CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ยิ้มไว้...เมื่อภัย(มะเร็ง)มา ตอน 26 (ตอนจบ) เล่าจากเรื่องจริง

    หลังจากที่ฉันได้มาพักอยู่กับบ้าน ก็ทำให้ฉันได้มีเวลาสำรวจ
    เข้าของสิ่งต่างๆ ในบ้านมากขึ้น ซึ่งฉันก็หันความสนใจมาเป็นเรื่องการประดับตกแต่งบ้าน เพราะในตัวบ้านจะออกเป็นสีชมพูอมเหลืองอ่อนๆ แต่ไม่มีรูปอะไรติดข้างฝาเลย ทำให้บ้านดูเรียบเกินไป ฉันกะชอนก็เลยไปหาซื้อรูปภาพมาติดบ้าน เอาไปเอามาพวกเราก็สู้ราคาไม่ไหว เพราะภาพวาดต่างๆ
    มันแพงซะเหลือเกิน แม้แต่ราคาของกรอบรูปก็ยังสูงลิบลิ่ว แต่มันก็ถึงเวลาที่ฉันจะต้องเอาปริญญาบัตรของป.โทของฉัน กับปริญญาบัตรของป.เอกของชอนไปเข้ากรอบ โดยที่คุณชายชอนเขาก็อยากได้เป็นแบบเดียวกันกับกรอบรูปที่ี
    ใส่ปริญญาบัตรของป.ตรีของเขา ซึ่งเจ้าของร้านก็ชาร์จพวกเรา 60 เหรียญต่ออัน แต่ก็ได้งานออกมาสวยสมใจชอนเขา เท่ากับว่า 120 เหรียญก็คือว่าคุ้มแล้ว


    ช่วงที่ฉันอยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำ ฉันก็ไปห้องสมุดไปหายืม
    หนังสือมาอ่าน ไม่รู้เป็นไง ฉันมันเป็นโรคอยู่เฉยๆกับเขาไม่ได้ ถึงแม้ว่าตอนอยู่เมืองไทยพอมีเวลาว่างก็จะไปเรียนโน่น ไปเรียนนี่อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งไปเรียนตีขิมกับเพื่อนที่บริษัทหมีน้อย อย่างเจ้าจ๊อดและพี่แมนดี้ที่มูลนิธิหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ช่วงแรกๆฉันกับเจ้าจ๊อดก็นั่งรถไฟที่ดอนเมืองไปลงที่สถานีสามเสน แต่ตอนหลังๆพี่แมนดี้เขาหลงกลฉันไปเรียนขิมเป็นเพื่อนกัน ก็เลยอาศัยรถพี่เขาไปด้วยกัน สบายไปอีกแบบ แต่ตอนนี้พี่แมนดี้เขาเพิ่งคลอดลูกชายสุดน่ารักชื่อน้องนายน์ (nine)ซึ่งหล่อเหมือนคุณพ่อไม่มีผิดเพี้ยนเลย ก็คงจะไม่มีเวลาไปเรียนแล้วแน่ๆเลย ก่อนหน้านี้พี่เขาก็มีเรียนต่อปริญญาโทที่ซิดนีย์ ฉันเลยได้รับคำแนะนำดีๆจากพี่เขาก่อนที่จะมาเรียนที่เมลเบิร์น ซึ่งฉันก็อยากจะเจริญรอยตามพี่เขาเสียเหลือเกิน เพราะพี่เขาสาวสวยหน้ากระเดียดไปทางลูกครึ่งเสียมากกว่า ซึ่งคุณพ่อกะคุณแม่เป็นคนไทยแท้ๆเลย แต่เวลาพี่เขาพูดภาษาอังกฤษแล้วสำเนียงเนี้ยะ ฝรั่งจ๋าเลย ฉันหละอิจฉาพี่เขาจริง จริ๊ง

