PANTIP.COM : L5614229 +++ขอความช่วยเหลือด่วนครับ !!! ต้องการรับบริจาคเกล็ดเลือดกรุ๊ป B ครับ+++ [สุขภาพกาย]

ความคิดเห็นที่ 3

และนี่คือสิ่งที่ควรรู้ ควรปฏิบัติในการบริจาคโลหิตนะครับ
( คุณอาจทำได้ไม่หมด แต่ก็ขอแนะนำให้ปฏิบัติตาม... จะเป็นการดี ทั้งต่อผู้บริจาค และผู้รับบริจาคครับ )

ข้อ ควรรู้ ก่อนจะบริจาคโลหิต

1. อายุ ระหว่าง 17-60 ปี และสุขภาพสมบูรณ์ ( ไม่ใช่ แค่ปกติหรือแข็งแรง )
ถ้าอายุน้อยเกินไป จะมีภาวะทางความคิดและร่างกายไม่เหมาะสม กฎหมายไม่อนุญาต ต้องมีผู้ปกครองรับทราบ และยินยอม
ถ้าอายุมากเกินไป ก็จะมีปัจจัยสุขภาพเสี่ยงเกินไป เป็นอันตรายต่อผู้บริจาคเอง

2. นอนหลับไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง
การนอนหลับ ไม่ควรนอนผิดเวลาจากปกติ ผู้ที่ทำงานเป็นกะ ไม่ควรบริจาค ถ้านอนไม่พอ ถึงบริจาคไปแล้ว ก็เอาไปใช้ไม่ได้ เพราะเลือดจะลอย

3. กินอาหารประจำมื้อเรียบร้อยแล้ว ( หรืออย่างน้อย - ก่อนบริจาค 4 ชม. )
ก่อนบริจาค ควรกินอาหารมาให้เรียบร้อย แต่ไม่ควรเน้นอาหารที่มีไขมันมาก หรือ งดอาหารมันๆ ก่อนบริจาค 1 วันก็จะดี

4. ท้องเสีย ท้องร่วง ภายใน 7 วัน
เป็นผลเสียทั้งต่อผู้บริจาค และ ผู้รับบริจาคอาจติดเชื้อ ( ถ้ามี ) ได้

5. น้ำหนักลด ในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ
หากเกิดขึ้น มักมีสาเหตุจากโรคภายใน เช่น เบาหวาน ไทรอยด์เป็นพิษ หรือแม้แต่... AIDS หรือ HIV ถ้ากินยาลดน้ำหนัก ก็ไม่ควรบริจาคเช่นกัน
แต่ถ้าน้ำหนักลดอย่างสมเหตุสมผล จากการออกกำลังกาย หรือ ควบคุมอาหาร ( โดยไม่ใช้ยา ) สามารถบริจาคได้

6. กินยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดข้อ
อาจมีผลทำให้ยาไปยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดโลหิต ทำให้โลหิตแข็งตัวช้าลง ไหลแล้วหยุดยาก

7. กินยาแก้อักเสบใน 7 วัน หรือยาอื่นๆ โปรดปรึกษาเจ้าหน้าที่
หากกินแก้อักเสบอยู่อาจหมายถึง ผู้บริจาคได้รับการติดเชื้อ ซึ่งอาจแพร่เชื้อเข้ากระแสโลหิตของผู้รับบริจาคได้
นอกจากนี้ ผู้รับบริจาค อาจแพ้ยา ที่ผู้บริจาคกินก่อนมาบริจาคได้

8. เป็นโรคหอบหืด ลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง ไอเรื้อรัง วัณโรค หรือโรคภูมิแพ้อื่นๆ
การเป็นโรคดังกล่าว แล้วมาบริจาค อาจจะเป็นตัวกระตุ้นให้อาการดังกล่าวกำเริบได้

9. เคยเป็น หรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคตับอักเสบ
ผู้ที่เคยเป็น แล้วไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นชนิดใด หรือ ไม่สามารถบอกได้ว่า หายขาด หรือไม่มีเชื้อแล้ว ไม่ควรบริจาคจนกว่าจะได้รับการยืนยันจากแพทย์ ว่าปลอดภัยจากเชื้อตับอักเสบ ผู้ที่สัมผัส ใกล้ชิดผู้ป่วย ก็อาจได้รับเชื้อแล้วเช่นกัน

10. เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ไต ไทรอยด์ มะเร็ง โลหิตออกง่ายหยุดยาก หรืออื่นๆ
เพื่อความปลอดภัย หากมีความจำเป็นต้องบริจาค ให้อยู่ในความดูแล และวินิจฉัยจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

