ความคิดเห็นที่ 1 เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้น -ชื่อสามัญทางยา ก็คือ ชื่อตัวยานั้นๆ อย่างเช่น ยา paracetamol มีข้อบ่งใช้รักษาอาการปวด และลดไข้ (ยาตัวนี้ยังมีชื่อเล่นอีกชื่อนะคะ acetaminophen เพราะฉะนั้นถ้าอ่านเจอข้างขวดชื่อนี้ อย่าเพิ่งงงค่ะ) ชื่อพวกนี้ เป็นชื่อสากล ใช้กันทั่วโลกค่ะ ก็เหมือนกับชื่อวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนในวิชาชีวะนั่นเองค่ะ -อีกชื่อหนึ่ง คือชื่อการค้า ชื่อการค้านี่ก็คือชื่อยี่ห้อนั่นเอง อย่างเช่น ยา paracetamol ที่ผลิตโดยบริษัท jannsen cilag ก็มีชื่อการค้าว่า ไทลินอล (tylenol) ยา paracetamol ที่ผลิตโดยบริษัทไทยนครพัฒนา ก็มีชื่อว่า ซาร่า (sara) เพราะฉะนั้น ทั้งไทลินอล และซาร่า ก็คือยาตัวเดียวกันนั่นเอง คราวนี้มาดูต่อค่ะ แล้วชื่อยานั้น สำคัญไฉน สิ่งที่เราจะเจอประจำ คือ ลูกค้าที่เอายามาจากคลินิค แล้วเหลือแค่ 1 เม็ดติดซองยา มีแค่วิธีรับประทาน ไม่มีชื่อยาระบุไว้... พอถามว่าใช้ทานเพื่อรักษาอะไร บางทีก็ไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงคำตอบว่า เค้าฝากซื้อจ้ะ เอาเม็ดเหมือนเดิมเป๊ะๆ เวลาไปซื้อยาต่อจากยาตัวเดิม ถ้าคุณผู้อ่านได้แค่เม็ดยา ไม่มีชื่อยาบนซองยา หรือรายละเอียดอะไรเลย ต้องระวังค่ะ เม็ดยาสีชมพู๊-ชมพูเหมือนกัน ขนาดเท่ากัน อาจเป็นยาคนละตัวก็ได้ ถ้าเกิดมีร้านมักง่าย อยากได้เงิน เค้าเอายาที่เม็ดเหมือนๆกันหยิบขายให้ เราก็เสร็จค่ะ.... จะเอายาแก้ปวด ดันได้ยาอะไรไม่รู้ อย่าเพิ่งขำนะคะ มีจริงค่ะ ขายยาแบบเห็นแก่ได้ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 13 พ.ย. 49 16:13:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ๊ะๆ อย่าเพิ่งบอกนะคะ ว่าแล้วทำไมเภสัชกรไม่รู้จักจำเม็ดยาเอาล่ะ แค่ยาตัวเดียว เน้นค่ะ ยาตัวเดียว อย่างเช่น ยา para เอาตัวนี้แหละง่ายดี ก็มีสารพัดสี สารพัดขนาดแล้วค่ะ มีกี่ร้อยบริษัทไม่รู้... แล้วยามีทั้งหมดกี่พันตัวล่ะคะ จำไม่ด๊ายยยยยค่ะ จำได้แต่เฉพาะที่เคยขายค่ะ.... แถมถ้ายาคนละตัวเม็ดยาเหมือนกันเป๊ะๆอีก ก็จบเห่ค่ะ เพราะฉะนั้น ชื่อยาสำคัญที่สุดค่ะ หากไปซื้อยา แล้วได้ยาหน้าตาไม่เหมือนเดิม เม็ดนึงดำมิดหมี กับอีกเม็ดสีชมพูนวลหวานซะ เหมือนคุณดำตับเป็ด กับเจ้าหญิงวุ่นวาย แต่ยาทั้งสองตัว เป็นยาตัวเดียวกัน (ชื่อสามัญทางยาเหมือนกัน) ขนาดมิลลิกรัมเท่ากัน เช่น ยาพาราเซตามอล 500 มก. เท่านั้นก็โอเคแล้วค่ะ รับประทานได้ ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 13 พ.ย. 49 16:23:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อีกนิดค่ะ อยากให้ทุกๆคนทราบว่า เรามีสิทธิ์ค่ะ ทุกๆคนมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่า ยาที่เราได้มารับประทานนั้น มีชื่ออะไร เพราะฉะนั้น การได้ยานับเม็ด จริงๆ ควรจะระบุชื่อยาเอาไว้บนฉลาก หรือซองยาด้วยค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากให้ทำกันทั่วประเทศมากๆ โดยเฉพาะในกรณีคนไข้เป็นโรคเรื้อรัง เช่นความดันโลหิตสูง เผื่อว่าไปต่างจังหวัดแล้วยาหมด มีแค่ซองยากับเม็ดยาเม็ดเดียว ต้องการใช้ยาต่อ แต่เมื่อไม่รู้ชื่อยา แล้วจะหายารับประทานยังไงล่ะคะ.... ถ้าเป็นยาที่พอจะระบุได้ ก็ดีไปค่ะ แต่ถ้าไม่สามารถระบุได้ ก็ต้องโทรศัพท์ไปถามคลินิค มีเหตุการณ์หนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ กับสถานพยาบาลบางแห่ง ลูกค้าเป็นโรคความดันโลหิตสูง แล้วยาหมดกระทันหัน ไม่สามารถหาซื้อได้ จึงโทรกลับไปถามชื่อยา แต่ว่าสถานพยาบาลไม่อยากบอก เราเดา(เดาค่ะเดา) ว่า คงเป็นเพราะไม่อยากให้ไปหาซื้อเอง แต่จริงๆแล้วการกระทำของสถานพยาบาลแห่งนี้ผิดค่ะ เพราะคนไข้มีสิทธิ์ที่จะทราบค่ะ ฉะนั้น หากใครเจอเหตุการณ์แบบนี้ ให้ทวงค่ะ ทวงสิทธิ์ของตัวเอง ระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยเรา จะได้พัฒนาขึ้นบ้างค่ะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบค่ะ รู้เรื่องไม่รู้เรื่องยังไง ท้วงได้นะคะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 13 พ.ย. 49 16:30:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มาแถมครับ... ยาแก้ปวดที่เรียกกันว่า Paracetamol นั้น มีหลายบริษัท เหลือเกิน พวกหมอและเภสัชที่ชอบจัดยาเม็ดไว้เป็นสูตร ก็จะใช้ชนิดที่เม็ดแปลกๆ เพื่อที่ลูกค้าจะได้ไม่ไปต่อยาที่อื่น ยาพาราเอาแค่ที่ผมเคยเห็นมานะครับมีเม็ดกลมขาว, เม็ดรีขาว, เม็ดกลมขาวฟ้า (กลิ่นมินต์), เม็ดรีฟ้า, เม็ดกลมเหลือง, เม็ดรีเขียว (กลิ่นใบเตย) พวกนี้ทุนไม่มาก แต่คิดกันแพงๆ ผมตัดปัญหา หยิบยาที่เป็นแผงเสียเลย สำหรับผมเห็นด้วยกับคุณลูกเป็ดนะครับ เรียกร้องสิทธิได้แล้วครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 49 16:42:15 จากคุณ : Epinephrine - [ 13 พ.ย. 49 16:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อืม ... ความรุ้แบบนี้ .. ต้องชมเชย จขกท. เขียนได้ดีมาก ๆ เลยครับ จากคุณ : หมอหมู - [ 14 พ.ย. 49 00:13:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ่านง่าย ได้ความรู้...ชอบมากค่ะ จากคุณ : calamine - [ 14 พ.ย. 49 00:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 7 หมอลูกเป็ดน่ารักจังค่ะ   เขียนกันอย่างนี้  ให้รู้กันทั่วๆไป มีประโยชน์มากค่่ะ จากคุณ : ป้าดาวกระจาย (-.-) - [ 14 พ.ย. 49 10:49:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แวะมาโหวตให้จ้า แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 49 10:53:45 จากคุณ : 30ยังแจ๋ว - [ 14 พ.ย. 49 10:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 กดโหวต ให้แล้วค่ะ  ขอบคุณมากที่มาบอก จากคุณ : Blubber - [ 14 พ.ย. 49 10:54:11 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยครับ กับการให้ผู้ป่วยรู้ชื่อยา เพื่อที่จะได้ไม่เกิดความสับสนทางการใช้ยา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของร้านขายยาและคลินิกรวมทั้งโรงพยาบาลในชุมชนนั้นๆครับ เพราะในปัญหานี้มันมีปัญหาคู่ขนานอันนึงคือ เมื่อผู้ป่วยรู้ชื่อยาแล้ว หลายคนทีเดียวที่ไปซื้อยากินต่อเนื่องเอง ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ หลายคนไม่อยากมารพ. ก็ไปซื้อยาจากร้านขายยา ร้านขายยาก็ยอมขายให้โดยที่ไม่มีการตรวจสอบอะไร ในช่วงเดือนนี้ ผมเจอคนไข้ที่เป็นความดันสูงและเบาหวาน ซท่อยากินเองโดยไม่มีการตรวจวัดความดันหรือเจาะน้ำตาลเป็ฯเวลาหลายปี... ในที่สุดมาจบลงด้วยอาการอัมพฤกษ์อัมพาต น๊อคเบาหวาน เป็นแผลเรื้อรัง ไตวาย.... ดังนั้นนอกจากให้ผู้ป่วยรู้ชื่อยา ต้องคุมการจ่ายยาจากร้านขายยาด้วยครับ จากคุณ : หมอแมว - [ 14 พ.ย. 49 14:24:42 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถาม จขกท นิดนึงนะคะ แล้วอย่างยา paracetamol ที่ต่างบริษัทกัน ทำไมราคาต่างกันล่ะคะ ทั้งๆที่เป็น paracetamol 500 mg. เหมือนกัน งง ค่ะ แล้วก็สงสัยจริงๆค่ะ จากคุณ : tua-lex - [ 14 พ.ย. 49 14:36:38 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จขกท เขียนได้ดีมากเลยจ้ะ จากคุณ : sunlong (sunlong) - [ 14 พ.ย. 49 14:57:18 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เราคิดว่า ที่ราคาต่างกัน เพราะ เป็นของนอก กับ ของไทย ค่าโฆษณา ค่าแพ็คเกต ค่าจัดเลี้ยง จากคุณ : Sugar~Bunnies - [ 14 พ.ย. 49 15:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ปรกติเวลาจะซื้อพารา เราชอบซื้อเป็นกระปุก แบบราคาถูกที่สุดอยู่แล้วล่ะ ถ้าคนขายจะหยิบไทลินอลให้ เราก็บอกไปเลย เอาแบบไม่มียี่ห้อ ถูกๆก็พอ 100 เม็ด 40-50 บาทเอง (เมื่อก่อนแค่ 30 บาท) ดีกว่าไปซื้อพวกไทลินอล ซาร่าแผงละสิบเม็ด ราคาตั้งเท่าไหร่ ถึงจะถูกกินแล้วก็แก้ไข้ได้เหมือนกัน ที่มันต่างยี่ห้อ ต่างราคา ราคาต่างกัน มันก็เพราะเขาขายยี่ห้อด้วยไง จากคุณ : ari - [ 14 พ.ย. 49 15:06:59 A:125.24.216.17 X: TicketID:102543 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ที่คุณหมอแมวว่ามา ถูกต้องที่สุดค่ะ เราถึงอยากให้ประเทศไทย ออกกฎหมายให้มีเภสัชกรประจำร้านตลอดเวลาซักทีค่ะ ไม่อย่างนั้น บางร้าน ที่สักแต่ว่า ขายๆ ไม่ซักประวัติผู้ป่วยเลย ก็จะทำให้ทุกอย่างเลวลง ทุกวันนี้ คนบอกว่า จ้างเภสัชกรประจำทำไม แพง เปลือง ยาก็ตัดราคากัน กำไรก็น้อย ตอนนี้เภสัชกรก็อยากจะตายจากเมืองไทยเหมือนกันค่ะ.... เรื่องประเด็นว่า ราคาที่แตกต่างกันมาก เดี๋ยววันหลัง จะเขียนอธิบายเพิ่มให้ค่ะ ว่าทำไม... บางอย่างก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนค่ะ... คงต้องคุยกันยาวอีกหัวข้อนึงเลยค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ (ลูกเป็ดขี้เกียจ) - [ 14 พ.ย. 49 15:29:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณค่ะ ^^ ตอนเด็กๆเคยมีประวัติการไม่ยอมบอกชื่อตัวยาของคลีนิคและร.พ.ค่ะ อยากเล่าให้ฟัง ประมาณป.1-2 แพ้ยาเพนนิซิลลิน คลีนิคที่ไปรักษาก็ใจดีบอกชื่อตัวยาที่แพ้ให้ เพราะเค้าใส่มาในถุงยาซึ่งไม่มีแผงหรือชื่อที่เขียนบอก โตขึ้นมาหน่อยก็เป็นไข้หวัดเหมือนเดิม พอไปหาหมออีกคลีนิคนึง บอกหมอว่าเราแพ้ยาตัวนี้นะ หมอก็เปลี่ยนมาให้ยาอื่นแทน ซึ่งในถุงยาก็ไม่ได้เขียนชื่อยาไว้เหมือนกัน พอแพ้ยาหมอก็ให้ยาแก้แพ้มาให้ แต่ไม่ได้บอกว่าแพ้ยาชื่ออะไร เราเองก็ไม่ได้ถามด้วย โตขึ้นมาอีกหน่อยยังไม่ถึง ป.6 ด้วยนะจำได้ว่า ป.4 เป็นไข้เลือดออก ก็ไปนอนร.พ.เอกชนแห่งนึง พออาการดีขึ้น หมอก็ให้ยามากิน 2-3 อย่าง แต่ยังอยู่ร.พ.นะคะ แล้วก็แพ้ยาอีกแล้ว พยาบาลก็ให้แค่ยาแก้แพ้ เราก็ไม่ได้ถามอีกว่ายาอะไร พอโตแล้ว อยู่ ม.ปลายก็แพ้ยาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ถามหมอเลยค่ะว่ายาอะไร เพราะแพ้หนักมากเกือบต้องส่งเข้าร.พ. พอหมอบอกว่ายาชื่อซัลฟานะ แต่ที่นี้คือไม่รู้ว่าเคยแพ้ยาอะไรมาบ้าง ปกติจะไม่เป็นอะไรเลยค่ะ หวัดอะไรก็ไม่เป็น 2-3 ปีถึงจะไม่สบายครั้งนึง แต่หนักทุกที จึงอยากจะบอกพวกเราว่าเวลาไปหาหมอ อาจจะต้องถามชื่อตัวยาที่เราต้องกินด้วยก็ดีนะคะ คงไม่จำเป็นถ้าไม่แพ้หรือเป็นยาอันตรายที่หมอป้องกันไม่ให้เราไปซื้อยาเอง แต่ถ้าแพ้ยาอะไร ควรจะบอกคนไข้ด้วย หากคนไข้เป็นเด็กก็อยากให้บอกผู้ปกครอง แล้วทำการ์ดระบุชื่อยาที่แพ้เก็บไว้ด้วยนะคะ ตอนนี้คงไม่มีใครซวยเหมือนเรา แค่อยากบอกเอาไว้ค่ะ จากคุณ : TeMokU - [ 14 พ.ย. 49 15:32:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณลูกเป็ดครับ ผมมีเรื่องอยากทราบมานานแล้วครับ ดังนี้ -เวลาหมอเขียนใบสั่งยาให้คนไข้แล้วเภสัชกรทำอะไรครับ แค่จัดยาหรอครับ -แล้วถ้ายาที่หมอเขียนมาในใบสั่งไม่มี หรือหมด เภสัชกรสามารถเปลี่ยนตัวยาเองเลยไหมครับ หรือต้องปรึกษาแพทย์ก่อน - อย่างที่เพื่อนสมาชิกด้านบนถามครับ ตัวยาพาราเหมือนกัน ขนาดเดียวกัน  แต่ราคาขายทำไมต่างกันทั้งของที่เป็นคนไทยด้วยกันผลิตเองก็ตาม จากคุณ : @Server ! maN@ - [ 14 พ.