    และเพื่อนบางคนของฉันพอมาอยู่บริษัทหมีน้อยด้วยกันก็เสียดุลย์การค้า
    ให้กับญี่ปุ่นไปหรือว่าจะได้ดุลย์หรือปล่าวก็ไม่รู้นะ อย่างน้องกุ๊กไก่น้องสาวสุดสวย หุ่นไซส์นางแบบ แล้วก็เป็นน้องจากมอเชิงดอยเหมือนกันและเคยเป็นเมทเก่าของเจ้าลำไพรด้วย น้องเขายังขอคอนเฟิร์มเลยค่ะว่าหมอนของเจ้าลำไพรเหม็นจริงๆ ตอนนี้น้องกุ๊กไก่เขาก็เป็นแม่คนไปแล้วเหมือนกันและได้ลูกสาวตัวน้อยๆ
    ลูกครึ่งญี่ปุ่นน่ารักน่าชังชื่อน้องมะลิ ฉันหล่ะอิจจาเพื่อนๆแต่ลคนจังเลย ต่างก็มีลูกน่ารักๆกันหมด สำหรับฉันแล้วอาจจจะไม่มีโอกาสมีลูกแล้วก็ได้เพราะหลังจากฉายรังสีไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายฉันก็เหมือนกับคนที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน และบางทีก็มีโรคร้อนวูบวาบขึ้นที่หน้าประจำเลย แต่น้องกุ๊กไก่เขาสัญญากับฉันว่าเขาจะแบ่งไข่ให้ ถ้าฉันอยากจะมีลูกจริงๆ สัญญากันไว้แล้วนะ อย่ากลับคำหล่ะ  ต่อมาฉันได้คุยกับน้องเปิ้ลซึ่งน้องเขาก็เคยมาเรียนกับฉันอยู่ที่เมลเบิร์น แต่ตอนนี้ย้ายไปเรียนและมีแฟนอยู่ที่ฟินแลนด์ไปและ ไปอยู่ซะไกลเชียว แถมยังหนาวอีกต่างหาก เมื่อก่อนพวกเราสนิทกันมากและน้องเขาก็คอยเป็นธนาคารอีกแห่งนึงของฉัน
    ยามที่ฉันเดือดร้อน ใจบุญสุนทานมั่กมาก รูปร่างก็งดงาม จิตใจก็งดงาม แต่ฉันก็สงสารน้องเขาเพราะหมอวินิจฉัยว่าเป็นซิสที่รังไข่และจะต้องไปผ่าตัด
    อีก 5-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ยังรออยู่ ฉันขอขอภาวนาให้น้องเขาหายเป็นปรกติแล้วขอให้มีลูกได้นะ อย่าเป็นแบบฉันละกัน (เห็นบอกว่าตอนหลังหมอกลัวว่าจะเป็นโรคอัมพฤกติ์ก็เลยไห้ไปตรวจสมอง
    และต้องเสียเงินอานเลย โชคดีที่ผลออกมาเป็นปรกติ ฉันก็โล่งใจแทน)


    พอฉันไปที่ห้องสมุดก็ไปเจอที่บอร์ดว่าทางศูนย์อบรมของชุมชนบ๊อกฮิลล์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านฉันเขา กำลังจะเปิดคอร์สวาดภาพสีน้ำเบื้องต้นขึ้น ซึ่งเขาจะเริ่มสอนตอนกลางเดือนพฤษภานี้ โดยจะเปิดสอนวันละ 3 ชั่วโมง ทุกๆวันพฤหัส เป็นเวลา 7 อาทิตย์ติดต่อกัน โดยค่าเรียนก็ประมาณ 80 เหรียญไม่รวมอุปกรณ์ ฉันก็เกิดกิเลส อยากจะไปเรียนเป็นอย่างมาก แต่ชอนเขาก็ท้วงว่ามันจะได้เรื่องเร้อ เพราะวาดภาพสีน้ำนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แต่ฉันก็อยากจะลองดูสักตั้ง ชอนเขาก็ต้านไม่ไหวเลยยอมให้ฉันไปเรียนก็เลยได้ภาพวาดมาติดบ้านสมใจ แต่ก็ไม่ได้ติดนะคะ ได้แต่วาดเก็บไว้เพราะกรอบรูปมันแพงหน่ะค่ะ ได้ติดแค่ 2 รูปเอง


    พอมีโอกาสได้เขียนเรื่องเล่าก็เลยเอารูปออกมาโชว์ให้ผู้อ่านได้ชมไปด้วยเลย อ้อ อ่านแล้วอย่าแปลกใจ วีซ่าของฉันไม่ให้เรียนหนังสืออย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่พวกเรียนวาดรูปเล็กๆ น้อยๆแบบนี้ ฉันไปเรียนได้ค่ะ เพราะมันเป็นที่เรียนสำหรับคนแก่ๆไว้หากิจกรรมทำเวลาว่างๆเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นโรงเรียนใหญ่ๆหน่ะค่ะ


