ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าผมจะบอก...ก็เพราะเหตุผลทางความเชื่อส่วนตัวครับ ผมไม่อยากให้เธอเลือกเดินทางนี้ซ้ำอีกครั้งในอนาคต แต่ผมเป็นใครจึงจะบอกเธอได้ว่า...เธอไม่ควรเลือกทางนี้ แถม...ผมก็เชื่ออย่างที่คุณหมอ ให้เหตุผลอีกด้านเหมือนกันนะครับ... ว่าบอกไปก็ไม่มีใครได้อะไรขึ้นมาเลย..หมอเองอาจจะเดือดร้อนอีกต่างหาก *ดังนั้น  ผมคงเลือกที่จะบอกแค่ว่า...เลือดออกเหมือนกันครับ แต่ผมคงขอสิ่งแลกเปลี่ยนจากคนไข้ คือขอให้บอกว่า..ที่ทำแท้งนั่นอยู่ที่ไหน ถึงผมจะเชื่อว่าคนเป็นแม่มีสิทธิ์เลือก...แต่ผมไม่เห็นด้วยกับกระบวนการอย่างที่นั่นทำ **รุ้สึกเหมือนทางโรงพยาบาล/หมอถูกมัดมือชก+ถูกหลอก...ให้ต้องร่วมกระทำการนี้ด้วย แถมยังบอกให้คนไข้ปกปิด หลอกลวง หมออีกต่างหาก อยากจะขอถามคุณหมอด้วยนะครับว่า กระบวนการแบบยาเหน็บนี่ เสี่ยง/ปลอดภัยกว่า วิธีอื่นไหมครับ??? สงสัยว่าถ้าใส่ยาแล้วคนไข้ไม่ไป ร.พ. หรือ ไปไม่ทัน  ผลจะเป็นยังไงครับ ?? แล้วถ้าหมอไม่รู้ว่าตั้งครรภ์  คนไข้มีความเสี่ยงเพิ่มไหมครับ ?? ที่จะไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ทันเวลา จากคุณ : Hannibal-Lecter-Psych - [ วันแม่แห่งชาติ 02:51:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ่าไม่กดโหวตเลือกนะคะ เลือกไม่ถูก เข้าใจ อ่ะค่ะ จากคุณ : makamkaw - [ วันแม่แห่งชาติ 03:36:33 ]

ความคิดเห็นที่ 3 บอกโดยไม่ลังเล เพราะตอนไปใช้ทุน เจอเด็กอายุ ๑๖ แม่พามาบอก มีก้อนอะไรในท้องไม่รู้ ตรวจหน้าท้องก็รู้ว่าท้องแน่ๆ อีหนูเอ๊ย ตรวจปัสสาวะ ผลเป็นบวก ไม่คิดไรมาก บอกพ่อแม่เด็ก เลย แม่เด็ก โกรธลูกมาก ทำไมเราต้องเอาตัวไป ผูกพันธ์กับความเสี่ยงเรื่องอื่นของคนอื่น เราเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง ขาวก็คือขาวดำก็คือดำ ถ้าเราร่วมกับเขาเพื่อปกปิด สักวันมันเกิดเรื่องร้ายอะไรมาเราอาจจะพลอยฟ้าฟลอยฝนติดร่างแห ไปด้วย จากคุณ : 1 - [ วันแม่แห่งชาติ 05:32:52 A:124.121.157.208 X: TicketID:007819 ]

ความคิดเห็นที่ 4 บอกค่ะ วันนี้วันแม่ รักแม่มากๆ แม่ให้อภัยเราทุกอย่างเสมอ จากคุณ : ~~A new day has come. ~~ - [ วันแม่แห่งชาติ 08:50:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เลือกยากมาก แต่ก็เลือกที่จะบอกความจริง แก่พ่อแม่เด็ก ค่ะ จากคุณ : sasirasami - [ วันแม่แห่งชาติ 08:54:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณหมอแค่พูดความจริงผิดกฎหมายด้วยหรอครับ จากคุณ : infernaldevilking - [ วันแม่แห่งชาติ 09:06:04 ]

ความคิดเห็นที่ 7 กรณีนียังไม่ยากที่จะตัดสินใจ เพราะน้องเธออายุเกิน 21 รับผิดชอบตัวเองได้ตามกฏหมาย ให้เธอเป็นผู้ตัดสินใจหมอก็คงไม่รู้สึกผิดอะไร ... อีกกรณีหนึ่งคือหากเด็กอายุน้อยไปเลยก็ตัดสินใจง่ายเพราะยังไงก็ควรบอกผู้ปกครอง ...  แต่หากน้องเธออายุในช่วง 18-19 อาจจะต้องคิดหนักหน่อยครับ จากคุณ : Magic+ - [ วันแม่แห่งชาติ 09:23:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเป็นผมนะ คงต้องฝากให้ หมอที่ รพ. จังหวัดเป็นคนตัดสินใจ ผมคิดอย่างนี้นะครับ ลองสมมติว่าตัวผมเป็น - พ่อของเด็ก ผมว่าผมรู้ในใจลึกๆอยู่แล้วล่ะว่าน่าจะมีเรื่องพรรค์นี้ ตอนนี้ใจผมคงห่วงลูกมากกว่าจะจับผิดลูก ไว้ให้หายดีก่อนค่อยถามว่าลูกไปท้องกับใครยังไงอย่างไร ไม่โกรธหมอ รพ.ชุมชน หรอกครับที่ไม่บอกเรื่องนี้ - สมมติว่าผมเป็นเด็กคนนั้น ถ้าจิตใจผมมันมืดมัวถึงขนาดเอาล่ะ ไปทำแท้งมาแล้ว ตอนนี้เลือดออกไม่หยุดซะด้วย ผมคงกลัวตาย กลัวถูกขูดมดลูก ฯลฯ แบบที่ผู้ป่วยกลัว ความกลัวอีกอย่างหนึ่งของผมก็คือ กลัวพ่อแม่รู้ (ถ้าไม่กลัวคงไม่ไปทำแท้งลับๆหรอก) หมออย่าบอกพ่อกับแม่นะครับ สังเกตนะครับ คนไข้เต็มไปด้วยความกลัว ผมสงสารเด็ก ในฐานะหมอผมจะเป็นพวกเดียวกับผู้ป่วย เขาจะต้องไว้ใจเรา ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องทำตัวให้น่าไว้ใจด้วย ถ้าหากเด็กไปเจอหมอที่บอกพ่อกับแม่ว่า "ลูกคุณไปทำแท้งมา" หน้าตาเฉย ทั้งๆที่เมื่อกี้ก็พึ่งขอร้องคุณหมอไปแท้ๆ ถ้าผมเป็นเด็กคนนั้นผมจะรู้สึกอย่างไร? อันตราย (สำหรับหมอ) ของการไม่บอกความจริงกับผู้ปกครองในตอนนั้นคืออะไร? เราบันทึกเวชระเบียนตรงๆ เรารักษาตามหลักวิชาทุกอย่าง รักษาแบบคนทำแท้งแล้วตกเลือด แต่เราหลีกเลี่ยงที่จะไม่บอกความจริงอันละเอียดอ่อนนี้ ในช่วงเวลาวิกฤต เพื่อผลทางใจต่อผู้ป่วย ผมว่านี่คือเกราะป้องกัน ที่เราจะพูดได้อย่างไม่อายใครครับ จากคุณ : fenris-wolf - [ วันแม่แห่งชาติ 09:53:06 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ได้เห็นความเห็นที่หลากหลายนับว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ ... เดี๋ยวจะเอาข้อมูลสิ่งที่อาจจะตามมา มาลงไว้ให้ ใครตอบอะไรไว้ลองดูสิ่งที่ตามมาครับ จากคุณ : หมอแมว - [ วันแม่แห่งชาติ 10:49:44 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขออีกอย่างหนึ่งได้มั้ยครับ บอกพ่อแม่ผู้ป่วยว่าผู้ป่วยท้อง แต่"ไม่พูดถึงประเด็นที่ว่าไปทำแท้งมา" บอกแค่ว่า ลูกตัวเองแท้ง แต่ถ้าให้เลือก บอกหรือไม่บอก... ยังไงผมก็ต้องบอก จากคุณ : Umiki - [ วันแม่แห่งชาติ 11:59:13 ]

