม่ให้ฉันโทรไปขอเงินที่เมืองไทยเพราะเขารู้สึกผิดและละอายใจ กลัวว่าทางเมืองไทยจะดูถูกว่าเขาดูแลฉันไม่ได้ (เขาคิดมากจริงๆ) แล้วเขาก็ไม่อยากให้ที่เมืองไทยเป็นห่วง เราก็อยู่อย่างอดมื้อกินมื้อเอา และชอนเขาก็พยายามหางานเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาจบด๊อกเตอร์ ซึ่งงานบางอย่างก็ไม่ต้องการความรู้สูงขนาดนั้น ส่วนงานบางอย่างก็บอกว่าเขาจบกว้างเกินไป เขาอยากได้คนที่มีความสามารถเฉพาะทาง ครั้นจะให้เขาไปสอนหนังสือ เขาก็ทำไม่ได้เพราะไม่ชอบสอน ทั้งยังสอนหนังสือไม่เป็น แต่สิ่งที่เขาถนัดก็คือการวิเคราะห์ และการทำวิจัยต่างๆ  คนเรานะ จนจะไม่มีกินอยู่แล้วยังเลือกงานอีก (ฉันบ่นในใจ) เมื่อพอไม่มีเข้าจริงๆ เขาก็บากหน้าไปยืมคุณแม่เดล ซึ่งคุณพ่อและคุณแม่เขาก็ช่วยเหลือลูกได้เสมอ ขอเพียงแต่ลูกเอ่ยปากมาเท่านั้น แต่ท่านก็อยากจะให้ชอนหางานได้เร็วๆ เพราะเขาโตแล้ว อีกทั้งจบการศึกษาก็สูง แต่หางานทำไม่ได้สักที ฉันก็รู้สึกผิดเพราะฉันก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ชีวิตของชอนต้องตกต่ำลง เพราะถ้าฉันไม่ป่วยหรือถ้าชอนเขามีคนอื่นเป็นแฟนเขาก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ่ม แต่เราก็ไม่มีทางเลือกเพราะชอนเขาเลือกที่จะอยู่กับฉัน เขาก็ต้องทนรับกรรมกันไป โดยหวังว่าสักวนพวกเราก็คงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น


    เราก็ยืมเงินท่านมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ ชอนก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้งานสักที ฉันก็กลุ้มใจมาก แถมยังต้องไปทำคีโมทุกอาทิตย์ ใจนึงก็คิดว่าถ้าชอนได้งานแล้วใครจะไปส่งฉันที่โรงพยาบาลหล่ะ แต่ว่าชอนไม่ได้งาน เราก็ไม่มีเงินเอาไว้จับจ่ายใช้สอย มีอยู่วันหนึ่งฉันก็เอาเงินเศษๆ เหรียญ 5 เซนต์ 10 เซนต์ ที่ชอนเขาเอาใส่กระปุกไว้ เพราะตอนมีเงิน เขาไม่ชอบใช้เศษเหรียญ ฉันก็นับๆ แล้วเอาไปแลกที่ธนาคาร ซึ่งฉันก็แลกได้เกือบ 50 เหรียญแนะ ก็ประมาณ 1,400 บาทบ้านเรา ก็ช่วยต่ออายุพวกเราไปอีกเกือบอาทิตย์  แล้วก็ยังมีเงินในธนาณัติ ที่จะต้องจ่ายให้หมอเบน แต่ว่าเขาลดให้เรา ประมาณ 12 เหรียญ ซึ่งเราก็ไม่ต้องจ่ายให้หมอเบน แต่เรายังเก็บตั๋วแลกเงินนั้นไว้อยู่ ฉันก็เลยเอาไปขึ้นเงิน ได้ 12 เหรียญก็ยังดี พวกเราก็คอยเก็บเล็กผสมน้อย แต่จะให้เอาของไปจำนำก็ทำได้ไม่ ขออดดีกว่าที่จะเอาของในบ้านไปจำนำ และด้วยความที่ขอเป็นคนจนอย่างมีศักดิ์ศรี นะ ซึ่งบางครั้งฉันก็นึกโกรธชอนก็จะบอกเขาว่า "ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้นะ เธออย่าหยิ่งในศักดิ์ศรีมากนักเลย" ซึ่งเขาก็เสียใจแล้วก็ร้องไห้แทบทุกครั้ง แต่ฉันก็ไม่อยากจะทำให้เขาเสียใจ ก็เลยต้องคอยปลอบประโลมให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ซึ่งชอนเขาก็บ่นว่า "ไอ้พวกบริษัทต่างๆที่ไปสมัครงานหน่ะ พวกเขาโง่นะ ที่ไม่เลือกผม" ฉันก็เห็นด้วยกับเขานั่นแหละ พวกเขาโง่เอง ที่ไม่รับชอนของฉันเข้าร่วมงาน แต่อย่างน้อยเราก็ยังมีกันอยู่สองคน ที่คอยอยู่เคียงข้างกันไม่ว่าสุขหรือทุกข์ แต่มันก็มีบ้างที่เราจะเกิดความคับข้องใจเพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่เราก็ไม่เคยทอดทิ้งกัน อาจจะเป็นเพราเรานั้นผูกพันธ์กันยิ่งกว่าคอฟฟีเมตกับเนสกาแฟเสียอีก อย่างสโลแกนที่ว่า ...เพราะเรานั้นคู่กัน


