Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    :: มาร์ติน วีเลอร์ - เรื่องจนมหัศจรรย์ ฝรั่งรักจน คนรักไทย :: ของขวัญปีใหม่แด่ทุกๆคน || ตอนที่ 1

    ตะกี้ตั้งกระทู้ในห้องสมุดแล้ว  แต่อยากให้เพื่อนๆได้อ่าน  เลยขออนุญาติอีกสักกระทู้นึงนะคะ

    คัดลอกมาจากหนังสือเรื่องจนมหัศจรรย์  ฝรั่งรักจน-คนรักไทย
    จัดทำโดย  พระครูวิสาลธรรมานุสิฐ วัดโคกคีรี
    --------------------------------------------------
    [ประวัติ]

    ชื่อ Martin  Wheeler
    อายุ 42 ปี เป็นชาวอังกฤษ  เมือง Blackpool
    ปริญญาตรีเกียรตินิยมภาษาละติน  จาก London  University
    ภรรยา นางรจนา  วีเลอร์  ชาวขอนแก่น
    บุตร 3 คน
    1.ด.ช. อิริค  วีเลอร์  อายุ 8 ปี
    2.ด.ญ. แอนนี่ วีเลอร์ อายุ 6 ปี
    3.ด.ช.ดิเรก  วีเลอร์ อายุ 6 เดือน


    [ผมเป็นชาวอังกฤษ]

           เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร  พ่อจบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมียาฆ่าแมลง  มีลูกน้อง 20,000 กว่าคน  แม่จบปริญญาตรี  เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน  ผมจบปริญญาตรี  เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน  ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปีที่ 3 ผมไม่ชอบเคมบริดจ์  เพราะเป็นแบบโบราณ  อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก  สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา  มีขุนนาง  และชาวบ้านป็นขี้ข้า  ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว  แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรมแบบขุนนาง  เป็นสังคมเล็กๆผ่านมา 200-300 ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร  ไม่เข้าใจชาวบ้าน  เขาคิดแต่เรื่องสังคมเล็กๆของเขาในกลุ่มคนชนชั้นสูง  เป็นพวกหอคอยงาช้าง  ที่ผมเรียนได้คะแนนดีเพราะพ่อแม่ของผมบังคับให้เรียนหนังสือ  ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ 2 ขวบครึ่ง  สอบไปเรื่อยๆเพิ่ม ไอ.คิว. ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้  ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยมเพราะพ่อแม่มีเงินช่วย  ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว


    [ปฏิวัติค่านิยมเก่า]

            ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน  ไม่อยากมีรถยนต์  ไม่อยากมีบ้านใหญ่  อยากมีบ้านเล็กๆ  อยากมีครอบครัวเล็กๆที่มีความสุข  ไม่สนใจเรื่องวัตถุ  ผมอยากอยู่แบบง่ายๆ  เมื่อก่อนไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร  แต่ตอนนี้รู้ว่าเขาเรียก"มักน้อย  สันโดษ" ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า  เป็นเด็กนิสัยเสีย  เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือแต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน  เขาหาว่าเด็กที่ไม่คิดทำงานนั้นนิสัยเสีย

            หลังจากเรียนจบแล้ว  ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้  แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้าง  แบกอิฐแบกปูนอยู่ 10 ปี ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่าผมบ้าแน่ครับ

            แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต  อยากรู้จักตัวเองว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด  มีความอดทนมั้ย  ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย  ท้าทายตัวเองบ้าง  อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง

            ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน  เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน  คุณมีรถยี่ห้ออะไร  มีกี่คัน  คุณมีบ้านใหญ่ขนาดไหน  ลูกของคุณเรียนที่ไหน  เอาลูกมาแข่งขันกัน  จบจากที่ไหนบ้าง  จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน  "แต่ผมกลับคิดว่าชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น"  ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร  แต่ที่รู้แน่ๆ  คือไม่ใช่เงิน  ไม่ใช่บ้าน  ไม่ใช่ปริญญา  ต้องมีสิ่งอื่น  ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน  ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ  แบกของหนักไว้ก่อน  เดินแบกอิฐไปมาวันละสาม – สี่พันเที่ยว  มันอิสระ  เรามีเวลาคิด  ได้รู้จักคนอื่น  และได้สร้างความเข้มแข็งให้ร่างกาย  แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย

            ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น  จริงๆเขาลำบากกว่าคนไทยมาก  เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เห็น  ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก  คนที่นั่น 60% ไม่มีบ้าน  ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา  จะไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน  ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต  98% ไม่มีที่ทำกิน  แล้วก็อยู่ในเมือง  เป็นขี้ข้าเขาหมด  แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย  เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง  ไม่มีใครมีที่ทำกิน  จะไปทำอะไรช่วยตัวเองก็ไม่ได้  จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้  ต้องไปหาเงิน  ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว  ซึ่งการเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นไม่มีอะไรยั่งยืน  เงินเป็นเหมือนยาเสพติด  มีแต่ความอยากได้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่องๆ  ผมเชื่อว่าชีวิตมีอะไรมากกว่านั้น

    [พ่อแม่และผม]

            ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย  ผมคิดว่าไม่  ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง  เขาได้เงินเดือนเยอะมาก  ได้รับบำเหน็จบำนาญ  เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน  มีตำแหน่ง  มีเกียรติยศอะไรเยอะแยะ  แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข  เพราะว่าวันจันทร์ถึงศุกร์ไปทำงานโรงงาน  ตกเย็นไปประชุมอีก  กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม  ไม่ได้เจอเมียเจอลูก  วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัวอยากพักผ่อน  พ่ออยากอยู่คนเดียว  ไม่ให้ใครรบกวน  พ่อมีเมียและลูกสามคน  แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย  สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบ  ผมไม่ได้คุยกับพ่อแม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง  เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด  คิดหนัก  อาชีพของพ่อต้องใช้สมองมาก  ผมว่าเป็นกรรมพันธุ์ด้วย  ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน  ชอบคิดมาก  ตอนนี้หายแล้ว  แม่เข้าใจผม  แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย

            แม่เสียชีวิต  ผมได้มรดกนิดๆหน่อยๆ  มีเวลาที่จะไปเที่ยว  ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว 1 ปี  จะไปประเทศที่ผมไม่เคยไปมาก่อน  เช่น  ไทย  ลาว  เขมร  พม่า  มาเลย์  เวียดนาม  อินโด  ออสเตรเลีย  คิดว่าจะไปออสเตรเลียเพราะเป็นประเทศเปิด  ไม่ค่อยมีกฎระเบียบเหมือนอังกฤษ  แต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้  ประเทศแรกที่ผมมาคือประเทศไทย

    [ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง]

             สมัยก่อนผมนิสัยเสีย  ชอบกินเหล้า  ชอบเที่ยว  ชอบสนุก  เงินที่ผมเก็บไว้ 1 ปี  ภายใน 2 เดือน ใช้หมดเลย  ไม่มีเงินกลับบ้าน  ผมอยู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2535

             ผมอยู่กรุงเทพฯ  ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว  ไปหางานทำ  อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ  จริงๆแล้วผมไม่ได้เป็นครูหรอก  ผมสอนไม่เป็น  แต่คนไทยเห็นฝรั่ง  จะบอกว่าฝรั่งทุกคนเป็นครูสอนภาษาซึ่งมันไม่จริง  ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู  ที่กรุงเทพฯ  เขาจ้างผมให้เป็นครู  เอาเสื้อผ้าดีๆ  เนคไทดีๆให้ใส่  เขาบอกว่าคุณเป็นครูนะ  แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย

             ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น  ไม่มีใครเคยสอนหนังสือแม้แต่คนเดียว  และบางครั้งก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย  มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส  พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว  คนไทยก็แปลกเหมือนกัน  เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ 3 หมื่นบาทไปนั่งเฉยๆ  ผมก็ละอายใจ  ไม่อยากรับ  ผมคิดมาก  ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน  เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิตเราต้องได้ผล  สมมติมีคนมาจ้างเรา 100 บาทแบกอิฐ  ผมจะรับแน่เพราะว่าผมแบกอิฐแผ่นนั้นจากโน่นไปที่นู่น  ผมทำได้แน่ครับ  แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไป  แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา  มันไม่ได้ผลหรอก  ผมสอนไม่เป็น  เอาเงินให้ผมเฉยๆผมก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเอา  ผมไม่ได้ทำประโยชน์อะไรคุ้มค่าเงินนะ

    [เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข]

            ผมมีอุดมการณ์เล็กๆตั้งแต่อายุยังน้อย

             1.ถ้าเราทำงานอะไร  ต้องทำสิ่งที่เรามีความสุข
             2.จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท
             3.จะไม่มีกระเป๋าเอกสาร  เพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม  เขาจะทำงานแบบนั้น  ทุกคนมีเสื้อนอก  มีรถยนต์  มีเอกสาร  แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก  ผมเอาสิ่งนี้มาเป็นสัญลักษณ์แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข  มีช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเองคือ  ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ  ผมต้องผูกเนคไท  ผมทำสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย  เพื่อเงินอย่างเดียว  ทำอยู่ประมาณ 11 เดือน   ชีวิตไม่มีความสุข  เหมือนอยู่ที่อังกฤษ  คือทำงานอะไรก็ได้ขอให้มีเงิน  แต่ไม่มีความสุข  แล้วก็เอาเงินไปใช้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ไปเที่ยว  ไปกินเหล้า  ไปสูบบุหรี่  ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด  ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม  แม้แต่อยู่กรุงเทพฯก็ยังทำอยู่  ถึงได้เงินเยอะ  แต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร  เพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข

    [หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวัง]

            ผมเจอภรรยา  เธอมาจากจังหวัดขอนแก่น  อยู่กรุงเทพฯไม่นานก็มีลูก  ผมเริ่มคิดหนัก  แต่ก่อนอยู่คนเดียวไม่มีปัญหา  มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว  ไม่ยากหรอก  เมื่อมีเมียมีลูก  มันต้องรับผิดชอบผู้อื่นด้วย  จะไปนั่งกินเหล้าเฉยๆไม่ได้หรอก  คิดว่าทำอย่างไรให้เมียกับลูกอยู่ได้  ผมรู้แน่ๆถ้าผมอยู่ในสังคมเมืองและทำงานแบบนี้  ผมจะเป็นคนแย่มาก  จะกินเหล้า  สูบบุหรี่  ติดยา  เที่ยวอย่างเดียว  จึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมืองไปอยู่บ้านนอก  แฟนผมมาจากหมู่บ้านเล็กๆในจังหวัดขอนแก่น  ช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยาย  เห็นว่าเป็นธรรมชาติดี

           ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้  เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียว  พวกขุนนางยึดหมด  คนยากจนจึงอยู่ชนบทไม่ได้  ต้องไปอยู่ในเมืองสกปรก  แออัด  คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้น  เช่นพ่อของผมมีเงินเยอะ  แต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้นเพราะยังอยู่ในเมือง  วัดจากคนที่อยู่กลางเมืองใหญ่ๆ  จะเป็นคนจนที่สุด  ที่อยู่ชานเมืองจะเป็นพวกครู  ข้าราชการอะไรแบบนั้น  เป็นผู้จัดการก็ยังอยู่ในเมือง  ส่วนคนที่จะได้อยู่บ้านนอกจะต้องเป็นคนรวยถึงขั้นจริงๆ  เป็นพวกขุนนางใหญ่โต  มันเป็นเรื่องแปลก  ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น  เห็นแต่ละคนมีที่ดินเยอะมาก  ชาวบ้านธรรมดาคนเดียวมีถึง 50 ไร่  200 กว่าไร่ก็มี  พ่อแม่ผมมีแค่ครึ่งไร่เท่านั้นเอง  แต่อยู่บ้านนอกที่นี่  โอ้โฮ...มีเยอะมากสะอาดด้วย  อากาศก็ดี  ตอนแรกได้กลิ่น  ผมก็ว่ากลิ่นอะไร  อ๋อ  มันเป็นกลิ่นธรรมชาติ  ผมไม่เคยดมมาก่อน  โอ้...สุดยอดเลยบ้านนอก  คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า  เพราะเขาไม่คิดว่าทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก  เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย  ฝรั่งไม่มีคนยากจน  เขาไม่รู้จริงๆว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก  บ้านก็ไม่มี  ที่ดินก็ไม่มี  เป็นขี้ข้าเขาหมด  ลูกก็ไม่มีอนาคต

           "ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่องเงิน" เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆ  คนรวยกวาดเงินไปเยอะจนเหลือนิดเดียว  มันแบ่งกันไม่ลงตัว  ทำให้มีคนจนเยอะ  ถ้ามีคนรวย 1 คน  จะมีคนจนเป็นร้อยเลย  ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้  ปัญหาของคนยากจนคือ  ทำยังไงจะมีชีวิตที่ดี "เราจะหลุดพ้นจากความยากจนได้  ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน  อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย  ชาวบ้านธรรมดาอาจจะไม่มีเงินเยอะ  แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่างที่มีคุณค่ามากกว่าเงินตั้งเยอะ"


    --------------------------------------------------

    พิมพ์ไม่ไหวแล้วค่า  ตาลายมาก T^T
    เดี๋ยวหายมึนแล้วจะมาลงตอนจบต่อให้นะคะ ^_^

    ปล.เขาเขียนไว้ดีมากเลย เราอ่านจบแล้วต้องรีบมาลงให้เพื่อนๆได้อ่านเลยล่ะค่ะ

    แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 49 14:53:18

    แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 49 00:55:41

    แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 49 00:53:14

    แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 49 00:41:01

    จากคุณ : Bibelot - [ วันพ่อแห่งชาติ 21:34:17 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom