ความคิดเห็นที่ 1 จริงๆ เคยคิดจะเขียนกระทู้นี้นานแล้ว เพราะมีคนสงสัยมากๆ เกี่ยวกับวิชาชีพเภสัชกร ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขของประเทศไทยก่อนค่ะ ว่าระบบที่บ้านเรา ยังมีปัญหาค่อนข้างมาก อีกปัญหาที่เกี่ยวข้องกันอย่างมาก ก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับระบบการศึกษาด้วยค่ะ หลายๆคน รู้จักสูตรตรีโกณ จากการเรียนมัธยมปลาย เด็กๆชั้นมัธยมบางคนของประเทศเรารู้จักสูตรคำนวณชนิดที่ว่าปราบเซียน เด็กจบมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศบางคนยังท่องไม่ได้... แต่เราท่องได้ ทำโจทย์ยากๆได้ด้วย แต่เรากลับไม่รู้เรื่องสำคัญหลายๆเรื่อง อย่างเช่น ร่างกายของเรา หรือเรื่องสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพง่ายๆบางอย่าง ที่ควรจะรู้ อาทิ โรคงูสวัด  กับอีสุกอีใส จริงๆแล้วมันคือเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน โรคเริมก็เป็นเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกัน ยาที่ใช้รักษาจึงเป็นยากลุ่มเดียวกันทั้งหมด (acyclovia ) (ขอบคุณ คห.49 กับ คห.50 ค่ะ ที่ช่วยแก้ไขให้) แน่นอน ก่อนที่จะเรียนจบเภสัชกรเราเองก็ไม่ทราบค่ะ เพราะไม่เคยเป็นเริม แล้วก็ไม่มีสอนในหลักสูตรสมัยก่อนอีก แถมปัจจุบันก็ไม่มีสอน แม้กระทั่งเรื่องการคุมกำเนิด... หลายๆคนใช้ยาคุมกำเนิดไม่เป็น และสังเกตุง่ายๆเลยว่า มีคนมาถามเกี่ยวกับเรื่องยาคุมกำเนิดในห้องสวนลุมนี้เยอะมากๆ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั้งนั้น บางคนไ่ม่มีที่พึ่ง ไม่รู้จะถามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพนี่ได้ที่ไหน จะไปโรงพยาบาลหรือคลินิค เข้าไปถามเฉยๆ ก็ไม่ไหว... ยังมีอีกที่หนึ่งค่ะ ที่สามารถเข้าไปถามได้ นั่นคือร้านยา... มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ บ่นมายาวแล้ว สาเหตุพวกนี้ เลยทำให้เราตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ขึ้น... ตอนแรกก็กลัวๆเหมือนกัน ว่า วิชาการชั้นอ่อนมากเลยนะเนี่ย สะกดผิดสะกดถูก จะมีใครมาด่าไหมหนอ... แต่เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆ ลองเขียนดูละกันน่าจะมีประโยชน์ อย่าเพิ่งง่วงค่ะ .... ไม่ได้นอกประเด็นร้านยานะคะ เรื่องพวกนี้เกี่ยวพันกันจริงๆ กับคำว่า วิชาชีพเภสัชกร... สิ่งที่เรากำลังจะอธิบาย แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 14:07:50 จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 พ.ย. 49 23:32:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราจะยกตัวอย่างเคสที่เจอบ่อยเรื่อยๆในร้านยา และเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ เรื่องยาล้างไต http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/10/L4758772/L4758772.html การใช้ยาหยุดถ่าย (โลโมติล) http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/10/L4764707/L4764707.html หลายๆคนคิดว่า เวลาไปซื้อยาในร้านยา (ยอมรับสมัยก่อนเราก็คิดเหมือนกันค่ะ) เราจะมีหน้าที่ระบุชื่อยาที่ต้องการ แล้วคนขายก็จะหยิบมาขายให้.... จริงๆแล้ว นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ การใช้ยา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างที่คิด ยาทุกตัวมีขนาด วิธีการใช้ ที่แตกต่างกัน และยาทุกๆตัว มีผลข้างเีคียง... บางครั้งบางคราว บางคนอาจมีอาการแพ้ยาเกิดขึ้น ซึ่งหลายๆคนแยกไม่ออก ระหว่างอาการแพ้ยากับผลข้างเคียง ยาบางชนิด โรคบางชนิด ควรอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ เพราะว่าเป็นโรคเรื้อรัง เมื่อคนไข้ได้รับยามาซ้ำๆเหมือนเดิมตลอด จึงมักจะคิดว่า... แบบนี้ไปซื้อมารับประทานเองไม่ง่ายกว่าเหรอ.... ไม่ต้องเสียเวลารอตรวจในโรงพยาบาล.... และเมื่อไปซื้อยาเอง บางครั้ง ก็ไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย... เราขอเริ่มประเด็นเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรังในร้านยาก่อนค่ะ ประเด็นนี้เป็นข้อแตกต่างของร้านยาคุณภาพ (ร้านยาคุณภาพมันบ่งบอกถึงตัวมันเองได้ด้วยการบริการค่ะ บางครั้งไม่จำเป็นต้องมีป้ายมาการันตี แต่เมื่อคุณเดินเข้าไป คุณจะพบถึงความแตกต่าง ระหว่างการ"ไปซื้อยา" กับการไป "รับการบริการในร้านยา") แน่นอนว่า เภสัชกรมีบทบาทสำคัญมากๆตรงจุดนี้ เราขอยกตัวอย่างเป็นเคสๆไปค่ะ ง่ายดีค่ะ จะได้ไม่ต้องอธิบายศัพวิชาการมาก -คุณลุงวัย 70 ปี มีประวัติเป็นโรคความดันโลหิตสูง และเบาหวานมาสองปี เข้าไปซื้อยาที่เคยใช้ประจำ สิ่งแรกที่เภสัชกรจะซักประวัติ ก็คือ ได้รับการตรวจรักษาอยู่ประจำหรือเปล่า เพราะการติดตามผลสำคัญมากๆ บางครั้งถ้าคนไข้ไม่ได้ไปพบแพทย์นานแล้ว ทางร้านก็จะวัดความดันหรือมีบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วย ถ้าหากอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เหมาะสม ก็จะได้ส่งต่อไปในโรงพยาบาลทันที... และคนไข้ทราบวิธีปฎิบัติตัวที่สำคัญหรือยัง อย่างคนเป็นความดันโลหิตสูง+เบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไหนบ้าง และปฎิบัติตัวอย่างไร การออกกำลังกายที่ถูกต้องในคนเป็นโรคเบาหวานก็ยังแตกต่างจากคนธรรมดา แน่นอนว่า หากเข้าไปซื้อยาแบบ ซื้อมา-ขายไป ย่อมไม่มีบริการตรงจุดนี้ และนี่ก็คือหน้าที่หนึ่งของเภสัชกร จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 พ.ย. 49 23:49:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณครับ จากคุณ : atheist - [ 15 พ.ย. 49 00:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มีรุ่นพี่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ลูกค้ามาต่อว่า เรื่องขายยาแพงกว่าอีกร้าน 10 บาท แต่ร้านของรุ่นพี่ มีบริการทำแฟ้มประวัติผู้ป่วย โทรศัพท์ติดตามผล ในกรณีที่เป็นโรคเรื้อรัง หรือคนไข้มักจะลืมทานยา อย่างเช่นโรคเชื้อรา ซึ่งต้องทานยาให้ครบคอร์ส ป้องกันปัญหาการดื้อยา รุ่นพี่ก็จะโทรศัพท์ไปหาถึงบ้าน ว่าทานยาครบหรือยัง... จึงย้อนถามกลับไปว่า ร้านรุ่นพี่แพงกว่า 10 บาท แล้วอีกร้านหนึ่ง บริการคุณป้าเหมือนกับร้านของเขาไหม แน่นอนว่า... ทุกอย่างจบลงด้วยดี ยาบางตัวที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องรับประทาน ก็จะบอกไปเลย ว่าไม่ต้องใช้ก็ได้ อย่างลูกค้าที่มีอาการไอ แต่มาซื้อยาซูลิดีน (เป็นยาลดน้ำมูก) หรือได้รับยาซ้ำซ้อน เช่นเอาตัวอย่างยาลดน้ำมูกมาสองตัว ซึ่งยาทั้งสองตัว ไม่จำเป็นต้องรับประทานคู่กัน เพราะมีผลการรักษาเหมือนๆกัน ให้เลือกเพียง 1 ตัวก็พอ เภสัชกรก็จะตัดยาออกให้เหลือเพียงตัวเดียว แม้สิ่งเหล่านี้ ทำให้รายได้ของร้านลดลง.... แต่ว่าเป็นผลดีกับคนไข้ ทว่า เรื่องที่เล่ามา... บางทีกลับเป็นเรื่องที่ขัดใจเจ้าของร้าน เพราะว่า ทางร้านไม่ได้มีรายได้เพิ่มขึ้น กับการให้คำปรึกษาของเภสัชกร หลายๆร้านคิดว่า การมีเภสัชกร คือการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของร้านโดยไม่จำเป็น... และแน่นอนว่า ตามชนบท ที่มีระบบการศึกษาไม่ดีนัก แทบจะไม่มีคนรู้จักวิชาชีพนี้เลย และการทำงานของเภสัชกรก็แทบจะไม่เป็นผล ไม่ใช่ว่าเภสัชกรใช้ศัพท์วิชาการที่อธิบายยากเกินไป แต่ปัญหาคือ ผู้ป่วยไม่เปิดใจรับฟัง มีเรื่องที่ฟังเหมือนตลก แต่เป็นความจริงก็คือ หลายๆคน เชื่อคนข้างบ้านมากกว่าแพทย์/เภสัช และเนื่องจากการแข่งขันในระบบร้านยาค่อนข้างสูง จึงเกิดปัญหาการขายตัดราคายาเกิดขึ้น ร้านยาตามชนบทจึงเกิดปัญหา รายได้ก็น้อย.... กำไรน้อย แล้วจะจ้างเภสัชมาทำไม เพิ่มต้นทุนให้สูงขึ้น.... คนก็ไม่เห็นค่าของเภสัชกร ขายยาแบบจ่ายยาเยอะๆ ขายตามใจชาวบ้าน ขายแบบซื้อมาขายไปง่ายกว่าเยอะเลย รายได้ดีกว่า ไม่ต้องมาเสียเวลาอธิบายโน่น อธิบายนี่อีก... เผลอๆ ไม่ได้ขายยาสักบาท เพราะคนไข้ไม่จำเป็นต้องใช้ยา... จึงเป็นสาเหตุของความล้มเหลวในระบบสาธารณสุข และปัญหาสุขภาพของบ้านเรา บางคนใช้ยาจนเกิดโรค ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ยาล้างไต บางคนใช้ยาโดยไม่จำเป็น ไปหาซื้อยาปฎิชีวะนะ (ยาแก้อักเสบยอดฮิต) ทานเอง แล้วทานไม่ครบ เกิดปัญหาดื้อยา ทานยาโดยไม่ถูกกับโรค ทานวิตามินจนเกิดโรค (อันนี้เรื่องจริงค่ะ) แล้วจะเล่าเรื่องพวกยาแปลกๆให้ฟังนะคะ -ยาแทนหมอนวด (ได้ยินครั้งแรกจากรุ่นพี่ค่ะ ดีที่ได้ยินมาก่อน ไม่งั้นมีเหวอตอนเจอลูกค้าเรียกหา) -ยาชุดแบบแปลกๆ รักษาครอบจักรวาล ปัญหาพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ... เป็นปัญหาระดับประเทศ ก่อให้เกิดการสูญเสียงบประมาณในการรักษา และทำให้สูญเสียทรัพยากรบุคคลอีกมากมาย การส่งเสริมสุขภาพที่ดีที่สุด คือ การป้องกัน ไม่ใช่การรักษา... การวางแผนครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่ แต่กลับมีปัญหาการทำแท้งที่ไม่ถูกสุขลักษณะเยอะแยะ นั่นเพราะประชาชนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีแหล่งความรู้ และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้.... และบัดนี้.... เราขอเสนอแนะ วิชาชีพเภสัชกร ที่จะเข้ามาช่วยเหลือตรงจุดนี้ เหลือเพียงแต่... คนจะยอมรับหรือไม่ ทุกๆวันนี้ แม้กระทั่งเรื่องการใช้ยาคุมกำเนิด... ในต่างประเทศ ต้องมีการตรวจร่างกายก่อนใช้ แต่ประเทศไทย สามารถซื้อหากันได้ง่ายดาย ซื้อมา-ขายไป.... แล้วก็ใช้ไม่เป็นบ้าง บางคนยังสับสน ระหว่างยาคุม 21 เม็ด กับ 28 เม็ด ว่าต่างกันยังไง การใช้ยาคุมฉุกเฉินพร่ำเพรื่อ ซึ่งยาตัวนี้ จะใช้ในกรณีจำเป็นจริงๆเท่านั้น เช่น ถูกข่มขืน..... แค่ตัวอย่างที่ยกมา ยังเป็นเศษเสี้ยวน้อยนิด....ที่พบเห็นได้ประจำทุกวัน เพราะฉะนั้น เราแค่อยากจะบอกว่า ใส่ใจสุขภาพสักนิด และเห็นใจเภสัชกรบ้าง ได้โปรดรับฟังเวลาเราต้องการอธิบาย....(ทั้งๆที่ไม่ได้เงินเพิ่มสักบาท จะอธิบายให้ ก็ไม่มีใครฟัง ฮือๆ...) เราเคยเจอลูกค้ามาซื้อยาหยอดตา จากอาการต้อลม แล้วเมื่อเราบอกว่า ให้เก็บไว้ในตู้เย็น และทิ้งทันทีหลังใช้ครบ1เดือน (เพราะยาหยอดตา จะใส่สารกันเสียในปริมาณที่น้อยมากๆ เพื่อลดการระคายเคืองของตา) ลูกค้าย้อนกลับมาตะคอกใส่ว่า ทียาร้านนู้น ซื้อแล้วไม่เห็นต้องทิ้งเลย.... ใช้ได้ตลอดตั้งหลายเดือน ทำไมต้องรีบทิ้ง เปลือง.... แล้วก็รีบเดินออกไป... เราถึงกับสะอึก ...(เพราะเป็นพวกขี้ใจน้อยอยู่แล้ว) สุดท้ายนี้ ขอบคุณค่ะ ที่ตามอ่านจนจบ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 49 00:17:58 จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 15 พ.ย. 49 00:12:03 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นใจทั้งหมอ และ เภสัช ลองคิดดูนะ ถ้าคนไข้ไปรักษาที่คลินิค แล้วถามชื่อยา จด ๆๆๆ ได้ทุกอัน มาครั้งเดียวหรือมาไม่กี่ครั้ง แล้วหายไปเลย คือไปซื้อยากินเอง (เช่นพวกโรคเรื้อรัง ความดัน เบาหวาน ฯลฯ) คุณหมอ กว่าจะวินิจฉัย กว่าจะปรับยาให้ได้ขนาดกับคนไข้ ยาถูกกับคนไข้ ฯลฯ หมอมีความเสี่ยง ที่ต้องรับผิดชอบส่วนนี้ แต่พอคนไข้ได้ยาที่ตัวเองต้องการ ก็หายไปเลย ไปซื้อกินเอง หายไปเป็นปี ๆ แล้วกลับมาใหม่ด้วยอาการแย่กว่าเดิม ก็ไม่รู้จะพูดยังไง บางคนถึงกับ ให้ร้านยาโทรมาถามที่คลินิค ว่ายาที่ให้คนไข้ชื่อนี้กิน คือยาอะไรบ้าง หมอจำเป็นต้องตอบด้วยหรือเปล่า???? เภสัช ก็น่าสงสาร เรียนมาก็เยอะ แต่กลับใช้วิชาชีพได้ไม่เต็มที่ คนไข้มองไม่เห็นความสำคัญ มองแค่ว่าเป็นคนขายยา จากคุณ : ***** - [ 15 พ.ย. 49 00:24:44 A:125.25.135.238 X: TicketID:125032 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อีกนิด เวลาโดนฟ้องร้อง ก็เป็นหมอทั้งนั้น ไม่เคยเภสัช โดนฟ้องสักที ถ้าอยากให้มีกฏหมาย ก็ควรจะให้ยุติธรรมทั้งฝ่ายหมอ และฝ่ายเภสัช ถ้าเภสัชคิดจะขายยา และห้ามหมอขายยา ดังนั้น ร้านขายยาก็ควรขายยาให้กับคนไข้เฉพาะที่มีใบสั่งจากแพทย์เท่านั้น แบบนั้นก็คงจะดีไม่น้อย จากคุณ : ********* - [ 15 พ.ย. 49 00:27:21 A:125.25.135.238 X: TicketID:125032 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ นั่้นเป็นเรื่องที่ทำเป็นปกติค่ะ ในระบบสาธารณสุขของประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่เรายังไปไม่ถึงจุดนั้นซักที จุดที่บุคลากรทางสาธารณสุข ทำงานร่วมกันเป็นระบบ (teamwork) เอาแค่ให้มีเภสัชประจำร้านขายยาทั่วประเทศก่อน ยังมีแววว่าเป็นหมันเลยค่ะ... จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 15 พ.ย. 49 00:48:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถูกต้อง.... นั่นเป็นเรื่องปกติในต่างประเทศเขา ประเทศเราถ้าจะรับมา ก็ควรรับมาให้เต็มรูปแบบ จะรับมาแบบครึ่ง ๆ กลางคงไม่ดี ถึงได้บอกว่า ถ้าจะให้คนไข้ไปซื้อยากินเอง แบบในปัจจุบัน ควรมีวิธีแก้ปัญหาก่อน ไม่ใช่ให้คนไข้ซื้อเองไปก่อน แล้วมาแก้อย่างอื่นตาม ควรแก้ทีเดียวทั้งระบบ พร้อม ๆ กัน แต่ถ้าทำไม่ได้พร้อม ๆ กัน ก็อย่าทำเลย ไม่แฟร์ จากคุณ : ******** - [ 15 พ.ย. 49 01:06:22 A:125.25.135.238 X: TicketID:125032 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ดีแล้วค่ะที่มีเภสัช ที่พัทยาจ้างเด็กจบ ม.6หรือไม่ก็ปวช. มาขายยา จ่ายยา มีเยอะด้วย จากคุณ : I am girl. - [ 15 พ.ย. 49 03:21:52 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เภชักรร้านยา ก็เหมือนหมอที่อยู่ร้านยานั่นแหละ เพราะว่าอย่างที่ท่ราบกันถ้าเป็นที่ต่างประเทศส่วนใหญ่ จะมี prescription หรือใบสั่ยาจากหมอแล้วจึงนำมาที่ร้านยาเพื่อให้เภสัชกรดูยาดังกล่าวว่าเหมาะสมมี drug interactionใหม มี การแพ้ยาที่อาจจะเกิดขึ้นฯได้จึงถ้าลึกๆแล้วถ้าคนไข้ถามให้ลึกๆเวลาไปซื้อยาจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนกระหว่าง เภสัชกรกับ หมอตี๋  เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้ ร้านเก่าให้เวลา10 ปี ถ้าไม่มีเภสัช fulltime จะโดนปิดร้าน เพื่อพัฒนาไปเป็นร้านยาคุณภาพ จะเห็นว่าร้านยาเปิดใหม่ถ้าไม่มีเภสัช fulltime ก็จะเปิดไม่ได้นะครับ ยอมรับว่าปัจจุบัน เข้มมากกๆๆ เรื่อย ๆ โดยเฉพาะเท่าที่รู้ ที่สมุย ภูเก็ต พัทยา มีเภสัชfulltime เกือบ 100 % จากคุณ : smecta - [ 15 พ.ย. 49 08:38:00 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เพราะเราคิดว่าชีวิตเราราคาถูกไงครับ เราจะเห็นค่าของชีวิตตัวเองก็ตอนปลายๆที่ยากต่อการเยียวยาแล้วเท่านั้นเพราะชีวิตตอนนั้นมันเจ็บและทรมารจนบางคนเท่าไหร่ก็จ่าย แต่ตอนเริ่มต้นไม่ได้สนใจมองราคาเป็นหลักแต่พอระยะปลายเห็นแพงเท่าไหร่ก็ดิ้นรนไปหามารักษา ถ้าเป็นเรื่องยาก็ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่าผมว่านะ เพราะป้องกันย่อมดีกว่าแก้ไขโดยเฉพาะการใช้ยา ซึ่งถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่ใช้อยู่แล้ว จากคุณ : EDM - [ 15 พ.ย. 49 09:02:12 ]

ความคิดเห็นที่ 12 #5,6,8 ระบบที่คุณว่ามามีในประเทศพัฒนามาตั้งนานแล้วค่ะ ในประเทศไทยก็มีการพูดถึงเรื่องการปรับเปลี่ยน พรบ. ยา ให้เป็นแบบที่ว่า .... แต่ที่ต้องล่มไปเป็นเพราะมีการถกเถียงกันมาก บางฝ่ายก็สนับสนุน บางฝ่ายก็คัดค้าน จึงเป็นเหตุให้ พรบ นั้น ต้องล่มไปน่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดยาก ...ถ้าจะทำก็ต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายค่ะ จะให้ฝ่ายนี้เริ่มจุดใดจุดนึงจุดเดียวคงไม่ได้อ้ะค่ะ ...เพระทุกๆจุดมันเป็นส่วนนึงของระบบ เดียวกันอยู่แล้วน่ะค่ะ ทางฝ่ายเภสัช ในปัจจุบัณ ก็เริ่มที่จะขยายบทบาทไปสู่ชุมชน สู่สังคมมากขึ้นแล้วค่ะ อาจจะยังไม่ชัดเจน แต่ก็ถือเป็นช่วงของการปรับเปลี่ยนบทบาทของตัวเองน่ะค่ะ ส่วนเรื่องฟ้องร้อง ไม่ฟ้องร้อง .... ถ้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำหลักวิชาการ จรรยาบรรณ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ เภสัช หรือวิชาชีพอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกเลยค่ะ จริงมั้ยคะ ^^ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 49 09:25:12 จากคุณ : วัฌชา - [ 15 พ.ย. 49 09:10:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อย่างน้อยเขาก็เรียนมาทางนี้  บอกได้ว่าอะไรควรกินเท่าไหร่ ยังไง เวลาไปซื้อ ไปถามก็พอได้คำตอบที่มีเหตุผล  เราว่าอุ่นใจกว่าไม่เภสัชนะ จากคุณ : ceacar salad - [ 15 พ.ย. 49 09:51:48 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องร้านยาคุณภาพ ร้านแถวบ้าน ไม่มีเภสัชกรประจำ คือไม่มีเภสัชกรอยู่เลย ทำไมได้เป็น ร้านยาคุณภาพหละค่ะ ขายทั้งบุหรี่ ทั้งเบียร์ จากคุณ : Sugar~Bunnies - [ 15 พ.ย. 49 10:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 รู้สึกเข้าใจและเห็นใจการทำงานของเภสัชมากขึ้นครับ เรื่องของชาวบ้านที่ไม่ยอมรับฟังก็นั่นแหละครับแต่ละคนก็หลายเหตุผล แต่อาชีพเภสัชกรหลายท่านก็เปิดร้านยาแล้วเอาคนที่ไม่ ค่อยมีความรู้เท่าไหร่มาเฝ้าร้านตรงนี้ก็เสียความรู้สึกนะครับ แล้วบางครั้งผมเจอมาก็คือ เด็กจ่ายยามาให้พออีก 2 วันไม่ดีขึ้น ไปที่ร้านตอนเภสัชอยู่ปากฏว่ายาที่เด็กให้มาไม่ถูกกับโรค เป็นกำลังใจให้คนทำงานที่ดี ๆ และตั้งใจทำงานซึ่งมีอยู่มากในสังคม คนไม่ดีส่วนน้อยไม่สามารถทำให้เภสัชกรดีๆที่ตั้งใจทำงาน เสียความตั้งใจอยู่แล้ว เพื่อนที่เป็นเภสัชก็บอกหลายเรื่อง อย่างที่คุณลูกเป็ดบอกเหมอืนกัน พูดแล้วคนไม่ฟัง จากคุณ : @Server ! maN@ - [ 15 พ.ย. 49 11:15:01 ]

ความคิดเห็นที่ 16 confirm ผู้เชี่ยวชาญญด้านยา คือเภสัชกรจ้า มีแฟนเป็นเภสัช เก่งมากๆๆ จากคุณ : smecta - [ 15 พ.ย. 49 11:41:30 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เรียนหนักมากๆๆ ยากกๆๆ กว่าจะจบคุณเอ๊ย หัวบาน จำกันเหนื่อย  เรียนกันตั้งหลายปี หนังสือ หนักตั้งหลายโล ไม่เชื่อลองไปสอบแล้วเรียนดู เครียดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : smecta - [ 15 พ.ย. 49 11:50:03 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นกำลังใจให้ทั้งหมอ ทั้งเภสัชนะคะ จากคุณ : แมวน้อยสีน้ำตาล - [ 15 พ.ย. 49 12:10:37 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่ได้จะว่าเภสัชกรนะคะ แต่ก็ต้องคิดด้วยว่าปัจจุบันยังมีเภสัชกรที่คิดแต่จะเอาค่าคุมร้านอย่างเดียวโดยไม่เคยแม้แต่จะมาที่ร้านซึ่งตัวเองแขวนป้ายอยู่ เรื่องที่จะให้มีร้านยาคุณภาพทั่วประเทศนั้น คิดว่าสภาเภสัช ควรจะทำความเข้าใจกันเองในหมู่เภสัชกรก่อนนะคะ  เพราะถ้าไม่มีเภสัชกรแบบนี้ก็จะไม่มีร้านยาที่ไม่มีเภสัชหรอกคะ จากคุณ : เด็กชายมะลิ - [ 15 พ.ย. 49 12:53:09 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เท่าที่ทราบ เภสัชกรจะมีหลายสาขาแบ่งแยกย่อยไปอีกไม่ใช่เหรอครับ บางคนไปเป็นนักวิจัย บางคนไปขายยา บางคนไปเป็นดีเทลยา.. ฯลฯ จากคุณ : Not Done - [ 15 พ.ย. 49 13:14:05 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เห็นใจเภสัชกรที่เปิดร้านยาเองนะคะ บางคนเก่งมากๆแต่ก็ขายสู้ร้านหมอตี๋ที่ไม่ได้เรียนมาไม่ได้ เพราะเภสัชกรต้องคิดถึงคนไข้ต้องคอยระวังว่ายาตัวไหนดีตัวไหนไม่ดี มีอาการข้างเคียงยังไง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากใช้ยา ฯลฯ ในขณะที่หมอตี๋ไม่ต้องคิดอะไรมาก จ่ายยาแรงๆ บางทีก็จัดยาชุดให้รักษาครอบคลุมอาการได้หมดเพราะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทั้งๆที่ยาบางตัวก็ไม่จำเป็นต้องใช้ คนไข้ไม่รู้ก็ว่าร้านหมอตี๋ดีกว่ากินแล้วหาย อย่างท้องเสียมีตั้งหลายสาเหตุ ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว แล้วก็มีย่อยลงไปอีกว่าชนิดไหนซึ่งยาที่ใช้ก็ต่างกัน แต่การจ่ายยาครอบจักรวาลของร้านหมอตี๋เนี่ยทำให้เชื้อดื้อยา ใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ เชื้อบางอย่างที่ควรรักษาง่ายๆแต่บ้านเราก็กลายเป็นเชื้อดื้อยาที่ต้องใช้ยาแรงๆขึ้นไปอีก ยา generation หลังๆที่ควรเอาไว้ใช้กับการติดเชื้อที่รุนแรงก็ต้องเอามาใช้ กลัวว่าถ้าพัฒนายาใหม่ๆมาไม่ทันคงแย่แน่ๆ ฯลฯ พูดแล้วของขึ้น ส่วนเรื่องโดนฟ้องนี่เห็นด้วยนะคะว่าถ้าทำถูกก็ไม่เห็นต้องกลัว แต่จากที่เคยเห็นมาเนี่ยเรื่องที่ส่งไปแพทยสภามักจะเงียบหายไปนะคะ ส่วนเรื่องที่ส่งเข้าสภาเภสัช เรื่องนิดเดียวก็ลงโทษเต็มที่เลย แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 49 13:38:09 จากคุณ : sommie - [ 15 พ.ย. 49 13:21:12 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คห. ที่ 19 ทุกวงการมีคนดี และคนเลวค่ะ มีทั้งคนที่เห็นแก่เงิน และคนที่รักในหน้าที่ ที่ตัวเองทำ... จะให้เภสัชกรร้านยาทุกๆคน เป็นคนดี อยู่ร้านยาทั้งวัน เป็นไปไม่ได้ค่ะ มาคิดดีกว่า ว่าจะทำอย่างไร ให้ควบคุมปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าแก้ที่กลุ่มเภสัชกรอย่างเดียว อย่างที่ คห.ด้านบนบอกว่า พรบ.ที่ต้องการผลักดันออกมาใช้ ก็ล่มไปหลายครั้งแล้ว ต้องแก้ทั้งระบบ ทุกๆอย่าง อย่าลืมว่า บางคนต้องเลี้ยงปากท้อง หากไม่มีที่ไป หลายๆคน ก็ทนทำดีไม่ไหวเหมือนกันค่ะ เรื่องพวกนี้ สังคมจะเป็นตัวตัดสิน สังคมเสื่อมลง คนก็เสื่อมลง และก็เลวลงเรื่อยๆ ถ้ามีคนคิดแก้ไข สักวัน ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ทั้งนี้ไม่ใช่แค่ลมปาก แค่นโยบาย แต่ต้องด้วยการกระทำ การที่เราตั้งกระทู้นี้ เพื่ออธิบายบทบาทของวิชาชีพ ซึ่งหลายๆคน ยังมีข้อกังขา และสงสัยอีกมากมาย หากแก้ไขความเข้าใจผิดๆได้ แม้สักคนเดียว เราก็ถือว่ายังเป็นประโยชน์ค่ะ ส่วนเรื่องฟ้องร้อง ถ้าจำไม่ผิด มีเคสหนึ่ง ที่คนไข้หญิงเกิดอาการแพ้ยา steven's johnson  แล้วมีอาการตาบอด จริงๆเรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัย แต่ผลกลับกลายเป็นว่า ฝ่ายจำเลยชนะฟ้อง.... ทั้งๆที่จริง เรื่องนี้ไม่น่าจะมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น แต่ควรให้ทางผู้เกี่ยวข้อง ช่วยกันออกมาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายแก่ผู้ป่วยมากกว่า สื่อก็ออกในลักษณะโจมตีวิชาชีพแพทย์่ค่อนข้างมาก เลยมีกรณีที่ว่า ผู้ป่วยหลายๆคนที่คุยกับแพทย์ไม่รู้เรื่อง ก็ฟ้องมันซะเลย โดยลืมกลับไปมองตัวเองว่า เปิดใจรับฟังเหตุผลของแพทย์หรือยัง ที่แน่ๆ จะฟ้อง ถ้าคิดว่าทำถูกต้อง เราไม่กลัวค่ะ เชิญฟ้องได้ตามสบาย ตั้งแต่ทำงานมา คนไข้ดีๆ ก็เยอะ งี่เง่าก็เยอะ... ถ้าฟ้องร้องแบบมีเหตุผล ย่อมเป็นที่รับได้ในสังคม แต่ถ้าฟ้องร้องกันด้วยเหตุผลงี่เง่า ต่อไป คนทำดีก็จะหมดไปเองค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 15 พ.ย. 49 13:43:07 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ทุกอาชีพมีทั้งคนที่ดีและไม่ดีค่ะ เภสัชบางคน ย้ำค่ะว่าบางคนเท่านั้นที่ทำไม่ทำตามจรรณยาบรรณความถูกของวิชาชีพ แต่ไม่คิดจะทำประโยชน์อะไรให้คุ้มค่ากับที่ตัวเองเรียนมาตั้งห้าหกปี ซึ่งเราเองก็เคยพบเจอมากับตัว(ไปเป็นคนไข้ หรือลูกค้า) ไม่อยากจะให้มีคนแบบนี้อยู่ในวิชาชีพจริงๆ ทางสภาเภสัชกรรมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเช่นเดียวกัน กับปัญหาต่างๆ แต่ด้วยมันมีปัจจัย หลายๆอย่างในระบบการสาธารณสุขของไทย ที่ยังต้องมีการปรับอีกมาก ซึ่งในตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าทุกๆคนนั้นสามารถใช้ยาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเท่าที่จำเป็น ถ้าคุณเคยได้ไปร้านยาของมหาลัยต่างๆ  หรือร้านยาคุณภาพ คุณจะรู้ได้ทันที ถึงความต่างต่างกับร้านหมอตี๋อย่างมาก บางครั้งคนไข้ที่มาหา ก็ไม่พอใจเพราะ เราไม่จ่ายยาให้คุณตามต้องการเมื่อคุณปวดหัวต้องการยาพารา แต่กลับบอกให้ให้ไปโรงพยาบาลเพราะจากการซักถามก่อนจ่ายยา  คนไข้มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นไข้มาลาเรีย(หมอตี๋ช่วยได้ไหม) สำหรับเรานะไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย  แค่อยากจะให้แน่ใจว่าคนไข้ใช้ยาอย่างเหมาะสมที่สุดแล้วหรือยัง เพราะการใช้ยามันซับซ้อน  ซึ่งยาแต่ละตัวล้วนมีผลเสียต่อร่างกายทั้งนั้น จะมากจะน้อยยังไงก็ตามแต่โรคและชนิดของยาที่ทานเข้าไป ส่วนเรื่องวิชาชีพต่างๆไม่ได้บอกว่าใครดีกว่าใคร  ใครเก่งกว่า  สำคัญแต่ว่าทุกวิชาชีพมีความรู้ความสามารถ เช่นเดียวกัน  แตกต่างตรงที่รายละเอียดในสาขาที่เรียนมา คนไข้ต้องการพวกเราทุกคน  ช่วยกันดูแล วินิจฉัย ให้การรักษา  กลั่นกรอง ให้เค้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมมีประสิทธิภาพมากที่สุด สงสัยสารพัดเรื่องยาต่างๆ การดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคสามารถปรึกษาเภสัชกรได้  ไม่เสียเงินนะคะ สงสัยว่าตัวเองมีอาการแบบนี้ ป่วยเป็นอะไรรึเปล่าก็ไปให้หมอตรวจวินิจฉัยค่ะ เพื่อความถูกต้อง จากคุณ : นู๋ตาโต๊โต - [ 15 พ.ย. 49 13:49:22 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ปกติถ้าไม่เป็นอะไรมากก็เดินตรงเข้าร้านขายยา ร้านยาบางแห่งผู้ขายเป็นเภสัชกรตัวจริงเสียงจริงไม่ว่าจะเป็นลุง ป้า น้า อา หรือว่ารุ่นพี่รุ่นน้องค่ะ บางร้านอาจจะเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องยา ถึงไม่ได้จบมาแต่ก็ให้มีข้อมูลเรื่องยาพอไม่ให้ยาผิดกะเราค่ะ บางทีเภสัชกรของร้านนั้นอาจไปกินข้าว เข้าห้องน้ำก็ได้ ผู้เชี่ยวชาญขายยามาตลอดกะเภสัชกรจึงมีความรู้พอสมควร คิดในแง่ดี แล้วก็เป็นจริงเยอะเหมือนกันนะคะ เรื่องทุกเรื่องมีดีบ้าง ไม่ดีบ้างปนๆกันไปค่ะ จากคุณ : TeMokU - [ 15 พ.ย. 49 14:22:28 ]

