ความคิดเห็นที่ 42
ก่อนอื่น ต้องบอกไว้ก่อนเลยครับ ว่า ประกาศนี้ ไม่มีผลบังคับใช้ตามกฏหมาย ไม่ได้ห้ามฟ้องหมอ ... ดังนั้นใครที่คิดจะฟ้องหมอ ก็ยังฟ้องได้เหมือนเดิม ไม่ต้องกังวลใจไป ...
ย้ำอีกครั้ง .... ประกาศนี้ไม่มีผลทางกฏหมาย
นำความเห็นของ อาจารย์เชิดชู มาฝาก...
ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ 8 ธันวาคม 2549 เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน อ่านคอลัมน์เรื่องสถานีคิด นักโทษ หมอและชาวบ้าน กับเรื่อง หรือว่าแพทยสภาป่วย ของ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขานุการ รมว.กระทรวงสาธารณสุข แล้ว ขอชี้แจงดังนี้ 1. ประกาศของแพทยสภาที่ 46/2549 เรื่องข้อเท็จจริงทางการแพทย์ มีสาเหตุมาจากการที่มีการฟ้องร้องแพทย์มากขึ้น และแพทย์ถูกตัดสินลงโทษ เช่น จำคุก หรือให้ชดใช้ค่าเสียหายมากขึ้นเป็นร้อยเท่า พันเท่า ของค่ารักษาที่แพทย์ได้รับจากผู้ป่วย บางครั้งก็เป็นความผิด แค่ ประมาท อยู่บ้าง ตามคำตัดสินของศาล ทั้งๆที่ผู้ป่วยที่ตายหรือพิการ หรือกลายเป็นป่วยเรื้อรังนั้น ส่วนมากเกิดจากสภาพโรคและร่างกายของผู้ป่วยเอง ที่มีอาการหนักหนาสาหัส เกินความสามารถที่หมอจะรักษาเยียวยาได้ แต่ประชาชนคิดว่าเป็นความผิดของหมอ จึงนำไปฟ้องศาล และหมอส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีการไปต่อสู้ป้องกันตัวในศาล และศาลบางทีก็สงสารญาติหรือผู้ป่วย และศาลคิดว่า ถ้าฟ้องหมอ(ของรัฐบาล) แล้วหมอไม่ต้องจ่ายเงินเอง หมอไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไร และศาลสงสารผู้ป่วยจึงตัดสินให้กระทรวงสาธารณสุขชดใช้ค่าเสียหาย แต่ญาติหรือผู้ป่วย กลับนำผลการพิพากษาของศาล ไปฟ้องศาลอาญาอีก เพื่อต้องการให้หมอติดคุก ที่ทำให้ญาติ/ตนเองตาย/พิการ ทำให้หมอถูกศาลพิพากษาจำคุก ทั้งๆที่การที่ผู้ป่วยตายหรือพิการนั้น หมอได้ทำสุดความสามารถแล้ว นี่จึงอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ว่า ผู้บริสุทธิ์ ถูกตัดสินให้จำคุก
2. คำประกาศแต่ละข้อนั้น ก็เป็น ความจริง ทั้งนั้น ไม่ได้มีความเท็จปะปนอยู่เลย เพราะว่าโรคบางโรค เช่น ไส้ติ่งอักเสบ หรือไข้เลือดออกนั้น ในขณะที่เริ่มเจ็บป่วย 2-3 วันแรก อาการอาจยังไม่เด่นชัดจนสามารถวินิจฉัยได้ ต่อเมื่อเป็นมากแล้ว จึงจะวินิจฉัยได้ การที่ผู้ป่วยไส้ติ่งแตกแล้วบางทีก็ยังไม่สามารถตรวจพบ เพราะไส้ติ่งของผู้ป่วยคนนี้เป็นไส้ติ่งชนิดที่ซ่อนอยู่ข้างหลังใต้ลำไส้ใหญ ่ (Retrocecal appendix) จึงทำให้ไม่สามารถตรวจพบได้โดยวิธีการธรรมดา ฉะนั้นในโรงพยาบาลชุมชน (อำเภอ) แพทย์จึงอาจตรวจไม่พบไส้ติ่ง (ชนิดนี้) อักเสบ ถ้าไม่มีการทำ ultra sound หรือตรวจโดยวิธีพิเศษ หรือจนกระทั่งผู้ป่วยมีอาการหนักจนช็อก เป็นต้น ส่วนคำประกาศข้อ 5 ที่ว่าแพทย์สามารถปฏิเสธการรักษานั้น ก็เป็นความจริงที่ว่าแพทย์ทุกคนไม่ใช่ว่าจะเชี่ยวชาญทุกเรื่องเสมอไป เมื่อก่อนนี้ในโรงพยาบาลชุมชน(อำเภอ) ก็พยายามที่จะรักษาผู้ป่วยด้วยโรคทุกชนิด รวมทั้งการผ่าตัดด้วย ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางการผ่าตัด หรือการทำคลอด หมอในโรงพยาบาลชุมชน(อำเภอ) ก็พยายามช่วยเหลือดูแลรักษาผู้ป่วยทุกชนิดจนสุดความสามารถ เช่น ผ่าไส้ติ่ง ผ่าคลอด ฯลฯ อาการที่หนักมากจริงๆ จึงจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจังหวัด หรือโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ แต่เมื่อมีกรณีผ่าไส้ติ่งที่โรงพยาบาลอำเภอแล้วผู้ป่วยตาย ศาลตัดสินว่าหมอทำการผ่าตัดทั้งๆที่ไม่มีหมอหรือพยาบาลดมยา(สลบ) โดยหมอทำผ่าตัดเอง ฉีดยาบล็อกหลังเอง ถือว่าเป็นการประมาท ตัดสินให้โรงพยาบาลชดเชยค่าเสียหาย และญาตินำเรื่องไปฟ้องศาลอาญา หมอถูกขังอยู่ใต้ถุนศาล เพราะไม่มีเงินประกันตัว โดยกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ยื่นมือมาช่วยเหลือ หมอต้องมาร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากแพทยสภา เพื่อขอให้ช่วยด้านกฎหมาย และแพทยสภาต้องประสานงานไปยังกระทรวงสาธารณสุข ให้ทนายมาดูแลช่วยเหลือภายหลัง นี่เป็นตัวอย่างที่ทำให้แพทยสภาต้องเขียนคำประกาศข้อที่ 5 คือ ถ้าหมอไม่เชี่ยวชาญ ไม่มีหมอครบ เครื่องมือไม่ดีพอ ก็ให้ส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลอื่นที่มีความพร้อมจะดีกว่า คนไข้อาการหนักก็ช่วยเหลือเบื้องต้นก่อน แล้วส่งไปรักษาต่อไป ทำอย่างนี้แล้ว คนไข้(อาจ)จะปลอดภัย หรือตายบนรถส่งต่อ (ที่ไม่ได้มาตรฐาน) แต่หมอจะ ปลอดภัย จากการถูกฟ้องร้องว่า รักษาไม่ได้มาตรฐาน แน่นอน
3. คำประกาศข้อ 7 ที่ว่าในสภาพที่หมอเหนื่อย ขาดการพักผ่อนนั้น ก็มีสาเหตุมาจากการที่ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (30 บาท ที่เปลี่ยนเป็น 0 บาท) นั้น ได้ทำให้ประชาชนมา ใช้สิทธิ์ ในการรักษาตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ในขณะที่บุคลากรแพทย์ก็ขาดแคลน โดยรัฐบาลก็ตอกย้ำการประชาสัมพันธ์ว่าให้ประชาชนมาใช้บริการรักษาได้ทุกโรค ทุกเวลา ถึงแม้จะพูดอย่างสวยหรูว่า จะใช้วิธีการ สร้างสุขภาพ ไม่ใช่ ซ่อม สุขภาพ แต่ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือประชาชนไม่ต้องรับผิดชอบดูแล สร้างสุขภาพของตนเองเลย แต่มาใช้ สิทธิ์ ซ่อม สุขภาพได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง โดยที่บุคลากรไม่สามารถปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะเป็นในภาวะฉุกเฉินหรือไม่ ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์มีจำนวนน้อย แต่ต้องอยู่เวรรับผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง คือต้องทำงานทั้งในเวลาราชการและนอกเวลาราชการ คือ ทำงานหนักเกินกำลัง ขาดการพักผ่อน เครียด เพราะในการทำงานของแพทย์นั้น แพทย์จะต้องใช้ความคิดพิจารณาในการวิเคราะห์แยกโรค และวิเคราะห์หาวิธีการรักษาให้ถูกต้อง ฉะนั้นในภาวะที่หมอเหนื่อย เพลีย ขาดการพักผ่อน หมอย่อมใช้วิจารณญาณในการรักษาพยาบาลได้ไม่เพียงพอ อาจไม่สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง ทำให้รักษาโรคผิดหรือเกิดโรคแทรกซ้อน ส่งผลให้ผู้ป่วยตายหรือพิการโดยไม่จำเป็น ซึ่งเป็นผลเสียต่อประชาชนแล้วส่งผลไปยังแพทย์ถูกฟ้องร้อง ตกเป็นจำเลยของสังคม(ในสื่อมวลชน) เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งๆที่อาจไม่ใช่ความผิดของตนเอง นอกจากนั้นยังอาจตกเป็นจำเลยถูกฟ้องที่แพทยสภา ฟ้องศาลแพ่ง ศาลอาญา ฯลฯ ถูกตัดสินชดใช้ค่าเสียหาย หรือถูกตัดสินจำคุกทั้งๆที่ความเสียหายแก่ผู้ป่วย อาจไม่ใช่ความผิดหรือความบกพร่องในเรื่องความรู้หรือมาตรฐานทางการแพทย์ แต่อาจเกิดจากการที่หมอเหนื่อย เพลีย จากการอดนอน ทำให้ความคิดไม่แจ่มใส จึงตัดสินใจผิด ยกตัวอย่างเช่น ในโรงพยาบาลอำเภอ มีหมอ 2 คน หมอ 1 คนต้องอยู่เวรวันจันทร์ ก็ต้องทำงาน 8.30 16.30 น. วันจันทร์ แล้วทำงานจาก 16.30 8.30 น. วันอังคาร แล้วยังต้องทำงานวันอังคาร 8.30 16.30 น.