    วันแรกที่ฉันไปเรียนนั้น พอไปถึงที่ห้องแต่ละคนเขาก็เรียนกับอาจารย์แกรี่ที่สอนฉันนี้กันมาก่อนแล้ว ซึ่งเพื่อนร่วมห้องฉันแต่ละคนเป็นบุคคลชั้นสูงกันทั้งนั้นเลย ที่ว่าสูงนี้ไม่ใช่อะไรหรอกแต่เป็นผู้สูงอายุกันตะหากหล่ะ เช่น แอนดี้ (คุณปู่ผู้ใจดีอายุก็ปาไป 80 กว่าๆแล้ว) เธลมา (คุณป้าแสนสวยวัย 60 กว่าๆ) แมรี่ (คุณยายผู้น่ารัก ซึ่งอยู่ในวัย 70 กว่าๆ) และคนสุดท้ายคือเวนดี้ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ อยู่ในวัยใกล้เคียงกันกับฉันหน่อย คิดว่าน่าจะอายุสัก 38 ปีได้กระมัง ฉันก็เป็นเด็กใหม่มั่กมากเลย แถมยังไม่เคยใช้พู่กันมาเลยในชีวิตนี้ ก็มาเริ่มเรียนเอาที่นี่แหละ อาจารย์แกรี่นั้นท่านน่ารักมาก พอถึงช่วงพักเบรค ท่านก็จะคอยถามว่าใครอยากดื่มอะไร แล้วท่านก็ไปชงชาหรือกาแฟมาให้คุณตาคุณยายดื่มกัน ฉันคิดว่าคงไม่มีอาจารย์ท่านไหนที่จะ มีความเคารพนอบน้อมและดูแลลูกศิษย์ได้ดีเท่าอาจารย์แกรี่เป็นแน่ ส่วนฉันไม่ดื่มชาหรือกาแฟ เพราะฉันเอาน้ำมาเองจากที่บ้าน อาจารย์แกรี่ก็จะเอาบิสกิตมาให้ฉันกินแทน น่ารักมั่กมาก ช่วงแรกๆฉันยังไม่มีสีและพู่กัน ฉันก็ต้องเรียนวาด พวกดรออิ้ง ( Drawing) ไปก่อน ตอนหลังมาก็ไปซื้อสีหลักๆไว้ประมาณ 6 สีได้ และก็มีพู่กันประมาณ 4 อัน รูปที่ฉันวาดๆไปหน่ะ ใช้แค่ 6 สีเองนะ ไม่มีแม้กระทั่งสีขาวกับสีดำ ถ้าอยากใช้สีขาว อาจารย์แกรี่ก็ไปจิ๊กสีของคุณตาแอนดี้มาให้ ทุกครั้งที่เราวาดรูปในชั้น เมื่อวาดเสร็จแต่ละคนก็จะต้องเอารูปที่วาดไปโชว์ไว้หน้าห้อง แล้วให้เพื่อนๆผลัดกันชม บางครั้งฉันวาดไปไม่ได้เรื่องเลย แต่ตอนท้ายชั่วโมงเมื่อเพื่อนๆมาดูแล้วเขาก็ชมภาพวาดของเราด้วยความจริงใจ มันทำให้ฉันรู้สึกดีและปลื้มใจในความจริงใจของเพื่อนๆในชั้นเป็นอย่างมาก ฉันก็เลยรู้สึกชอบรูปที่ฉันวาดมากขึ้นทันทีเลย เพราะมีคนชม