ความคิดเห็นที่ 26 หึๆๆ  ความจริงมันไม่สวยงามขนาดนั้นหรอกค่ะ  ที่ว่าถ้าทำถูกก็ไม่ต้องกลัวน่ะ อย่างที่ยกตัวอย่างมาเรื่องแพ้ยาจนตาบอด  คนไข้ไม่เคยมีประวัติแพ้ยามาก่อน  ยาที่ให้ก็ถูกกับโรคที่เป็น  แพทย์ไม่ได้ทำผิดเลยแต่ศาลและสังคมกลับตัดสินว่าแพทย์ผิด  ทำไมน่ะเหรอคะ  ก็คนที่ตัดสินน่ะยังไม่มีความรู้ในเรื่องที่ตัดสินจริงๆเลยน่ะสิ  เรื่องส่วนใหญ่ที่โวยวายว่าพอส่งให้แพทยสภาเรื่องก็เงียบหายน่ะ  เอาเข้าจริงพอหมอด้วยกันดูข้อมูลก็รู้แล้วว่าไม่ได้ผิดหรอก  เรียกว่าซวยน่าจะเหมาะกว่า  แล้วก็กลายเป็นโดนว่าว่าปกป้องพวกเดียวกันเองอีก  เราจะยกตัวอย่างเคสที่เกิดขึ้นจริงๆก็แล้วกัน - เด็กคลอดแล้วป้อแป้อาการแย่ตั้งแต่แรก  สุดท้ายก็ตาย  พ่อแม่ฟ้องหมอว่ารักษาไม่เต็มที่ลูกจึงตาย  เพราะใช้เวลาเกือบ 5 นาทีกว่าที่หมอเด็กจะมาดู  ซึ่งจริงๆตามปกติห้องคลอดน่ะไม่มีหมอเด็กอยู่ประจำหรอกค่ะ  จะมาคอยรับเด็กก็ต่อเมื่อมีการแจ้งว่ากำลังจะทำคลอดเด็กที่อาจจะมีปัญหาเท่านั้น เช่น คลอดก่อนกำหนด ,แฝด ,มีขี้เทาในน้ำครำ เป็นต้น  รายนี้น่ะปกติทุกอย่างแต่พอคลอดแล้วกลับป้อแป้ร้องแค่แผ่วๆ  หมอเด็กก็กำลังอยู่วอร์ดเด็กโดนตามก็รีบมาได้ใน 5 นาที  แสดงว่าไม่ได้โดดงานไปไหนนี่  มันเป็นเรื่องที่คาดเดาล่วงหน้าไม่ได้นี่คะ  ทำเต็มที่ก็ได้แค่นี้เอง  แต่พ่อแม่ก็ไม่รับฟัง  จะฟ้องท่าเดียวแล้วก็ฟ้องจริงๆนั่นแหละ  สุดท้ายก็ต้องไกล่เกลี่ยและจ่ายค่าเสียหายไป......ก็บอกแล้วไงคะว่าไม่ผิด  แค่ซวยเท่านั้นเอง  อันนี้เราไม่แน่ใจว่าสุดท้ายได้ผ่าศพหาสาเหตุหรือเปล่า  แต่ที่รู้คือหมอเด็กคนนี้ลาออกไปเรียบร้อยแล้ว ที่ผิดจริงๆก็มีค่ะ  เพียงแต่ที่ซวยมันเยอะกว่าน่ะสิ  ส่วนเราน่ะเป็นพวกเห็นแก่ตัวเลยลาออกเรียบร้อยแล้วค่ะ  ต้องขอบคุณคนไข้หลายๆคนจริงๆที่ทำให้เราทนไม่ไหว  ที่อยากฝากไว้คือ  พวกคุณเรียกร้องแต่จะให้หมอต้องดี  ต้องมีคุณธรรม  ต้องเสียสละยังงั้นยังงี้  แล้วพวกคุณล่ะเป็นคนไข้ที่ดีบ้างหรือเปล่า  ดูแลตัวเองบ้างไหม  กินเหล้าสูบบุหรี่แทนอาหารหรือเปล่า  ทานยาหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทีไม่ดีต่อสุขภาพตามที่บอกบ้างหรือเปล่า  ฟังคำอธิบายจากหมอบ้างไหมถ้าหากว่าพอมีบ้างก็ขอขอบคุณมากค่ะ................ขอบคุณแทนเพื่อนๆที่ยังเป็นหมออยู่น่ะค่ะ จากคุณ : vinv - [ 15 พ.ย. 49 16:07:18 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แม้จะเป็นร้านยาที่เป็นเภสัชเอง จะเชื่อถือได้แค่ไหน??? อันนี้เป็นประเด็นที่สำคัญไม่ต่างกับการที่ต้องมีเภสัชครับ เชื่อหรือไม่ว่า เภสัชจำนวนไม่น้อยในระบบร้านยาทุกวันนี้ มีความรู้เรื่องยาไม่ต่างจากผู้ช่วยที่ถูกฝึกมา เชียร์เป็นแต่อาหารเสริม ไม่รู้กลไกการออกฤทธิ์ หรือไม่รู้วิธีที่จะหาข้อมูล ในบ้านเรามีสาขาเภสัชกรรมชุมชน ในระดับปริญญาตรี ซึ่งน่าจะมีความรู้ความชำนาญเฉพาะในการปฏิบัติงานเภสัชกรรมชุมชน (ร้านยา) แต่ถามว่าสิ่งที่เรียนคืออะไร.... คือการสื่อสาร การเดินตามพี่ๆ ผู้แทนยาครับ แม้จะมีความรู้เชิงยาลึกเพียงใด แต่การเรียนไม่ได้เอื้อให้ใช้ควาามรู้นั้นในการฝึกปฏิบัติงาน ในขณะที่เด็กคลินิกที่เรียนเรื่องพวกนี้ในเชิงลึก และฝึกปฏิบัติงาน กลับไม่มีทักษะที่จะเข้าหาผู้คนได้ ส่วนใหญ่ก็จะฝึกอยู่ในโรงพยาบาล การเรียนการสอนเองจึงควรอยู่ตรงกลางครับ ปรับทั้งสองทางเข้าหากัน และการผลักดันให้มีการสอบใบอนุญาตหรือใบรับรองเภสัชกรรมชุมชน ควรจะเริ่มได้แล้ว จากคุณ : Epinephrine - [ 15 พ.ย. 49 16:18:25 ]

ความคิดเห็นที่ 28 จริงๆๆเภสัชเรียนเยอะมากหลากหลายทำได้หลายอย่างทั้งจับคนทำผิดยังทำเลยคือ คบส ไง อยู่สสจ ไงงละทั้งคลินิกเถื่อน หมอ หมอฟัน ร้านยา อื่นๆๆอีกมากมาย นอกจากนี้ก็รู้ อยู่แล้วว่าทำหน้าที่อะไรได้บ้าง เยอะแยะไปหมด เพราะฉะนั้นถ้าเภสัชที่จบแล้วกว่าจะได้ต้องสอบใบประกอบโรคศิป์ก่อนนะเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าแพทยื ทันตะ ทำกันหรือเปล่า เห็นใหมว่าQC ขนาดใหน สอบยากนะจ๋ะ เรียนแต่ในตำราก็หนักกว่า อาชีพอื่นแล้ว แค่ท่องbotanyเสี้ยวหนึ่งของเภสัชก็เหนื่อยแล้ว  เพราะฉะนั้น เรื่องยา กลไกการออกฤทธิต้องถามเภสัช นะจะ ถามคนอื่นอาจได้ข้อมูลไม่ครบนะ ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : ชื่อใจดีใจสบาย - [ 15 พ.ย. 49 18:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ความเห็นที่ 28 เพราะฉะนั้นถ้าเภสัชที่จบแล้วกว่าจะได้ต้องสอบใบประกอบโรคศิป์ก่อนนะเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าแพทยื ทันตะ ทำกันหรือเปล่า เห็นไหมว่า QC.... <<< เห็นด้วยกับ ความเห็นนี้นะครับ แต่ทำไมต้องมีคำว่า "เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าแพทยื ทันตะ ทำกันหรือเปล่า" ต้องการจะสื่อถึงอะไรครับ แพทย์ ต้องสอบประมวลความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน , สอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม และการที่จะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ต้องสอบ board of certification ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 49 19:39:48 จากคุณ : Mickeytae - [ 15 พ.ย. 49 19:13:45 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ในมุมมองของคนนอก ที่เจอกับบุคลากรกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด ผมว่าแพทย์ และเภสัชกร เกือบทั้งหมด พยายามจะทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้อยู่แล้ว รักษาตามหลักวิชาการ - scientific base และมักจะรักษาผลประโยชน์ของผู้ป่วยมากกว่าของตัวเอง แม้อาจจะด้อยไปบ้างในการสื่อสารกับผู้ป่วยให้เข้าใจ บุคลากรเลวๆ มีน้อยมาก เท่าที่ผมรู้ และมองหาอยู่ (เนื่องจากเป็นประโยชน์ของผม) ค่อนข้างผิดไปจากภาพที่สังคมมอง มากๆ ว่าหมอเห็นแก่เงิน ร้านยาเอาแต่ขาย (ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เภสัชกรที่ใช้พลังด้านมืดอย่างผม คงจะได้ผลประโยชน์มากกว่านี้) จากคุณ : อะธีลาส - [ 15 พ.ย. 49 19:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เคยไปร่วมวงชาวเภสัชกรอยู่ทีนึง.. เค้าเคยคุยกันว่า สมัยเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่บัญญัติศัพท์ว่า "เภสัชกร"น่ะ ถ้าตอนนั้นเลือกคำว่า "เภสัชแพทย์" จะเป็นไงน๊อ.. งึมๆ น่าคิดนะ.. จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 15 พ.ย. 49 22:51:12 ]

ความคิดเห็นที่ 32 บ้านผมเป็นร้านขายยา อ่ะครับ จ้าง เภสัช เหมือนกัน แต่ เค้าไม่ค่อยมายุ่งอะไร ส่วนตัวผมเองกำลัง สอบ เข้า คณะเภสัช อยู่ น่ะครับ จะได้ จบ ออกมา สืบทอดกิจการ ร้าน ต่อ น่ะครับ จากคุณ : เปกีร่า - [ 15 พ.ย. 49 22:55:49 A:125.25.59.188 X: TicketID:128468 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เอาใจช่วยบุคลากรทางการแพทย์ทุกสาขาอาชีพนะ มันก็มีดีมีเลวปะปนกันหมดแหละ แต่อาชีพอย่างเราต้องทำงานโดยใช้หลักวิชาการ ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา เพราะพลาดไปก็เป็นชีวิตของผู้ป่วย จากคุณ : tamiflu - [ 16 พ.ย. 49 01:41:45 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เลิศ จากคุณ : คุณชายนะคร้าบ - [ 16 พ.ย. 49 05:51:13 ]

ความคิดเห็นที่ 35 หมอตี๋บางคนแม่มรู้มากกว่า เภสัชกรอีก .. .. .. จากคุณ : tenno - [ 16 พ.ย. 49 11:28:09 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คงจำผิดมั่งครับ หมอตี๋อาจจะเป็นเภสัชก็ได้บางคนไม่ได้ใส่ uniform ลองถามกลไกการออกฤทธิ์ซิครับ จะได้รู้ว่า เภสัชกรหรือเปล่า รับรองรู้แน่ เภสัชตอนนี้ เขามีการสอบอยู่บ่อยๆๆเพื่อทบทวนความรู้ไม่ให้ลืม แต่ส่วนใหญ่กว่าจะจบก็ ต้องจำเข้าเนื่อ เข้ากระดูก แหละครับถึงจะจบมาได้  เพราะฉะนั้นความรู้ก็ติดตัวไป ดังนั้น ถ้าไปร้านขายยาควรเลือกร้านที่มีเภสัช fulltime นะครับ เพื่อตัวคนไข้เอง  คห 35 อย่าลืมไปสอบถามนะครับเพราะไม่มีทางหรอกครับที่หมอตี๋ไม่ว่าประสบการณ์จะ หลายชั่วคนถ้าไม่ใช่เภสัชไม่มีทางรู้เหมือนเภสัชหรอกนะครับ pharm D จากคุณ : smecta - [ 16 พ.ย. 49 11:41:38 ]

ความคิดเห็นที่ 37 "หมอตี๋บางคนแม่มรู้มากกว่า เภสัชกรอีก .. .. .. จากคุณ : tenno  - [ 16 พ.ย. 49 11:28:09 " แม่มโม้ครับ หุหุ จากคุณ : หมอแมว - [ 16 พ.ย. 49 11:42:02 ]

ความคิดเห็นที่ 38 แต่อย่างที่ผมบอกครับหมอแมว เภสัชบางคนก็รู้น้อยกว่าหมอตี๋อีก อันนี้เรื่องจริง เห็นแล้วปวดหัวแทน จากคุณ : Epinephrine - [ 16 พ.ย. 49 13:28:33 ]

