เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราก็รีบขับรถไปที่อิมมิเกรชั่นเลย ฉันก็โกรธและผิดหวังมาก เลยนอนร้องไห้ทั้งคืน เพราะไม่นึกว่าจะมีเจ้าหน้าที่งี่เง่าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอไปถึงที่เคาท์เตอร์ข้างหน้า ฉันก็เอาพาสปอร์ตให้เขาดู แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าวีซ่าฉันหมดแล้ว เขาส่งจดหมายไปหาฉันเรื่องการปฏิเสธวีซ่าตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2005 แล้ว ซึ่งไม่มีคนรับจดหมายเลยตีกลับมาที่อิมมิเกรชั่น ฉันก็บอกว่าฉันได้ย้ายมาอยู่บ้านใหม่แล้ว อีกทั้งยังแจ้งให้เจ้าหน้าที่ให้ทราบแล้ว แถมยังทำการรีไดเร็ค เม็ล กับที่ทำการไปรษณีย์แล้วด้วย ซึ่ง re-direct mail ก็คือการที่เราไปแจ้งให้กับทางไปรษณีย์ว่าเราได้ย้ายที่อยู่ไปแล้ว ถ้ามีจดหมายมาก็ขอให้ส่งไปตามที่อยู่ใหม่ได้เลย พร้อมทั้งเสียเงินค่าบริการนี้ด้วยนะ เขาไม่ได้ทำให้ฟรีๆ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจ โบ้ยให้ฉันไปติดต่อแผนกคอมพลายแอ็นซ์ (Compliance) ซึ่งเป็นแผนกที่คอยรับเรื่องการปฏิเสธวีซ่าในกรณีที่เราไม่ได้รับเอกสาร แล้วเขาพิจราณาว่าจะให้วีซ่าต่อไหม ถ้ามีเหตุผลเขาก็จะให้ต่อ แต่เราก็ต้องไปที่เรื่องรีวิว ไทรบิวนอล (Review Tribunal ) คือการยื่นคำร้องเพื่อขอให้เจ้าหน้าที่พิจารณาให้ใหม่ อีกทีนึง
พอพวกเราไปที่แผนกคอมพลายแอ็นซ์ ก็ต้องกรอกแบบฟอร์มยื่นคำร้องว่าเราไม่ได้รับเอกสารของเรื่องการปฏิเสธวีซ่า แล้วรอสักพักเจ้าหน้าที่ก็เรียกพวกเราไปสัมภาษณ์ โดยเปิดห้องที่อยู่ถัดไปซึ่งเป็นห้องประชุมเล็กๆ มีโต๊ะทำงานอยู่หนึ่งตัว แล้วก็มีเก้าอี้อยู่ 2-3 ตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาก็เป็นคนจีน พูดภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยชัดเลย แต่ไม่รู้ว่ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่นได้ยังไง ฉันคิดว่าน่าจะเป็นคนเก่งพอดู ซึ่งเขาก็เป็นคนใจดีมากคนหนึ่ง เขาก็เอาจดหมายมาให้ฉันดูว่า นายพอล คาร์ป (Paul Karp) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่น ได้ตัดสินปฏิเสธวีซ่ารักษาตัวของฉัน เพราะเขาให้เหตุผลว่าเนื่องจากเขาได้ดูผลการตรวจสุขภาพของฉันปีก่อนแล้ว มันไม่ผ่าน เขาก็เลยไม่ให้วีซ่ารักษาตัวโดยให้ฉันรีบกลับไปเมืองไทยด่วนเลย