ความคิดเห็นที่ 1 สำหรับผมเอง งานเภสัชกรไม่ใช่ 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร อย่างที่ทำๆ กันอยู่ สำหรับผม งานเภสัชกรเราทำได้มากกว่านั้นครับ ผมพร่ำสอนน้องๆ ไว้เสมอว่างานของเภสัชกร เราต้องสามารถให้ทางเลือกในการใช้ยาทั้งแก่แพทย์และผู้ป่วย เราต้องสามารถสนับสนุนให้การรักษาด้วยยาของแพทย์เป็นไปได้อย่างราบรื่น เราต้องสามารถประเมินการสั่งยาของแพทย์ได้โดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เราต้องกล้าที่จำคิด กล้าที่จะทำ กล้าที่จะแย้งถ้ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม สุดท้ายแล้ว ไม่ว่างานเภสัชกรรมในสายตาทุกท่านเป็นอย่างไร ผมในฐานะเภสัชกรและตัวแทนเภสัชกรที่จะรับฟังข้อมูลตรงนี้ จะขอน้อมรับความคิดเห็นของทุกท่านครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 9 พ.ย. 50 18:55:40 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คิดว่า เภสัชกรเป็นผู้จ่ายยา ให้ความคิดเห็น แนะเรื่องยาได้ดีไม่แพ้แพทย์ค่ะ แต่ถามว่าข้อเสียคืออะไร ข้อเสียคือ บางร้านเภสัชกรให้ลูกจ้างที่มีความชำนาญที่อยู่มาเก่าแก่จัดยาให้เอง!!! จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 9 พ.ย. 50 19:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเอาเฉพาะเภสัชกรจริงๆ ไม่นับหมอตี๋ตามร้าน คิดว่าเป็นผู้จ่ายยาตามใบสั่ง แพทย์ หรือจ่ายยาเพื่อรักษาโรคเล็กๆ น้อยๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องไปโรง พยาบาล และให้คำแนะนำเรื่องยาได้ค่ะ ปล. 1 จิ๊กตามคำขอ จากคุณ : แมวน้อยสีน้ำตาล - [ 9 พ.ย. 50 19:05:05 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หน้าที่เภสัชกร คือ ทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างถูกต้อง เหมาะสมครับ จากคุณ : noon (คนชอบเต่า) - [ 9 พ.ย. 50 19:05:41 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เป็นเหมือนที่ปรึกษาเมื่อเรามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ, การใช้ยา หรือความผิดปรกติในร่างกายในขั้นต้น บางทีอาการที่เป็นไม่ได้ซีเรียสขนาดต้องไปหาหมอ ก็ปรึกษาเภสัชกรค่ะ แล้วก็เป็นผู้ที่แนะนำการใช้ยาอย่างถูกวิธี บางทีเราว่าดีกว่าหมออีกนะ เพราะหมอไม่ค่อยอธิบายหรอกว่ายาที่เราใช้อยู่มผลอะไรกับร่างกายเราบ้าง จากคุณ : แบ๊น แบน - [ 9 พ.