ความคิดเห็นที่ 1 จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ให้สัมภาษณ์โดย นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์จากสถาบัยกัลยาราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต ( รพ.ที่คุณหมอเผ่าให้การรักษาอยู่ในคณะนี้ แต่ไม่ใช่แพทย์เจ้าของไข้)    จิตแพทย์ทุกคนมีจรรยาแพทย์ กว่าที่จะมาเป็นจิตแพทย์ได้ ต้องผ่านการฝึกฝนและทดสอบกันมาพอสมควร ใช้เวลาเรียนจนจบเป็นจิตแพทย์ 9-10 ปี (เรียนแพทย์ 6 ปี และต่อเฉพาะทางอีก 3-4 ปี ) เวลา 10 ปีมากพอที่จะทำให้จิตแพทย์มีประสบการณ์ในการคัดกรองผู้ป่วยได้       โดยปกติหากแพทย์ ทั่วไป วินิจฉัยโรคผิด ก็ผิดตรงที่โรคที่ได้วินิจฉัยไปนั้น ไม่ตรงกับอาการของโรคที่กำลังป่วยอยู่        " แต่ไม่ถึงขนาดว่าจะวินิจฉัยให้คนที่ไม่ป่วย กลายเป็นคนป่วยได้ "         สังคมกำลังตั้งคำถาม กรณีนี้จิตแพทย์วินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องหรือไม่ ตรวจสอบข้อมูลรอบด้านหรือยัง เพราะคนใกล้ชิดของคนไข้ต่างก็ยืนยันว่า คนไข้รู้เรื่องดี พูดคุยเป็นปกติ ไม่มีอาการคนเจ็บป่วยทางจิตเลยแม้แต่น้อย จากคุณ : poohpae (poohpae) - [ 10 มี.ค. 50 14:16:01 ]

ความคิดเห็นที่ 2 "อันนั้นเป็นมุมมองของแต่ละบุคคล " นพ.กัมปนาทกล่าว " ไม่มีพื้นฐานทางวิชาการมาเกี่ยวข้อง "       ภาพของคนป่วยทางจิต ในสายตาของคนส่วนใหญ่ ต้องมีอาการโวยวาย พูดจาไม่รู้เรื่อง เอาไม้ไล่ตีคน ทำพฤติกรรมแปลกๆที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน หรืออย่างข่าวล่าสุดที่พ่อใช้เหล็กตีหัวลูกถึงตาย     แต่ในความเป็นจริง คนที่มีการศึกษาสูงพูดจารู้เรื่องพอทำงานได้ คนเหล่านี้มีสิทธิที่จะป่วยทางจิตได้     หมอมีหลายกรณี... เป็นตัวอย่างยืนยัน          คนไข้คนหนึ่งของหมอ อายุไล่เลี่ยกับหมอ ทำงานเป็นแพทย์ของรพ.แห่งหนึ่ง เพื่อนร่วมงานต่างก็ยืนยันว่าเขาทำงานได้ดี แต่อาการของคนไข้รายนี้ คนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ บ่อยครั้งเขามักหงุดหงิด และ อารมณ์เสีย      "  หวาดระแวงว่าคนในครอบครัวจะแย่งสมบัติ  "     ทุกคนเห็นว่าพอทำงานได้ มีความฉลาด ไม่ใครกล้าเข้าไปยุ่ง คิดว่าเป็นนิสัยส่วนตัว ปล่อยให้เป็นแบบนี้มานานเกือบสิบปี อาการยิ่งกำเริบ คนไข้ไปทุบตีคุณแม่ของตนเอง เพราะกล้วว่าแม่จะมาแย่งสมบัติ ญาติพี่น้องจึงต้องนำมาส่งที่รพ.       คนไข้อีกคนเป็นวิศวกร ทำงานทุกอย่างได้ดี ประชุมกับผู้บริหารรู้เรื่อง แต่บ่อยครั้งเกิดอาการหูแว่ว  ว่าคนในที่ทำงานจะมาทำร้าย เขาก็พยายามเก็บอาการนั้นไว้ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ ไล่ทำร้ายคนในที่ทำงาน เพื่อนๆจึงพาตัวเขามารักษา         สองกรณีนี้บอกได้เว่า คนที่ดูปกติ พูดจารู้เรื่อง ทำงานได้ดี ก็สามารถเจ็บป่วยทางจิตได้เหมือนกัน       แต่ประเด็นที่สังคมยังไม่ทราบ คนไข้ในลักษณะนี้มีความฉลาด ไอคิวสูงมาก ความฉลาดบดบังความเจ็บป่วยทางจิตของเขา ทำให้คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเห็น จากคุณ : poohpae (poohpae) - [ 10 มี.ค. 50 14:32:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ในมุมของจิตแพทย์ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะคนที่มีไอคิวสูงๆนั้น พอเกิดอาการเจ็บป่วยทางจิต ไม่ยอมที่จะเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ ส่งผลให้ต้องใช้ระยะเวลารักษานานกว่าคนอื่นหลายเท่า       กรณีที่เป็นข่าว แม้หมอจะไม่ได้เป็นเจ้าของไข้ แต่ข้อมูลที่ได้รับ เชื่อว่าคนไข้น่าจะมีความเจ็บป่วยทางจิตจริง สาเหตุจะมาจากอะไร ก็คงต้องหากันต่อไป       หมอเห็นด้วยกับญาติพาเข้ารักษา เพราะถ้าทางญาติไม่ยอมพาเข้ารักษา ปล่อยไปเลยตามเลย ข้อมูลที่ทางญาติบอกว่าคนไข้พกปืน 3 กระบอก ใส่เสื้อเกราะ เกิดวันดีคืนดี มีอาการหูแว่วประสาทหลอน        อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น วันนั้น ....สังคมคงจะเจอเรื่องเศร้าไปกว่านี้ จากคุณ : poohpae (poohpae) - [ 10 มี.ค. 50 14:39:15 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มีคนสงสัย การใช้ตำรวจระดับสารวัตร 191 เข้าไปช่วยในการหลอกล่อคนไข้มาอีก รพ. เหมือนกับมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง หมอกลับไม่รู้สึกแปลกใจอะไร       "คนไข้ที่หมอรักษาอยู่ ญาติก็จำเป็นต้องหาวิธีการหลอกล่อด้วยอุบายเพื่อที่จะพาคนไข้เข้ารับการรักษา "        ส่วนเรื่องตัวยา ephedrine ที่พบในตัวคนไข้ในปริมาณที่สูงมาก หมออยากทำความเข้าใจว่า รพ.ทางด้านจิตเวชทั้งหมด ไม่เคยสั่งยาตัวนี้เข้ามาในคลังยา เพราะเป็นยาที่ควบคุม และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในผู้ป่วยทางด้านจิตเวช ( เพิ่มเติมโดย จขคห ยา ephedrine ทีใช้ในปัจจุบันในรพ. เป็นรูปยาหยอดจมูกให้จมูกโล่งในราย ผู้ป่วย ภูมิแพ้และไซนัสเรื้อรัง เป็นยาควบคุม ในรูปของยาฉีดนั้นในรพ. เลิกใช้ไปนานแล้ว เพราะมีผลทำให้หัวใจเต้นผิดปกติจนถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าได้ในปริมาณมากเกินหรือผู้ป่วยมีโรคหัวใจอยู่เดิม ในรูปยาหยอดจมูกส่วนใหญ่ใช้ยาชนิดนี้ลดลงเพราะมีผลข้างเคียงมากบางที่ก็เลิกใช้ไปแล้ว ในรูปยากิน ไม่มีเลยไม่ว่ารพ.ใดก็ตาม ในรูปยากิน ปัสสาวะจะออกมาเป็นephedrine ได้นั้น ยากินชนิดนี้เป็นสารมีฤทธิ์ต่อจิตประสาทและผิดกฏหมาย มันมีชื่อว่า "ยาอี" )        ยา ephedrine เป็นยาตัวตั้งในการผลิตยาบ้า เมื่อผู้เสพเข้าไปแมกๆ อาจทำให้หัวใจวาย หรือเกิดอาการคุ้มคลั่ง       แต่ยาตัวนี้จะหมดฤทธิ์ใน 24-72 ชม. " หมอกัมปนาทย้ำ        คงไม่มีหมอคนไหนหายามาฉีดผู้ป่วย แล้วนำผู้ป่วยไปเจาะเลือด เท่ากับเป็นการจับผิดตัวเอง ในความเป็นจริง แพทย์ไม่มีทางทำแบบนั้น แม้แต่ยาทางจิตเวช ก็ไม่มียาตัวไหนที่ฉีดแล้วยิ่งระแวงมากขึ้น มีแต่อาการจะดีขึ้น         ยาที่ใช้ในวงการจิตเวช ส่วนใหญ่ผลข้างเคียงให้คนไข้ง่วงนอน หรือคนไข้บางรายอาจนอนไม่หลับ หรือผลข้างเคียงเล็กน้อย ที่สามารถแก้ไขได้         ตอนนี้สังคมกำลังตั้งคำถาม ถ้ามีการฉีดยา หรือให้กินยาทางจิตเวชจนคนไข้มีอาการทางจิตมากขึ้น เป็นไปได้หรือไม่         "หมอคิดว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆต้องใช้ยาปริมาณที่สูงมาก " ประการสำคัญผู้ป่วยอาจเสียชีวิตไปก่อน ที่จะมีอาการทางจิตเกิดขึ้น ส่วนคำถามที่ตามมา ผู้ป่วยได้รับยานี้มาจากไหน จากคุณ : poohpae (poohpae) - [ 10 มี.ค. 50 15:03:37 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ประเด็นนี้หมอขอไม่แสดงความคิดเห็น บางเรื่องเป็นความลับส่วนตัวของคนไข้ หรือบางทีค่าที่ออกมาจากตัวผู้ป่วย อาจจะเป็นผลบวกปลอม ( จขคห: ผลบวกปลอมในทางวิทยาศาสตร์หมายถึงสารที่มีโครงสร้างเคมีคล้ายกันในบาง test อาจมีผลบวกได้เหมือนกัน ในกรณี ของ ephedrine สารที่มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายหรือเป็นอนุพันธ์ของสารนี้ มี เช่นpseudoephedrine , met-amphedtamine  เป็นต้น ต้องดู sensitivity และ specitivity ของ testนั้นต่อ ตัว ephedine มากแค่ไหน และอาจต้องให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเพิ่มเติมว่าจะต้องแยกกับผลบวกลวงจากสารอื่นๆอย่างไร : เพิ่มเติม จขคห )        อีกเหตุผล ที่ทำให้หมอเชื่อว่าคนไข้รายนี้ป่วยจริง คนไข้ได้ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาโดยนักจิตวิทยา แบบทดสอบดังกล่าว ไม่สามารถแกล้งทำ หรือหลอกได้ ถ้าไม่ป่วย ผลการทดสอบก็จะแหดงออกมาว่าไม่มีความผิดปกติ        แต่ถ้าคนไข้ป่วยจริง ก็สามารถใช้ผลจากการทดสอบ ยืนยันควบคู่ไปกับการตรวจสภาพจิตโดยจิตแพทย์        ตอนนี้สังคมกำลังสับสนวุ่นวาย สังคมภายใต้วัตถุนิยม คนส่วนใหญ่บูชาเงินเป็นพระเจ้า ขนาดความสัมพันธ์ ระหว่างแม่ลูก ที่งดงามมาแต่ในอดีต ยังมีกลุ่มคนบางคนในสังคทเชื่อว่า         "แม่อยากจะฆ่าลูกเพราะเงิน ลูกอยากฆ่าแม่เพราะสมบัติ "         ทั้งๆที่ในความเป็นจริง เป็นความปรารถนาพีที่คนในครอบครัวพึงมีต่อคนในครอบครัว เป็นความปรารถนาดีต่อสังคม เพื่อให้เกิดความปลอดภัย         น่าเสียดาย ที่ความปรารถนาดีกลายเป็นเรื่องที่ทำให้คนที่ต้องทุกข์ทรมานอยู่แล้ว ยิ่งทุกข์ทรมานมากขึ้น สิทธิผู้ป่วยถูกย่ำยี แพทย์ผู้รักษาถูกมองในแง่ลบ  สถานพยาบาลถูกมองว่าขาดความน่าเชื่อถือ         คนในสังคมบางคนพยายามโยงจิตแพทย์เข้าไปเกี่ยวข้องในวงจรของการได้ประโยชน์เสียประโยชน์ สื่อมวลชนกำลังสงสัย จิตแพทย์ได้ฉีดยาเข้าไปในตัวคนไข้ เพื่อที่จะให้คนไข้ปกติกลายเป็นคนบ้า         " เรื่องแบบนี้ถ้ามันมีอยู่จริง ก็มีอยู่แต่ในนิยาย หรือละครน้ำเน่า "         นพ.กัมปนาท ยืนยันทิ้งท้าย ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 50 15:48:28 จากคุณ : poohpae (poohpae) - [ 10 มี.ค. 50 15:26:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จขคห : หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ ที่ออกมาโพสต์นี้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของบุคลากรทางการแพทย์ที่เคยเห็นและเข้าใจกระบวนการต่างๆในการรักษาผู้ป่วยจิตเวชต่างๆอย่างไกล้ชิด  หวังว่าคดีนี้จะสิ้นสุดลงด้วยความถูกต้อง ยุติธรรมเป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิดก็ตาม รอฟังคำตัดสินวันที่ 12 มีค.อยู่ค่ะ จากคุณ : poohpae (poohpae) - [ 10 มี.ค. 50 15:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 7 รอฟังด้วยเหมือนกันค่ะ แต่ส่วนตัวหลังจากได้ตามข่าว เชื่อทางครอบครัวหมอมากกว่า เป จากคุณ : friend of friend - [ 10 มี.