โดยที่ไม่ได้ดูเอกสารที่แนบมาว่าฉันจะต้องทำการผ่าตัดตับ และจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ฉันปล่อยโฮ ออกมาต่อหน้าเจ้าหน้าที่ เขาก็สงสารฉันมาก แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนายพอล เนี่ยถึงได้ไม่ให้วีซ่ารักษาตัวให้กับฉัน ทั้งยังส่งไปไม่ตรงกับที่อยู่ปัจจุบันอีก เขาก็เลยให้วีซ่าฉันอยู่ต่อ 1 อาทิตย์ เพื่อที่จะให้ไปจัดการเรื่องยุ่งๆของฉัน แล้วก็ให้ไปหานายพอลเนี่ยว่าทำไม เป็นเพราะอะไรเขาถึงไม่ให้วีซ่าฉัน
พวกเราก็ลงมาที่อิมเกรชั่นข้างล่างอีก พอไปถึงคนที่เป็นหัวหน้าก็บอกว่าสักครู่ที่ผ่านมาเขาก็ได้ไปเช็คเอกสารให้แล้ว แต่มันเป็นความผิดพลาดของนายพอล ที่เขาส่งจดหมายไปผิดที่ทั้งๆที่เราก็เขียนที่อยู่ถูกต้องไว้ในแบบฟอร์มที่เรายื่นไปตอนสมัครวีซ่ารักษาตัว แล้วเขายังไหล่แล้วก็พูดว่า "It's happened (มันเกิดขึ้นกันได้)" โดยที่ไม่รู้สึกผิดสักนิดเดียว ซึ่งยัยหัวหน้าคนนั้นก็ให้ฉันไปรอที่บ้านแล้วเขาจะส่งจดหมายไปให้อีกทีนึง ฉันก็ไปถึงที่แล้วแต่เขายังยืนยันว่าจะส่งจดหมายปฏิเสธไปให้ทีหลัง แล้วพอถามว่านายพอลคนนั้นอยู่ไหน ฉันอยากจะขอชกหน้าเขาคว่ำให้หายแค้นหน่อยสิ แหมแต่ทำไม่ได้ค่ะ ฉันแค่อยากจะคุยกับเขาดีๆเท่านั้นเอง แต่หัวหน้าเขาก็บอกว่านายพอลนี่ลาพักร้อนไปเที่ยวอย่างสบายใจเฉิบ ปล่อยให้ฉันต้องตายทั้งเป็นอยู่ที่นี่ พวกเราก็เลยต้องกลับบ้านไปก่อน ฉันจะจดจำชื่อนายนี่ไปจนวันตายเลย ถ้าเป็นผีฉันก็จะคอยตามไปหลอกหลอน หรือถ้ามีคาถาก็อยากจะเสกหนังควายเข้าท้องนายพอลนี่อยู่เหมือนกัน มันจะได้เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วจะได้เข้าใจถึวหัวอกคนที่ป่วยๆอย่างฉัน แต่ก็ต้องข่มใจระงับความโกรธไว้ เดี๋ยวฉันจะเดี๊ยงไปซะก่อนที่จะได้แก้แค้น
ฉันท้อแท้และสิ้นหวังไปหมด มันผิดกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ถ้าฉันไม่ได้รับการรักษาที่นี่ ฉันก็คงจะเอาระเบิดมัดรอบตัวแล้วก็วิ่งเขาไปในตึก ให้มันระเบิดทั้งฉันและทั้งเจ้าพวกเจ้าหน้าที่งี่เง่าทั้งหลาย จะได้ตายไปพร้อมกันเลย แต่ว่าฉันก็ไม่รู้จะไปหาระเบิดที่ไหน ก็เลยต้องกลับมาร้องไห้ช้ำใจอยู่ที่บ้าน ซึ่งชอนเขาก็เกลียดเจ้าหน้าที่มาก พวกมันทำเหมือนกับว่าเราเป็นคนไม่รู้กฏหมาย แล้วก็ทำเหมือนเรากับว่าเราเป็นคนโง่อย่างนั้นแหละ ฉันก็ต้องปาดน้ำตา โทรไปพึ่งหมอเบน (อีกละ) "ฮัลโหล นั่นหมอเบนเหรอคะ ฉันแพรวพูดนะ" ฉันก็คุยกับเขาอย่างสนิทสนม "คือว่าฉันเรื่องจะรบกวนอีกแล้ว ไอ้เจ้าอิมมิเกรชั่นมันปฏิเสธวีซ่าฉันอีกแล้วค่ะ" ฉันพูดด้วยความโกรธ พลางจะร้องไห้เอาเสียให้ได้ แต่ก็ต้องกลั้นไว้ ไม่อยากให้หมอเบนเป็นห่วงมากไปกว่านี้ "อะไรนะ อีกแล้วเหรอ โดนปฏิเสธอีกแล้วเหรอ ทำไมเจ้าหน้าที่มันงี่เง่าอะไรอย่างนี้นะ" หมอเบนบ่น "ไม่ต้อห่วง วันจันทร์คุณก็มาเอาจดหมาย ตอนที่มีทำคีโมเลย ผมจะเตรียมไว้ให้ แล้วเจอกันวันจันทร์นะ" ฉันก็โล่งอกที่ได้คุยกับหมอเบน นอกจากชอนและครอบครัวแล้วหมอเบนก็เป็นที่พึ่งในยามยากของฉันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะโดนปฏิเสธกี่ครั้ง หมอเบนก็เขียนจดหมายรับรองให้ทุกครั้งไป
พอวันจันทร์เราก็ไปทำคีโม พร้อมทั้งได้จดหมายรับรองมาจากหมอเบน พอมาถึงบ้านเราก็ได้รับจดหมายปฏิเสธวีซ่า ซึ่งก็ด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เขาปฏิเสธวีซ่าเพราะสุขภาพฉันไม่แข็งแรง ก็ถ้าฉันแข็งแรงแล้วจะขอวีซ่ารักษาตัวไปทำไม ซึ่งครั้งนี้ชอนเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก พอเขารวบรวมเอกสารเรียบร้อยแล้ว จึงไปยื่นเรื่องขอพิจารณาใหม่ที่รีวิว ไทรบิวนอล ในวันพฤหัส แต่ครั้งนี้ชอนเขาไม่ยอมจ่ายตังค์ เพราะว่าพวกเราไม่ผิด แล้วก็ไม่มีตังค์ให้จ่ายด้วย แถมรายได้ก็ไม่มี ตกงานกันทั้งคู่ ซึ่งเอาสารที่เตรียมไปนั้นก็จะเป็นพวกสัญญาผ่อนบ้าน ใบสเตทเมนท์จากธนาคาร ที่ไม่มีเงินเหลือหรอเลย แต่ว่าถ้ามีค่ารักษาพยาบาลเพิ่มคุณแม่ของชอนจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แต่สำหรับพวกเรา ไม่มีเงินที่จะให้เขาแล้ว และก็ไม่อยากให้ด้วย เพราะเจ้าหน้าที่งี่เง่าผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งพอไปยื่นเรื่องเขาก็ให้ใบรับรองมาว่าเราได้มายื่นเรื่องแล้ว ซึ่งเขาจะติดต่อกลับไปอีกทีนึง ด้วยความดีใจเราก็ไปที่อิมมิเกรชั่น ที่แผนกคอมพลายแอนซ์ ในวันนั้นเลย ผลปรากฏว่าเจ้าหน้าที่บอกว่ามาทำไมวันนี้ วีซ่าคุณหมดวันพรุ่งนี้ ค่อยมาใหม่ในวันรุ่งขี้นละกัน วันนี้ไม่รับ โห คิดดูสิ ฉันหละเลือดขึ้นหน้าเลย ไอ้ที่ป่วยๆอยู่หนะ มันแทบจะหายไปเลย ลมออกหู อยากจะซัดหน้าเจ้าหน้าที่สักเปรี้ยงนึง มาก่อนวันนึงก็ไม่ได้ซึ่งเขาก็ไม่ได้ยุ่งอะไร ไม่เห็นมีคนมารอที่เคาท์เตอร์เลย พวกเราก็คอตกกลับบ้านไปแทนที่จะได้ทำเรื่องนี้ให้เสร็จๆไปในวันเดียวจะได้ไม่ต้องขับรถไปๆมาๆให้เสียเวลา