ความคิดเห็นที่ 11 กดโหวตแล้วนะคะ   บอกเถอะค่ะ  เด็กเองก็โกหกพี่หมอเหมือนกัน  แล้วจะให้พี่หมอมาโกหกพ่อแม่ต่ออีก อย่าเลยค่ะ  บอกไปตามความจริง  ถ้าตรงไหนลำบากใจที่จะพูด  ก็เลี่ยงๆซะ จากคุณ : นู๋จุ๋มมาใหม่ - [ วันแม่แห่งชาติ 12:21:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าเป็นกรณีนี้...คืออย่างไรก็ต้องหยุดการตั้งครรภ์...ไม่ว่าพ่อแม่เด็กจะรับทราบหรือไม่ ก็เลี่ยงไม่ตอบคำถามดีกว่าค่ะ.... อาจบอกว่ามีเลือดออกและกำลังพยายามช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ให้ยา ให้น้ำเกลือทดแทน.... และน่าจะปลอดภัยหรือไม่ .... อย่างไร เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วย และเป็นสิทธิของเขาที่จะเปิดเผยหรือไม่ เมื่อผู้ป่วยยืนยันว่าต้องการปิด ก็ต้องรักษาสิทธิส่วนบุคคลของเขาด้วยค่ะ และอีกอย่างผู้ป่วยอายุ 21 คือบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงมีสิทธิ์เต็มที่ในการตัดสินใจ จากคุณ : Julie_pikaju - [ วันแม่แห่งชาติ 12:26:42 ]

ความคิดเห็นที่ 13 กรณีไม่ด่วน ส่วนตัวแล้ว จะบอกผู้ปกครองว่า หมอได้บอกข้อมูลทั้งหมดแก่ผู้ป่วยหมดแล้ว ให้ไปถามผู้ป่วยเองครับ เพราะไม่ใช่เรื่องที่เราต้องไปเปิดเผยความลับผู้ป่วย เค้าอยากจะบอกใคร ไม่บอกใครเป็นการตัดสินใจของผู้ป่วย จากคุณ : หัวใจเถื่อน - [ วันแม่แห่งชาติ 12:40:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เป็นผม คิดว่า ยังไงก็ต้องบอกนะ ลำพังแค่ผิดใจกับเด็ก แต่ผู้ใหญ่ ถ้าไปรู้ที่หลัง เค้าเอาเรื่องทางกฎหมาย ทางอาชีพกันได้อยู่แล้ว  ความผิดเกิดกับเด็กไปแอบทำแท้งมาเอง ก็ต้องรับผิดชอบไปในตัวด้วย จะมาโบ้ยให้หมอช่วยปกปิด ยังไงก็ไม่ถูกต้องนะครับ ยังไงพ่อแม่...ก็ควรจะรู้นะครับ แต่ก็ต้องลองหาทางตะล่อมลองคุยดู คุยกับทางพ่อแม่ ดูอาการตอบสนองว่าอย่างไร โกรธเป็นฟืนไฟแค่ไหน เช่น เด็กมีสภาวะแวดล้อมเสี่ยงให้เกิดตั้งครรภ์หรือเปล่า? (ถามในแนวที่เหมือนยังไม่รู้คำตอบ เช่นกัน) แล้วก็ให้พูดซะว่า ยังไงก็ค่อยจัดการเรื่องนั้นทีหลังให้ช่วยห่วงอาการลูก เอาชีวิตลูกสาวคุณให้รอดมากกว่า อีกอย่าง ก็น่าจะให้เหตุผลกับเด็กที่ว่า น้องควรห่วงชีวิตตัวเอง ณ ตอนนี้มากกว่าจะกลัวพ่อแม่ดุด่านะครับ อันนี้ไม่รู้จะตีความเรื่อง ความลับคนไข้ได้รึเปล่า โจทย์ยากที่ว่า เด็กดันบรรลุนิติภาวะ น่าสนใจแฮะ สุดท้ายผลจะเป็นยังไง มารอดูด้วยคนครับ แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 50 12:46:36 แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 50 12:45:06 จากคุณ : นัยตาสองชั้น - [ วันแม่แห่งชาติ 12:42:19 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ของเรา คงต้องบอกความจริงน่ะ เพราะต้องให้พ่อกับแม่ เซนยินยอมผ่าตัดอยู่แล้ว ยังไงก้อคงต้องบอกถ้าไม่บอกจะบอกว่าเปนอะไรล่ะ ก้อถือว่าโกหกเค้าไป  แต่คงเรียกพ่อกับแม่ มาคุยตัวต่อตัว ไม่ใช่พูดต่อหน้าเด็ก  และอาจจะแนะนำว่าอย่าไปโกรธลูก ตอนนี้เค้าต้องการกำลังใจอย่างมาก จากคุณ : docsis - [ วันแม่แห่งชาติ 12:59:18 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คนไข้บรรลุนิติภาวะแล้ว แพทย์มีหน้าที่รักษาความลับให้คนไข้ ไม่มีสิทธิ์บอกถ้าผู้ป่วยไม่อนุญาต คนไข้ไม่ต้องการให้พ่อแม่รู้ว่าตั้งครรภ์ แพทย์สามารถบอกพ่อแม่เด็กได้โดยบอกความจริงครึ่งเดียว คือ คนไข้ตกเลือดทางช่องคลอดมาก ประจำเดือนผิดปกติ จากคุณ : keng-ko - [ วันแม่แห่งชาติ 13:01:15 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มาจองที่ จากคุณ : Phonix_Bk - [ วันแม่แห่งชาติ 13:21:42 A:222.123.170.57 X: TicketID:130361 ]