ความคิดเห็นที่ 39 สรุปว่าเป็นเวรกรรมของชาวบ้านตาดำๆ จากคุณ : thanako - [ 16 พ.ย. 49 14:19:45 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เข้ามาทำใจ เพราะก็เป็นเภสัชเหมือนกันอะคับ ไม่รู้จะสื่อสารกันยังไงดีกะคนอื่น ให้เขาเข้าใจบทบาทเรา ก็ขอบคุณ จขกท ด้วยหละกัน จากคุณ : Rskiz - [ 16 พ.ย. 49 14:35:54 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แต่อย่างที่ผมบอกครับหมอแมว เภสัชบางคนก็รู้น้อยกว่าหมอตี๋อีก อันนี้เรื่องจริง เห็นแล้วปวดหัวแทน จากคุณ : Epinephrine  ไม่รู้ว่าต้องการสื่อถึงอะไรแต่คิดว่าคุณ Epinephrine คงจำผิดดูเภสัชเป็นหมอตี๋นะครับ สงสัยผมต้องกลับบ้านไปกิน cafegot แล้วถ้าไม่หายก็เปลี่ยนเป็น Zomig ไปเลยครับพี่น้อง จากคุณ : smecta - [ 16 พ.ย. 49 17:26:50 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ^ ^ ไมเกรนกำเริบเลยเหรอครับ... 555 จากคุณ : Not Done - [ 16 พ.ย. 49 18:10:34 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ความคิดเห็นที่ 35   หมอตี๋บางคนแม่มรู้มากกว่า เภสัชกรอีก .. .. .. จากคุณ : tenno  - [ 16 พ.ย. 49 11:28:09 ]     ความคิดเห็นที่ 38   แต่อย่างที่ผมบอกครับหมอแมว เภสัชบางคนก็รู้น้อยกว่าหมอตี๋อีก อันนี้เรื่องจริง เห็นแล้วปวดหัวแทน มีด้วยเหรอคับที่ว่าหมอตี๋รู้ดีกว่าเภสัชกรน่ะ  คุณรู้ป่าวว่ากว่าจะจบเภสัชนะมันเรียนมายากเย็นขนาดไหน  มันไม่ได้เรียนง่ายไปกว่าอาชีพทางด้านสายแพทย์ด้านอื่นๆเลยนะครับ  ผมขอให้คุณไปพิสูจน์มาเลยดีกว่าแล้วค่อยมาพูดไม่อยากให้ใครมาดูถูกวิชาชีพของผม  เพราะคุณพูดแบบนี้ถือว่าเป็นการดูถูกการเรียนการสอนเภสัชศาสตร์   ดูถูกอาจารย์ที่สอนเภสัชฯ  ดูถูกนิสิตเภสัชฯ แล้วก็ดูถูกวิชาชีพเภสัชฯมากๆ  ครับ  ก่อนจะพูดอะไรออกไปคิดดีๆก่อนนะครับ จากคุณ : bravecurx - [ 16 พ.ย. 49 21:19:12 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ตอนอยู่เมืองไทยขอสารภาพว่าเป็นคนหนึ่งที่เวลาเจ็บไข้ ไม่คอยคิดจะซื้อยาเอง หรือไปปรึษาเภสัชเลย ไม่ใช่ไม่เชื่อถือเภสัชกรนะ แต่เพราะไปร้านหมอก็สะดวก และไม่ต้องจ่ายหลายขั้นตอน พอมาอยู่เมืองนอก เภสัชนี่เป็นทางเลือกแรกเวลาเจ็บไข้ เพราะถ้าจะไปหาหมอ นอกจากต้องโทรไปนัดล่วงหน้าแล้ว ค่าพบหน้าหมอแพงมากๆๆๆๆ (ประมาณ1800บาท) แล้วบางทีก็คุยกับหมอแค่ 5-10นาที เสร็จแล้วก็ได้ใบสั่งยามา เวลาเภสัชจะจ่ายยาตามใบสั่งหมอ ถ้ายาชนิดนั้นมีหลายผู้ผลิต เภสัชก็ต้องเอาออกทั้งหมดเพื่อให้คนไข้เลือกเอง โดนเภสัชจะอธิบายถึงข้อแตกต่างของแต่ละยี่ห้อ คั้งหนึ่งหมอสั่งจ่ายยา ปฏิชีวนะให้ เภสัชก็เอามาให้เราเลือก 2 กล่อง กล่องหนึ่ง 300บ. อีกอัน 500บ. เภสัชกรบอกว่าตัวยาเหมือนกัน คือCephalexin 500g แต่ของถูกกินยากหน่อย เราก็งงยาเป็นcpsuleเหมือนกัน  ทำไมมีกินยากง่ายด้วย เราก็เลือกของถูกแน่นอน แต่พอได้กินยาเม็ดแรกเท่านั้นเข้าใจเลย เพราะยามัน เหม็นมากๆๆๆๆๆ ขนาดตอนกินต้องกั้นใจกินเลย ปล.แถมท้ายอีกนิดว่า เภสัชกรที่นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในอาชีพ ที่มีความเชื่อถือได้ สามารถเซ็นเอกสาร รับรองสำเนาให้เรา เพื่อนำไปติดต่อกับ ราชการได้ ..........อยากให้คนไทย ให้ความสำคัญกับเภสัชกรเหมือนที่นี่. จากคุณ : ผ า ย ล มใต้เงาจันทร์ - [ 17 พ.ย. 49 07:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 45 อย่างคุณEPINEPHRINE ปวดหัวธรรมดาไม่ได้หรอกครับต้องระดับmigraine หรือไม่ก็อยู่ๆๆสลบไปเลย น่าจะพอเดาได้ว่าคุณทำอาชีพอะไร แต่ช่างมันเถอะ แค่หางของอาชีพนั้น ตัดทิ้งไปเลยดีกว่า (ขอพูดตรงๆๆ นะ สำหรับคุณ จะได้เข้าใจง่ายๆครับ) จากคุณ : smecta - [ 17 พ.ย. 49 08:17:09 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คุณความเห็นที่43,45 ออกจะซีเรียสไปรึป่าว... ถ้าได้อ่านบล็อคของคุณ EPINEPHINE จะเห็นได้ว่าเค้าเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจในวิชาชีพเภสัชได้ดีทีเดียว โดยส่วนตัวไม่เคยรู้จักกับเค้า แต่ติดตามอ่านกระทู้ที่เค้าตอบกับอ่านบล็อคที่เค้าเขียน ความเห็นที่38 ของเค้าก็เป็นการนำเสนออีกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง เภสัชชุมชนที่ดีก็มีมาก ที่ไม่...ก็มีเหมือนกัน (ขอตอบในฐานะที่อยู่ในวิชาชีพมายี่สิบกว่าปี) อย่าดูกันแค่คำพูดสั้นๆแล้วตีความกันไปในทางลบ ต้องดูทัศนคติของเค้าต่อวิชาชีพด้วย บางครั้งสิ่งที่เค้าพบเจอทำให้เค้าสะท้อนใจอยากระบายออกมาบ้าง แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 08:54:18 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 08:50:18 จากคุณ : หนูเล็กนิดเดียว - [ 17 พ.ย. 49 08:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ก็อยากให้คห46 ไปดูหลักสูตรเภสัชในปัจจุบันดูนะครับ และดูการสอบ comprehensive ในปัจจุบันด้วยว่าเป็นอย่างไร  ยอมรับว่าทุกวิชาชีพมีทั้งคนดี ไม่ดี แต่อย่าพูดลอยๆๆ  แต่ให้ดูถึงรายละเอียดของวิชาชีพนั้นๆๆด้วยว่าเขาสอนเขาเรียนกันมาอย่างไร ซึ่งคิดว่าแต่ละ มหาลัย คงสอนคงเรียนต่างกันไม่มากนัก ตอบคห 27เพิ่มด้วยครับ จากคุณ : smecta - [ 17 พ.ย. 49 09:20:53 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถึงคุณ TicketID:125032 ดิฉันเป็นเภสัชกรโรงพยาบาล และเป็นทั้งเภสัชกรชุมชน(หรือร้านยา) กล้าพูดได้เลยว่ามีเภสัชกร ที่โดนฟ้องร้องอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องว่า เภสัชกรเองเชื่อถือได้แค่ไหน จรรยาบรรณ ความรู้สึกผิดชอบ ในหน้าที่และวิชาชีพ คนแต่ละคนมีไม่เท่ากัน และเชื่อว่าในทุกวิชาชีพและทุกสายงาน ก็มีคนที่ต่างกันออกไป มีทั้งดีและเลว **หมอตี๋บางคนรู้มากกว่าเภสัชกร อันนี้เอาอะไรมาวัด แล้วคนที่วัดคือใคร คำว่าหมอตี๋ ที่พวกเราเข้าใจ คือคนที่ไม่ใช่เภสัชกร แต่มีอาชีพขายยา ยาไม่ใช่เรื่องง่าย หรือมีความซับซ้อนน้อยขนาดนั้นหรอกนะคะ การที่คนขายยามานาน ความเชี่ยวชาญมันเกิด แต่ถามว่าในความเชี่ยวชาญ มีความรู้ที่ถูกและรู้จริงสักกี่เรื่อง ปัจจุบัน วงการแพทย์ ยา ก้าวไปไกลแค่ไหน มียาอะไรใหม่ๆ แนวทางการรักษาใหม่ๆ หมอตี๋ที่คุณว่าเก่งกว่าเภสัช จริงเหรอ?? เพราะต่อให้เภสัชกรเอง ยังรู้ได้ลึก ละเอียด ไม่เท่ากัน อาจจะด้วยเนื่องจากสายงาน ที่ทำต่างกันออกไป เพราะเภสัชกร ไม่ใช่แค่ขายยา ไม่ใช่แค่คนจ่ายยาในโรงพยาบาล เพราะฉะนั้นไม่ผิดถ้าเภสัชกร โรงงานหรือด้านอื่น จะขายยาได้ดูไม่เก่งและดูคล่องแคล้ว เท่าหมอตี๋ แต่ไมได้หมายความว่าเภสัชกรเก่งน้อยกว่า เพราะอย่างน้อย ข้อพึงระวัง ความรู้เรื่องการใช้ยา โทษที่ได้จากยา อันตรายที่จะได้รับ ยาที่อาจทำให้คนไข้แพ้ เพราะในปัจจุบันอย่างที่บอกว่ายาใหม่ๆเกินขึ้นมากมาย และยาบางตัวได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจจะมีโครงสร้างของยาเก่าหมอตี๋ไม่มีทางรู้ได้ดีกว่าเภสัชกรแน่นอน ที่พูดตรงนี้ ยกตัวอย่างให้เห็น คนไข้ ที่มีประวัติ แพ้ยาซัลฟา (ซึ่งเป็นยาที่คนไทยแพ้เป็นอันดับต้นๆ) ถามว่า หมอตี๋ทราบไหมว่า ยาอะไรบ้างที่พึงต้องระวังในคนไข้ที่แพ้ยาซัลฟานี้ เพราะปัจจุบันก็ยังมียาที่เป็นอนุพันธ์ของยากลุ่มซัลฟาออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเดิมทุกคนอาจจะเข้าใจว่ายาซัลฟาคือยาฆ่าเชื้อ-แก้อักเสบ แต่ยาใหม่ๆที่ออกมา ไม่ได้ใช้สำหรับฆ่าเชื้อ ถามว่าหมอตี๋ ทราบไหมค่ะ เรื่องแบบนี้ อีกอย่าง G6PD ถามว่าคนไข้ที่มีประวัติเป็น แล้วมาที่ร้านขายยา มียาอะไรที่ต้องพึงระวังบ้าง หมอตี๋ทราบไหมค่ะ ปัจจุบันยังมียาที่มีวิธีใช้เฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะการผสมน้ำ การพ่น วิธีเก็บรักษา ที่ไม่ใช่วิธีแบบที่เคยมีมาแบบเดิมๆ ถามว่าหมอตี๋ทราบไหมค่ะ ไม่เถียงนะคะ ว่าเภสัชแต่ละคนยังรู้ได้ไม่เท่ากัน เพราะอาจจะด้วยเนื่องจากสายงาน หรือประสบการณ์ ที่ต่างกัน หรือการเจอเคสและลักษณะของคนไข้ที่ต่างกัน ในเมื่อความเท่าเทียมกันของโรงพยาบาล มีไม่เท่ากัน ก็อย่าหวังว่าความรู้ความสามารถ ของเภสัชกร จะมีเท่ากัน แต่เชื่อเถอะว่า เรื่องพื้นฐานสิ่งที่เภสัชกรทุกคนต้องรู้ มีมากกว่าคนขายยาหรือ หมอตี๋ แน่นอน เป็นคนนึงที่อยู่ในสวนลุมมานาน และก็ตอบคำถามที่เพื่อนๆถามมาก็คงไม่น้อย แล้วต้องขอขอบคุณน้องเอ (ลูกเป็ดขี้เกียจ ) ที่ทำให้มีคนในพันทิพ พูดถึงบทบาทของเภสัชกรมากขึ้น วิชาชีพเรามันเหมือนปิดทองหลังพระ ทำไม่ดีก็โดนด่า ทำดีก็เสมอตัว ทุกวันนี้คนไข้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับการใช้ยา จากที่ตัวเองสัมผัสมา ในต่างจังหวัดอาจจะยังมีความเชื่อความเข้าใจเก่าๆและผิดๆอยู่แต่เราก็ต้อง ค่อยๆปรับค่อยๆทำความเข้าใจ มือแค่สองมือกับอีก1ปาก ไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ภายในวันเดียว แต่อย่าท้อ ที่จะให้ความรู้และทำให้คนไข้เข้าใจถึงการใช้ยาที่ถูกต้อง ปล.ไม่ได้ตอบยาวๆมานานแล้วแหะ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 10:23:09 จากคุณ : ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน - [ 17 พ.ย. 49 09:55:29 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เอ่อ..... ขอแก้ข้อความของเจ้าของกระทู้หน่อยนะครับ ประโยคที่ว่า "บางอย่าง ที่ควรจะรู้ อาทิ โรคเริม (herpes simplex) กับงูสวัด กับอีสุกอีใส จริงๆแล้วมันคือเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน....." คือ...จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ตัวเดียวกันหมดนะครับ งูสวัดกับอีสุกอีใสน่ะตัวเดียวกัน แต่โรคเริมไม่ใช่ครับ ทั้งหมดอยู่ใน subfamily Alphaherpesvirinae เดียวกัน แต่คนละ Genera กันครับ จากคุณ : แวะมาอ่าน - [ 17 พ.ย. 49 10:25:58 A:125.24.144.171 X: TicketID:087965 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เริม Herpes simplex อีสุกอีใส งูสวัด Herpes zostor จากคุณ : ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน - [ 17 พ.ย. 49 10:40:17 ]

ความคิดเห็นที่ 51 #14 รับรองได้ว่าไม่ใช่ร้านยาคุณภาพแน่ๆค่ะ ร้านที่คุณบอก มองหาสัญลักษณ์ แบบนี้ถ้าได้รับการรับรองแล้ว แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 11:00:20 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน - [ 17 พ.ย. 49 10:59:17 ]