ค. 50 16:07:41 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อืมม เชื่อครอบครัวมากกว่าหน่อยอ่ะค่ะ แม่ พี่ชาย คงไม่ทำไรงี้กะคนในครอบครัวหรอกนะคะ แต่ตามข่าวไปค่ะ เข้มข้นจริงๆ แอบเห็นใจลูกคุณหมอนะคะ ไม่กล้าไป รร อ่ะ จากคุณ : vnv - [ 10 มี.ค. 50 19:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มองอย่างเป็นกลางเหมือนกัน ไม่ได้มีข้อสงสัยบุคลากรทางการแพทย์ของศรีธัญญาในเรื่องการรักษา และเชื่อว่า แพทย์น่าจะมีจรรยาบรรณมากพอที่จะประกอบวิชาชีพนี้ได้ ซึ่งศรีธัญญาก็เป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับมาก เนื่องจากข้อเท็จจริงในคดีนี้มีความไม่ชัดเจน อีกทั้งทางครอบครัวก็ดูเหมือนจะเร่งให้ศาลวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในขณะนี้ (ที่หมอเผ่ายังป่วยอยู่) ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมจะรอให้ หมอเผ่าพร้อมเข้าให้การไม่ได้ แต่ที่สงสัยว่า อีเฟรดีน เข้าไปในร่างกายหมอได้ยังไง ซึ่งน่าสงสัยว่าหากคนธรรมดาสามารถหาสารเหล่านี้ได้โดยทั่วไป จะอันตรายไม่น้อย เลยรู้สึกว่าต้องเกี่ยวข้องกับผู้ที่สามารถจัดซื้อจัดหาสารนี้มาได้ ซึ่งอาจไม่ใช่โรงพยาบาลซึ่งเป็นอีกประเด็นนึงที่เราสงสัย ด้านเปมิกา ไม่ได้ฟังข้อมูลฝ่ายนี้เท่าไหร่ นอกจากจะมีเพื่อนในกลุ่มที่อ้างมาโดยตลอดจะออกมาเปิดเผยตัวด้วยเรื่องคุณไสยอะไรก็ไม่รู้ไร้สาระ (เรียนวิทยาศาสตร์นะเนี่ย) ด้านพี่ชายหมอ ก็ดูๆจะจงเกลียดจงชังเปมิกาออกนอกหน้าจนเกินพอดี แถมยังยกเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาอ้างอีกทำให้ขาดความเชื่อถือ เมื่ออ้างว่าครอบครัวของตัวเองร่ำเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ สรุปอยากรู้ผลของคดีนี้เร็วๆ และน่าจะมีนัยสำคัญที่ศรีธัญญาไม่ได้มีข้อมูลคนไข้ก่อนเข้าทำการรักษา จากคุณ : allow - [ 10 มี.ค. 50 20:06:51 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณค่ะกะบทความ เราตามข่าวเรื่องนี้มาตลอด เราสนับสนุนสถาบันครอบครัวค่ะ จากคุณ : ยืมLogInแฟนมาตอบ (user) - [ 10 มี.ค. 50 23:32:38 ]

ความคิดเห็นที่ 11 โดยส่วนตัวเชื่อทางครอบครัวหมอมากกว่า  เพราะครอบครัวของหมอร่ำเรียนสูงและมีฐานะดีทุกคน ไม่จำเป็นต้องแย่งสมบัติกันอยู่แล้ว เพราะลำพังแม่ของหมอก็เป็นอาจารย์เก่าแก่ เป็นข้าราชการมีเงินเลี้ยงดูอยู่แล้ว  ส่วนหมอประกิตพันธ์ก็เป็นอาจารย์หมอด้านกระดูกที่ธรรมศาสตร์ รวยมาก ๆ อยู่แล้ว แต่หลังจากเปมิกาเข้ามาในชีวิตหมอประกิตเผ่า อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป (ทั้ง ๆที่หมอมีภรรยาแล้ว ---เปมิกาเข้ามาในฐานะอะไร?)  เธอได้เงินจากหมอไปเป็นสิบล้าน ในฐานะอะไร  ทำไมหมอถึงให้เงินทองเธอมากมายขนาดนั้น...หมอยังมีสติสมบูรณ์อยู่หรือเปล่า   หรือมีอะไรมาดลใจหรือบังคับใจให้หมอทำเช่นนั้น   หรือหมอโดนยาอะไรเข้าไปหรือเปล่า   ทำไมเธอคนนั้นต้องมีเพื่อนติดสอยห้อยตามไปไหนต่อไหนด้วยเสมอ  กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการอะไรจากหมอ  .....เหล่านี้คือสิ่งที่เราคุยกับหมออีกท่านหนึ่งที่อยู่ในแวดวงเดียวมา   ก็ทำให้เราตั้งข้อสงสัยถึงเรื่อง 18 มงกุฏพวกแก๊งต้มตุ๋น ใช้จิตวิทยาหมู่อะไรทำนองเนี้ย จากคุณ : +Butter Pecan+ - [ 10 มี.ค. 50 23:43:40 ]