11. ทำฟัน ภายใน 3 วันก่อนจะบริจาค
เหงือกอาจจะอักเสบ และ หากมีแผลในช่องปาก อาจเป็นทางนำเชื้อโรคสู่กระแสโลหิตได้

12. ท่าน หรือ คู่ของท่าน มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับผู้อื่น
โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์บางอย่าง แสดงอาการให้เห็น แต่บางอย่าง แม้ติดเชื้อแล้ว ก็ตรวจไม่พบในระยะฟักตัว ทั้งๆที่ผู้บริจาคอาจมีเชื้ออยู่แล้ว ดังนั้น...หากไม่แน่ใจใน 6 เดือน ควรไปตรวจที่คลีนิกนิรนามหรือที่โรงพยาบาลก่อนบริจาค

13. ได้รับการผ่าตัดใหญ่ ในระยะ 6 เดือน หรือผ่าตัดเล็ก ใน 1 เดือน
การผ่าตัดอาจเสียโลหิตไปส่วนหนึ่ง แผลผ่าตัด ต้องใช้เวลาและสารอาหารในการซ่อมแซม จึงควรงดเว้นในการบริจาคไปก่อน

14. เจาะหู สัก ลบรอยสัก ฝังเข็ม ในระยะ 6 เดือน
เข็มเจาะ และรูแผลที่ผิวหนัง มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคติดเชื้อที่มีการส่งต่อทางกระแสโลหิตและน้ำเหลือง และสามารถส่งต่อไปยังผู้รับบริจาคได้อีกด้วย เช่นไวรัส ตับอักเสบ บี , ซี และ AIDS หรือ HIV

15. เคยมีประวัติติดยาเสพติด หรือพ้นโทษในระยะ 3 ปี
ผู้ที่เคยมีประวัติติดยาเสพติด หรือเพิ่งพ้นโทษ จะมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคที่มีการส่งต่อทางโลหิตและน้ำเหลือง แม้จะไม่มีการใช้เข็มร่วมกัน หรือแม้เสพย์ทางการกิน หรือสูดดม อาจทำให้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศภายหลังใช้ยาได้

16. เคยเจ็บป่วยต้องรับโลหิตผู้อื่นในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
เมื่อเคยป่วยและได้รับโลหิตจากผู้อื่น จะมีการสร้างภูมิต้านทานต่อระบบหมู่โลหิตได้ ถึงแม้จะมีการตรวจเพื่อหาหมู่โลหิตหลักที่เข้ากันได้ แต่หมู่ย่อยไม่สามารถหาได้ตรงกันทั้งหมด และยังคงเป็นปัญหากับผู้ป่วยอีกด้วย

17. ฉีดวัคซีนในระยะ 14 วัน หรือ ฉีดเซรุ่มในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
เช่นวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ และ เซรุ่มป้องกันพิษสุนัขบ้า เป็นต้น

18. เข้าไปในพื้นที่ ที่มีเชื้อมาเลเรียชุกชม ในระยะ 1 ปี หรือเคยป่วยเป็นมาเลเรีย
ถ้าเคยป่วยแล้วไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด เชื้อสามารถแอบแฝงอยู่ในร่างกายได้โดยไม่แสดงอาการ ดังนั้น ผู้ที่จะบริจาคได้ต้องไม่มีอาการซ้ำ เป็นเวลา 3 ปี

19. อยู่ในระหว่างมีรอบเดือน
ไม่ควรให้ร่างกายมีการเสียโลหิตซ้ำซ้อนในคราวเดียวกันโดยไม่จำเป็น ควรรอให้หมดรอบเดือนเสียก่อน

20. คลอดบุตร หรือ แท้งบุตร ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
การคลอด หรือ การแท้งบุตร จะมีการเสียโลหิตเป็นจำนวนมาก ร่างกายของผู้บริจาค ต้องใช้เวลาในการปรับตัวเพื่อให้มีการสร้างโลหิตที่มีคุณภาพขึ้นมาใหม่

21. งดบุหรี่ หรือสิ่งมึนเมาใดๆ ก่อนบริจาคโลหิต
ถ้าเป็นบุหรี่ ก็ 1 วัน หรืออย่างน้อย 6 ชม. เพื่อให้ปอดได้ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพหน่อย