ความคิดเห็นที่ 52 หิวข้าวเลย จากคุณ : apotheker - [ 17 พ.ย. 49 11:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณ คห.49 ค่ะ ที่ช่วยแก้ไขให้ แล้วก็ขอบคุณทุกๆคนค่ะ ที่มาช่วยกันให้ความเห็น ส่วนใน คห.38 เราเคยคุยกับผู้เขียนครั้งหนึ่ง เห็นได้ว่าน้องเค้าเอง ก็เป็นผู้หนึ่งที่พยายามจะเปิดบทบาทวิชาชีพเภสัชเองเช่นกัน ที่เขียนไป น่าจะด้วยอารมณ์และความรู้สึกบางอย่างที่เค้าเจอมากับตัวมากกว่าค่ะ เพราะอย่างไรก็ต้องยอมรับ ว่าทุกวิชาชีพ มีทั้งคนดีและไม่ดี มีทั้งคนที่มีความรู้ และไม่มีความรู้จริงๆค่ะ ไม่มีใครอยากดูถูกวิชาชีพตัวเองค่ะ ที่น่าดูถูก น่าจะเป็นตัวบุคคล ที่ทำตัวไม่เหมาะสมกับการประกอบวิชาชีพมากกว่าค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 17 พ.ย. 49 14:02:27 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เนื้อหากระทู้นี้หนักจัง  ขอโหวตให้อย่างเดียวแล้วกันนะค่ะ จากคุณ : bubblebaba - [ 17 พ.ย. 49 14:21:57 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ที่ว่ากันว่าหมอตี๋บางคนรู้เรื่องยามากกว่าเภสัช คำว่ารู้เรื่องยามากกว่า ผู้พูดคงมิได้คำนึงถึงว่า การรู้เรื่องยาที่แท้จริงเป็นเช่นไร หมอตี๋อาจจะรู้จักเพียงแค่ชื่อยา ข้อบ่งใช้แบบง่ายๆ แต่ถ้าถามเค้าว่า ยานี้ห้ามใช้ในผู้ป่วยคนไหน ยานี้มีปฏิกิริยากับยาอื่นๆที่คนไข้ได้รับหรือไม่ ยานี้มีผลข้างเคียงอะไร หรือข้อบ่งใช้ของยาตัวนึงที่อาจใช้ได้ในหลายโรค ซึ่งตรงนี้ ไปถามหมอตี๋ที่ไหนจะบอกท่านได้ นอกจากเภสัชกร ถึงแม้เภสัชกรบางท่านอาจจะยังให้คำตอบท่านไม่ได้แต่เค้าสามารถค้นคว้าหาคำตอบที่หน้าเชื่อถือมาให้กับท่านได้ จงคิดเอาเองเถิดหนา ว่าถ้าท่านป่วยท่านจะเลือกซื้อยากับใครเพื่อชีวิตและความปลอดภัยในการใช้ยาของตัวท่านเอง จากคุณ : Num-Oun (Num-Oun) - [ 17 พ.ย. 49 17:36:26 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ถ้าให้ผมช่วยแก้ตัวแทนคุณ Epinephrine ก็คงต้องบอกว่า หมอตี๋เก่งกว่าเภสัชกร จริง ในเรื่องของการขาย ครับ ถ้าคุณมีความรู้ประดับตัวนิดหน่อย เช่น ให้เจ้าหน้าที่ในฝ่ายเภสัชกรรมอายุงาน 10 ปี มาขายยา ถามว่าขายยาได้ไหม ขายได้ครับ อาจจะขายเก่งกว่าเภสัชกรด้วยซ้ำ ถ้ามีหัวทางการค้า เพราะอันนั้นเป็นส่วนของศิลปะการค้าขาย แต่ในส่วนของความรู้หละครับ เจ้าหน้าที่ทำงานมา 10 ปี มีความรู้ความเข้าใจไม่เท่าเภสัชกรจบใหม่ อายุงาน 1 ปี หรอกครับ (แต่ถ้าจบมาซิง ๆ นี่ ต้องบอกว่ายังมืออ่อนหัดครับ ต้องใช้เวลาฝึกฝนหน่อย แต่ก็ใช้เวลาไม่นานที่จะเรียนรู้) ต้องบอกว่างานด้านเภสัชกรรมเป็น " วิชาชีพ " ครับ ไม่ใช่ " อาชีพ " ยกตัวอย่างครับ เคยเจอคนไข้ เดินเข้ามาถึง บอกจะเอายาแก้อักเสบ Tetra 10 เม็ด ถามว่าถ้าเป็นหมอตี๋จะขายหรือไม่ ก็คงขาย เพราะลูกค้าระบุสิ่งของที่ต้องการแล้วหนิ แต่เภสัชกร คงต้องถามก่อนหละครับ ว่าเอาไปใช้ทำอะไร ซึ่งลูกค้าก็บอกอาการ ก็ดูแล้วมีการติดเชื้อจริง ก็สามารถทานได้ ก็ต้องถามต่ออีก ว่าทำไมซื้อแค่ 10 เม็ด ก็ได้รับคำตอบว่า ทุกทีซื้อร้านยาอื่น ก็ซื้อ 10 เม็ด ผมก็ต้องอธิบายต่อให้เค้าฟังว่า ยาตัวนี้เป็นตัวฆ่าเชื้อ การที่คุณทานแค่ 10 เม็ด ก็คือประมาณ 2 วัน อาการอาจจะหายไปก็ได้ แต่เชื้อในร่างกายของคุณอาจจะยังคงหลงเหลือ ซึ่งถ้าปล่อยไว้ เชื้อที่หลงเหลืออาจจะพัฒนาให้เกิดการดื้อยาได้ ทำให้การใช้ในครั้งต่อ ๆ ไปการรักษาอาจจะไม่หาย ดังนั้นการทานยาในกลุ่มนี้ ควรจะทานอย่างน้อย คือ 5 - 7 วัน ดังนั้นต้องซื้อยาจำนวนมากขึ้น อย่างน้อยควรทาน 20 เม็ด อันนี้หละครับ คือ ความแตกต่างระหว่าง อาชีพ กับ วิชาชีพ จากคุณ : beverage144 - [ 17 พ.ย. 49 19:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ไม่ได้เข้ามาดู..... ผมตอบได้ครับ ทำไมถึงกล้าพูด เพราะผมเป็นเภสัชกรคนหนึ่งไงครับ ถ้าเภสัชกรทุกคน เป็นอย่างทุกท่านในนี้ คงดี แต่.... เคยเห็นเภสัชกรจ่ายยาผิดไหมครับ?? เคยเห็นเภสัชกรจ่ายยามั่วไหมครับ?? แล้วเคยเห็นคนขายยาที่ไม่ใช่เภสัชอ่าน Textbook ไหมครับ?? แม้คนขายที่ไม่ใช่เภสัชกร อาจจะไม่มีความรู้เชิงลึกในด้าน Pharmacology, Pathology, Physiology, Medchem ฯลฯ แต่ก็มีเภสัชที่ผ่านมาได้โดยไม่รู้ก็มีเหมือนกันครับ อย่างที่บอกครับ ทุกอาชีพมีทั้งคนดีคนเลว ถึงอยากให้มี Community Pharmacy Certificate ไงครับ บทบาทวิชาชีพน่ะ เป็นเรื่องหนึ่งครับ แต่ความรู้ในวิชาชีพน่ะ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่ต่างกัน ซึ่งที่ผมไม่ได้พูดในแง่บทบาทวิชาชีพครับ แต่ผมพูดในเรื่องความรู้วิชาชีพ และผมไม่ได้บอกว่าคนขายที่ไม่ใช่เภสัชกรเก่งครับ แต่ผมบอกว่า มีเภสัชบางคนที่แย่ยิ่งกว่า และกลุ่มนั้นแหละครับ ที่ทำให้บทบาทวิชาชีพ ตกต่ำลงด้วย แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 23:39:51 จากคุณ : Epinephrine - [ 17 พ.ย. 49 23:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เข้ามาอ่านในฐานะเภสัชกรคนหนึ่ง เพื่อนของคุณอะธีลาส "เขียวมะกอกไม่เคยหลอกใคร"  ขอความร่วมมือ เภสัชกรทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้ความเห็น อย่าลืมเลือกตั้งนะ หมดเขต 24 พ.ย 2549 และหากผู้ใดสามารถลิงค์ ข้อมูลได้ ขอความกรุณาลิ้งไปที่เวปสมาคมเภสัชกรรมด้วยนะค่ะ ...มุมมองต่างๆและประเด้นต่างๆ มีใครต่อใครคุยกันบ่อย สมาคมก็คงกำลังพยายามแก้ไข อย่างไรก็ตามเสียงสะท้อนของสังคมที่ยังมีอยู่ ฝากไปถึงผู้ที่รับการคัดเลือกเป็นทีมบริหารชุดใหม่หน่อยค่ะ "ความพอดีระหว่างธุรกิจด้านยากับจรรยาบรรณวิชาชีพ" แล้วจะตามไปให้ความเห็นที่เวปสมาคม จากคุณ : Sepia_Sepia (Sepia_Sepia) - [ 17 พ.ย. 49 23:57:51 ]