    พอช่วงเดือนมิถุนายน 2006 ชอนก็ต้องเดินทางไปฝึกอบรมที่มาเลเซียเป็นเวลาประมาณ 5 วัน ฉันก็อยู่บ้านคนเดียว ในใจก็กลัว แต่ไม่ได้กลัวผีนะ ฉันกลัวขโมยหน่ะ มันเหงาๆอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงฟุตบอลโลกด้วย ฉันก็ไม่หลับไม่นอนเลย ตอนกลางคืนก็ดูบอลโลกเพราะที่ออสเตรเลียเวลาแข่งเป็นช่วงประมาณ
    ตี 2 ตี 3 ของที่นี่ ค่ะ เพิ่งจะได้มาสมหวังก็ปีนี่แหละ (แฟนๆฝรั่งเศสใจเย็นๆก่อนะคะ) หลังจากที่ฉันติดตามเชียร์อิตาลีมา
    ถึง 17 ปีเต็มๆ ซึ่งฉันก็เชียร์อิตาลีมาตั้งแต่ฉันอยู่มัธยม 4 แล้ว พอมาถึงสมัยที่ฉันเรียนมหาลัยนั้น ฉันก็มีรุ่นพี่ที่ฉันรักมากที่สุดอยู่คนนึง (แต่รักน้อยกว่าชอนนิดนึง) พี่เขาชื่อพี่ไทม์ ซึ่งพี่เขาไม่รู้หรอกว่าฉันหน่ะ แอบชอบพี่เขาอยู่ เพราะพี่เขาบอกว่าเขาไม่ชอบผู้หญิงที่ไปบอกรักผู้ชายก่อน เท่ากับว่าพี่แกพูดกันไว้ก่อนเลย ฉันก็เลยไม่กล้าที่จะเอ่ยความในใจกับพี่เขาเพราะกลัวว่าเขาจะพาลเกลียดฉัน
    ไปเลย ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไร ฉันก็เลยเก็บไว้จนมาถึงวันนี้แหละ พี่เขาอาจจะรู้จากเรื่องที่ฉันจะเล่ามานี้ก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ มันเป็นความจริงนี่นา สมัยที่ฉันเรียนมอเชิงดอยอยู่นั้น ฉันก็เป็นเด็กกะโปโล ไม่เคยแต่หน้า ทาลิบกะติกกะเขาเลย ทั้งหน้าก็มันๆ มีสิวอยู่หน่อยๆ ทรงผมก็ตัดซะสั้นจู๋เลย แล้วยังนี้พี่เขาจะชอบเข้าไปได้ยังไง ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันจะเฉิ่มมาก

    แต่ขอพูดได้เลยว่าในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่รักพี่เขาได้มากไปกว่าฉัน นั้นไม่มีแน่ ขอบอก ฉันดูแลพี่เขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะซื้อผ้าปูที่นอน เพราะพี่เขาเป็นผู้ชายเขาไปซื้อไม่เป็น พี่แกยังจะให้ฉันเลือกลายธงชาติอิตาลี่ด้วยนะ แต่ฉันหาไม่เจอ ซึ่งแต่ก่อนพี่เขานั้นอยู่หอชาย 7 ส่วนตอนนั้นฉันอยู่หอ 3 หญิง ที่มหาลัยของฉันเขาห้ามหญิงชายขึ้นหอกันและกันค่ะ พอฉันขับรถผ่านที่หน้าหอเจ็ด ใจฉันมันก็เต้นแรงๆ พอนึกถึงหน้าพี่เขาใจมันก็วูบๆขึ้นมา อย่างนี้ละมั้งที่เขาว่านั่นคือความรักใช่ไหมหน้อ ทุกๆเย็นฉันจะต้องไปวิ่งที่สวนสมเด็จย่ากับพี่เขา แล้วต่อด้วยยกเวท แม้จะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหนฉันก็ทนได้ค่ะ เพราะว่าพออยู่ใกล้คนที่ฉันรักแล้ว ทุกอย่างมันก็หายเป็นปลิดทิ้ง ฉันมีความสุขมาก แค่ได้ใกล้ชิด ขอแค่ได้รักเขาอยู่ข้างเดียวฉันก็พอใจแล้วหล่ะค่ะ พอตกเย็นก็ไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนพี่เขาอีก เพราะพี่ท่านอยากจะเพิ่มน้ำหนัก พี่แกจะสูงๆ ขาวๆ ตี๋ๆ ถูกใจสาวๆนักแล แต่พี่แกจะผอมไปหน่อย ก็เลยอยากจะบิ้วร่างกายให้ล่ำๆไว้ทรมานใจฉันเล่น ฉันก็เสี่ยงมากที่จะโดนแฟนคลับพี่เขาตบเอา เพราะว่าก็มีแต่ฉันนี่แหละที่ได้เข้าใกล้พี่เขาหน่ะ หญิงอื่นพี่เขาก็ไม่กล้าสนิทกับใคร แต่พออยู่กับฉันแล้วพี่เขาก็เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้เสแสร้ง