ย. 49 15:38:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 โหวตให้ค่ะ.. @^^@ จากคุณ : ขวัญณิตา - [ 14 พ.ย. 49 15:46:30 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณลูกเป็ดฯหายแล้วเหรอคะ ดีจังๆ มาตามอ่าน+โหวตให้เหมือนเดิม จากคุณ : แมวน้อยสีน้ำตาล - [ 14 พ.ย. 49 15:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แล้วเมื่อ 2 ปีที่แล้วก็แพ้ยาอีกตัวแล้วถามพยาบาลว่ายาชื่ออะไรค่ะ ส่วนเรื่องชื่อสามัญทางยา-ชื่อการค้านี่ก็ขอเล่าอีกเรื่องนะคะ ^^ ต้องกินยาประจำแล้วตอนนี้เนื่องจากเหตุผลบางประการค่ะ ด้วยความที่เวลาหมอเขียนใบสั่งยาให้กับทางพยาบาล เค้าจะเขียนเป็นชื่อการค้าของยาตัวนั้น ยาที่ได้เป็นกล่องบอกทั้งชื่อการค้าและชื่อสามัญทางยาค่ะ บางครั้ง สมมุตินะคะ หมอเขียนชื่อยาว่า lioresal ยาที่ได้บางครั้งชื่อการค้าเป็น lioresal บางครั้งก็ชื่อ baclofen คนไข้บางคนอาจจะไม่สนใจ บางคนอาจจะคิดว่าได้ยาผิด บางคนไม่สนใจ เพราะเป็นยาชื่อสามัญตัวเดียวกันคือ baclofen บางครั้งต้องไปหาหมอหลายแผนก หมออาจจะถามว่าตอนนี้กินยาอะไรอยู่บ้าง เราก็บอกชื่อการค้าไปว่า sirdalud ซึ่งหมอก็ทราบดีค่ะว่าชื่อสามัญทางยาของตัวนี้คืออะไร หมออาจจะบอกว่ายังกิน tizanidine อยู่เหรอ ฟังแล้วงงว่าเราบอก sirdalud ทำไมหมอพูดถึง tizanidine ล่ะ? มันก็คือชื่อสามัญทางยา ธรรมดาคงไม่คิดอะไร แต่เนื่องจากเป็นคนชอบเสาะหา ชอบสงสัย จึงชอบหาข้อมูลของยาตัวไหนๆที่กินว่ามีมีอาการข้างเคียงอะไร เพื่อรรเทาอาการอะไร จึงพยายามเสาะแสวงหาว่ายาที่กินบางครั้งรู้แค่ชื่อการค้า เอามาค้นหาข้อมูลจากเวบเอาค่ะ จะได้รู้ชื่อสามัญทางยาแล้วก็ข้อมูลอะไรๆเก็บไว้ค่ะ ก็เลยอยากให้คนไข้รู้ชื่อการค้าหรือชื่อสามัญทางยาในกรณีที่ได้ยาแบบบรรจุซองโดยไม่ได้เขียนอะไร นอกจากเวลากิน แต่ก็อีกเช่นเคย ตามที่คุณหมอแมวเล่า มันก็เสี่ยงสำหรับคนที่ชอบซื้อยาเองโดยไม่ได้อยู่ในการดูแลของหมอค่ะ สรุปว่าควรรู้หรือไม่รู้ดีเนี่ยเรา  งง ^o^ จากคุณ : TeMokU - [ 14 พ.ย. 49 16:10:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับ คุณลูกเป็ดขี้เกียจที่นำความรู้ดีดีมาให้อ่านกัน จากคุณ : สนามหญ้าหน้าบ้าน - [ 14 พ.ย. 49 16:44:11 ]

ความคิดเห็นที่ 22 จขกท เขียนดีครับ  ผมก็ประสบปัญหาเดียวกัน และเจอบ่อยด้วย อีกปัญหาหนึ่งที่เจอคือลูกค้าชอบเอาชื่อยาแปลก ๆ มาถาม ซึ่งถ้าเป็นเภสัชกรที่พึ่งจบมา ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก (ยังไม่มีร้านยา รู้จักชื่อยายังไม่มาก) ก็อาจจะงงว่าเป็นยาอะไร  ซึ่งถ้าค้นแล้วก็จะพบว่าเป็นยาง่าย ๆ นี่เอง แต่พวกบริษัทที่ผลิตยา local made หรือ generic drug  ชอบประดิษฐ์ชื่อให้พิสดาร พอเราบอกว่าขอตรวจสอบก่อนลูกค้าก็พูดดูถูกเราทันที "ไปกันเถอะ เค้าไม่รู้จัก" แรก ๆ ก็เจ็บใจนะ   หลัง ๆ เฉย ๆ เพราะเราไม่สามารถที่จะไปอธิบายให้ทุกคนเข้าใจในเรื่องเดียวกันทั้งหมดได้ จากคุณ : คุณชายนะคร้าบ - [ 14 พ.ย. 49 17:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ จากคุณ : แมวเขย่งยิ้ม - [ 14 พ.ย. 49 17:28:33 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ได้ยินมาว่า "ถึงฝนจะตก ถึงฟ้าจะร้อง ถ้าได้มาเห็นหน้าน้อง" เพราะท่อนนี้ที่เป็น สปอต ออกไป ท่านถึงต้องจ่ายค่ายาเพิ่มเดิม อีก 75 สตางค์ ต่อเม็ด จากคุณ : miller31 - [ 14 พ.ย. 49 17:32:37 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แล้วยาพาราทุกยี่ฮ่อคุณภาพเหมือนกันหมดรึเปล่าครับ เคยได้ยินว่าไทลีนอลมันดีกว่ายี่ฮ่ออื่น หรือว่าเป็นความเชื่อผิดๆครับ โดยส่วนตัวก็คิดว่าน่าจะเหมือนกัน แต่ตั้งแต่ได้ยินมาก็ยังงงๆ หรือว่าพารามันมีหลายสูตรครับ จากคุณ : Sleeprunner - [ 14 พ.ย. 49 19:02:54 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คห. 17 ครับ คำตอบครับ เภสัชไม่ได้แค่หยิบยาครับ :) http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=epinephrine&month=08-2006&date=24&group=10&blog=1 คห. 25 ครับ ความจริง ถ้ามองในรายละเอียดไม่เหมือนกันหรอกครับ แต่โดยรวมแล้ว แทบจะไม่ต่างกันครับ ถ้าพารา 500mg มีอยู่สูตรเดียวแหละครับ แต่อาจจะร้อยกว่าสี จากคุณ : Epinephrine - [ 14 พ.ย. 49 19:49:46 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แต่ก็อีกเช่นเคย ตามที่คุณหมอแมวเล่า มันก็เสี่ยงสำหรับคนที่ชอบซื้อยาเองโดยไม่ได้อยู่ในการดูแลของหมอค่ะ สรุปว่าควรรู้หรือไม่รู้ดีเนี่ยเรา  งง ^o^ จากคุณ : TeMokU - [ 14 พ.ย. 49 16:10:48 ] ผมยืนยันไว้ตรงนี้เลยครับว่า "คนไข้ควรรู้ว่ายาที่ตนได้ชื่ออะไร" (ส่วนที่บ่นๆนั่น มันก็อีกเรื่องที่ต้อแก้ไข) โฮกกกกกกกก จากคุณ : หมอแมว - [ 14 พ.ย. 49 20:09:26 ]