ย. 50 20:49:28 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เภสัชกรสามารถจัดยาและแนะนำยาให้เราได้ถูกต้องและเหมาะสมค่ะ เขาจะอธิบายได้หมดเลยค่ะว่า ทานยาตัวนี้มีข้อห้ามอะไรหรือให้เราปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้หายป่วยได้ไว เช่นควรงดของมันของทอด ควรดื่มน้ำอุ่น ในช่วงที่ยังไม่หายป่วยเป็นต้น ยาตัวไหนที่เหมาะสมกับอาการของเรา ทำให้คนหายป่วยได้ไว ไม่ต้องทานยาซ้ำ หรือปรึกษาเภสัชกรได้ถึงการป้องกันการไม่ให้เกิดโรคนั้นๆกลับมาเป็นอีกครั้ง ผลดีมากมายตามมาเลยค่ะ คนหายป่วยไว คนรู้วิธีป้องกันโรค คนไม่ทุกข์เพราะโรค เชื้อโรคไม่ดื้อยา ทุกคนได้ประหยัดเงิน ประเทศชาติประหยัดงบประมาณนะคะ เราเจอกับตัวเลยค่ะ เข้าร้านขายยา ขอซื้อยาไบโซลวอน 1 แผง คนขายบอกว่าหมด เอาตัวนี้ไปแทนได้ไหม แล้วเขาก็หยิบmobicมาให้ 1 แผงค่ะ เขาบอกว่าใช้ได้เหมือนกัน...คือมันคนละตัวยากันเลยนะคะ อย่างนี้คนทั่วไปที่ไม่มีความรู้เรื่องยาจะทำอย่างไรคะ ถ้าเขากินยาไม่ถูกกับโรคไม่ถูกต้องกับอาการและบางทีกลับไปทำให้มีอาการหนักขึ้นไปอีก นี่หรือคะคุณภาพชีวิตคนไทย เปรียบเทียบกับเมื่อเจอเภสัชกร เราต้องการทานวิตามินซี เราจะได้รายละเอียดเลยค่ะ วิตามินซีมีประโยชน์อย่างไร ยี่ห้อไหนเป็นอย่างไร ตัวไหนดูดซึมดีที่สุด และควรทานวันละกี่มิลลิกรัมจึงเหมาะสมกับอาการหรือความต้องการ ควรทานตอนไหน และตอนไหนไม่ควรทาน (ตรงนี้จำได้แม่นเลยค่ะว่าวิตามินซีมิลลิกรัมสูงๆไม่ควรทานก่อนนอนเพราะอาจตกตะกอนและทำให้เราเป็นโรคไตได้) แล้วเราก็นำไปปฏิบัติตามคำแนะนำค่ะ จากคุณ : miscellaneous - [ 9 พ.ย. 50 21:07:43 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าในร้านขายยา คิดว่าเป็นผู้ที่สามารถให้คำแนะนำและดูแลได้ในระดับหนึี่ง โดยเฉพาะอาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ แต่ถามว่ามั่นใจไหม คำตอบคือยังไม่มั่นใจค่ะว่าที่เราเจอคือเภสัชกรรึเปล่า เห็นบางร้านมีแสดงรูป พร้อมชื่อเภสัชด้วย อันนี้ดีหน่อยเพราะรู้ว่าใช่แน่ แต่ส่วนใหญ่ที่เห็น คือ ชื่อเภสัชกร กับป้ายเวลาปฏิบัติการอยู่ข้างในร้าน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลาไหนมีเภสัชอยู่ นอกจากตอนที่เข้าไปซื้อแล้ว เลยงงว่าคนที่ขายให้เราเนี่ยเป็นเภสัชมั้ย ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นใคร มีความรู้และความชำนาญที่จะมาขายยาให้เราจริงหรือเปล่า ส่วนในโรงพยาบาล ก็เห็นจัดยา และจ่ายยาค่ะ ส่วนการแนะนำการใช้ยา ประเภทว่ากินยังไง แบบไหนเนี่ย บอกได้ยากค่ะ เคยเจอแบบที่ดีมากๆ คือมีการแนะนำการใช้ยาจนเข้าใจมากถึงมากที่สุด และไม่แนะนำอะไรเลยนอกจากวันละสามครั้งหลังอาหารก็มี ขึ้นกับตัวเภสัช จำนวนคนไข้ ยาทีได้รับ ฯลฯ ส่วนงานอื่นๆในโรงพยาบาลให้หมอมาตอบดีกว่านะคะ น่าจะสะท้อนมุมมองการทำงานได้ดีกว่า (ลองทำการศึกษาถามแพทย์ หรือนักศึกษาแพทย์ดูสิคะ เพราะเคยคุยกับเพื่อนที่เป็นหมอหลายคน และแต่ละคนมีมุมมองที่ต่างกันออกไปมากๆค่ะ) จริงๆตอนแรกว่าจะไม่ตอบเพราะตัวเองรู้อยู่แล้วว่าเภสัชทำอะไรบ้าง แต่ขอตอบตามที่เห็นในฐานะคนไข้ ไม่เอาทฤษฎีมาปนค่ะ จากคุณ : สาวแตก - [ 9 พ.ย. 50 21:20:18 A:203.146.63.182 X: TicketID:150666 ]