    บังเอิญ โชคยังเข้าข้างเราหน่อยที่ลูกหยี เพื่อนของเจ้าบี ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ตั้งแต่สมัยมัธยมต้นไปจนถึงมัธยมปลาย ซึ่งเราอยู่ห้องเดียวกันมาโดยตลอด แถมยังจบมาจากมอเชิงดอยเหมือนกันอีก ส่วนเจ้าบีนี้ก็ได้มาเรียนต่อด๊อกเตอร์ ทางด้านธรณีวิทยา (Geology) ที่มหาลัยแทสมาเนีย ซึ่งเจ้าบีนี่ก็มีแฟนสาวชื่อเอ แล้วเอก็มีน้องสาวชื่อบีกับซี เจ้าบีเพื่อนฉันเลยอดตั้งชื่อลูกว่าน้องซีเลย เพราะเอเขามีน้องชื่อซีไปแล้ว ฉันก็เลยไม่รู้ว่าถ้ามีลูกเจ้าสองคนนี้จะตั้งชื่อลูกว่าน้องอะไรดี แล้วเจ้าบีก็มีพี่สาวผู้น่ารักชื่อพี่บุ๋ม ซึ่งชื่อนั้นก็ไปเหมือนกับเจ้าบุ๋มเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันกับพวกเรา เพราะเจ้าบุ๋มเพื่อนรักของฉันนี้ก็มีน้องสาวชื่อน้องบี  (ฉันเลยสรุปได้ว่าคนที่มีพี่ชื่อบุ๋มมักจะมีน้องชื่อบี ...เกี่ยวกันไหมเนี่ย)ตอนนี้เจ้าบุ๋มกะน้องก็เป็นอาจารย์สอนอยู่เชียงใหม่ทั้งคู่ เจ้าบุ๋มนี่ก็แปลกตอนสมันเรียนพวกเราเกลียดวิชาฟิสิกซ์ แต่เอาไปเอามาเขากลับไปเป็นอาจารย์สอนวิชานี้ไปได้ ฉันละเงง (แต่ที่แน่ๆนะ เขาสัญญาว่าจะส่งเสื้อเรารักในหลวงมาใหัหนะ ตอนนี้ยังมะได้เลย ...เพื่อนรัก ...เรารออยู่นะเฟ้ย ) และแล้วลูกหยีก็ได้มาช่วยต่ออายุพวกเราโดยมาเช่าอยู่อีกห้องนึง ซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้าน (ปัจจุบันนี้ก็มีคุณหมอแพรระบายผู้น่ารัก ได้มาเช่าอยู่ค่ะ) ลูกหยีเขาก็มาเรียนต่อด๊อกเตอร์ทางด้านธรณีวิทยาเหมือนกัน ซึ่งเขาก็หนีอาจารย์ที่ปรึกษาจอมโหดจากแทสมาเนียมา โดยหวังว่าจะมาซบอกอาจารย์ดีๆแถวเมลเบิร์น ช่วงที่เขามาอยู่ก็ได้ทำให้พวกเรามีรายได้เพิ่มขึ้น 95 เหรียญต่ออาทิตย์ รวมค่าน้ำค่าไฟ แต่ตอนนั้นยังไม่มีบรอดแบนอินเตอร์เนท ถึงแม้ว่าเราจะสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง แต่การทีทำให้เรามีรายได้มันก็ถือว่าคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม อย่างน้อยมันก็ทำให้เราไม่ต้องอยู่อย่างอดมื้อกินมื้ออีกต่อไป แต่เราก็ต้องยืมเงินคุณพ่อคุณแม่เป็นค่าผ่อนบ้านและค่ารักษาพยาบาลฉันอยู่ดีแหละ ...เฮ้อ ..ชีวิตหนอ ..ชีวิต...จะมีใครที่แย่ไปกว่านี้อีกไหม

    แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 49 17:42:01

    แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 49 17:41:09

    แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 49 13:47:04

    จากคุณ : Summer_scent - [ 26 ต.ค. 49 13:29:41 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com