ข้อมูลเหล่านี้... อาจจะไม่ละเอียดนัก หากใครต้องการรายละเอียด หรือข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ 02-251-3111 , 02-252-4106 ถึง 9 และที่ 02-256-4300
หรือ ที่ http://www.redcross.or.th และ อีเมล์ blood@redcross.or.th

http://www.nbc.in.th --- ศูนย์บริการโลหิดแห่งชาติ (National Blood Centre)

หากบริจาคโลหิตมาแล้ว ไม่มั่นใจ ติดต่อแจ้งทันที 02-252-4106 ถึง 9 ต่อ 151 และ 158

และอันนี้ เป็น link สำหรับ เป็นสื่อกลางของผู้มีเลือดกลุ่มพิเศษครับ
http://www.bluewings.pantown.com

ขอให้ทุกท่าน เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย วาจา และใจ love ครับ

เรารักในหลวง6 เรารักในหลวง5

ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ

ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม )

ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง

อัสสลาม มุอาลัยกุม

เอเมน

สาธุ _/\_

โลกที่น่าอยู่...

สังคมที่ดี... ไม่มีขาย

อยากได้... ต้องช่วยกันสร้าง

โดยเริ่มจาก... ตัวเราเอง... เดี๋ยวนี้...

จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 17 ก.ค. 50 01:48:14 ]

ความคิดเห็นที่ 4

ความรู้... เกี่ยวกับการบริจาคเกล็ดโลหิต จากการสอบถามพูดคุยกับแพทย์ ที่ศูนย์บริจาคโลหิต สภากาชาด ถนนอังรีดูนังต์
( นอกเหนือจาก ข้อควรรู้ ควรปฏิบัติ ในการบริจาคโลหิตที่ต้องรู้อยู่แล้ว )

1. ณ ปัจจุบันนี้... ความต้องการเกล็ดเลือด ความต้องการเกล็ดโลหิต มีมากกว่า ที่ สภากาชาด จะสามารถจัดได้ เพราะผู้บริจาคเลือด ก็น้อยอยู่แล้ว ยิ่งผู้บริจาคเกล็ดเลือด ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ปัจจุบัน จึงมีเกล็ดโลหิต เพียง ประมาณ 60-70 % ของความต้องการเท่านั้น

2. ถ้า คุณ... ไม่มีประวัติการบริจาคเลือดเป็นประจำ ทางศูนย์ อาจจะไม่รับการบริจาคเกล็ดเลือดจากคุณ เพราะเสี่ยงต่อผู้ที่รับบริจาคอาจติดเชื้อ

3. การบริจาคเกล็ดเลือด ต้องมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง สมบูรณ์ กว่าการบริจาคเลือดธรรมดา บางคน บริจาคเลือดเป็นประจำ... ไม่เคยเป็นอะไร แต่พอมาบริจาคเกล็ดเลือด... กลับเป็นลม หรือ เกิดอาการเกร็ง ( แค่บางคนนะครับ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง สุขภาพไม่สมบูรณ์จริงๆ )

4. ไม่ใช่ทุกคน... ที่จะสามารถบริจาคเกล็ดเลือดได้ แม้จะเป็นคนที่บริจาคเลือดเป็นประจำก็ตาม

5. คุณต้องตอบคำถาม ของแพทย์ก่อนการบริจาค ตามความเป็นจริง ไม่งั้นเลือดของคุณ เกล็ดเลือดของคุณ ... ก็เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ หรือ เป็นผลเสีย กับผู้ที่รับบริจาคไป...( แทนที่จะได้บุญ ได้ช่วยคน จะเป็นบาป จะกลายเป็นทำร้ายคนนะครับ )

6. การบริจาคเกล็ดเลือด คุณต้องเตรียมเวลามากหน่อย เพราะ ใช้เวลา ประมาณ 1.5 ถึง 2 ชั่วโมง ( ยังไม่รวมการกรอกเอกสาร ชั่งน้ำหนัก หรือการตรวจความเข้มของเลือดต่างๆนะครับ ชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงนี่น่ะ นับเฉพาะตอนนอนบนเตียงบริจาค ) ไม่เหมือนการบริจาคเลือดปกติ ที่ใช้เวลาเพียงประมาณ 15-30 นาที อย่างวันที่ผมไป... ผมไปถึงราวๆสิบโมง...ก็ออกจากห้องบริจาคราวๆ เที่ยงครึ่งน่ะครับ ( ครั้งล่าสุดไปถึงราวๆเที่ยงครึ่ง แต่เสร็จเรียบร้อยๆ ราวๆ สี่โมงกว่า - แต่จริงๆ แล้ว นอนบนเตียงราวๆ ชั่วโมงกว่าสองชั่วโมงครับ ) ที่ผมครั้งที่สองนี้ช้า เพราะว่า ผมสอบถามข้อมูลด้วย แล้วก็มีคิว 4 คิว ( ตรวจเลือดแล้วไม่ผ่าน 1 คน ก็เลยให้เค้าไปบริจาคเลือด ( Wholeblood ) ธรรมดาแทน