ความคิดเห็นที่ 28 สำหรับคำถามที่ว่าทำไมราคาต่างกัน... คำตอบอย่างที่มีท่านอื่นตอบครับ ราคายาถูกกำหนดด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ค่าการพัฒนาครับ ซึ่งมีทั้งค่าการพัฒนาตัวยา และพัฒนาตำรับยา กับอีกส่วนคือค่าการตลาดครับ ทั้งโฆษณา ค่าการขายอื่นๆ (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ซึ่งสองส่วนนี้ ทำให้ราคาสูงอย่างไม่น่าเชื่อครับ ดังนั้น ยาชนิดเดียวกัน ถ้าของนอก (Original) จะแพงด้วยทั้งสองส่วนครับ ส่วนยาในนั้น ยังไงๆ ต้นทุนก็ต่ำกว่าครับ แต่จะแพงตรงค่าการตลาดแค่นั้น จากคุณ : Epinephrine - [ 14 พ.ย. 49 20:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 29 และเรื่องการต่อยา ร้านยาที่ได้มาตรฐานนั้น นอกจากจะขายยาแล้ว ต้องมีบริการวัดความดัน ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยครับ การที่คนมาซื้อก็ซื้อ โดยไม่ได้ถามเรื่องการพบแพทย์หรือตรวจวัดให้เลย ก็ไม่ค่อยถูกครับ และตอนนี้มีการพยายามผลักดันให้ร้านยา เป็นจุดตรวจสอบเบื้องต้น เพื่อลดภาระโรงพยาบาล... ก็ดีครับ เภสัชจะได้มีอะไรทำมากกว่าขายของ จากคุณ : Epinephrine - [ 14 พ.ย. 49 20:34:26 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เพิ่มเติมจากท่านอื่นๆนิดหน่อยนะคะ ^^ สรุปคร่าวๆก็คีอ ยาชนิดนึงจะประกอบไปด้วย 1. ชื่อสามัญ หรือ generic name ซึ่งก็คือชื่อยาจริงๆ ค่ะ เป็นที่ทราบกันสากลทั่วโลกในการเรียกชื่อยานั้นๆค่ะ 2. ชื่อการค้า หรือ trade name จะเป็นชื่อเหมือนชื่อยี่ห้อนะค่ะ แตกต่างกันไปตามที่บริษัทผลิต 3. ชื่อเคมีของยา หรือ Chemical name อันนี้ เป็นการเรียกชื่อยาตามโครงสร้างองค์ประกอบทางเคมีของยาน่ะค่ะ ลองดูข้างขวด หรือฉลากยานะคะ บางทีเค้าจะระบุเป็นชื่อ ทางเคมีของยาน่ะค่ะ ถามว่า ทำไมยาเหมือนกันถึงมีราคาที่แตกต่างกัน ก็คล้ายๆ กับ รองเท้ากีฬาน่ะค่ะ  ใช้เล่นกีฬาเหมือนกัน แต่ก็มีหลายยี่ห้อ Nike , Reebox , Adidas , Pan ซึ่ง  ราคาก็แตกต่างกันไป ตามแต่บริษัทผู้ผลิต  แต่ละยี่ห้อ คุณภาพก็แตกต่างกันไปด้วยค่ะ จากคุณ : วัฌชา - [ 14 พ.ย. 49 21:37:40 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สมัยเรียน ถ้าเขียนใบสั่งยาด้วย commercial name จะโดนกินหัวหายวับไปเลยครับ แต่พอจบมาแล้วทำไมมันค่อยๆ ซึมหายไปได้ไงไม่รู้ ประโยชน์ข้อนึงของการสั่งยาด้วยชื่อสามัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาลรัฐ ก็คือผู้ป่วยจะมีสิทธิได้รับยา local ซึ่งราคาถูกกว่าตัวจริง ซึ่งก็ดีในแง่ของราคา แต่เรื่องประสิทธิภาพแล้ว ในทางปฏิบัติผมว่าต่างกันเยอะเหมือนกันนะครับ อย่าง amoxycillin/clavulanate ของบริษัทยาไทยแห่งหนึ่ง กินเข้าไป คนไข้ท้องร่วงแหลกลาญ แถมปวดท้องอีกตะหาก แต่พอเปลี่ยนเป็น original แล้วหายเลย จากคุณ : ruiN - [ 14 พ.ย. 49 22:30:07 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มาเล่าเกี่ยวกับประเด็นของร้านขายยาค่ะ หลายๆคนสงสัย ว่าเภสัชกรมีไว้ทำอะไร แค่หยิบยา จัดยาตามใบสั่ง ใครๆก็ทำได้ แล้วเรียนมาทำไม ตั้ง 5-6 ปี.... ใครสนใจ ติดตามอ่านได้ค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 พ.ย. 49 23:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แวะผ่านมาบอกครับว่า Paracetamol มีชื่อ generic ที่คนไม่ค่อยรู้จักกันว่า Acetaminophen แต่ในวงการแพทย์คงรู้กันอยู่แล้ว ว่าง ๆ จะมาช่วยตอบครับ จากคุณ : Insomnia - [ 15 พ.ย. 49 00:59:07 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณมากๆ ครับ  ^^ จากคุณ : toh TH - [ 15 พ.ย. 49 01:40:44 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ช่วยปรับปรุงลายมือด้วย จากคุณ : Thechila - [ 15 พ.ย. 49 06:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ที่ผมเขียนด้านบนผมทราบมาว่างานของเภสัชไม่ได้มีเพียงแค่หยิบยาอยู๋แล้วอ่ะครับ แต่อยากทราบรายละเอียดเท่านั้นเอง เพราะเรียนตั้ง 6 ปี คงไม่ทำแค่นั้นแน่นอน ตามลุยต่อครับคุณลูกเป็ดขี้เกียจ จากคุณ : @Server ! maN@ - [ 15 พ.ย. 49 10:50:01 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เยี่ยมครับ สิทธิ์ของคนไข้ คลินิก ร้านยา อื่นๆๆ ไม่บอกแจ้งสิทธิ์ตัวเองให้ทราบ หรือไม่ก็โวยวาย เลยครับไม่ต้องกลัว โดยเฉพาะคลินิกไม่เคยบอกเลยว่ายาอะไร จากคุณ : smecta - [ 15 พ.ย. 49 11:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เห็นคห ข้างบนเรื่องไทลินอลดีกว่าพารายี่ห้ออื่น เคยได้ยินพี่ที่ทำงานบอกเหมือนกันว่ากินยี่ห้ออื่นแล้วไม่ค่อยหาย ต้องกิน2-3เม็ด แต่กินไทลินอลเม็ดเดียวหายเลย ขนาดร้านยาที่ใกล้ออฟฟิศยังแนะนำไทลินอล ว่าดีกว่าเลย เลยสงสัยว่า มันมีอะไรพิเศษกว่าจริงๆ หรือแค่อุปทานของคนไข้คะ จากคุณ : แมวน้อยสีน้ำตาล - [ 15 พ.ย. 49 11:41:53 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณ จขกท. ค่ะ มีประโยชน์มากเลย จากคุณ : น้องเดย์ - [ 15 พ.ย. 49 12:15:19 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มีประโยชน์มากๆ ช่วยโหวตคับ ประเด็นเรื่องยาพารา ซาร่า ไทลินอล ผมก็เจอบ่อยครับ จากคุณ : tpipe - [ 15 พ.ย. 49 12:55:38 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ดีจังค่ะที่มาเขียนบทความมีประโยชน์แบบนี้ เขียนให้คนที่ไม่ได้เรียนมาอ่านได้เข้าใจ จากคุณ : sommie - [ 15 พ.