ความคิดเห็นที่ 18 #16 แย้งนิดนึง ในทางกฎหมาย ถ้าคนไข้ อยู่ในสภาวะที่ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น สลบ หมดสติ หรือวิกลจริต (เช่น หมอคนดังรายหนึ่ง)  นิติกรรมทั้งหมดตกอยู่ที่พ่อแม่หรือสามี ภรรยา ได้ครับ   โจทย์นี้น่าสนใจที่คนไข้บอกไว้ตอนยังไม่หมดสติแล้วก็ดันบรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้าพ่อแม่มาถามตรงๆว่าลูกท้องหรือแท้งมารึเปล่า ตรงนี้คงกดดันไม่น้อย จากคุณ : นัยตาสองชั้น - [ วันแม่แห่งชาติ 13:23:01 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เห็นด้วยกับคุณนัยตาสองชั้นครับ ถ้าพ่อแม่ถามแพทย์ตรงๆ ว่าลูกท้องหรือแท้งมาหรือเปล่า แพทย์จะลำบากมาก ทั้งที่รู้ว่าห้ามบอกถ้าคนไข้มีสติและไม่อนุญาต จากคุณ : keng-ko - [ วันแม่แห่งชาติ 13:38:35 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ด้วยประสบการณ์ที่ผมเป็นหมอสูติมา 17 ปี อยากชี้บางจุดประกอบการพิจารณาครับ 1. การแท้งที่อายุครรภ์ 18 สัปดาห์เป็นเรื่องใหญ่นะครับ อย่าคิดเพียงว่าแค่ขูดมดลูกก็จบ เพราะเด็กออกมาเป็นตัวและจะมีชีวิตอยู่ได้ระยะหนึ่ง (หลักชั่วโมงเป็นอย่างมาก) แล้วก็จะอยู่ไม่รอดไม่ว่าจะช่วยเพียงใดก็ตาม หากคนไข้หรือญาติไม่รู้สิ่ิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าแล้ว จะมีปัญหาการดูแลตามมา อย่าว่าแต่ยาที่เหน็บมานั้นน่าจะเป็น prostaglandin ซึ่งจะมีปัญหาการตกเลือดตามมาได้จนอาจต้องผ่าตัดหรือให้เลือด (บางรายอาจถึงกับชีวิต) หากเกิดปัญหาดังกล่าวโดยพ่อแม่ไม่รู้มาก่อน หมอจะเอาตัวไม่รอดนะครับ 2. เราเป็นหมอเราไม่สามารถแบกปัญหาของโลกไว้ได้หมดหรอกครับ ช่วยรายนี้ไปแล้วโชคดีผ่านไปราบรื่น วันหลังก็มีปัญหารายใหม่ตามมาซึ่งอาจมีเรื่องบานปลายจนเกิดคาดคิดได้ หากคุณหมอบางท่านเคยเห็นประสบการณ์การทำแท้งเถื่อนในต่างจังหวัดหลายๆแห่ง ซึ่งเขาจะทำอย่างไรก็ตามให้มีเลือดออก แล้วให้เหยื่อไปเสี่ยงกับการตกเลือดแล้วไปให้หมอในโรงพยาบาลช่วยเอาเองนั้น บ่อยครั้งที่คนไข้เสียชีวิตครับ สำหรับผมแล้วนี่คือการฆาตกรรมโดยเจตนาเลยทีเดียว ดังนั้นสำหรับผมแล้วกรณีนี้ผมถือเป็นเรื่องร้ายแรงครับ หากไม่กล้าบอกความจริงเพราะคนไข้ห้ามแล้วละก็ ผมจะบอกพ่อแม่ว่าหมอทราบสาเหตุของการตกเลือดแล้วและได้แจ้งคนไข้แล้ว แต่บอกพ่อแม่ไม่ได้เพราะคนไข้ห้าม ให้ไปถามกับเด็กเอาเอง เพราะปัญหาที่อาจเกิดดังกล่าวแล้วนั้น เด็กอายุ 21 รับผิดชอบไม่ไหวหรอกครับ จากคุณ : ส้มตำ - [ วันแม่แห่งชาติ 14:58:13 A:58.8.61.9 X: TicketID:007361 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เออ คุณ คคห17 ตั้งกระทู้ใหม่ เคส คล้ายๆ กัน ตกลงเป็นเคสเดียวกันรึเปล่าเนี่ย ชักงง ท่านอื่นๆ ลองตามไปอ่านดูนะคะ http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5706174/L5706174.html แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 50 15:49:39 จากคุณ : มารเหา - [ วันแม่แห่งชาติ 15:45:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่บอกครับ ผมไม่ได้มองประเด็นทางครอบครัวแต่มองว่าข้อมูลนี้เป็นความลับส่วนบุคคลของผู้ป่วยซึ่งบรรลุนิติภาวะครับ การบอกข้อมูลส่วนบุคคลโดยที่ผู้ป่วยไม่ยินยอม ถือเป็นการผิดจรรยาบรรณครับ จากคุณ : บ้านน้อก...บ้านนอก - [ วันแม่แห่งชาติ 15:58:35 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ไม่บอกครับเพราะ 1.เด็กอายุ 21 บรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้าบอกไปแล้วกลายเป็นละเมิดสิทธิจะลำบาก 2.รพ.ชุมชน บอกหรือไม่บอกก็ต้อง ส่งต่อไป รพ จังหวัดอยู่ดี จะเพิ่มความเสียงให้ตัวเองอีกทำไม อิอิ    ปัญหาคือเด็กอายุ 17-18 น่าหนักใจกว่าครับ จริงๆแล้ว การบอกนี่ง่ายกว่านะครับ และในแง่ของเด็กไทย 17-18 ยังไม่โตกันเลย เมื่อเค้าพลาด ผู้ใหญ่ควรจะเข้ามาช่วยเหลือ      ในแง่ของหมอ การรักษาย่อมควรต้องรักษาถึงจิตใจผู้ป่วย รวมไปถึงครอบครัวด้วยครับ วิธีที่อุดมคติที่สุดคือนัดมาติดตามอาการและแนะนำให้บอกพ่อกับแม่ในภายหลัง แต่ความเป็นจริงมันยากครับ   เพิ่มเติม หลังจากอ่านอีกกระทู้นะครับ อย่างที่บอกตามหลักแล้วควรยังเลื่อนการแจ้งเรื่องท้องไปก่อนถ้าการแจ้งจะทำให้จิตใจเด็กแย่ สภาพครอบครัวไม่เป็นที่พึ่งหรือsupport เธอได้ จากนั้นเพราะเรื่องหายแล้วค่อยมานั่งคุยกัน แต่ตอนนี้พออ่านจบแล้ว บอกเลยดีกว่า แล้วไปตีกันเองข้างนอก อย่าลากหมอมาเกี่ยวข้อง ก็คงบอกตามตรงว่า หมอสงสัยว่าท้อง ผลการตรวจจากปัสสาวะท้อง (ส่วนคำบอกจากคนไข้จะไงก็ช่างง ถ้าไม่ตรงกับที่บอกเรา ก็แค่คง คำว่า หมอสงสัย แต่ลูกสาวยังปฏิเสธ) แย่จัง แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 50 16:10:34 จากคุณ : Dalz (Dalzeno) - [ วันแม่แห่งชาติ 16:03:30 ]