7. คุณต้องดูแลสุขภาพให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารมื้อก่อนการบริจาคให้เรียบร้อย ไม่งั้น คุณอาจจะหลับ ( หมดสติ ) และ ชุดสาย ชุดอุปกรณ์การเก็บเกล็ดเลือดที่เอามาใช้กับคุณ... ก็กลายเป็นขยะเพราะเอาไปใช้กับคนอื่นต่อไม่ได้

8. " ห้าม " กินอาหารที่มีไขมัน เช่น...ซาลาเปาหมูสับ พิซซ่า ของทอด ของมันต่างๆ ( ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้... คุณหมอบอกนะครับ ) เพราะฉะนั้น ถ้าตั้งใจจะไปบริจาคเกล็ดเลือด ควรจะกินแต่อาหารไขมันต่ำ หรือเน้นผัก ผลไม้ก่อนการบริจาคอย่างน้อย 1-2 มื้อ / บางคน... ร่างกาย กำจัดไขมันส่วนเกินออกจากเลือดได้ช้า ( เกินกว่า 24 ชม. ) จะเป็นผลเสียต่อผู้รับเกล็ดเลือดจากคุณไป
ไขมันในเลือดเมื่ออยู่ในร่างกายเรา... อาจ...ยังไม่เห็นผลอะไรตอนนี้ แต่... เมื่อแยกเป็นเกล็ดเลือด จะมีผลเสียต่อผู้รับบริจาค ซึ่งร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว

9. เกล็ดเลือด... มีผู้บริจาคน้อยกว่าเลือด ( Whole Blood ) มาก และเก็บได้ไม่นาน ( แค่ 5 วันก็เสีย ต้องทิ้ง ) แต่บริจาคได้บ่อยกว่า Whole Blood ดังนั้น จึงอยากจะเชิญชวนเพื่อนๆ รักษาสุขภาพ แล้วสละเวลา ไปบริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอ แล้วค่อยเริ่มบริจาคเกล็ดเลือด

10. ถ้า... คุณไม่รักษาสุขภาพให้ดีพอ ไม่ตอบคำถามแพทย์ตามความเป็นจริง พักผ่อนไม่เพียงพอ กินอาหารที่มีไขมัน
( ไม่ใช่ว่ากินเข้าไปมากมายอะไรหรอกครับ อยู่ในร่างกายคุณ... ตอนนี้แข็งแรงดี ยังอายุไม่มาก มันอาจไม่ค่อยส่งผลอะไรให้เห็นเท่าไหร่ ... แต่มันมีผลต่อเกล็ดเลือดมากๆ จนเอาไปใช้ประโยชน์กับผู้ป่วยไม่ได้ )

และ... โปรดรู้ไว้ว่า... ชุดสาย ชุดอุปกรณ์ ชุดถุงเก็บเกล็ดเลือด ที่ใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อผู้บริจาคหนึ่งคน ( คือ ใช้แล้วทิ้ง )

//excliam อ่านดีๆนะครับ... ชุดละ 7,500 บาท ---ถ้าเกล็ดเลือดของคุณ ... คุณภาพต่ำ มีไขมันมาก พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็คือ คุณ เอางบประมาณ ของสภากาชาดไทย ที่มาจากภาษี ทิ้งไป 7,500 บาท ภายในเวลาไม่กี่นาที เพราะต้องนำเข้าทั้งชุด (ข้อมูล ณ วันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2550 )
เรายังผลิตเองไม่ได้ *** หนึ่งชุด สำหรับ ผู้บริจาคเกล็ดเลือดหนึ่งคน ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง... *** ถ้าเลือดของผู้บริจาคนั้นใช้ไม่ได้ ก็คือทิ้งทันที 7,500 บาท