ความคิดเห็นที่ 8 น่ารักฮะ โดยเฉพาะดีเทลสาวๆ 555 จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 9 พ.ย. 50 22:22:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ^ ^ ^ ^ ^ ^ ขอบคุณค่ะ  ที่ชม จากคุณ : อดีต ดีเทล (นู๋จุ๋มมาใหม่) - [ 9 พ.ย. 50 22:36:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 กอล์ฟ พี่มาช่วยโหวตจึ้กๆนะ ขอยืมกระทู้บ่นแป๊บนึง เรายกตัวอย่างเคสง่ายๆนะคะ อยากให้ช่วยกันสนับสนุนร้านที่มีเภสัชกรค่ะ ถ้าเป็นไปได้ขอเป็นร้านเภสัชกรแบบ standalone ด้วยค่ะ เพราะถ้าเป็นร้านแฟรนไชส์ ยังไงก็โดนนายทุนควบคุมอยู่ดีค่ะ (ไม่ได้หมายถึงทุกร้านหรอกค่ะ แต่คิดว่าคงพอเข้าใจนะคะ) มีคนไข้เดินเข้ามาถามหาทิฟฟี่ กับยาพาราเซตามอล สอบถามได้ความว่า คนไข้ปวดศรีษะ และมีน้ำมูกไหล ต้องการใช้ยาสองตัวร่วมกัน โดยทานทิฟฟี่สองเม็ด พาราสองเม็ด ยาทิฟฟี่ประกอบด้วย ยาแอนตี้ฮิสตามีนลดน้ำมูก และยาพาราเซตามอลเม็ดละห้ารอ้ยมิลลิกรัมอยู่แล้ว ถ้าคนขาย หยิบขายให้โดยไม่ซักประวัติก่อน หมายความว่า คนไข้คนนี้ จะได้รับยาพาราเซตามอลในชนาด สองพันมิลลิกรัม ทั้งๆที่ขนาดยาที่คนไข้ควรได้รับ แค่พาราหนึ่งพันมิลลิกรัมก็เพียงพอแล้ว จะเห็นว่าแค่ยาสามัญประจำบ้านพื้นๆ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยขนาดนี้ เพราะฉะนั้น เรื่องยา มีอะไรลึกซึ้งกว่านี้แน่นอนค่ะ เวลาจะจ่ายยาครั้งหนึ่ง มีเรื่องให้คิดมากมายค่ะ คนไข้ได้รับยาอะไรมาก่อนหรือเปล่า ขนาดยาที่คนไข้ควรได้รับ (น้ำหนักตัว อายุ โรคประจำตัว เช่น มีปัญหาเรื่องตับ ไต) ต้องปรับขนาดยาตลอดค่ะ คนไข้มีประวัติแพ้ยาไหม คนไข้ใช้ยาตรงกับโรคหรือเปล่า คนไข้ทานยาผิดวิธีหรือเปล่า ไม่ใช่แค่สักแต่ว่า ขายให้จบๆค่ะ นอกจากงานส่งมอบยาแล้ว ยังมีงานให้คำปรึกษาผู้ป่วย แนะนำวิธีปฎิบัติตัวสำหรับผุ้ป่วยโรคเรื้อรัง ให้คำแนะนำเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นเวลาคนไข้ลืมทานยาคุมกำเนิด สอนคนไข้ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน งานพวกนี้เป็นงานบริการในร้านยาค่ะ ค่าตอบแทนสำหรับงานบริการของเราคือ คำขอบใจ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วย วันนี้เราคุยกับเพื่อนคนไทย เพื่อนเราบอกว่า คนไทยชอบร้านหมอตี๋มากกว่านะ เพราะเภสัชโง่ จัดยาไม่ตรงกับโรค หายช้า เภสัชกรทำธุรกิจไม่เป็น เภสัชกรขายยาแพง (อันนี้แย้งว่าไม่จริงค่ะ ทุกวันนี้กำไรจากการขายยาต่ำค่ะ เพราะแข่งขันกันสูง) เราย้อนถามว่า ถ้าเปิดร้านยาแล้ว มีลูกค้าร้อยคน ได้กำไรคนละบาท เข้ามาซื้อยา เราสักแต่ขายให้แบบส่งๆ แล้วลูกค้าก็จากไป