ความคิดเห็นที่ 24 รู้สึกว่าแต่ละฝ่ายใช้กระบวนการป้องกันตัวเองนะคับ..แต่ไม่ได้มองเห็นผลประโ ยชน์ที่ยั่งยืนและประโยชน์สูงสุดของการรักษา ต่างฝ่ายต่างแสดงกิริยาปกป้องตัวเ องเพราะกลัวความผิด-ความจริงจะถูกเผยแพร่ในสังคม มักจะและหลีก เลี่ยงการตอบคำถามโดยตรงหรือไม่ตอบคำถามเลย หรือเลี่ยงที่จะปฏิบัติ หากเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวังลองสมมติตัวเองท่านเองเป็นแพทย์ท่านจะทำอย่างไร ท่านต้องระวังตัวให้มากขึ้นอย่างแน่นอน ลองมา ถ้าอีกกรณีหนึ่งท่านลองสวมจิตใจของผุ้ป่วยถ้าท่านมีความรู้มากเกี่ยวกับโรคที่เป็นท่านไม่อยากบอกให้ใครรู้ท่านก็ต้องหาวิธีการปกปิดหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบต่อท่าน....ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา...ลองคิดแบบเขา..อย่าคิดแบบเราด้านเดียว...แล้วท่านจะรู้คำตอบว่าควรทำอย่างไร....คำตอบไม่มีผิดถูก..แต่มันจะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของท่านเพราะท่านได้เลือกเดินในสิ่งที่ท่านได้ทำมาแล้ว มีคำกล่าวว่า ทุกคนมีสิทธิ์เลือกแต่เขาจะเลือกอะไร จากคุณ : ขอแจมนะครับ (Titan_T) - [ วันแม่แห่งชาติ 16:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 25 บอกพ่อแม่ไปว่า"ไม่บอก กิ๊วๆ ไปถามลูกเอง" จากคุณ : ประยงค์สตูดิโอ - [ วันแม่แห่งชาติ 17:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ปกติเวลาเด็กมากับพ่อแม่ จะขอพูดกับเด็กตัวๆก่อน ถ้ายอมให้เปิดเผิยความจริงก็ ok แต่ถ้าไม่ยอม แล้วพ่อแม่อยากรู้ก็ใช้วิธีเหมือนข้างบนคือ บอกว่าหมอได้บอกผลคุณลูกสุดแสบไปแล้ว ให้ไปถามเอาเอง จากคุณ : xanyz - [ วันแม่แห่งชาติ 18:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เป็นเรา เราเลือกที่จะ " บอก " มากกว่าค่ะ จากคุณ : ยายกินลำไยน้ำลายยายไหล - [ วันแม่แห่งชาติ 18:22:32 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เป็นผมก็คงจะบอกความจริงไปละครับ...แต่ต้องมีศิลป์นิดส์นึง...คิดว่าโรคนี้เป็นโรคของครอบครัว ต้องช่วยกันรักษา ต้องให้พ่อ แม่มาช่วยกันรักษา ส่วนคนอื่นก็คงไม่จำเป็นต้องบอกเขา..ก็คงจะบอกว่า ลูกอาการไม่ดีแล้ว เสียเลือดมาก มีโอกาสตกเลือด แล้วค่อยบอกสาเหตุว่าเกิดจากการแท้ง ตอนนี้ พ่อแม่น่าจะมีอารมณ์เห็นใจ มากกว่าที่จะโกรธ..แล้วก็ดูกันต่อไปว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ยังไงก็เป็นโรคของครอบครัว..ไม่ใช่ของเขาคนเดียว จากคุณ : saap1 - [ วันแม่แห่งชาติ 19:40:07 ]

ความคิดเห็นที่ 29 มารอฟังด้วยคนค่ะ จากคุณ : ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน - [ วันแม่แห่งชาติ 19:51:19 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มาแล้ว มาแล้ว.... มาแล้ว มาแล้ว หลังจากได้เห็นความเห็นที่หลายหลากจากทุกท่านแล้ว ก็ขอแสดงความคิดเห็นครับ หน้าที่ของแพทย์ต่อสังคมหรือที่บางคนอาจจะยกเอามารวมกับจรรยาแพทย์นั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่รู้จักจบ การรักษาผู้ป่วยนั้น ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันไม่ได้รักษาเพียงแต่ร่างกายหากแต่ต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นๆ แม้แต่องค์การอนามัยโลกยังได้ให้คำนิยามคำว่าสุขภาพ ว่าประกอบด้วยความสุขสมบูรณ์ในร่างกาย จิตใจ และสังคม(อาจารย์ประเวศ เพิ่มเติมจิตวิญญาณไปด้วย) คำตอบจากคำถามที่ผมตั้งขึ้นนั้นถ้าคำนึงถึงเพียงมุมมองเดียวด้านเดียว ตอบบนแผ่นกระดาษ ตอบได้ทันทีคำตอบเดียวคือ "ห้ามบอกพ่อและแม่ว่ามีการตั้งครรภ์ เพราะผู้ป่วยบรรลุนิติภาวะแล้ว" ซึ่งโดยหลักแล้วแพทย์ก็ห้ามโกหก ดังนั้นก็ต้องตอบว่า "มีเลือดออกทางช่องคลอดมากกว่าปกติ" แต่ถ้าคนเราทำตามกฎหมายแล้วหมดปัญหาเรื่องก็คงดี  แต่กฎหมายเป็ฯสิ่งที่คนเราสร้างขึ้นมาเพื่อรับใช้สังคม ดังนั้นการทำตามกฎหมายแบบตรงตัวอักษรเป๊ะๆ ย่อมไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง คนร่างกฎหมายอาจจะรู้เรื่องกฎหมาย แต่ไม่ได้เรียนแพทย์และไม่ได้อยู่ในสถานการณ์จริง ดังนั้นคงไม่ทราบความจำเป็นในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจโจทย์ที่ผมตั้งไว้มากขึ้น ต้องขอกล่าวถึงความรู้เบื้องต้นทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ -ทำแท้ง การทำแท้งที่มีในปัจจุบัน มีหลายวิธี วิธีหลักๆที่พวกคนทำแท้งเถื่อนชอบใช้คือ เหน็บยา , ใช้เครื่องเปิดถ่างปากมดลูก , หรือใช้แท่งโลหะแทงทำลายให้เด็กในครรภ์ตาย ... วิธีที่นิยมกันในปัจจุบันในหลายๆที่คือ ทำยังไงก็ได้ให้เกิดเลือดออกมาทางช่องคลอด จากนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ตามโรงพยาบาล เป็นวิธีการที่ฉลาดและชั่วร้าย เพราะว่าเป็นการยกความเสี่ยงที่เกิดตามมาให้กับแพทย์ไป ไม่ต้องกังวลว่าถ้าขูดมดลูกในร้านแล้วคนไข้ตายจะเป็นยังไง ไม่ต้องเหนื่อย แถมยังได้เงิน ... ส่วนผลข้างเคียงที่ตามมาก็ยกให้คนที่ดูแลจัดการกันเอง -เวลาคนไปทำแท้งมา โอกาสเกิดผลข้างเคียงขึ้นกับเทคนิกวิธีการทำแท้งที่ผ่านมา การใช้ยาเหน็ย อาจจะเกิดเลือดออกมากและไม่หยุดได้ การใช้อุปกรณ์ขูดหรือทำลายเด็กในครรภ์ หากทำในช่วงอายุครรภ์มากพอสมควรก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการทะลุได้สูง - หากทำแท้งแล้วทะลุ สิ่งที่ตามมาคือการติดเชื้อในช่องท้องและเลือดออกมากเนื่องจากมดลูกเป็นอวัยวะที่เส้นเลือดมาเลี้ยงมาก หากไม่สามารถหยุดเลือดได้ ก็อาจจะต้องรักษาชีวิตด้วยการตัดมดลูกทิ้ง - สมมติว่าทำแท้งไปแล้วไม่สำเร็จ แพทย์สามารถช่วยเด็กในท้องไว้ได้ แพทย์ก็ไม่ทำแท้งให้ - หากผู้ป่วยเกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรง อยู่ในภาวะฉุกเฉินที่จะต้องช่วยชีวิต แพทย์มีสิทธิที่จะไม่ทำตามคำขอของผู้ป่วยที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วย และเพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอเสนอแง่มุมทางกฎหมาย - มาตรา301หญิงใดทำให้ตนเองแท้งโดยตั้งใจ มีความผิดตามกฎหมาย โทษมีทั้งจำและปรับ - ในแนวทางปฏิบัติจริง แพทย์ไม่ได้ทำหน้าที่นี้แต่เพียงคนเดียว โดยปกติการพูดคุยหรือจัดการเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์จะมีพยาบาลหรือแพทย์ที่ได้รับการอบรมโดยตรงเพื่อการรับมือในเรื่องการให้คำแนะนำและการจัดการ ... แต่ในชีวิตจริงกรณีแบบนี้มักมาช่วงหลังเวลาราชการ ดังนั้นหน้าที่ในการให้คำปรึกษาในช่วงต้นจึงมักเป็นของแพทย์ที่พบ แต่อย่างกรณีตัวอย่างนี้ พ่อแม่เด็กเปิดประตูพลัวะเข้ามา ไม่เปิดโอกาสใดๆอีกแล้ว......... ต่อจากนี้จะเป็นการวิเคราะห์ครับ จากโจทย์ที่ว่าถ้าคุณเป็นหมอ คุณจะบอกพ่อแม่เด็กหรือไม่ คำตอบจะมีได้4รูปแบบหลักๆ 1. คุณไม่บอกพ่อแม่เด็ก เหตุการณ์จบแบบดีไม่มีใครเป็นอะไร 2. คุณไม่บอกพ่อแม่เด็ก เหตุการณ์จบแบบไม่ดี 3. คุณบอกพ่อแม่เด็ก เหตุการณ์จบลงแบบไม่ดี 4. คุณบอกพ่อแม่เด็ก เหตุการณ์จบลงแบบดี คำตอบที่1 คุณไม่บอกพ่อแม่เด็ก เหตุการณ์จบแบบดีไม่มีใครเป็นอะไร - ถ้าคุณไม่บอกพ่อแม่เด็ก พอส่งไปที่โรงพยาบาลจังหวัด ปรากฎว่าหมอทางนั้นก็ค่อยๆบอกทีละขั้นตอนไป ยังไงก็ตามเรื่องก็ต้องจบแบบพ่อแม่เด็กรู้อยู่ดี - ถ้าคุณไม่บอกพ่อแม่เด็ก พอส่งไปที่โรงพยาบาลจังหวัด ปรากฎว่าหมอทางนั้นก็ถูกขอร้องและก็ทำแบบเดียวกันคือไม่บอก พ่อแม่เด็กก็จะกลับไปโดยรู้ว่าเด็กป่วยเป็นประจำเดือนมามากกว่าปกติ .... ปัญหาคือ พ่อแม่ไม่รู้ เด็กคนนี้ก็เสี่ยงที่จะไปทำแบบเดิม กลับมารพ.ด้วยเหตุเดิมๆอีก - ถ้าไม่บอกปรากฎว่าครั้งนี้เด็กไม่แท้ง แล้วหมอที่นั่นก็ไม่บอกอีก เด็กคนนี้ก็คงต้องไปทำแท้งอีก จากคุณ : หมอแมว - [ วันแม่แห่งชาติ 20:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คำตอบที่2. คุณไม่บอกพ่อแม่เด็ก เหตุการณ์จบแบบไม่ดี ถ้าไม่บอกพ่อแม่เด็ก ปรากฎว่าพ่อแม่เด็กไม่รู้ข้อมู,ที่ถูกต้อง อย่างที่บอกครับ แท้งในอายุครรภ์ขนาดที่ท้องโตแล้ว มันมีโอกาสเกิดอันตราย.... และถ้าโชคไม่ดี อาจจะถึงแก่ชีวิตได้ ... ปกติแพทย์จะรักษาตามหลักวิชาการ แต่ในบางกรณีเรื่องที่มันละเอียดอ่อนก็ต้องอาศัยข้อมูลจากคนใกล้ชิด หากในช่วงเวลาที่แพทย์ต้องการการตัดสินใจจากญาติ แต่ญาติไม่มีข้อมูลพอจะตัดสิน สิ่งที่ตามมาคือผลเสียของเด็กคนนั้นเอง นอกจากนี้หากโชคไม่ดี เกิดเหตุบางอย่างขึ้น ญาติจะยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่หาว่าหมอเป็ฯคนร้าย ตัวอย่าง ผมได้ไปเขียนเป็ฯอีกกระทู้นึงไว้แล้วที่ http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5706174/L5706174.html ในชื่อPhonik_BK (Phonikคือชื่อยี่ห้อโทรศัพท์ประจำห้องตรวจ) ลองไปดูได้ครับ ว่า ในบางกรณี การที่แพทย์ปิดบังเพื่อช่วยผู้ป่วยตามความต้องการของผู้ป่วย ทำให้เกิดอะไรตามมากับแพทย์ จากคุณ : Phonik_BK (หมอแมว) - [ วันแม่แห่งชาติ 20:52:58 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ^ ^ งงค่ะ ตัวอย่างหรอคะ หมายความว่าเรื่องในอีกกระทู้เป็นเรื่องแต่งหรอคะ งงมากเลยค่ะ จากคุณ : MiLkki3_BLeU - [ วันแม่แห่งชาติ 21:01:30 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แม่นแล้วครับ อีกเรื่องเป็นเรื่องแต่ง .... เพื่อให้เห็นชัดขึ้นว่าเวลาเกิดเหตุขึ้นมา ผลที่ออกมาจะเป็นเรื่องราวที่ฟังความข้างเดียวอย่างในกระทู้นั้น ************************ คำตอบที่3. คุณบอกพ่อแม่เด็ก เหตุการณ์จบลงแบบไม่ดี นั่นคือเมื่อคุณบอกตามความจริงไป เด็กก็อาจจะรู้สึกไม่ดีกับคุณ แต่อย่างน้อยหากเกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ที่รุนแรงอย่างที่ได้กล่าวไป พ่อแม่คนข้างหลังยังสามารถช่วยกันคิดได้ว่าจะทำอย่างไร