ย. 49 13:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อ่ะนะ ประหลาดใจมากๆเมื่อเจอประเด็นพารา กับไทลินอล มันคือยาตัวเดียวกันนะคะ  ต่างกันเล็กน้อยตรงที่มาที่ไปค่ะ ไทลินอลเป็นของต้นแบบของนอก อาจจะดีกว่าตรงที่ การดูดซึมยาดี  ขมน้อยกว่า ลดไข้เร็วกว่า(มั้งไม่ค่อยแน่ใจ) ในความเห็นนะ กินอันไหนก็เหมือนกันไม่ได้ต่างกันในความสามรถลดไข้ได้ ผู้ใหญ่ส่วนมาก สองเม็ดเมื่อมีอาการค่ะทั้งพาราและไทลินอลจ้า เปรียบเทียบเหมือนชาเขียว โออิชิ กับ เซนชะนั่นแหล่ะกินแล้วไกล้เคียงกัน ขวดเท่ากันแน่นอน จากคุณ : นู๋ตาโต๊โต - [ 15 พ.ย. 49 14:13:07 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มาช่วยอธิบายว่าทำไมยาบางยี่ห้อถึงแพงกว่าทั้งที่เป็นยาตัวเดียวกันนะคะ ก่อนอื่นต้องย้อนเล่าไปถึงขั้นตอนในการพัฒนายาว่ากว่าที่จะมียาออกมาขาย 1 ตัวต้องทำอะไรบ้าง อธิบายคร่าวๆนะคะเพราะขั้นตอนละเอียดก็จำไม่ค่อยได้ เริ่มจากขั้นตอน Pre-clinical ทดลองในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองก่อน ดูประสิทธิภาพ การออกฤทธิ์ การกระจายตัวของยาในร่างกาย หาขนาดยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัย เสร็จแล้วก็ย้ายมาทดลองในคนปกติว่ายาไม่มีอันตราย แล้วก็ทดลองในผู้ป่วยจริงว่ารักษาได้ผล เสร็จแล้วก็ต้องติดตามการใช้ยาอีกว่าเมื่อใช้ไปนานๆแล้วเป็นยังไง เพราะยาบางตัวอาจต้องมีการใช้เป็นเวลานานถึงจะมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ข้อมูลทั้งหมดต้องเก็บจากผู้ป่วยอย่างน้อยก็เป็นพันๆคน หลังจากที่ผ่านขั้นตอนทั้งหมด จากสารเกือบหมื่นตัว ออกมาเป็นยาที่เราใช้กันไม่ถึง 10 ตัวเลยค่ะ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนายาก็เลยสูงมากซึ่งก็ต้องเอามาคิดเป็นต้นทุนในการผลิตยา ส่วนใหญ่เลยเป็นบริษัทยาต่างชาติที่มีเงินไปทำวิจัยพวกนี้ได้ ราคายาจากบริษัทพวหนี้ก็เลยแพงกว่า แต่ว่าบริษัทที่วิจัยยาพวกนี้ก็จะจดสิทธิบัตรยาของตัวเอง ทำให้ในช่วงแรกๆบริษัทอื่นจะไม่สามารถผลิตยาตัวนี้ได้ ต้องรอสิทธิบัตรหมดอายุก่อนบริษัทอื่นก็จะสามารถผลิตยาได้ ซึ่งยาจากบริษัทเหล่านี้ก็จะมีราคาถูกกว่าเพราะไม่มีต้นทุนในการวิจัยพัฒนายา ถามว่ายาตัวเดียวกันแต่ราคาไม่เท่ากันจะมีคุณภาพเท่ากันมั้ย ตอบได้เลยว่าไม่เท่ากันเป๊ะๆแต่ก็ใกล้เคียงกันค่ะ เพราะการออกฤทธิ์ของยาจะขึ้นกับสารอื่นในตำรับยาด้วย เช่นยาเม็ด ก็จะต้องมีสารที่ช่วยในการแตกตัวของเม็ดยา ที่แต่ละบริษัทอาจจะใช้ไม่เหมือนกัน แต่ตัวยาสำคัญทีมีผลในการรักษาเป็นตัวเดียวกันค่ะ อีกประเด็นก็คือสารเคมีที่ใช้ผลิตยามีหลายเกรดหลายราคา (คล้ายๆเครื่องสำอาง) ค่าโฆษณา ค่าขนส่ง หวังว่าคงช่วยตอบคำถามได้ จากคุณ : sommie - [ 15 พ.ย. 49 14:36:24 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ดีเลยครับคุณลูกเป็ด เป็นประโยชน์มากเลยครับ รออ่านเรื่องต่อไปอีกนะครับ เภสัชกรสู้ๆๆ !!!! ปล. เรื่องไทลินอลนี่เป็นกรณีที่แปลกดีเหมือนกันจริงๆนะครับ ผมว่้าเค้าอาจจะมีการปรับปรุงที่สูตรยา(หมายถึงสารที่ไม่ใช่ตัวยาสำคัญหรือวิธีเคลือบยาอ้ะ) ให้มีการปลดปล่อยยาเข้าสู่ร่างกายได้อย่างเหมาะสมกว่าก็เป็นได้มั้งครับ จากคุณ : Rx36 (-=| thopical |=-) - [ 15 พ.ย. 49 16:24:26 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เคยลองเทสในแล็บดู เมื่อสมัยเรียน ค่าการแตกตัวของไทลีนอล ไม่ได้สูงกว่ายี่ห้ออื่นมากนัก ที่จริงสู้ยาโลคอลอีกหลายยี่ห้อไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ค่าการละลายของไทลีนอล จะสูงกว่ายี่ห้ออื่นพอสังเกตได้ครับ ยังไม่เคยลองติดตามระดับยาในเลือด แต่เดาเอาว่า น่าจะให้ระดับยาที่สูง และสม่ำเสมอกว่า (ใครสะดวกทำวิจัยจะลองทำดูก็ได้นะครับ ว่าเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า) จำได้ว่าตอนที่ทำหนนั้น มียี่ห้อนึงเพิ่งละลายไปนิดเดียวเอง ในขณะที่ตัวเปรียบเทียบอีก 4-5 ยี่ห้อเค้าละลายกันไปหมดแล้ว จนวัดค่าเสร็จ ล้างอุปกรณ์ ยี่ห้อนั้นยังละลายไม่หมดเลย เป็นยาพาราที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยซะด้วย บอกแค่นี้เภสัชฯ ทุกคนก็รู้แหละ เป็นเรื่องที่ผมยังจำได้ติดตา แต่ป่านนี้คงปรับปรุงแล้ว ตอนที่ผมทำนั่นมันสมัยกาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว จากคุณ : อะธีลาส - [ 15 พ.ย. 49 18:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ต้องลองดูว่าถ้าเอายี่ห้ออื่นที่รูปร่างเหมือนไทลินอลให้กินแล้วจะหายเหมือนกันไหม จากคุณ : หมอแมว - [ 15 พ.ย. 49 19:11:54 ]

ความคิดเห็นที่ 47 5555 ผมว่าหายครับหมอแมว มีร้านยาเชนร้านหนึ่ง ทำแผงและเม็ดเหมือนไทลีนอลเหมือนกันซะน่าตกใจ ถ้าผมทำอยู่แจนเซน ผมคงฟ้องไปแล้วหละ จากคุณ : Epinephrine - [ 15 พ.ย. 49 20:15:37 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้าไปพบแพทย์ตามคลีนิค อย่าหวังว่าจะได้ชื่อยา อย่างดีก็แค่เขียนว่า "ยาลดกรด" "ยาช่วยย่อย" "ยาความดัน" "ยาแก้อักเสบ" "ยาแก้ไอ" "ยาบำรุง" "ยาแก้ปวด" เคยเห็นจะ ๆ กับตา ที่คลีนิคแห่งนึง พนักงานเป็นเด็ก ม. ราม ที่ยังเรียนอยู่ มีหน้าที่จัดคิว วัดความดัน ซักประวัติ จัดยา เภสัชเป็นพยาบาล ที่เป็นภรรยาหมอ ยาของคนไข้รายนึง พนักงานเขียนบนซองยาว่า "ยานอนหลับ" โดนภรรเมียหมอ ด่าซะ...