11. ขณะที่นอนให้เครื่องเอาเลือดเราออกไปปั่นแยกเกล็ดเลือด ( หรือ แม้การบริจาคเลือดตามปกติก็ตาม ) ต้องนอนนิ่งๆครับ ไม่ควรจะขยับตัวยุกยิก แขนข้างที่เจาะสายอยู่ อย่าเคลื่อนตัวไปมา อย่ายุกยิก ( บีบลูกบอลยางได้ หันหัวมองโน่นนี่ได้ แต่ตัว... ให้อยู่นิ่งๆ ) ไม่งั้น เข็ม อาจจะหลุดออกจากเส้นเลือด ( แต่ยังปักอยู่ในแขน ) จะทำให้เลือดไม่เดิน เมื่อเลือดไม่เดิน... คือต้องทิ้งทั้งเซ็ทครับ แล้วต้องเอาชุดใหม่มาเสียบ เสียของ เสียเวลา เจ็บตัวอีกรอบ และ อาจจะเสียเลือด เสียเกล็ดเลือดคุณทิ้งไปเปล่าๆ

วันนั้นผมคุยกับคุณหมอ... และเจ้าหน้าที่ ( หลายคน ) ได้ทราบว่า

บางเดือน ... มีคนที่มาบริจาคเกล็ดเลือด ที่ดูแลสุขภาพตัวเองไม่ดีพอ
แล้วไปขอบริจาคเกล็ดเลือด... แล้วในที่สุด... ก็... เอาไปใช้ไม่ได้
เพราะสุขภาพไม่ดีพอ ส่งผลต่อเกล็ดเลือด ใช้การไม่ได้ ก็ต้องทิ้ง ของ...เสียไปเป็นมูลค่ากว่าแสนบาทต่อเดือน
ผู้หวังดี แต่ขาดความตระหนักในความจำเป็น ในการดูแลตัวเองให้ดีเพื่อการบริจาคเกล็ดโลหิต ไม่ตอบคำถามของแพทย์ ตามความเป็นจริง
ทำให้ เกล็ดเลือด ที่รับบริจาคไปนั้น... ใช้การไม่ได้ เพราะปัญหาต่างๆ ... พักผ่อนไม่เพียงพอ , กินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป ฯลฯ ตามที่ผมได้บอกไปแล้วข้างต้น

กว่าทางสภากาชาดจะรู้ ว่า เกล็ดเลือด ของ ผู้บริจาครายไหน ใช้ไม่ได้ - ก็เสียเวลา ไปไม่ใช่น้อยแล้ว ทั้งเวลาของผู้บริจาคเอง ที่ต้องมานอน บีบลูกบอลยาง ครั้งละ 2 ชั่วโมง ทั้งเวลาในการทำงาน ของคุณหมอ ทั้งเวลา ของเจ้าหน้าที่ในห้องแล็ป ที่ต้องเอาเกล็ดเลือดนั้นมาตรวจสอบ

สมัยก่อน ที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ ยังไม่เจริญเท่าปัจจุบันนี้ ตอนที่ยังมีเครื่องมือน้อย ไม่ทันสมัยอย่างเวลานี้ จึงมีผู้เคราะห์ร้ายบางส่วน มีปัญหา หลังจากได้รับเลือดจากผู้บริจาค...

จะเป็นยังไงครับ ? ถ้า... ผู้รับบริจาคเลือดที่มีปัญหานั้น... คือคนที่คุณรัก... ? question

ปัจจุบัน มีเครื่องมือ อุปกรณ์ และกระบวนการที่ดีขึ้น พัฒนาขึ้น

ปัญหา... ก็เลยน้อยลง...

และ...

ที่ผมพิมพ์ไว้ข้างต้น... เป็น การถ่ายทอดจากปากคุณหมอเองครับ
ที่ ชุดสาย ชุดอุปกรณ์เก็บเกล็ดเลือด... ต้องทิ้งถังขยะไป เดือนละ เป็นแสนๆบาท จากการที่ผู้บริจาค ไม่ดูแลตัวเองให้ดี ไม่ตอบคำถามของแพทย์ตามความเป็นจริง

ชุดละ เจ็ดพันห้าร้อยบาท มีผู้บริจาค ที่ไม่ดูแลตัวเองให้ดี สิบคน... ก็เจ็ดหมื่นห้าพันบาทแล้ว สิบห้าคน... ก็แสนหนึ่งหมื่นสองพันพันห้าร้อยบาท...

ผมจึง ขอมาบอก มาเผยแพร่ ความรู้ ข้อมูลต่อมายังเพื่อนๆนี่แหละครับ...