ความคิดเห็นที่ 59 รู้สึกไม่ดีเลยนะเนี่ยที่มีกระทู้ทำนองนี้  แย่จัง ปัจจุบันประชาชนก็ยังไม่เข้าใจวิชาชีพเภสัชกรอยู่  จ่ายยาด้วยประสบการณ์กับด้วยความรู้มันต่างกันนะ ไม่งั้นเค้าจะมีเภสัชไปทำไม  เรียนก็ยาก ก่อนจบก็ต้องสอบใบประกอบโรคศิลป์ก่อนด้วยถึงจะจ่ายยาได้  นี่ยังไม่รู้เลยว่าจะสอบผ่านไหม  กลัวๆอยู่  - -" "ด้วยอุดมการณ์อันมั่งคง  จะเทิดธงวิชาชีพนี้  เพื่อศักดิ์ศรีของเราเภสัชกร" จากคุณ : นักศึกษาเภสัช (พยายามสวย~*) - [ 18 พ.ย. 49 01:31:30 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณ คุณลูกเป็ดขี้เกียจ มากๆนะคะ ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา คงเป็นโอกาสดีทีเดียว ที่พวกเราชาวหมอยาจะได้เข้ามา discuss เรื่องวิชาชีพกัน เห็นด้วยกับคุณ EPINEPHRINE นะคะ ใน คห. 27 กับประโยคที่ว่า แม้จะเป็นร้านยาที่เป็นเภสัชเอง จะเชื่อถือได้แค่ไหน??? อันนี้เป็นประเด็นที่สำคัญไม่ต่างกับการที่ต้องมีเภสัชครับ เชื่อหรือไม่ว่า เภสัชจำนวนไม่น้อยในระบบร้านยาทุกวันนี้ มีความรู้เรื่องยาไม่ต่างจากผู้ช่วยที่ถูกฝึกมา เชียร์เป็นแต่อาหารเสริม ไม่รู้กลไกการออกฤทธิ์ หรือไม่รู้วิธีที่จะหาข้อมูล ที่ต้องบอกว่าเห็นด้วยเพราะว่า บางครั้งในกลุ่มวิชาชีพของเรา จะยึดติดกับเสื้อกาวน์ ใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอก จริงอยู่ที่จะช่วยในการ identify วิชาชีพ แต่ว่า....มันช่วยทำให้เราประกอบวิชาชีพได้ดีขึ้นรึเปล่าคะ ถ้าในการประกอบวิชาชีพของเรา ไม่ได้มีจิตใจของการคุ้มครองผู้บริโภค จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกร ไม่ได้จะมาโจมตีเภสัชกรนะคะ เพราะดิฉันก็เป็นหนึ่งในเภสัชกร และผู้ร่วมผลิตเภสัชกรด้วย แต่ที่ต้องแสดงความเห็นแบบนี้ เพราะว่าอยากให้ทุกคนได้ตระหนักถึงสิ่งสำคัญในการประกอบวิชาชีพของเรา การยึดมั่น ถือมั่นในจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ องค์ความรู้ที่ต้องศึกษาติดตามให้ update อยู่เสมอ ความสามารถในการสื่อสารกับผู้ใช้ยา เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสม การประกอบวิชาชีพ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความคุ้มทุนของผู้บริโภคเป็นหลัก การยอมรับผิด ยอมรับว่าไม่รู้ เมื่อเราไม่รู้ คิดว่าทุกๆคนที่ตอบก็หวังดีกับวิชาชีพเราทั้งนั้นค่ะ แต่อาจจะมีแนวคิดต่างกันไปเท่านั้นเอง เรื่องกรณีของหมอตี๋ เก่งกว่าเภสัชกร ถ้าเป็นเรื่องเทคนิคการขาย การผูกใจลูกค้า ก็อาจจะต้องยกธงขาวค่ะ เพราะเราไม่ได้มีอาชีพขายยา แต่เราประกอบวิชาชีพทางด้านยา ให้คำแนะนำปรึกษาเรื่องยา แต่ถ้าเรื่องทางวิชาการ แล้วเรายอมให้เค้าเก่งกว่า ก็เป็นเรื่องที่พวกเราจะต้องย้อนกลับมาดูแล้วค่ะ ว่าที่เราสู้อุตส่าห์ร่ำเรียนกันมา เราได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าหรือยัง... เสื้อกาวน์กับใบประกอบก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ป.ล. สวัสดีค่ะ น้องอธีลาส และน้องๆเภสัชกรอีกหลายๆคนค่ะ ป.ล. 2. คุณ epinephrine เป็นเภสัชกรที่ดีนะคะ ช่วยยืนยันค่ะ จากคุณ : เขียวมะกอก ไม่เคยหลอกลวงใคร (iamrx) - [ 18 พ.ย. 49 01:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ตอนแรกมองว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ทำให้คนรู้จักบทบาทของเภสัชกรดีขึ้น เข้าใจบทบาทของเรามากขึ้น แต่ตอนนี้กลับรู้สึกต่างออกไป ถ้าวิชาชีพเดียวกัน ยังไม่สามัคคี ยังไม่รักในวิชาชีพตัวเอง มันก็ยากค่ะที่วิชาชีพเราจะก้าวไปไกลกว่านี้ จะทำให้คนยอมรับได้มากกว่านี้ ตัวเองยังมองวิชาชีพ ตัวเองแย่ อย่าหวังว่าใครจะมองมันดีเลย อยากให้มองอะไรด้วยใจที่เปิดกว้าง อย่าเหมาว่าสังคม หรือสิ่งที่ตัวเองเจอ ว่านั่นคือทั้งหมดของวิชาชีพ น้องบางคนยังต้องโตและเห็นอะไรอีกมาก อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไร การที่เราเห็นว่าคนอื่นไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าเราเองรู้หมดทุกเรื่อง ต่อให้จบ pharm D ก็ไม่ได้หมายความว่ารู้เรื่องยาหมดทุกตัว และไม่มีข้อบกพร่องในด้านวิชาการ คนทุกคนสามารถทำงานผิดพลาดได้ เภสัชกรโรงพยาบาลแทบทุกคน ต้องเคยมีประสบการณ์ การเช็คยาพลาด จะต้องมีการหลุด แต่เราจะมีแนวทางแก้ไข และแก้ปัญหากับสิ่งที่ผิดนั้นยังไงไม่ให้คนไข้เกิดอันตราย เภสัชกรจ่ายยามั่ว อันนี้พี่ขอพูดกลางๆว่า วิชาชีพแบบพวกเรา มันคือศิลปะ อย่างนึง การที่เภสัชกรคนนึงจ่ายยา ไม่ตรงใจกับสิ่งที่เราอยากจะจ่าย ไม่ได้หมายความว่าเค้ามั่ว เพราะ การวินิจฉัย สไตล์ หรือแนวทางการจ่ายยาอาจจะคนละแบบ หรืออาจใช้ยาคนละตัว แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องปลอดภัย โดยที่ เป้าหมายของเค้าและเราคือต้องการให้คนไข้หาย มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ถ้าคำว่ามั่วของน้องหมายถึง การจ่ายยาโดยที่ไม่มีความรู้ อันนี้ก็อีกเรื่อง -*- ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าคนมันจะเลว ไม่ว่าจะไปทำอะไรกับสายงานไหน วิชาชีพไหนมันก็เลว แล้วคนพวกนี้ไม่ควรหลุดเข้ามาอยู่ใน วิชาชีพ ที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของคนด้วย ส่วนคนที่มันเห็นแก่เงิน ทำทุกอย่างเพื่อเงิน จ่ายยาแบบผิดๆ ขายยาที่ไม่ควรขาย มันก็คือคนเลว ที่อาศัยเสื้อกราว ในการทำเลว ปล.จากที่เคยได้คุยน้องEpinephrine เป็นเภสัชกรที่ดีค่ะมาช่วยยืนยัน แต่อาจจะมี มุมบางมุม ที่เรามองต่างกัน ซึ่งพี่อาจจะมองไม่เห็นในมุมที่เรามอง แต่เลือดเขียวมะกอก เข็มข้นเสมอ และอยากเห็นวิชาชีพ ก้าวไปไกลกว่านี้ จากคุณ : ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน - [ 18 พ.ย. 49 15:55:04 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เภสัชกรที่ดี ๆ น้อยนักที่จะรวยจากการขายยา นอกจากจะรวยบุญรวยกุศลที่ได้ช่วยเหลือผู้ป่วย   ถ้าเปิดร้านขายยาแล้วหวังรวย บางคนคงต้องลืมคำว่าอุดมการณ์ + วิชาการไปบ้าง แล้วเอาวิชามารมาใช้ร่วมกับวิชาการ ก็คงจะพอต่อสู้ฟาดฟันกับหมอตี๋ได้ล่ะค่ะ จากคุณ : ออร์ก้า - [ 18 พ.ย. 49 16:06:06 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ^ ^ เห็นด้วยค่ะ เราไม่หวังรวยจากการขายยา แค่หวังว่า  อยากให้ทุกๆคนรู้จักบทบาทวิชาชีพนี้มากขึ้น และเข้าใจเภสัชกรมากขึ้น อย่างน้อย ก็ทำให้การทำงานของวิชาชีพนี้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น อย่างเรื่องยา antibiotic เป็นอะไรที่เบื่อมากๆ พูดจนปากเปียกปากแฉะ สิบเชื่อหนึ่ง ถ้าสักแต่ว่าขายๆ tc.mycin หนึ่งกล่อง ก็หยิบให้ ไม่ต้องอธิบาย คงรวยไปนานแล้ว ยานอนหลับ ยาล้างไต โลโมติล ขอซื้ออะไรก็ขายๆมันเข้าไป ยาปลอม ยาอินเดีย ไม่ต้องซักให้มากความ บางทีซักไปซักมา เจอลูกค้าตวาดใส่อีก ว่าจะขายหรือไม่ขาย... แต่เราเชื่อว่าหลายๆคน ยินดีที่จะทำดีต่อไป เป็นกำลังใจให้ทุกคนเสมอค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 19 พ.ย. 49 10:19:35 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เปิดประเด็ฯเรื่องเภสัชกร แต่ตอนหลังๆกลายเป็นทะเลาะกันกลายๆ จริงๆเรื่องนี้น่าจะคุยกันในวงในก่อนอย่างเช่นไปคุยกันในPharmacafeก่อน แล้วค่อยเอามาเถียงในนี้ เพราะในฐานะของหมอ ก็รู้ดีว่าการพูดคุยกันแบบวิชาการหรือถกเถียงเรื่องทางวิชาชีพ ภายนอกเหมือนไม่ลงรอยกัน แต่ลึกๆทุกคนมีความเข้าใจตรงกัน เรื่องว่าเภสัช"บางแห่ง" ขายยาไม่ต่างจากหมอตี๋ แม้แต่ในร้านยาคุณภาพ อันนี้ผมมั่นใจว่ามี100% ซึ่งเคยเจอมากับตัวเองหลายครั้งที่ครั้งไหนก็ตามไปซื้อยาจากร้านขายยา ก็บอกได้ว่าส่วนใหญ่แทบทุกครั้งไม่เคยมีการอธิบายอะไรเลย แต่ถ้าขายอาหารเสริมผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์(ทางเลือก) รู้สึกจะสามารถบรรยายสรรพคุณได้ดีทีเดียว เอาง่ายๆว่าผมไปร้านขายยาเพื่อซื้อยาAmoxicillin ผมชอบลองของด้วยการบอกว่าเจ็บคอ ขอซื้อยา ก็จะได้ยาชุดมา1ชุด แล้วมีการหยิบยามาให้เลือกว่าจะเอาตัวไหน ราคาต่างกัน ....ถามว่าต่างกันยังไง ก็ได้รับคำตอบสั้นๆว่ายาแรงไม่เท่ากันหรือคุณภาพไม่เท่ากัน...แค่นั้น คนที่อธิบายให้ มีทั้งเภสัชจริงๆ หรือลูกจ้างร้านขายยาปะปนกันไป ช่วงที่รับเคสmenningococcemiaเข้ามาตอนเป็นนศพ. ผมกับเพื่อนก็กลัวกัน เพราะคนไข้ไอรดหน้ากันถ้วนหน้า ก็ไปซื้อยาที่หน้ารพ. จากเภสัชกร ก็ได้มาเลย Rifampicin10เม็ด (รู้สึกจะ70-80บาท เมื่อ4ปีก่อน) ไม่มีการถามสักคำว่าเอาไปทำอะไร จ่ายเงินรับของ จบ .... เรื่องนี้เภสัชจ่ายยา แต่เป็ฯสมัยยังไม่มีร้านยาคุณภาพ ถ้าเล่ามาแค่นี้แล้วจบ ผมก็ว่าก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาแต่ติ... เพราะมีคลินิกแพทย์ไม่น้อยเช่นกันที่ทำคล้ายๆกัน คงต้องเล่าเหตุผลที่รู้สึกไว้ด้วย ร้านยาที่มีคู่แข่งหลายๆร้าน หากไปทำแบบร้านยาคุณภาพจริงๆ ผมรับประกันได้ว่าเจ๊งแน่นอน ถ้าไปมัวนั่งอธิบายอะไรต่างๆนานา ก็รับรองได้ว่าไม่มีใครอยากเข้าร้าน เพราะนิสัยคนไทย อยากได้อะไรต้องได้ ถ้ามาร้านนี้ไม่ได้ ก็เดินไปอีกร้านข้างๆ แล้วโผล่หน้ากลับมาด่า คลินิกแพทย์ก็คล้ายๆกัน เพื่อนที่ไปทำคลินิก  ถ้าเจอเป็ฯไข้เจ็บคอ แรกๆก็ไม่จ่ายยาAntibioticให้ คนไข้แก้ปัญหาด้วยการไปซื้อยาจากร้านข้างๆ ... แล้วจะให้หมอทำยังไง ถ้าบอกว่าก็ให้ยืนหยัดตามเดิม ก็คงต้องดูว่า หลายๆกรณีที่ออกมาในสังคมคนไข้มาตรวจกับหมอ ไม่ได้ยาATBไป แล้วต่อมาอาการไม่ดี แล้วก็มาร้องเรียนหรือไปทำให้เกิดข่าวว่า "เพราะหมอไม่จ่ายATBให้" ต่อมาแพทยสภาตัดสินว่าไม่ผิด... แต่คนในสังคมก็มองว่าเป็นการช่วยเหลือกัน เวชปฎิบัติที่แปลกแหวกแนวของทั้งเภสัชกรและแพทย์ มันไม่ได้มีสาเหตุมาจากอยากทำ แต่มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง อธิบายให้คนนอกวงการฟัง ก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ผมสรุปสั้นๆว่า ถ้าเราควบคุมร้านยานอกแถวหรือหมอตี๋ไม่ได้ วงการสาธารณสุขไม่มีวันเจริญหรอกครับ จากคุณ : หมอแมว - [ 19 พ.ย. 49 11:25:43 ]

ความคิดเห็นที่ 65 หมอแมวรู้จัก pharmacafe ด้วย แหะๆๆ เห็นด้วยกับหมอแมวค่ะ "ถ้าเราควบคุมร้านยานอกแถวหรือหมอตี๋ไม่ได้ " ไม่ใช่แค่ร้านยาค่ะ ยังมีพวกที่เปิดคลีนิคโดยไม่ใช่แพทย์อีกด้วยตามต่างจังหวัด มีการฉีดยาโดยใช้ยาแบบผิดๆ เยอะมากกก ถ้าวงการสาธารณสุขยังควบคุมไมได้ ยังมีคนในวงการสาธารณสุข ทำเลวๆ ร่วมมือกับคนนอกทำเลว พวกเห็นแก่เงิน ก็ไม่มีวันเจริญเหมือนกัน เจตนาทั้งหมดที่โพส เพื่อทำให้ประชาชนทั่วไป เข้าใจว่ามันมีอะไรที่ต้องควรระวัง ยิ่งในต่างจังหวัด รบกวนให้บอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ ว่าคลีนิคเถื่อนมีเยอะมาก ร้านยาที่จัดยาเลวๆก็มีเยอะ พวกยากินแล้วหายทันทียาครอบจักรวาล อยากให้ระวัง จากคุณ : ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน - [ 19 พ.ย. 49 12:12:27 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตอนแรก ทำงานมานาน ก็ต้องปรง  ก่อนครับ  ทำไงได้แหละครับสังคมไทยเราก็เป็นแบบนี้ ก็ต้องช่วยๆๆกันแก้ไขต่อไป โดยเริ่มจากทำตัวเองให้ดีที่นั่นแหละครับ ขอให้ยึดหลักธรรมะ ปล ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่เห็นแก่ตัวทั้งนั้นครับ แต่มากน้อยต่างกัน แม้ตัวเราเอง จากคุณ : smecta - [ 19 พ.ย. 49 17:48:04 ]