ติดตรงที่เรายืนเสนอหน้าอยู่ตรง counter พอดีไม่งั้นคงโดนมากกว่านี้ สั่งให้เปลี่ยนซองใส่ใหม่ แล้วให้เขียนใหม่ว่า "ยาคลายเครียด" ทั้ง ๆ ที่ไอ้ยาที่จ่ายให้น่ะมันยานอนหลับจริง ๆ แพทย์คนนี้ตอนเปิดคลีนิคใหม่ ๆ ไม่เขียนอะไรเลยด้วย นอกจากวิธีทาน เรายืนยาคืนหมดแล้วบอกว่า ช่วยเขียนชื่อยาให้ด้วย โดนภรรเมียหมอตบด้วยสายตา ชักสีหน้าไม่พอใจ เขียนให้อย่างเสียไม่ได้ พอเห็นว่าเขียนอะไร ลมจะใส่ แล้วจะรู้ได้ไงว่าหมอให้ยาอะไรมามั่ง เป็นยาที่ต้องระวังอะไร กินแล้วจะมีอาการข้างเีคียงยังไง คนจัดยาให้จัดยาให้ผิดเหรอเปล่า คนไม่เคยแพ้ยาเขาไม่สนใจกันหรอก แต่คนเคยแพ้ยาจะระวังกันทั้งนั้นว่าได้ยาอะไรมา จากคุณ : DeE dEe - [ 15 พ.ย. 49 22:21:00 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอแสดงความนับถือและชื่นชมครับ เป็นกระทู้ที่มีประโยชน์จริงครับ โหวต จากคุณ : sk-sint - [ 16 พ.ย. 49 00:28:03 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เข้ามากดโหวตค่ะ ยามีคุณอนันต์ แต่โทษมหันต์เช่นกัน จากคุณ : เจลาติน - [ 16 พ.ย. 49 11:46:15 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เวลาเอาใบสั่งยาไปหาเภสัช เภสัชเขาจะเอายาชนิดเดียวกันแต่หลายยี่ห้อมาให้เลือก เราก็จะหน้าแดงนิดหน่อยก่อนบอกว่า 'the cheap one please' เภสัชก็จะยิ้มแล้วปลอบใจว่า ตัวยาเหมือนกันหล่ะ แค่ต่างบริษัทกัน จากคุณ : ผ า ย ล มใต้เงาจันทร์ - [ 17 พ.ย. 49 08:15:40 ]

ความคิดเห็นที่ 52 น่าอ่านครับ จากคุณ : Dr.Eagle - [ 17 พ.ย. 49 13:18:42 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณทุกๆคนมากค่ะ ที่ช่วยกันให้ความเห็น และตอบประเด็นต่างๆ จริงๆ อยากให้ชุมชมวิชาชีพเภสัชมีบทบาทมากขึ้นค่ะ และเข้มแข็งมากพอ ที่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนมากกว่านี้ ทั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของผู้ป่วย และพวกเราเองด้วย จะได้ใช้วิชาชีพอย่างเต็มหน้าที่ และทำงานได้สะดวกขึ้น จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 17 พ.ย. 49 14:11:11 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอตอบคุณ DeE dEe ค่ะ คือพอดีว่าตัวเองเป็นเภสัชกรที่ทำงานที่ รพ.ชุมชน( คือ รพ.ประจำอำเภอ นั้นหล่ะค่ะ)บทบาทอีกอย่างหนึ่งที่บางท่านอาจจะไม่ทราบนะคะ นอกจากจ่ายยาใน รพ.แล้ว เปิดร้านขายยาแล้ว พวกเราอีกส่วนหนึ่งยังต้องทำงานคุ้มครองผู้บริโภคด้วยนะคะ ซึ่งงานทางแขนงนี้ก้อมีไรที่ต้องทำเยอะมากๆเลยค่ะ เช่นการตรวจร้านขายของชำ การตรวจร้านเสริมสวย การตรวจสถานที่ผลิตน้ำดื่มน้ำแข็ง เป็นต้น ยังมีอีกนะคะ แต่เอาแค่นี้ก่อน( ขี้เกียจพิมพ์ อิอิอิ)และรวมทั้งตรวจสถานพยาบาลทั้งคลินิกของแพทย์ ร้านขายยา และ รพ.เอกชนอีก เฮ้อ ทำไมงานเยอะอย่างนี้น้า ที่เกริ่นมาซะเยอะกำลังจะบอกว่า คลินิกที่คุณไปรับบริการนั้นหน่ะค่ะ เขาได้มีคำประกาศสิทธิของผู้ป่วย 10 ข้อติดไว้ในที่เห็นชัดเจนหรือเปล่าคะ เพราะตามกฎหมายแล้วเขาต้องมีค่ะ แล้วคุณก้อไปอ่านข้อ 3 เลยนะคะ เพราะจะบอกไว้เลยว่า "ผุ้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอและเข้าใจชัดเจนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วนหรือจำเป็น" นั้นหมายถึงว่าคุณมีสิทธิเต็มที่ค่ะที่จะต้องรู้ชื่อยาที่คุณได้รับ ถ้าคุณไม่พอใจก้อมีสิทธิปฏิเสธได้ค่ะ ไม่ต้องให้เค้าทำหน้าบึ้งใส่นะคะ จากคุณ : NuNuDa (NuNuDa) - [ 17 พ.ย. 49 15:34:10 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ปัญหาชื่อสามัญกับชื่อการค้าในโรงพยาบาลก็มีเยอะเหมือนกันค่ะ ขอยกตัวอย่างเล็กๆ น้อย ๆ -  ยกตัวอย่าง ยา Clarityne ( ชื่อการค้าต่างประเทศ ) ซึ่งเป็นตัวยา loratadine ( ชื่อสามัญทางยา ) ส่วนใหญ่โรงพยาบาลในต่างจังหวัดซึ่งมีงบประมาณน้อย ๆ มักจะซื้อยาตัวที่ผลิตในประเทศอาจจะเป็นชื่อที่ไม่รู้จักมักคุ้น โนเนม เช่น Clalodine , Clarid , Caradine ฯลฯ ซึ่งยาบางตัวอาจมีชื่อการค้าเป็นหลายสิบชื่อ   วันดีคืนดีผู้ป่วยมีอาการอีกไปขอยาแพทย์ โดยเอาตัวอย่างยาไปขอ แพทย์สั่งยามาเป็นชื่อการค้า แปลก ๆ ทำเอาห้องยางงเนื่องจากยาตัวนี้เปลี่ยนบริษัทไปเป็นชื่อการค้าอื่น ๆ นานแล้ว ซึ่งโดยปกติหากแพทย์สั่งเป็นชื่อสามัญทางยา ก็จะไม่เกิดปัญหาต้องมานั่งงงกับใบสั่งยาชื่อแปลก ๆ หากเจอแพทย์ลายมือแย่ ๆ ก็ต้องมานั่งแกะลายมือแพทย์อีก แถมยังไม่ลงวินิจฉัยโรคให้ ก็เลยไม่กล้าเดา บางทีเจอเจ้าหน้าที่เก่าแก่อยู่ห้องยานานก็จะจำชื่อการค้าแปลก ๆ เหล่านั้นได้  แต่สุดท้ายถ้าหากไม่รู้ ทำให้ผู้ป่วยต้องเสียเวลากลับไปสอบถามชื่อยาเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเอง - แพทย์บางท่านเรียนจบมานานมากๆๆๆ คุ้นเคยกับชื่อการค้าเก่าแก่ที่ผลิตในประเทศ ซึ่งอาจจะไม่มีการผลิตแล้ว ( เปิดใน Mims เล่มใหม่ๆ  ก็จะไม่เจอ ) การสั่งยาก็จะระบุชื่อการค้าเดิมที่คุ้นเคย  ทำเอาเด็กจบใหม่งงกับชื่อแปลกๆ ที่เขียนมาลายมือหวัด ๆ บางทีชื่ออาจไปพ้องกับยาตัวอื่น ๆ ซึ่งมีในห้องยา ทำให้เผลอจ่ายผิดไป ใครเป็นคนผิด  ? ไม่สำคัญหรอกค่ะว่าใครถูกผิด แต่สงสารผู้ป่วยอุตส่าห์มารักษาที่โรงพยาบาลหวังรับการรักษาที่ดีที่สุด แต่ต้องมาเจอยาผิดโรค ไม่หายป่วยแถมบางคนซวยซ้ำซ้อน อาการหนักกว่าเดิม   - ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้จะหมดไปนะคะ หากแพทย์ร่วมมือร่วมใจมาใช้ชื่อสามัญทางยากันทุกๆ ท่านค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 49 15:37:22 จากคุณ : ออร์ก้า - [ 18 พ.