สุขภาพดี... ก็ดีต่อเจ้าของร่างกายเองด้วย
ดีต่อผู้รับบริจาค เลือด หรือเกล็ดเลือดที่ดี มีคุณภาพจากเราด้วย

การบริจาคเกล็ดเลือด จะต้องเอาเข็มมาเจาะแขนทั้งสองข้าง ( บริจาคเลือดธรรมดา เจาะข้างเดียว )

เจาะข้างหนึ่งเพื่อเอาเลือดไปตรวจวัดค่าต่างๆ ว่าผ่านไหม -- อันนี้ เจาะแป๊บเดียว แค่เอาเลือดใส่หลอดไปใส่เครื่องวิเคราะห์ ( ตอนนี้ ทางสภากาชาด ขอยืมเครื่องมือจากแผนกอื่นมา เลยทำให้ การทิ้ง-เสีย ลดลง แต่เดี๋ยวก็ต้องคืนเค้าแล้วครับ )

เจาะอีกข้างหนึ่ง คือ การเสียบเข็มเข้าเส้นเลือด เพื่อที่จะรับเอาเลือดของเรา ออกไปเข้าเครื่องปั่นแยกเกล็ดเลือด แล้ว จะมีรอบ การทำงาน คือ จะมี การรับเลือดจากร่างกายของเรา ออกไปปั่นแยกเกล็ดเลือด แล้ว จะมีการคืนเอาเลือด ที่ถูกแยกเกล็ดเลือดออกไปแล้ว คืนกลับเข้ามาในร่างกายเรา ทางสายเส้นเดียวกันนั้นเองครับ ( ทีแรก ผมนึกว่า เจาะสองข้างให้ข้างหนึ่งไหลออก ข้างหนึ่งไหลเข้า... ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่า ๆ ๆ )

น้ำหนัก...

- ของผู้ชาย... ต้องหนัก 50 กก. ขึ้นไป จึงจะบริจาคได้

- ของผู้หญิง... ถ้าเป็นการบริจาคเลือดปกติธรรมดา ก็อยู่ที่ 45 กก. สำหรับถุงเลือดขนาด 350 CC. และ น้ำหนักตัว 50 กก. ถ้าเป็นถุงเลือดขนาด 450 CC.

สำหรับการ มึน งง ง่วง ... เพลีย อาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่า ในผู้บริจาคเลือด ( Whole blood ) มากกว่าที่จะเกิดขึ้นในผู้บริจาคเกล็ดเลือด ( Platelet )

ดังนั้น จึงควรจะปฏิบัติตามข้อแนะนำ ที่ผมพิมพ์ไว้ข้างต้น... ( แต่... ถ้าคุณดูแลรักษาร่างกายดี มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ก่อนจะมาบริจาค ก็จะไม่มีปัญหาเหล่านี้หรอกครับ - ผมยังเคยบริจาคเสร็จ ไปเล่นบาส ไปตีแบดต่อเลย ฮ่า ๆ ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ไม่ควรเอาอย่างนะครับ ถ้าคุณไม่ชัวร์ ว่าแข็งแรงจริงๆ )

แต่ก็อย่างที่บอก คุณหมอบอกว่า บางคน บริจาคเลือดเป็นประจำ ไม่เคยเป็นอะไร แต่ พอบริจาคเกล็ดเลือด กลับมีผลข้างเคียง ( ที่จริง... จะมีทุกคน... นิดเดียว.... คือ รู้สึก ปากชาๆ นิดๆ จากยาชา และยาแคลเซี่ยม ที่กินเข้าไปก่อนการให้เกล็ดเลือด... ซึ่ง หลังบริจาค 1-2 ชม. ก็หายเป็นปกติ แต่บางคนก็ไม่เป็นอะไรเลย )

ยังไงก็ตาม... จะบริจาคเลือด จะบริจาคเกล็ดเลือด หรือไม่ได้บริจาคอะไรเลย

เรา...ก็ควรดูแลสุขภาพให้ดีอยู่แล้ว...

เพียงแต่... ฮ่า ๆ ๆ wink ถ้าจะบริจาค... ก็ควรดูแลสุขภาพ ให้ดีเป็นพิเศษหน่อย... นะครับ ^_^

" ง่วง หรือ เมา ... ไม่ขับ
ถ้าต้องขับ ... อย่าดื่ม "

และ... ดีที่สุด... คือ ไม่ดื่มเลย และไม่มีพฤติกรรม ที่มีความเสี่ยงทางเพศเลย... wink

โลกที่น่าอยู่...

สังคมที่ดี... ไม่มีขาย

อยากได้... ต้องช่วยกันสร้าง

โดยเริ่มจาก... ตัวเราเอง... เดี๋ยวนี้...

จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 17 ก.ค. 50 02:02:51 ]