กับได้ลูกค้าสองคน กำไรคนละห้าสิบบาท (จริงๆไม่ได้เว่อร์แบบนี้หรอกค่ะ  เอาขำๆนะ) แต่ได้พัฒนาคุณภาพชีวิตคนสองคน จะเลือกแบบไหน คำตอบของเพื่อนเราคือ เลือกแบบแรก เพราะธุรกิจมีโอกาสโตมากกว่า เราตอบว่า ถ้าเราหวังจะร่ำรวยจากธุรกิจยา เราไม่มาเปิดร้านยาหรอก ทำอย่างอื่นรวยกว่าเยอะ สิ่งที่เราทำในปัจจุบันคือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตคน งานให้คำปรึกษา ไม่เคยได้เงินเลยสักบาทจริงๆ เราทำด้วยใจ แต่ธุรกิจของเราเองก็ต้องอยู่ได้ เพราะทุกวันนี้เราเองก็ยังต้องการเงินในการดำรงชีวิต หน้าที่ของเภสัชกรร้านยา (standalone) อย่างเราคือ ทำธุรกิจที่อยู่ในขอบเขตของคำว่าจรรยาบรรณ เพราะธุรกิจของเราเกี่ยวกับชีวิตคน เกี่ยวกับสุขภาพ ถ้าไม่มองเรื่องจรรยาบรรณ เรายังต้องมองเรื่องของกรรมอีกด้วย ตามชนบท ยังมีการจัดยาชุด ประเภทจ่ายยาเสตียรอยด์ ยานอนหลับ และใช้ยาผิดวิธีอีกมาก เรื่องที่เจอบ่อยคือยาล้างไตค่ะ (เป็นยาที่ใช้สำหรับวัณโรค ทานแล้วปัสสาวะเป็นสีแดงค่ะ เอามาหลอกขายชาวบ้านว่าใช้ล้างไต เพราะเวลาชาวบ้านปวดเอว มักจะเข้าใจว่าเป็นโรคไต เราว่าคนขายยาแบบนี้ ทำบาปกรรมค่ะ) ตอนเรียนอาจารย์เคยสอนว่า ถ้าจะเอาอะไรให้คนไข้ทาน เราจะกล้าทานด้วยหรือเปล่า  ถ้าเป็นพ่อแม่เรา เราจะทำแบบนี้ไหม บางครั้งเราก็รู้สึกหมดกำลังใจค่ะ นอกจากต้องบริหารธุรกิจในร้านยาที่ปัจจุบันแข่งขันกันอย่างรุนแรงแล้ว ยังเจอคนบั่นทอนกำลังใจแบบนีประจำ เรายินดีที่เป็นเภสัชกรโง่ๆ ที่ไม่ร่ำรวยมากมาย ดีกว่าเป็นแค่คนขายยา สักแต่ว่าขายส่งๆไป เราไม่รู้ว่าเราจะเป็นเภสัชกรทำไม  หรือใช้คำว่าเภสัชกรไปทำไม ถ้าเราทำตัวไม่ต่างจากคนขายยาที่สักแต่ขายส่งๆไป ที่ร่ายมาซะยาว แค่อยากให้หลายๆคนรู้จักกับคำว่าเภสัชกรค่ะ เพราะน้อยคนมาก ที่จะรับรู้บทบาทของเรา และรับรู้ว่าเรามีตัวตนอยู่ ชอบคุณค่ะ ที่รับฟังและอ่านจนจบ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 10 พ.ย. 50 00:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในกรณีอยู่โรงพยาบาล -จ่ายยาได้ถูกต้องตามที่แพทย์สั่ง(ไม่หยิบยาผิด) -อธิบายวิธีการใช้ยานั้นได้ชัดเจน  โดยเฉพาะข้อควรระวังในการใช้ยา ในกรณีอยู่ตามร้านขายยา (ซึ่งอันนี้เราว่ามีบทบาทมากกว่า) -ให้คำแนะนำ ผู้ที่มาซื้อยา และตรวจสอบความเข้าใจของผู้ซื้อยา  ว่ายาที่เค้าจะซื้อไปใช้นั้นมันรักษาโรคนั้นได้จริงหรือเปล่า (เค้าจำชื่อ  ยาถูกต้องหรือเปล่า) -ขายยาให้ผู้บริโภคตามความจำเป็นเท่านั้น(โดยเฉพาะการจัดยาเป็นชุด ๆ ) เพราะเห็นคนขายยาส่วนมาก(อาจไม่ใช่เภสัชกร) ชอบให้ยาทีละมาก ๆ โดยที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจำเป็นแค่ไหน (กลัวโดนหรอกให้ซื้อโดยไม่จำเป็น) - แนะนำวิธีการที่ถูกต้องในการใช้ยาอย่างละเลียด  