ย. 49 15:33:03 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขออธิบายอีกมุมนึงแล้วกัน ยาที่แม้จะมีซื่อสามัญตัวเดียวกัน แต่คนละยี่ห้อย่อมมีวิธีการผลิต การผสม การตอก ไม่เหมือนกัน การดูดซึม การกระจายตัวย่อมแตกต่างกัน ผลการรักษาย่อมไม่เท่าเทียมกันครับ และบางทีวันหมดอายุก็ไม่เท่ากันด้วยแม้จะผลิตวันเดียวกัน วิธีการเลือกขนาดอนุภาคของผงยา วิธีการผสมจึงเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละยี่ห้อ ที่ทำให้ยามีการออกฤทธิ์มากหรือน้อย นานหรือช้าต่างกัน จากคุณ : เหตุสุดวิสัย - [ 18 พ.ย. 49 19:12:30 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ^ ^ คุณ NuNuDa (NuNuDa) คำประกาศสิทธิผู้ป่วย เหมือนจะมีติดอยู่นะคะ แต่เืรื่องการปฏิเสธไม่สามารถปฏิเสธได้เลยค่ะ เพราะผู้ป่วยเป็นบิดาบังเกิดกล้าที่ไม่ทราบว่าไปติดใจอะไรกับคุณหมอท่านนี้เข้า ยาที่จ่ายให้เห็นชื่อผู้ผลิตแล้วแทบจะร้องหวายยยย ีคุณหมอคนไข้เยอะมากค่ะ ห้องตรวจ 6 ห้อง แต่มีแพทย์คนเดียวทุกคนจะได้รับการตรวจโดยเฉลี่ยไม่ถึง 1 นาที รวมเวลาเขียนสั่งยา ยาที่ได้รับแทบจะเรียกว่าครอบจักรวาลเลยค่ะ 5-6 อย่าง (อาการเดียวกันไป รพ. ได้ยาน้อยกว่าครึ่งนึง) ที่สำคัญเวลาบอกว่าได้ให้ผู้ป่วยทานยาอะไรมาแล้วบ้าง(ส่วนใหญ่จะเป็นยาเจ้าของลิขสิทธิ์ทั้งนั้นค่ะ) ก่อนที่จะมาพบแพทย์ ไม่เคยสนใจฟังค่ะ แล้วก็จัดยาให้เหมือนกับที่ได้ให้ทานไปแล้ว แต่เ็ป็นยาราคาถูกกว่า ซึ่งทานแล้วไม่หายยยยยยยย หรือจะหายช้ากว่ามากๆ ที่สำคัญได้ยาเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่ค่ายาไม่เคยเท่ากันซักครั้ง (งงจริง ๆ ค่ะ เพราะเคยดูใบประวัติ ได้ยาเดิม ๆ ใน โดสเท่าเดิม แต่ค่ายามันไม่เคยเท่ากันซักครั้ง 350 650 450 550 ทำนองนี้) ทุกครั้งที่ต้องพาไป เราจะกลายเป็นลูกเนรคุณทุกครั้ง เพราะต้องทะเลาะกันทุกที เรื่องให้ไป รพ. หรือคลีนิกอีกแห่งที่คุณหมอจะเขียนชื่อยาทางการค้า แทนค่ะ จนพ่อเราบอกว่า "ชั้นว่าแกต้องเคยทะเลาะกับหมอคนนี้มาก่อนแน่เลย...แต่แกไม่เคยบอกชั้น" (555 จะไปทะเลาะตอนไหน ในเมื่อไม่เคยไปหาหมอคนนี้เลยถ้าตัวเองป่วย ก็จะเข้า รพ. ตลอด) จากคุณ : DeE dEe - [ 18 พ.ย. 49 20:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เคยเห็นแต่คำประกาศสิทธิผู้ป่วย ไม่เห็นมีคำประกาศหน้าที่ผู้ป่วย หรือสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ "การดำเนินการทางการรักษาพยาบาล"บ้าง (เป็นแพทย์ครับ แต่ไม่ชอบคำว่า "การบริการทางการแพทย์"เลย) แล้วท่านผู้ป่วยท่านจะปฏิบัติตัวกันถูกหรือครับ จากคุณ : preeda - [ 18 พ.ย. 49 21:25:16 A:69.180.212.43 X: TicketID:089162 ]

ความคิดเห็นที่ 59 สุดยอดค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : hikawa - [ 19 พ.ย. 49 21:17:38 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เข้ามาดูครับ ผมเป็นหมออยู่รพ.ชุมชน ซองยาของรพ.จะระบุชื่อสามัญอยู่แล้วครับ.. (เพราะส่วนได้ส่วนเสียอยู่แล้วครับ..) เห็นด้วยที่ควรใช้ Generic name ครับ ตอนเรียนโรงเรียนแพทย์นี่บังคับเลยครับ ว่าต้องให้เขียน Generic name แต่พอจบออกมา คนไข้เยอะ+ขี้เกียจ จะเขียนสั่งยาบางตัวด้วย Trade name ครับ เพราะว่าสั้นกว่า..(แต่เป็นที่รู้กันกับทางห้องยา ซึ่งก็จะพิมพ์ที่ซองเป็น Generic name ครับ) เช่น Atarax มีชื่อสามัญว่า Hydroxyzine    Losec มีชื่อสามัญว่า Omeprazole.. จากคุณ : echoic - [ 20 พ.ย. 49 15:54:04 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ถ้าระบุ trade name ที่เป็น original ก็ O.K อยู่นะคะ แต่ trade name ที่เป็น local made ( ในประเทศ  ) นี่ลำบากใจจริง ๆ ค่ะ เพราะว่าบางทียาก็เปลี่ยนบริษัทไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ตัวไหนถูก ไม่ทราบว่าความแรงของยา ที่โรงเรียนแพทย์บังคับให้เขียนด้วยมั๊ยคะ เห็นแพทย์บางท่านไม่ชอบระบุมาด้วย เพราะยาหลาย ๆ ตัวมีหลายความแรงค่ะ อาจทำให้ผู้ป่วยได้ยาไม่ถูกขนาดตามที่แพทย์ต้องการก็ได้นะคะ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 49 21:12:03 จากคุณ : ออร์ก้า - [ 20 พ.ย. 49 21:08:58 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ได้ความรู้ดีครับ ขอบคุณครับ^^ จากคุณ : Nutonline - [ 20 พ.ย. 49 22:27:13 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คห. 61 โรงเรียนแพทย์สอนให้เขียน Generic name และความแรงของยาทุกครั้งค่ะ แพทย์เราก็เรียนมาตามมาตรฐานเหมือนคุณนั่นแหละค่ะ โดยส่วนตัวแล้วดิฉัน order สองอย่างครบเกือบทุกครั้ง แต่ปริมาณคนไข้อันล้นมือ ก็ทำให้ต้องรีบเขียนนะคะ ถ้ารู้ว่าใน รพ. มียาชนิดนี้ขนาดเดียวบางครั้งก็จะไม่ใส่ขนาดยาค่ะ แต่ถ้าคุณเภสัชคิดว่า ยามีหลายขนาดไม่ทราบว่าจะจ่ายชนิดไหน ก็ถามแพทย์เถอะนะคะ เพราะดิฉันคิดว่าคุณก็คงไม่อยากจ่ายยาโดยไม่แน่ใจไม่ใช่เหรอคะ จากคุณ : ยังไงก็ doctor order (GESCHENK) - [ 21 พ.ย. 49 00:21:56 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ให้ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ โดยเฉพาะกับคำถามที่ว่าทำไมยาราคาต่างกันมาก ทั้งๆ ที่เป็นพาราเหมือนกัน ทั่วไปแล้ว บริษัทที่ผลิตยา หลักๆ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทครับ คือ 1. research-based drug company หรือบริษัทยาต้นตำรับที่มีการคิดค้นพัฒนาตัวยาขึ้นมาเอง  ความยากก็เหมือนความเห็นข้างบน คือ ไล่จากการสุ่มหาสารที่มีฤทธิ์ ซึ่งอาจหาได้จากวิธีทาง biotech หรือการสังเคราะห์พัฒนาโมเลกุลขึ้นมาด้วยวิธีทางเคมี  บริษัทพวกนี้พอได้สารก็จะทำการจดสิทธิบัตรสารนั้น และทำการพัฒนาสาร/โมเลกุลให้กลายมาเป้นตัวยา   ในการพัฒนาก็ต้องมีกระบวนการทดสอบทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพหลายขั้นตอน ทั้งในสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่และสุดท้ายก็คน  ค่าใช้จ่ายในการพัฒนายาตัวหนึ่งๆ  มหาศาลครับ (เฉพาะการทดสอบยาหนึ่งตัวประมาณการที่ 300-800 ล.บาท) แต่สุดท้ายผลสรุปที่ได้ออกมาเป็นกระบวนการผลิต ก็อาจจะเป็นอะไรง่ายที่เหมือนการผสมตัวยากับแป้งทั่วไป ประมาณนั้น 2.  บริษัทยาสามัญ generic drug company เป็นบริษัทที่ค่อยมองหาตัวยาที่ไม่มีการคุ้มครองสิทธิบัตรหรือสิทธิบัตรในตัวยานั้นหมดอายุไปแล้ว (สิทธิบัตรมีอายุ 20 ปีนั้นตั้งแต่วันยื่นขอจดทะเบียนครับ) มาทำการผลิตเป็นยาขาย แน่นอนราคาต้องถูกกว่าเพราะไม่ต้องมีการทำ R&D เอง บางประเทศอย่างไทย อย. ไม่ require ให้บริษัทที่สอง สาม สี่ ... ต้องยื่นข้อมูลการทดสอบยาด้วยซ้ำไปในการขอขึ้นทะเบียนยา (ขออนุญาตวางตลาดน่ะแหละครับ) เพราะถือว่าบริษัทแรกที่เป็นยาต้นตำรับ ได้มีการทดสอบความปลอดภัยของยาตัวนั้นแล้ว และมายื่นไว้ก่อนแล้ว จึงตอบได้ง่ายๆ ว่า ต้นทุนต่างกัน ราคาจึงต่างกันอย่างมากครับ...   แต่ว่าการใช้ตัวยาเหมือนกัน ใช่ว่าจะทำให้ยามีคุณภาพเหมือนกันเสมอไปนะครับ  ในการผลิตยาบริษัทยาสามัญส่วนใหญ่ของไทยก็มักจะนำเข้าตัวยา (active ingredient) จากตปท.  แล้วก็มาคิด formular ในการทำออกมาเป็นเม็ด (สมมุติว่าเป็นยาเม็ด) แน่นอนคุณภาพมีโอกาสต่างกันได้จาก formular ที่ต่างกัน อัตราการออกฤทธิ์ การแตกตัว ฯลฯ ที่สำคัญแม้จะบอกว่าเป็นตัวยาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นบริษัทยาต้นตำรับก็มักจะใช้ตัวยาที่ผลิตในประเทศที่พัฒนาแล้วที่มี GMP (Good manufacturing practice) ที่ดี อย่าง สวิสต์ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ เอง  แต่บริษัทในไทยส่วนใหญ่ก็นำเข้าตัวยาจากจีนหรืออินเดียซึ่งแน่นอนประสิทธิภาพอาจจะด้อยกว่า และถูกกว่าครับ ที่พูดไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องใช้ยาต้นตำรับเสมอไป ยาสามัญของหลายๆ บริษัทก็มีกรรมวิธีการผลิตที่ดี สะอาด และน่าเชื่อถือครับ...  ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเลือกได้  ก็ต้องเลือกของดีราคาถูกสิ  จิงมั้ยฮะ... ^^ -------------------------------------------- ปล.  เรื่องชื่อสามัญทางยาหรือ INNs ย่อมาจาก International Nonproprietary Names for Parmaceutical Substances เป็นชื่อที่ประกาศโดย WHO ในเวปไซต์ของ WHO จะมีข้อมูลเรื่องนี้พอสมควรครับ  ลองหาดูถ้าสนใจ จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 21 พ.ย. 49 11:39:59 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ความเห็นที่ 4 ใช้นามนี้เพราะทำEpinephrine บ่อยรึเปล่าครับ จากคุณ : อิอิ - [ 21 พ.ย. 49 15:56:04 A:210.246.64.29 X: TicketID:131513 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เนื้อหาของ คห.64 เรื่องยาใน-ยานอก(ประเทศ) อันนี้ก็เจอบ่อยมากๆ ไปซื้อยาตามชื่อของยาที่ร้านขายยา(ส่วนใหญ่จะเป็นยาฆ่าเชื้อ)จะเจอปัญหานี้ เภสัชกรจะถามว่ามีตัวยาผลิตในประเทศกับต่างประเทศ จะเลือกแบบไหน ตัวยาเหมือนกันทุกอย่าง อยากจะรู้ว่าควรจะเลือกแบบไหน ราคาก็ต่างกันมาก การดูดซึม การแตกตัว ของยาจะต่างไปด้วยไหม ยาฆ่าเชื้อตัวยานอกจะราคาสูงมากด้วย เช่นระหว่างขององค์การเภสัชฯ กับของบริษัทสยามฯ ก็มีความต่างแตกด้านราคาเหมือนกันมาก เป็นต้น จากคุณ : buafah555 - [ 26 พ.ย. 49 21:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อกี้ได้อ่านผ่านๆ ว่าร้านยาที่ได้มาตรฐานนั้น นอกจากจะขายยาแล้ว ต้องมีบริการวัดความดัน ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วย อันนี้ขอแก้นะคะ ร้านยาไม่สามารถตรวจวัดน้ำตาล และไขมันให้คนไข้ได้ รายละเอียดมันตีความน่าสับสนมากคะ คือถ้าคนไข้วานให้เราเจาะ เราเจาะให้ได้ไม่ผิด แต่ถ้าเรารับบริการเจาะเลือดวัดน้ำตาลไขมัน เราผิด ตามลิงค์จะมีการพูดถึงอยู่ และมีข้อปฏิบัติและกฏอยู่ด้วย http://www.pharmacafe.com/board/index.php/topic,16725.0.html ตาม#56 เป็นตามนั้น แต่คุณภาพยาที่ได้ออกตามท้องตลาด ถึงมันจะมีปัจจัยอะไรทำให้ ไอ้ประสิทธิผลไม่เท่ากัน แต่ก็สามารถให้ประสิทธิภาพถึงระดับในการรักษาค่ะ จริงๆเวลาเภสัชกับแพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกัน จะรู้แนวกันนะ จริงๆถ้าจะพุดถึงชื่อยาในใบสั่งยาที่ใช้สื่อสารระหว่างแพทย์กับเภสัช ในโรงพยาบาล คงไม่ใช่ปัญหาอะไรมาก เพราะโรงพยาบาลมียาแบบไหนยังไง ขนาดอะไร อันนี้จะเป็นที่รู้กัน แต่ถ้าบางทีคุณหมอลืมใส่ขนาด เภสัชก็มีหน้าที่ถามกลับไป ตามที่คุณหมอ #63 กล่าว แต่ปัญหาเรื่องชื่อการค้ากับชื่อสามัญทางยา น่าจะเป้นที่ซองยาที่คนไข้จะได้รับมากกว่า ซึ่งปกติ โรงพยาบาลจะมีทั้งชื่อการค้า และชื่อสามัญทางยา(ตัวยาสำคัญ)และขนาดของยาบนซอง อยู่แล้ว จากคุณ : ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน - [ วันสาธารณสุขแห่งชาติ 08:52:45 ]