คือทำงาน 8 ชั่วโมง + 16 ชั่วโมง + 8 ชั่วโมง = 32 ชั่วโมง แล้วจึงจะได้หยุดพักผ่อน 16.30น. วันอังคาร 8.30 น.วันพุธ ก็เริ่มทำงานอีก ถึง 16.30 น. และอยู่เวร 16.30 น.วันพุธ 8.30 น.วันพฤหัสอีก ซึ่งเรื่องที่กล่าวอ้างนี้เกิดขึ้นจริงในโรงพยาบาลอำเภอ หลายแห่งของประเทศไทย หรือแม้แต่ในโรงพยาบาลจังหวัดที่มีหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ (Specialist) เพียงสาขาละ 1-2 คน หมอเหล่านี้โดยเฉพาะหมอศัลยกรรม ก็จะต้องทำงานและอยู่เวรวันเว้นวันเหมือนในตัวอย่างข้างต้นเช่น เดียวกัน จนในปัจจุบันนี้ หมอหนุ่มๆ สาวๆ ไม่สมัครเป็นหมอศัลยกรรม เพราะงานหนัก เหนื่อย เพลีย เสี่ยงต่อความผิดพลาดและถูกฟ้องร้อง ต่อไปประชาชนที่เกิดอุบัติเหตุ หรือ ถ้าป่วยด้วยโรคที่ต้องทำการผ่าตัด อาจจะต้องรอคิวผ่าตัดนานเหมือนในต่างประเทศ หรือถ้าอาการฉุกเฉินก็คงจะได้มีหมอผ่าตัดประจำหลายๆโรงพยาบาล คอยเยียวยารักษาผู้ป่วย นี่จึงเป็นที่มาว่าในสภาพการณ์เช่นนี้ หมออาจจะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อน หรือความผิดพลาดได้ ซึ่งเมื่อนำไปฟ้องแพทยสภา ในการพิจารณาแพทยสภาก็อาจจะต้องคำนึงถึงสภาพการณ์ของหมอ บุคลากรอื่น เช่น หมอดมยา พยาบาล โรงพยาบาล และเครื่องมือเครื่องใช้ว่าอยู่ในสภาพเหมาะสมหรือไม่ และก็อยากให้ศาลใช้ดุลยพินิจในเรื่องนี้ ควบคู่กันไปด้วย
4. ปัญหาใน 3 ข้อข้างต้นนี้ ถ้ากระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการได้ดี มี การจัดระเบียบการใช้บริการทางการแพทย์ ให้เป็นการแพทย์พอเพียง ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ให้มีการใช้บริการทางการแพทย์อย่าง พอประมาณ ,สมเหตุ สมผล, มีมาตรฐานตามหลักการวิชาการ มีความเสียสละร่วมมือกับทั้งประชาชนและบุคลากรการแพทย์ คือ ถ้าฉุกเฉินก็มาได้ตลอดเวลา แต่การป่วยที่ไม่ฉุกเฉินก็ควรมาในเวลาราชการและควรดูแลรักษาเบื้องต้น (ปฐมพยาบาล) เองบ้าง ไม่ใช่มาใช้สิทธิรักษาตลอดเวลา และมี ภูมิคุ้มกันความเสี่ยง ไม่ให้ประชาชนและแพทย์ได้รับผลกระทบในทางที่เสียหาย ซึ่งจะทำให้สังคมและประชาชนทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ได้รับความคุ้ม ครอง ไม่ให้เกิดผลเสียหายเช่นเดียวกัน ผู้ที่จะบริหารจัดการเรื่องนี้ได้ คือ รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงสาธารณสุข น่าจะสามารถดำเนินการได้ แต่ไม่ได้รับความสนใจแก้ไข ซึ่งแพทยสภาเคยเสนอมาตรการแก้ไขแก่ รมว.กระทรวงสาธารณสุข มาตั้งแต่ยุค สุดารัตน์, สุชัย, พินิจ และมงคล ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไข การที่ รมว.สธ. มงคลพูดว่า ประกาศของแพทยสภาไม่มีผลบังคับก็จริง แต่การที่ท่านมาบอกว่าเห็นใจหมอนั้น หมอไม่ต้องการคำว่า เห็นใจ แต่ต้องการเรียกร้องให้มีการแก้ไขสภาพการทำงานเหล่านี้ให้ดีขึ้น ถ้าท่านไม่สามารถบริหารจัดการได้ ก็ถึงเวลาที่ท่านจะต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง แพทย์หญิงเชิดชู อริยศรีวัฒนา กรรมการแพทยสภา
จากคุณ :
หมอหมู
- [
13 ธ.ค. 49 18:08:06
]
|
|
|