ที่สำคัญ ปัญหาเรื่องการแท้งเป็ฯปัญหาที่สำคัญต้องอาศัยความร่วมมือของครอบครัวอย่างมาก ถ้าคุณไม่โกหกตั้งแต่ต้น โอกาสที่จะไดรับควาามร่วมมือจากพ่อแม่ก็มีสูง ... ส่วนตัวของเด็กผู้หญิง ต่อไปเมื่อเขาต้องรับการช่วยเหลือจากทีมที่ปรึกษา(พยาบาลจิตเวช จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ ครู อาจารย์) เด็กคนนี้ก็จะมีพ่อแม่คอยช่วยเหลือแนะนำ บางคนอาจจะแย้งว่า พ่อแม่เด็กอาจจะโมโหตบตีทำร้ายเด็ก ... แต่ช้าก่อนครับ ถ้าเป็นเช่นนั้น รู้ตอนหลัง รู้ตอนไหน ก็ย่อมไม่ต่างกัน สู้บอกตอนที่เราอยู่ด้วย มีหมอคอยปลอบแนะนำใช้ให้เห็นความจำเป็น จะเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมกว่าไหมครับ พ่อแม่เด็กคงไม่กล้าตบเด็กต่อหน้าหมอหรอกครับ ไม่ว่าเด็กจะพอใจหรือไม่พอใจ แต่หากเกิดผลของการทำแท้งที่เลวร้ายกับตัวเด็ก เด็กจะยังมีครอบครัวคอยสนับสนุน คำตอบที่4 คุณบอกพ่อแม่เด็ก เหตุการณ์จบลงแบบดีไม่มีใครเป็นอะไร ถ้าคุณบอกพ่อแม่เด็กว่าตั้งครรภ์ ถึงแม้เด็กจะไม่พอใจ ... พอไปรพ.จังหวัด ปรากฎว่าเด็กในท้องไม่แท้ง.... คุณ ในฐานะแพทย์ ได้ป้องกันชีวิตทารกคนนึงไว้ได้  ... และป้องกันเด็กสาวคนนี้ไม่ให้ไปทำแท้งซ้ำ(เพราะพ่อแม่เด็กรู้แล้ว) และเตรียมพร้อมในการรับสมาชิกใหม่ที่จะตามมา .... มีเหมือนกัน ที่พอเด็กในครรภ์ปลอดภัย พ่อแม่และเด็กสาวยังยืนยันว่าจะทำแท้ง... แต่มันก็กรณียกเว้น ... เคยเจอแค่กรณีเดียวในชีวิตการเป็นแพทย์ของผม ... ถ้าเราช่วยเต็มที่แบบนี้แล้วให้เจอเจ้าหน้าที่จิตวิทยาและสังคมฯแล้ว แต่ทั้งครอบครัวยังไม่อยากเก็บเด็กไว้ก็คงต้องปล่อยไปตามบุญกรรมครับ ... อย่างน้อยก็จะไม่มีผลทางกฎหมายที่ครอบครัวนี้จะมาทำอะไรเรา จากคุณ : หมอแมว - [ วันแม่แห่งชาติ 21:19:14 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ในชีวิตจริงการรักษาผู้ป่วยที่มาด้วยภาวะตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม จะต้องพยายามเตรียมการให้รัดกุมครับ แพทย์โดยส่วนใหญ่ หากเคยผ่านเรื่องแบบนี้มา จะมีเทคนิกของตนเองที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง อย่างของผมเองจะป้องกันไม่ให้เกิดกรณีที่พ่อแม่เด็กเข้ามาในขณะที่ผมยังไม่พร้อมจะคุย ... ถ้าจะเข้ามาก็ล๊อคห้องไว้ (หมอตรวจภายในอยู่ จัดการเรื่องเลือดอยู่ กำลังรักษาอยู่ พ่อแม่ห้ามเข้านะจ๊ะ) ระหว่างนั้นคุยกับเด็กให้รู้เรื่อง วิธีที่ผมใช้ง่ายๆไม่มีอะไรมาก 0. กรณีที่สงสัยทำแท้ง ผมจะบอกผู้ป่วยว่าขอให้ตอบตามความจริง จะถามครั้งเดียวและเชื่อคำตอบที่ให้มา ถ้าทำแท้งก็บอก ไม่ได้ไปทำก็บอก เพราะรักษาต่างกัน ... ถ้าบอก ก็จะถามเฉพาะรายละเอียดที่จำเป็น ... สำหรับผมจะไม่มีการไปถามหรือตอกย้ำว"่าทำไปทำไม" "มันบาปนะ" "แย่มาก" ฯลฯ เพราะหน้าที่ผมคือรักษา การตอกย้ำมันไม่ได้ช่วยให้เลือดหยุดซะหน่อย 1. บอกกับดเ็กว่า เราต้องรักษาเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตของผู้ป่วยตรงหน้าเป็นหลัก ... เด็กในท้องเป็ฯชีวิตที่สำคัญ เราจะไม่ละทิ้งเด็ดขาด แต่ถือว่าสำคัญเป็ฯอันดับสอง 2. ถ้าผู้ป่วยอยู่ในภาวะฉุกเฉิน ผมจะบอกไปเลยว่ามันฉุกเฉินแค่ไหน มันจำเป็นจริงๆเพราะถ้าไม่บอกแล้วเกิดเข้าห้องผ่าตัดไป พ่อแม่จะเป็นคนลำบากและตัดสินใจอะไรไม่ได้ 3. ถ้ายังพอรอได้ไม่ฉุกเฉินมาก ผมจะเสนอตัวเป็ฯคนบอกเองหรือมิฉะนั้นถ้าพ่อแม่ยังไม่มาและพอรอได้จริงๆ ก็จะให้พยาบาลจิตเวชหรือนักสังคมเป็นผู้ช่วยบอก ... แสดงความจริงใจว่าสิ่งที่ทำไปนี่เป็นผลประโยชน์แก่ผู้ป่วยเอง... 4. แต่ถ้าผู้ป่วยยังยืนยันว่าจะให้ผมโกหก ผมก็จะบอกไปว่า ถ้าเช่นนั้นเมื่อพ่อแม่เข้ามา ผมจะบอกว่า "ได้แจ้งโรคและสาเหตุที่ทำให้เป็นแก่ผู้ป่วยแล้ว ขอให้ถามจากผู้ป่วยเอง" ... แตเตือนว่า่ถ้าผู้ป่วยโกหกต่อหน้าผม ผมก็มีความจำเป็นที่จะต้องบอกความจริง ... พเราะถือว่าการโกหกของผู้ป่วยเป็นการโกหกทั้งต่อพ่อแม่และเป็นกึ่งๆการใส่ความหมอ 5. หลังจากนั้นค่อยให้พ่อแม่เข้ามาในห้องได้ ..... เรื่องการแท้งและตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เป็นเรื่องที่มีแง่มุมมากมายครับ เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อหลายส่วน ต่อร่างกาย ทำให้ถึงตายได้ ต่อสังคม เป็นเรื่องที่บางครั้งน่าอับอายต่อคนในสังคมรอบข้าง ต่อครอบครัว ลักษณะความเป็ฯมาของครอบครัวที่หลากหลายก็ก่อให้เกิดผลต่างๆกัน ต่อจิตใจ ไม่ว่าจะทำแท้งสำเร็จหรือไม่ ผู้ป่วยจะมีแผลทางจิตใจตามมาเสมอ ต่อการศึกษา ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะต้งหยุดเรียนกลางคัน ทางกฎหมายต่อตัวแพทย์ สมมติผู้หญิงตายไปด้วยเหตุบางอย่าง ความซวยจะมาเยือนหมอครับ ดีไม่ดีลูกตะกั่วอาจจะมาเยือนหน้าบ้าน ... เพราะพ่อแม่ของคนที่ตายอย่างเบาๆก็ไม่เอาเรื่องเรา อย่างหนักๆก็หาว่าเราไปทำให้ลูกเขาตาย ...  และใครที่บอกว่าเราบันทึกเวชระเบียนดีๆก็รอด ... ขณะนี้มีกลุ่มบุคคลที่กล่าวหาว่าแพทย์เวลาทำผิดจะมีการแก้ไขเวชระเบียน (ถึงขนาดออกรายการทีวีกล่าวหาสถาบันแพทย์กันทีเดียว) ทางกฎหมายต่อผู้ป่วย หลายคนชอบบอกว่าคนไข้บรรลุนิติภาวะ มีสิทธิตัดสินใจได้ ... แต่ต้องไม่ลืมมาตรา201 ที่ว่ผู้หญิงที่ทำแท้งโดยเจตนา มีความผิดทางอาญาด้วย ... (ถ้าใครยึดตัวบทกฎหมาย สุดท้ายก็ต้องไปแจ้งความอยู่ดี) สรุปแล้ว นี่ก็คือเนื้อความเหตุผลที่อยากให้ได้รับรู้กันครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 50 22:47:26 แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 50 22:41:04 จากคุณ : หมอแมว - [ วันแม่แห่งชาติ 21:22:57 ]

ความคิดเห็นที่ 35 แหม่..อุดส่าห์หลงอินซะ... คุณหมอแมว ทำกันได้ลงคอ ยังไงซะ กรณีนี้ก็คงเป็นอุทาหรณ์ได้ดีมากเลยครับ ผมเคยมีเพื่อนที่พลาดท้อง หาที่ทำแท้งกันวุ่น กินเบนโลกันไปเยอะด้วย สุดท้ายก็ไม่ได้ ต้องปล่อยรอดกันมา ไม่รู้ป่านี้จะยังปกติดีรึเปล่าแฮะ จากคุณ : นัยตาสองชั้น - [ วันแม่แห่งชาติ 21:33:09 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อ้าวเรื่องแต่งหรอกหรอ ว้า........ เราก้อโมโหใหญ่เลย กำลังคิดว่าใครเป็นหมอดวงซวยคนนั้นน้า จากคุณ : docsis - [ วันแม่แห่งชาติ 21:35:16 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ใช่ๆ เราก็หลงคิดว่าเป็นเรื่องจริงแน่นอน 55 น่าจะบอกไว้ที่ไว้ที่กระทู้นั้นนะคะ หรือว่ากะเฉลยทีหลัง จากคุณ : MiLkki3_BLeU - [ วันแม่แห่งชาติ 21:38:47 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ^ ^ ^ หมอ เล่นงี้เลยเหรอ เราก็หลงนึกว่าเรื่องจริง งี๊ดดดดดดดดดดดดด สมกับเป็นหมอจริงๆ ฉลาดอ่ะ งี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด สมมุติตัวอย่างมาซะเห็นภาพ เข้าใจลึกซึ้งเลยง่ะ จากคุณ : AnCk-Su-NaMuN - [ วันแม่แห่งชาติ 21:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ว้า...เรื่องแต่งเหรอเนี่ย รออ่านต่ออยู่นะคะหมอแมววววว จากคุณ : sasirasami - [ วันแม่แห่งชาติ 21:57:25 ]

ความคิดเห็นที่ 40 อยากให้ลองรอดูปฏิกิริยาของ "เด็กๆ" ดูครับ จากคุณ : triple plus - [ วันแม่แห่งชาติ 22:14:04 A:58.8.86.53 X: TicketID:152311 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าบอกว่าเป็ฯเรื่องสั้นแต่งเองก็ใช่ครับ แต่ว่าความจริงอันน่าเศร้าคือ กรณีแบบทำนองคล้ายกันนี้ เกิดขึ้นเรื่อยๆในสังคมไทยจริง แต่คุณที่อ่านเนื้อความจากสื่อจะไม่มีทางรู้ว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนใส่ไข่ .... หรือเรื่องไหน มีแต่ไข่และสีไม่มีเนื้อจริงเลย ... บางกรณีที่เจอมากับตัว ไม่ได้เป็ฯเรื่องเกี่ยวกัลบการทำแท้ง แต่เกี่ยวกับเรื่องการโกหกจนทำให้แพทย์ที่ตั้งใจทำงานรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเป็นชาวนาที่กำลังอุ้มNaja Naja บางเรื่อง การช่วยเหลือปิดบังเพื่อผลประโยชน์ของผู้ป่วยตามที่ผู้ป่วยขอร้อง ส่งผลเสียต่อแพทย์ เรื่องที่เป็นกรณีศึกษาของแพทย์ มีกรณีนึง แพทย์ต้องตาย... เนื่องจากชช่วยเหลือผู้ป่วยทางมนุษยธรรมแต่กลับโดนทำคุณบูชาโทษ ความจริงอีกด้านที่น่าเศร้าคือ บางครั้งแพทย์ทำไปโดยมองผลโดยรวมที่จะตามมา มองทั้งผลดีระยะสั้นระยะยาวที่จะบังเกิดแก่ผู้ป่วยและครอบครัว แต่กลับถูกคนภายนอกที่คิดอะไรเพียงผิวเผิน กล่าวหาว่าแพทย์ใจดำ ง่ายๆอย่างกรณีนี้ คนที่มีความคิดสุดโต่งว่าแพทย์ควรช่วยปิดบังเรื่องราวจากพ่อแม่ อาจจะมองว่าหมอใจร้าย บางคนพูดไปถึงขนาดว่าผิดจรรยาบรรณ (ความเห็นที่22) ซึ่งไม่แปลกที่จะคิดอย่างนั้นครับ นักศึกษาแพทย์ปี6ที่อยู่กลุ่มผม 30% เลือกคำตอบที่จะไม่บอกพ่อแม่โดยคิดว่าการบอกผิดจรรยาบรรณเรื่องรักษาความลับผู้ป่วย ... บังเอิญผมอยู่ในกลุ่ม30%นั้นซะด้วยสิ 555 ถ้าแพทย์คนไหน พยายามรักษาโดยคำนึงถึงกฎหมายหลักวิชาการอย่างเต็ม100% แต่ขาดศิลปในการมองภาพรวม แพทย์คนนั้น ก็อาจจะรักษาได้แต่ร"่างกาย"ของร่างกายเฉพาะครั้งนั้น แต่ไม่สามารถรักษา"ผู้ป่วย"ได้ ดังนั้น นี่เป็นหนึ่งของตัวอย่างชีวิตบ๊องส์ๆบวมๆ ของแพทย์ ที่จะเจอในชีวิตประจำวันครับ ปล.น้องๆคนใดที่คิดจะเรียนหมอ นึกให้ดีก่อนนะครับ ชีวิตมันไม่ได้โรยแต่กลีบกุหลาบ จากคุณ : หมอแมว - [ วันแม่แห่งชาติ 22:20:39 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณหมอนะคะ  ทำกันได๊... ^ ^" จากคุณ : ยายกินลำไยน้ำลายยายไหล - [ วันแม่แห่งชาติ 22:29:01 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มีเคสนึง  ผู้หญิงไทย  ติดเชื้อเอดส์มานานแล้ว  ขณะนี้แต่งงานกับฝรั่ง( ผู้ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่) ครั้งนี้มา admit  ด้วย cryptomeningitis คนไข้บอกเราว่า ห้ามบอกสามีว่าเค้าป่วยเป็นอะไร  แต่ฝรั่งก็มาถามเรื่อยๆว่า  ภรรยาป่วยเป็นอะไร  อันนี้ลำบากใจมากเลยค่ะ  คุณหมอที่ดูแลอยู่ก็มาถามเรื่อยว่า พี่ๆ เราทำไงกันดี  ถามความเห็นคุณหมอทั้งหลายว่าถ้าเป็นพวกท่านจะทำอย่างไรคะ  (แล้วจะมาบอกว่า เราตอบยังไงไปนะคะ) จากคุณ : ***RitA*** - [ วันแม่แห่งชาติ 22:29:27 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ตอบคห 43 กรณีนี้ต้องบอกนะครับ เพราะสามีและภรรยาถือเป็นบุคคลเดียวกัน จากคุณ : keng-ko - [ 13 ส.ค. 50 00:36:33 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คห 43:โรคนั้นทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าเป็นผมก็คงต้องบอกกับสามีด้วยแหละครับ.เพราะเขาไม่ได้เดือดร้อนคนเดียว.สามีจะได้รับการรักษาได้เร็ว ถึงแม้จะเป็นเรื่องสั้นแต่งเองก้เถอะ แต่เชื่อไหมว่ามีเหตุการณ์แบบนี้จริงๆๆ หมอแมวนี่ มีเรื่องเล่าเยอะดีเนอะ จากคุณ : saap1 - [ 13 ส.ค. 50 00:43:09 ]

ความคิดเห็นที่ 46 มาแจมด้วยคน แล้วกรณีต่อไปนี้ล่ะ ควรจะบอกหรือเปล่า หญิงสาวหลายรายมากๆ มาฝากท้องและมาคลอด ปกติแพทย์ต้องซักประวัติการตั้งครรภ์ การคลอด และการแท้ง คนไข้จะบอกหมอว่าเคยท้องเคยแท้ง หรือเคยมีลูกแล้วมากี่คนแต่จะบอกว่า สามีไม่ทราบว่าเคยท้อง เคยแท้งหรือเคยคลอดลูกมาแล้วขอไม่ให้บอกสามีเรื่องนี้ จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่เวลามาคลอด ส่วนใหญ่สามีจะเป็นคนมารับสมุดประจำตัวเด็ก สมุดฝากครรภ์ เวลาอธิบายหรือถูกถามมันอึดอัดจริงๆ จากคุณ : Alone with out lonely - [ 13 ส.ค. 50 01:13:32 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ก็ถามว่า "พ่อแม่คิดว่า ลูกคุณมีพฤติกรรมเสียงหรือจะไปท้อง หรือทำแท้งหรือเปล่าครับ " หรือคำถามที่ใกล้เคียงกัน... ทำให้พ่อแม่นึกได้เอง (เราไม่ได้บอกนี่ แค่แอ๊บแบ๊วถามตะล่อมเฉยๆ) แล้วมาถามเรา "ตกลงลูกผมท้องแล้วทำแท้งใช้ป่ะ" เราก็จะตอบว่า "กิ๊วๆๆๆ ไม่บอกหรอก แต่บอกลูกคุณแล้ว ไปถามกันเอาเอง" แค่นี้ ก็บรรลุจุดประสงค์ 2 อย่าง 1) ไม่ได้บอกสักหน่อย พ่อแม่คิดได้เอง 2) พ่อแม่ได้รู้ความจริง จากคุณ : ==ช อ บ งี บ ต อ น บ่า ย== - [ 13 ส.ค. 50 01:34:23 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เป็นผมจะชวนฝรั่งคนนั้นตรวจเลือดครับ จากคุณ : คิดอารายออกปาย - [ 13 ส.ค. 50 01:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ใช่แล้วค่ะ ตามความคิดเห็นที่ 48  หมอบอกเพียงว่าโรคที่ภรรยาเค้าเป็นอาจจะมีสาเหตุมาจากเพศสัมพันธ์  ขอแนะนำให้ตรวจเลือดด้วย แล้วเราก็ประสานงานให้เค้าได้รับความสะดวก  แล้วก็แจ้งผลโดยคนที่พูดอังกฤษได้ดีที่สุด  ผลตรวจเป๋นบวกค่ะ  แต่ยังดีที่เค้ายังมีสติรับได้ ตอนนี้กลับไปรักษาที่ต่างประเทศแล้วล่ะ จากคุณ : ***RitA*** - [ 13 ส.ค. 50 06:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เสร็จเลยงานนี้  มอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : หัวใจเถื่อน - [ 13 ส.ค. 50 15:05:16 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คุณหมอนะคุณหมอ แต่ก็ต้องขอบคุณนะคะ ได้อุทาหรณ์มากเลยค่ะ จากคุณ : lonesomefah - [ 13 ส.ค. 50 16:02:59 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ไม่บอกความจริงเพราะผู้ป่วยอายุเกิน20แล้วบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ก็จะไม่โกหกญาติ ให้เขาไปถามกันเอง เว้นแต่ผู้ป่วยไม่ได้สติต้องให้ญาติตัดสินใจเรื่องบางอย่างแทนถึงจะบอก แต่คงจะไม่บอกทั้งหมดและอาจบอกเป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่เข้าใจยาก จากคุณ : สายลมปุยเมฆกับฟ้าสีคราม - [ 13 ส.ค. 50 17:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แง  หมอหลอกหนู  รับผิดชอบล่วยยย โฮๆ จากคุณ : :+: ข้ า ว ปั้ น ก ล ม ๆ :+: - [ 13 ส.ค. 50 22:53:24 ]

ความคิดเห็นที่ 54 แก่ป่านนี้ยังโดนผู้ชายหลอกอีกแล้วอ่ะ จากคุณ : ประยงค์สตูดิโอ - [ 14 ส.ค. 50 02:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 55 คุณหมอนะคุณหมอ  หลอกกันได้ ก็สงสัยอยู่ว่า ญาติคนไข้ กะหมอ เล่นพันทิปเหมือนกัน แล้วญาติคนไข้ก็มา มาจองที่ที่ คคห.ที่ 17 อีก แต่ทำไมไม่โพสตอบ ร้ายจริงๆ เลยคุณหมอ จากคุณ : หนูน้อยโดนหลอก (มารเหา) - [ 14 ส.ค. 50 21:24:47 ]