วิตะมินซี เชื่อกันว่า ถ้ารับในปริมาณมากต่อวันสามารถป้องกันโรคหวัดได้
แต่จากการวิจัยของสถาบัน ไลนัส พอลลิ่ง ศึกษาแล้วพบว่า ถ้าอยู่ในอาการหวัด การรับวิตะมินซีเสริมจะช่วยย่นระยะเวลาการเป็นหวัด และหายได้เร็ว แต่ไม่ได้ช่วยให้ป้องกันโรคหวัดได้ นั่นคือ การกินวิตะมินซีเสริมมากๆ เพื่อป้องกันหวัดจึงเป็นการเสียเงินเปล่า
วิตะมินในกลุ่มแอนตี้ออกซิแดนซ์ : E และ A (ACE)
เชื่อว่า ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซล ชะลอความแก่ และป้องกันโรคมะเร็ง
วิตะมินอี สามารถปกป้องเซลล์เพื่อป้องกันการทำปฏิกริยา โดยทดลองกับเนื้อสด โดยนำสารที่ทำลายวิตะมินอีในเนื้อหยดลงไป ภายในไม่กี่นาที จะเห็นว่า เนื้อกลายเป็นสีน้ำตาล และมีกลิ่นไม่ดี
การทดลองมุ่งไปที่การรับวิตะมินอีเสริมจากการกินในชีวิตประจำ โดยผู้ทดลอง กินวิตะมินอีเสริมมากถึง 40 เท่า เป็นประจำอยู่แล้ว จึงมีสมมติฐานว่า ร่างกายของเธอสามารถดูดซึมวิตะมินอีได้หรือไม่ เนื่องจากเธอมักจะกินวิตะมินอีกับน้ำในท้องว่างๆ เป็นประจำ เนื่องจากวิตะมินอีสามารถละลายในน้ำมัน โดยการทดลองให้กินกับนมที่ไม่มีไขมัน ปรากฏว่า ผลการทดลองที่ออกมา พบว่า ร่างกายดูซึมวิตะมินอีน้อยมาก และสรุปว่า ควรจะรับประทานวิตะมินอีพร้อมกับอาหารที่มีไขมัน
ต่อมาเพื่อยืนยันการทดลองนี้ จึงได้ทำการทดลองซ้ำอีกครั้งโดยคิงส์ คอลเลจ คราวนี้ใช้วิตะมินอีเสริมตามท้องตลาดซึ่งต่างจากอันแรกที่เป็นวิตะมินอีพิเศษ โดยให้ผู้ทดลองกินพร้อมกับน้ำ นมธรรมดาที่มีไขมัน มิลเชคที่มันมากเป็นพิเศษ ผลปรากฏว่า ร่างกายสามารถดูดซึมได้พอๆ กันทั้งอาหารสามอย่างที่กินพร้อมวิตะมินอี
ซึ่ง จากทดลองนี้ เนื่องจาก ในเม็ดวิตะมินอียี่ห้อที่ทดลองนั้น มีไขมันอยู่เล็กน้อย เพื่อช่วยให้การเคลื่อนตัวของวิตะมินอีดีขึ้น แต่เนื่องจากทดลองในกลุ่มเล็ก และใช้วิตะมินอีเสริมเพียงยี่ห้อเดียว แพทย์จึงแนะนำให้รับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันอยู่บ้าง เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี
วิตะมินเอ : เบต้าแคโรทีน ในเบต้าแคโรทีนซึ่งสามารถจะเปลี่ยนเป็นวิตะมินเอในร่างกายนั้น กลุ่มทดลองกินเบต้าแคโรทีนเม็ดที่เทียบเท่ากับการกินแครอท 6 หัว โดยทดลองกับนักสูบบุหรี่ในด้านการป้องกันโรคมะเร็งปอด โดยใช้เวลาทดลอง 8 ปี ก่อนจะจบการทดลอง ปรากฏว่า ได้มีการเรียกประชุมและให้หยุดการกิน เพราะว่ามีผลว่า ผู้ทดลองเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ในขณะที่ กลุ่มทดลองของอีกสถาบันก็มีการหยุดการทดลองก่อนเวลา 2 ปี เนื่องจากพบว่า โอกาสการเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นถึง 28% ดังนั้น แพทย์จึงแนะนำว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งปอดควรจะงดการกินวิตะมินเสริมเอที่มากกว่าความต้องการของร่างกาย
วิตะมินเอ : เรตินอล เนื่องจากแพทย์ท่านหนึ่งได้รับชิ้นเนื้อที่มีมะเร็งตับมาตรวจสอบ แต่ไม่พบสาเหตุที่เนื่องจากแอลกอฮอล์ หรือไวรัส แพทย์จึงมองหาสาเหตุอื่นซึ่งคิดว่า น่าจะมาจากวิตะมินเอ แต่ในประวัติของคนไข้ไม่ได้บอกว่ามีการกินวิตะมินเอเสริม เมื่อสอบถามกลับไปทางคนไข้อีกครั้ง คนไข้รับวิตะมินเอเสริมแบบเข้มข้น 3 เม็ดต่อวัน เป็นเวลานาน
(นักโภชนาการที่สนับสนุนการรับประทานวิตะมินเสริม แนะนำว่าให้รับประทานวิตะมินเอเสริมมากถึง 2500 ไมโครกรัมต่อวัน)
ในสวีเดน พบว่า โรคที่พบกันมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกคือ โรคกระดูกพรุน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นกันมาก เพราะอาหารประจำของชาวสวีเดนอุดมไปด้วยแคลเซี่ยม แต่ที่น่าสนใจคือ อาหารเหล่านั้นอุดมด้วยวิตะมินเอด้วย อีกทั้ง นมพร่องไขมันในสวีเดนยังเป็นประเทศเดียวที่ถูกเติมด้วยวิตะมินเอ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการทดลองในสัตว์ พบว่า การรับวิตะมินเอต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้กระดูกพรุนในสัตว์ด้วย จึงมีการเปรียบเทียบในคนว่า ปริมาณเท่าใดที่จะทำให้กระดูกพรุนได้ ผลคือ การรับวิตะมินเอในประมาณ 1.5 มิลลิกรัมต่อวัน หรือว่า มากกว่าปริมาณมากกว่าที่ร่างกายต้องการ 2 เท่าต่อวันต่อเนื่องกันเป็นเวลายาวนานมากๆ ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้
นักเภสัชวิทยาของมหาวิทยาลัยเซาท์แธมตันท่านหนึ่ง ซึ่งสนใจในแง่ความปลอดภัยของการรับประทานวิตะมิน ได้เห็นต่างออกไปบ้าง ในแง่ความเสี่ยงต่อโรคกระแตก และพรุน พบว่า ในการศึกษาการรับวิตะมินเอมากกว่า 1500 ไมโครกรัมต่อวัน ต่อเนื่องเป็นเวลานานมากๆ ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน และแตกได้ แพทย์จึงแนะนำให้รับวิตะมินเอจากรับประทานอาหารประจำวันตามสัดส่วน และงดการรับวิตะมินเอเสริม (เคสที่รับคำปรึกษาทานอาหารและรับวิตะมินเอเพียงพอแล้วโดยไม่ต้องรับเสริมอีก และเธอตัดสินใจงดรับประทานวิตะมินเอเสริมซึ่งจากเดิมรับประทานวันละ 2000 ไมโครกรัมติดต่อกันมา 1 ปี)
ที่มา: รายการสารคดีในช่อง explore 3
จากคุณ :
แอ่นแอ๊น
- [
วันสิ้นปี 12:53:46
]