วันรุ่งขึ้นพวกเราก็ไปหาเขาใหม่ ในใจก็คิดว่าดูสิมันจะ เอายังไงกับฉันอีก แล้วเขาก็ให้วีซ่าแบบ อาทิตย์ต่ออาทิตย์ โดยที่ฉันจะต้องไปรายงานตัวทุกๆวันศุกร์ และเขาก็ไม่สนใจด้วยว่าฉันต้องไปทำคีโม หรือฉันจะป่วยแค่ไหนจากผลข้างเคียงของมัน ขอให้ได้ทรมานฉันเล่นก็พอ ถ้าฉันทนไม่ไหวก็เชิญกลับไปประเทศไทยได้เลย ขอบอกว่าเจ้าหน้าที่ที่นี่โหดและเลือดเย็นมาก ไม่มีมนุษยธรรมเลย ซึ่งวีซ่าที่เขาให้ฉันนั้นมีเงื่อนไขเป็นแบบโหดมั่กมากเลย No work, No Study คือห้ามทำงาน และห้ามเรียนหนังสือ แล้วก็ต้องมารายงานตัวทุกวันศุกร์ ก่อนเที่ยงวัน คิดดูสิ เขาทรีทฉันเหมือนเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์เลย ทั้งๆที่ฉันเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง ถ้าไม่มีชอนอยู่ที่ประเทศนี้ฉันก็คงจะหนีกลับไปนานแล้ว ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่นักหรอก อยู่เมืองไทยก็สบายจะตาย ทำงานก็ดี แต่มาที่นี่ฉันต้องมาทำงานร้านอาหาร ทำงานฟาร์ม ทำงานโรงงานซักผ้า เป็นพี่เลี้ยงเด็ก หรือแม้แต่แม่บ้านโรงแรมฉันก็เป็นมาแล้วทั้งนั้น ฉันไม่เคยเลือกงาน ขอให้มันเป็นงานที่สุจริต ฉันทำได้ทั้งนั้น แต่พอมาคราวนี้ ฉันโดนปิดกั้นสิทธิ์ ไม่ให้ทำงานอย่างถูกฏหมาย ทั้งยังไม่ให้เรียนหนังสือ แล้วชีวิตของฉันจะไปเหลืออะไรหล่ะ แล้วถ้าฉันไม่อยากจะสู้ต่อละ แล้วกลับเมืองไทยไปเลย ฉันก็ไม่สามารถมาที่นี่ได้อีกภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ เพราะว่าฉันโดนปฏิเสธวีซ่า ก็เลยโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่รู้จะทำยังไง เงินก็ไม่มี สุขภาพก็ไม่ดี ต้องไปโรงพยาบาลทุกอาทิตย์
พอถึงวันจันทร์ฉันก็ต้องไปทำคีโมอีก แต่ครั้งนี้ โรสแมรรี่ ซึ่งเป็นหัวหน้าพยาบาลของที่นี่เขาได้มาดูแลฉัน เขาเห็นว่าฉันแพ้โรงพยาบาลอย่างมาก เพราะไม่ทันไร ยังไม่ได้ใส่คีโมเลยก็อ๊วกแล้ว เขาเลยไปสั่งยามาให้ฉัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มียาเด๊กซ์เมทธะโซน (Dexmethsone) ซึ่งเป็นยาประเภทแก้แพ้แต่ว่ามันไปเป็นยาแก้ไม่ให้ฉันอ๊วกหลังจากกลับบ้านได้เป็นอย่างดี แต่อ๊วกที่โรงพยาบาลยังไม่มียาอะไรแก้ให้หายได้ เพราะมันมันโรคทางจิต ใจฉันมันเบื่อโรงพยาบาล ยาอะไรก็แก้ไม่หาย แต่เมื่อฉันกลับไปถึงบ้าน เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันก็กินเจ้ายาเด๊กซ์เมทธะโซน 1 เม็ดหลังอาหาร เป็นเวลา 3 วันติดต่อกันหลังการทำคีโม ฉันก็ไม่อ๊วกอีกเลย ฉันดีใจมากที่โรสแมรี่เขาช่วยแก้ปัญหาให้ฉันได้ไปอีกหนึ่งเปราะ
เย็นวันหนึ่งฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่นุ่ม เจ้าของร้านสตรีไทยว่าเขาอยากจะให้ฉันไปเป็นพี่เลี้ยงหมา ให้กับคุณอาศิลาซึ่งเป็นนักธุรกิจหญิงไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเมลเบิร์นเขามีสามีเป็นนักธุรกิจชาวออสซี่ชื่อคุณพีท ซึ่งคุณพีทจะต้องไปเที่ยวเมืองไทยประมาณ 6 อาทิตย์แล้วไม่มีใครดูแลลูกน้อยสองตัวของท่านที่นี่ พี่นุ่มเลยนึกถึงฉันขึ้นมาว่าฉันน่าจะไปดูแลลูกหมาให้คุณอาศิลาท่านได้ โดยที่เขาจะให้ฉันวันละ 100 เหรียญ พร้อมข้าว 3 มื้อ แต่ว่าฉันจะต้องไปนอนพักที่เพนท์เฮาส์ของคุณอาศิลาเลย แต่ก็ไปแค่อาทิตย์ละ 3 วันคือวันตั้งแต่วันพุธถึงวันศุกร์ แล้วก็ค่อยให้ชอนมารับตอนวันเสาร์เช้า ก็เข้าทางฉันเลยเพราะเราก็ไม่มีรายได้อะไร ฉันก็เลยตอบตกลง โดยที่จะต้องไปวันรุ่งขึ้นเลยเพราะเป็นวันพุธ ฉันก็ไปตอนเย็นๆ แล้ว ฉันก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วก็เอาหนังสือไปอ่านด้วย เพราะจะต้องไปอยู่กับคุณอาถึง 3 วัน ชอนก็ไปส่งอีกตามเคย มาตอนนี้ฉันก็ได้เป็นพี่เลี้ยงหมาไปซะแล้ว ซึ่งพอไปถึงคุณอาท่านก็ดีกับฉันมาก ท่านจะเป็นผู้หญิงที่สวยสง่าดั่งนางพญา ทั้งยังมีความสามารถเหนือกว่าคนอื่นๆไปซะทุกด้าน วาดรูปก็เก่ง คุมคนก็เก่ง และท่านก็มีธุรกิจมากมายหลายด้าน อาทิเช่น ร้านเสริมสวยและสปา โรงงานไก่ รวมทั้งเป็นนักลงทุนทางด้านการศึกษา และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเป็นคนไทยคนเดียวที่มีลูกน้องเป็นฝรั่งนับร้อยคน และทุกคนก็เกรงกลังคุณอามาก ฉันรู้สึกชื่นชมและศัทธราในตัวท่านมาก ฉันไม่ได้ชื่นชมที่ท่านเป็นคนรวย หรือว่าเป็นคนในสังคมไฮโซ แต่ฉันชื่นชมในความสามารถที่ท่านก้าวมาได้ถึงจุดนี้ และท่านชอบสอนเกี่ยวกับการดำเนินชิวิตและการทำธุรกิจ อยู่กับท่านฉันก็รู้อะไรขึ้นอีกเยอะ
แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 49 15:13:49
แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 49 13:49:17
จากคุณ :
Summer_scent
- [
27 ต.ค. 49 13:36:15
]