    ไม่ว่าจะเป็นยังไง ฉันก็จะรักและห่วงใยพี่เขาด้วยความจริงใจ มาถึงตอนนี้ฉันยังจำเบอร์โทรศัพท์บ้านพี่เขาได้อยู่เลย คิดดูละกัน เวลามันก็ผ่านไปเกือบ 14 ปีแล้วนะเนี่ย ถ้าอยากรู้ว่าฉันรักพี่เขาแค่ไหน ก็นับได้จากของขวัญวันรับปริญญาที่ฉันได้ทำให้แก่พี่เขา ซึ่งฉันได้วาดรูปคุณพ่อ คุณแม่ พี่ไทม์ ฉัน น้องสาวของเขา พี่หนึ่งและน้องแก๊บ ซึ่งลูกพี่ลูกน้องของเขา เป็นรูปการ์ตูนที่คล้ายรูปเหมือนโดยจะมีพี่ไทม์ใส่ชุดครุยของคณะวิศวะ แล้วพวกเราก็อยู่ล้อมรอบ ฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส แล้วฉันก็ฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กๆ ปะติดไปในรูป ทำเหมือนภาพปะติดหน่ะค่ะ แต่ใช้ความละเอียดและใช้เวลาทำนานมาก ฉันก็ใช้เวลาทำวันละนิดวันละหน่อย โดยที่จะฉีกกระดาษเป็นสีต่างๆ ชิ้นเล็กๆ แล้วติดทีละชิ้นด้วยกาวใส ให้ออกมาเป็นรูปเหมือนของพวกเรา คิดดูแล้วกันค่ะ ขนาดฉันยังนับไม่ได้เลยว่าเศษกระดาษที่ฉันติดไปนั้นมีกี่ชิ้น ซึ่งความรักที่ฉันมีต่อพี่เขาก็นับไม่ได้เหมือนกันว่ามันมากมายแค่ไหน แต่พอพี่เขาจบไปแล้วก็มีสาวๆจากที่ทำงานมาจีบ พี่แกก็เลยหายไปกับสายลม (gone with the wind) ซึ่งตอนนั้นฉันก็ผิดหวังและเสียใจมาก แต่พอวันเวลาผ่านไป ฉันก็กลับมาคิดว่า เราไม่ได้เป็นแฟนกันหน่ะดีแล้ว เป็นพี่เป็นน้องกันดีกว่า เพราะถ้าเป็นแฟนกัน ถ้าเกิดเลิกกันขึ้นมา ทุกอย่างมันก็ไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ว่ายังไง เราก็ยังรักและเป็นห่วงกันเหมือนเดิม แล้วถ้าฉันลงเอยกับพี่เขาก็อาจจะไม่ได้มาเจอชอนก็เป็นแน่ ฉันก็ถือว่าพวกเราไม่ได้เกิดมาคู่กัน พอมาถึงตอนนี้ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน มันก็ไม่เคยลดลงเลย ตอนนี้พี่เขาก็ไปเรียนต่อด๊อกเตอร์ที่ประเทศอังกฤษ แล้วพวกเราก็ยังได้ร่วมเชียร์อิตาลี่ด้วยกันอีก พอมาปีนี้พวกเราก็ได้สมหวังหลัวจากที่เฝ้าคอยมานาน ถึงแม้ว่าพวกเราจะชอบอิตาลี่ แต่ฉันก็ไม่ชอบที่มาแตราชซี่ไปด่าว่าซีดานก่อน ซึ่งซีดานเขาก็น่าจะควบคุมอารมรณ์ให้ดีกว่านี้ เป็นอันว่าถึงแม้อิตาลี่จะชนะแต่ฉันก็ไม่ชอบพฤติกรรมของผู้ร่วมทีมบางคน ขอให้แฟนๆของฝรั่งเศสเข้าใจแฟนๆของอิตาลี่ด้วยนะคะ

    แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 49 18:39:09

    แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 49 09:00:18

    จากคุณ : Summer_scent - [ 31 ต.ค. 49 08:09:57 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com