ความคิดเห็นที่ 67 อืม.. ไปร้านขายยาทีไร ก็ต้องถามหาเภสัชกรทุกทีอ่ะค่ะ ต่อให้ไม่ถามหา พอซักไปเยอะๆ เด๋วคนขายเค้าก็ไปตามมาเอง เหอเหอเหอ เพราะถ้าตอบไม่ได้จะไม่ซื้อหน่ะค่ะ ดีแต่ว่า ไม่ค่อยป่วย ยกเว้นเป็นไมเกรน แต่เราไม่กินคาฟาก๊อตอ่ะนะ หมอจ่ายยาแสนแพงอีกตัวมาแทน ตอนหลัง หายแล้วอ่ะ ธรรมชาติบำบัด จะใช้ยาแก้ปวดบ้างก็เพราะนอนน้อย (ต้องหายเพราะหมอขู่ว่า กินยาเยอะๆ ระวังไตวาย) จากคุณ : แอน (แอ่นแอ๊น) - [ 19 พ.ย. 49 21:04:04 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เห็นด้วยกับหมอแมวเป็นที่สุด เศร้าใจเหมือนกัน ที่ทุกๆวันนี้ ทางผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถควบคุณร้านยาส่วนใหญ่ได้ค่ะ(ขอใช้คำว่าผู้เกี่ยวข้องแทน รู้ๆกันว่าหมายถึงอะไร) การทำงานของแพทย์หรือเภสัชกรเอง ก็ลำบาก เพราะคนไม่รู้จักบทบาทของวิชาชีพ ยิ่งตามบ้านนอก ไม่ต้องพูดถึง.... ไหนจะสงครามราคายาอีก บางครั้งการทำตัวเป็นเภสัชกรที่ดี คนไข้บางคนก็ไม่ชอบมากนัก เพราะคิดว่า ไม่ได้ต้องการรับบริการจากร้านยา ขอแค่สั่งมา รีบๆขายให้ก็พอ อย่าซักอะไรมาก แล้วก็ต้องการแค่ขอให้ราคาถูก เอาสิ แพทย์ไม่จ่ายยาให้ เภสัชร้านนี้ไม่ขาย ไปซื้อที่อื่นก็ได้ ชั้นจะซื้อซะอย่าง อธิบายไปก็ไม่ฟัง... ร้านขายยา... ก็รวย แพทย์กับเภสัช ก็อดตาย... หรือไม่ก็หนีไปเป็นแพทย์พาณิชย์ เภสัชพาณิชย์ แทนซะ สบายกว่ากันเยอะเลย... ปัญหาอยู่ที่การศึกษา ถ้าหากรัฐบาลช่วยออกมาดูแลและควบคุมปัญหาเหล่านี้อย่างจริงๆจัง ไม่ต้องมีอะไรมากมายก็ได้ ขอแค่ช่วยจัดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่มีความรู้ คอยไปให้ความรู้เหล่านี้กับชาวบ้าน ก็จะช่วยได้มากๆ เราเองก็อยากจะให้ความรู้หลายๆอย่างกับชาวบ้านที่หลงผิด แต่ไม่มีหนทาง .... ได้แต่ประกาศทีละคนๆ สักสิบคนเชื่อหนึ่ง ก็ถือว่าดีถมไป ทั้งๆที่เรื่องระบบสุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่สุดท้าย เราๆ ก็หลงไปกับระบบทุนนิยมแทน กิน-เครียด-ป่วย ป่วย-เครียด ป่วย-กิน วนๆไปอย่างเดิม... จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 19 พ.ย. 49 23:34:23 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ศักดิ์ศรีเภสัช   เขียวมะกอกไม่เคยหลอกลวงใคร เขียวแต่ละใบยังใสสดโสภิณ แล้วเติบโตแตกใบจนเต็มแผ่นดิน มอบชีวินเป็นผลพืชแด่ประชา จะอยู่ถิ่นใดใจผูกพัน อันความรักนั้นไม่สร่างซา เปรียบดังสายธาราแห่งน้องพี่ ด้วยอุดมการณ์อันมั่นคง จะเทอดธงวิชาชีพนี้ เพื่อศักดิ์ศรีของเราเภสัชกร ขอผองเพื่อนจงเป็นเช่นเม็ดทราย ที่กล่นกลายมีหลายหลากทั้งนาคร แล้วร่วมกันเป็นพลังสร้างเกียรติกำจร เภสัชกรจะไว้ชื่อชั่วดินฟ้า จากคุณ : คุณชายนะคร้าบ - [ 20 พ.ย. 49 01:49:04 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เห็นด้วยกับคำพูดของคุณลูกเป็ดขี้เกียจค่ะที่ว่า-บางครั้งการทำตัวเป็นเภสัชกรที่ดี คนไข้บางคนก็ไม่ชอบมากนัก เพราะคิดว่า ไม่ได้ต้องการรับบริการจากร้านยา ขอแค่สั่งมา รีบๆขายให้ก็พอ อย่าซักอะไรมาก แล้วก็ต้องการแค่ขอให้ราคาถูก เอาสิ แพทย์ไม่จ่ายยาให้ เภสัชร้านนี้ไม่ขาย ไปซื้อที่อื่นก็ได้ ชั้นจะซื้อซะอย่าง อธิบายไปก็ไม่ฟัง... ร้านขายยา... ก็รวย แพทย์กับเภสัช ก็อดตาย... เพราะเป็นปัญหาที่ประสบมากับตัวค่ะ ดิฉันปัจจุบันอายุเฉียดเลข4ค่ะ เป็นเภสัชกรโรงพยาบาลมากว่า10ปี เมื่อปีที่แล้วตัดสินใจลาออกจากรพ.เอกขนแห่งหนึ่งหวังว่าจะเปิดร้านยาให้ความรู้แก่ประชาชนไปจนแก่จนเฒ่าเปิดร้านเมื่อธ.ค.48 ณ วันนี้ 20พ.ย.49 ร้านปิดไปเรียบร้อยแล้วค่ะพูดง่ายๆว่าเจ๊งนั่นเองพร้อมกับมีหนี้ตามมาอีกก้อนหนึ่ง ทำไมน่ะเหรอคะเพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อเภสัชกรน่ะสิคะ ไม่ขายให้ก็ไปซื้อร้านอื่นในละแวกเดียวกันที่เป็นหมอตี๋พูดเก่ง คุยเก่ง โน้มน้าวเก่ง ดิฉันพื้นเพเป็นลูกข้าราชการค่ะ ไม่มีหัวทางการค้า มีแต่ความพร้อมทางวิชาชีพอย่างเดียว ได้บทสรุปคือสู้เค้าไม่ได้ค่ะ หรือว่าหลักสูตรการเรียนการสอนควรสอนเทคนิคการขาย และการมัดใจลูกค้าด้วยดีคะถึงจะทำให้เราอยู่รอดจากการประกอบวิชาชีพนี้ ดิฉันกล้าพูดได้แบบไม่อายเลยนะคะว่ายอดขายของดิฉันอยู่ที่2-3ร้อยบาทต่อวัน ไม่มีการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆทั้งสิ้น ลูกค้าเข้ามา10รายเคยขายไม่ได้ซักรายก็เจอบ่อยๆค่ะ ที่เขียนมานี้มาจากประสบการณ์ตรงนะคะ เอามาแบ่งปันไม่ได้มีเจตนาไม่ดีหรือโจมตีใครแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าอยากให้ช่วยกันคิดน่ะค่ะว่าเราจะแก้ไขปัญหาแบบนี้ได้อย่างไรค่ะ แล้วก็อยากเตือนเพื่อนร่วมวิชาชีพด้วยนะคะว่าถ้าอยากเปิดร้านยาควรศึกษาอะไรหลายๆอย่างให้ดีก่อนจะได้ไม่ต้องมานั่งเป็นหนี้ท่วมหัวเหมือนดิฉัน ในวัยที่คงหาสมัครงานได้ยากเต็มทีแล้ว ชีวิตไม่สิ้นก็คงต้องดิ้นรนกันต่อไปค่ะ จากคุณ : เห็นด้วยอย่างแรง - [ 20 พ.ย. 49 13:41:50 A:58.8.141.55 X: TicketID:128716 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ในฐานะผู้ป่วย ผู้บริโภค ขอเพิ่มเติมนิดนึงว่า สับสนค่ะ เพราะว่าเวลาเดินเข้าร้านขายยา ไม่รู้ว่าใครเป็นเภสัช เป็นหมอตี๋ เด็กขายยา ร้านขายยาบางร้านพร้อมใจกันไม่ใส่เสื้อคลุมสีขาวทั้งร้าน ้ร้านขายยาบางร้านพร้อมใจกันใส่เสื้อคลุมสีขาวทั้งร้าน ทั้ง 2 ร้านมีเภสัชอยู่ประจำเหมือนกันทั้ง 2 ร้าน (ถ้าไม่รู้จักกันมานานก็ไม่มีทางรู้หรอกค่ะ) เริ่มต้นแค่จุดเล็ก ๆ ตรงนี้ก่อนเถอะค่ะ ให้คนทั่วไปแยกคุณให้ออกจาก หมอตี๋ เด็กขายยา เสียก่อน คนส่วนใหญ่จะไม่คิดว่าคุณเป็นเภสัชกร หรือจบเภสัชกรมาหรอกค่ะ เขาจะคิดว่าคุณเป็นแค่เจ้าของร้าน ี่เด็กขายยาจะหันไปถามเรื่องยาที่มีขายในร้าน ป้ายชื่อเภสัชกรประจำร้าน มันมีแต่ตัวหนังสือ ใส่รูปด้วยสิค่ะ ใบปริญญาบัตร รูปถ่าย ขยายใหญ่ ๆ แปะให้เด่นเป็นสง่า อย่าให้ยามันบังมิด หรือซุกอยู่ด้านใน ให้เขารู้จักว่าคุณคือเภสัชกร แล้วเขาจะเริ่มรู้ว่า คุณไม่ใช่แค่คนขายยา จากคุณ : DeE dEe - [ 20 พ.ย. 49 17:27:54 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ^ ^ ^ ตามเกณฑ์ร้านยาคุณภาพเลยหละครับ การมีป้ายแสดงชื่อพร้อมรูปเภสัชกร :) จากคุณ : Epinephrine - [ 20 พ.ย. 49 23:27:11 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า รายได้ของคนบางคนไม่ได้สูงนัก จนแทบไม่พอจะจ่ายเป็นค่าเภสัชกับแพทย์ เวลาป่วยทีก็ต้องทนๆเอา อยากให้มีร้านยาที่ไม่ต้องมีเภสัช อยากให้มีร้านหมอที่เป็นหมอพื้นบ้าน ไม่ต้องจบปริญญา (แต่ต้องติดป้ายให้ชัดเจนว่าไม่ใช่หมอปริญญา) จะได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนจนจริงๆ จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 22 พ.ย. 49 16:21:49 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ไม่ค่อยเห็นด้วยอย่างรุนแรงกับคุณ ธีรภัทร์2 ครับ เพราะจริง ๆ แล้วในร้านยาที่มีเภสัชกร หรือไม่มีเภสัชกร ถามว่าราคายาแตกต่างกันหรือไม่ จริงๆ แทบจะไม่ต่างกันเลยนะครับ แต่ในบางครั้ง ความรู้สึกของการไปร้านยาที่ไม่มีเภสัชกรจะถูกใจคนไทยมากกว่า เพราะส่วนมากคนไทยจะประเภท คนโน้นแนะนำว่ากินแล้วดี กินแล้วหาย ก็ไปขอซื้อตาม โดยไม่ดูเลยว่าตัวเองมีปัจจัยที่จะต้องทานยาหรือไม่ หรือมีข้อห้ามอะไรต้องใช้หรือเปล่า พอไปเจอร้านที่มีเภสัชกร บางคนก็แจ้งความประสงค์จะเอายา แต่เจอเภสัชกรซักถาม บางทีก็ไม่ชอบใจ ทำไมหละ ชั้นจะซื้อ เพราะบ้านโน้นกินแล้วดี บ้านโน้นกินแล้วหาย จะขายหรือไม่ขาย ไม่ขายไปซื้อร้านอื่นที่อยากขายก็ได้ ราคาในร้านที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ถ้ามีกับไม่มีเภสัชกร ราคายาอย่างเก่ง ก็แตกต่างกันไม่เกินเม็ดละ 5 บาทหรอกครับ หรือขายเป็นแผง หรือขวด ราคาก็ต่างกันไม่เกิน 20 บาท แต่ผมว่ามันคุ้มกว่าไหมที่จะได้ยาในราคาที่เหมาะสม กับได้รับการบริการเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้องในเวลาเดียวกัน ดีกว่าการได้ยาราคาถูกกว่ากันซัก 10 บาท แต่คุณต้องจ่ายยาซื้อมาโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ยาเลย จากคุณ : beverage144 - [ 22 พ.ย. 49 21:06:00 ]

ความคิดเห็นที่ 75 #71 ร้านเชน หรือร้านขายยาใหญ่บางร้านจะให้เด็กในร้านใส่เสื้อกราวด์สีขาวหมด แต่เภสัชกร จะมีข้อแตกต่างคือ ที่ด้านซ้าย จะมีตราสภาเภสัชกรรม ด้านขวาปักคำว่าเภสัชกร ปัจจุบัน กำลังรณรงค์ให้เภสัชกรที่อยู่ประจำร้านสวมเสื้อกราวด์ #73 ราคายาร้านเภสัชกร กับร้านตี๋ ไมได้ต่างกันค่ะ แต่คุณภาพยาที่ใช้บางทีดีกว่าด้วย จากคุณ : ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน - [ 23 พ.ย. 49 10:38:41 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ดังนั้น เมื่อไปซื้อยาหรือรับบริการที่ร้านขายยา ผู้บริโภคควรถามหาเภสัชกรทุกครั้ง น่าจะดีที่สุด จากคุณ : firstclass2518 - [ 25 พ.ย. 49 13:39:30 ]