รวมถึงผลข้างเคียงที่ ชัดเจนที่สุด - ให้คำปรึกษากรณีที่ผู้ใช้ยามีปัญหาการใช้ยา(แม้ว่าจะไม่ได้ซื้อที่ร้านของท่าน) -เผยแพร่ข่าวสารใหม่ ๆ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับยาที่ผู้บริโภคควรรู้เท่าที่ทำได้ เช่นผู้ที่อยู่ร้านยาควรมีบอร์ด  เพื่อประกาศข่าวสารเรื่องพวกนี้ให้คนทั่วไปรู้ -แนะนำที่เลือกที่ควรจะเป็นอย่างจริงใจ  เช่น  คนไข้สมควรไปหาแพทย์ เพื่อตรวจอาการ  ก็แนะนำไปตามจริงไม่ควรให้คนไข้ซื้อยาไปลองก่อน (โดยภาพรวมเน้นเรื่องจรรยาบรรณเภสัชมากกว่า ) -อีกอย่างคือเภสัชไม่ควรขายชื่อของตนเองเพื่อให้ร้านยานำป้ายไปแขวน เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ไปดูแลเอง(อันนี้ทำได้หรือเปล่าแต่เราซีเรียส) เพราะ มันทำให้เรารู้สึกไม่ดีต่ออาชีพนี้มาก ๆ ก็ตรงนี้แหละ จากคุณ : นีโม่จัง - [ 10 พ.ย. 50 09:14:30 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แนะนำยาที่มีคุณภาพให้คนไข้ได้ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์เกินไปนัก บอกตรง ๆ ครับ ทุกวันนี้เห็นดีเทลยามาวิ่งออดอ้อนหมอเวลาจะขายยาในโรงพยาบาลหลาย ๆ แห่ง แล้วรู้สึกแปลก ๆ จากคุณ : Thermodynamics - [ 10 พ.ย. 50 11:47:59 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ของ่ายๆ แค่เฉพาะร้านขายยาแผนปัจจุบันชั้นหนึ่งค่ะ เภสัชบางคนมีปัญหาเปิดร้านเอง  แต่ไม่มีปัญญาอยู่ร้าน แขวนป้ายไว้งั้นๆ แล้วจ้างลูกจ้าง ที่รู้เรื่องยาบ้างไม่รู้บ้าง  ให้ญาติบ้างมาอยู่ขายยาไปวันๆ  จ่ายยาผิดๆถูกๆไปบ้างไม่มีใครว่ากัน  และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง สสจ. ก็ไม่กล้าตรวจ จับ ปรับ ยึดใบอนุญาตอย่างจริงๆจังๆ เพราะตัวเองก็ทำเองค่ะ  ง่ายๆค่ะ เริ่มที่ตัวเภสัชกรทุกคนเองก่อนละกัน ไม่ต้องไปว่าคนอื่นก็ได้  ดูซิว่าตัวเรา ทำตัวเป็นเภสัชกรที่ดีรึยัง เวลาจ่ายยาให้ผู้ป่วยใน รพ. ทำดีแล้วยัง หรือว่าให้ จนท. ผู้ช่วยทำแทน    ส่วนใน ร้านยา ก็ดูตัวเองกันค่ะว่า ร้านเรารึป่าว  ทำไมเราไม่อยู่ร้านเอง   ให้คนอื่นที่ไม่ใช่เรามาอยู่ แล้วไม่ห่วงประชาชนที่มาปรึกษาเรื่องยาหรือว่า เค้าจะได้รับคำปรึกษาไป ถูกต้อง ดีพอรึป่าว  ถ้าไม่มีปัญญาอยู่ร้านเอง ก็อย่าเปิดดีกว่า รับเงินวิชาชีพฟรีๆ ไปเดือนละ 5000 บาท แล้วทำงานราชการให้มันเต็มที่   หรือถ้าอยากขายยาให้ร่ำรวย ก็กล้าๆ ลาออกจากราชการมาขายเองเต็มตัว  อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่า  เป็นเภสัชกรที่ดี  ที่สมศักดิ์ศรี ปล. ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ ก็มันเป็นมาแบบนี้ตลอด และคาดว่าจะเป็นต่อไปอีกนานแสนนาน -_-" เภสัชบางท่านมาอ่านเข้าคงจี๊ดใจมิใช่น้อย จากคุณ : paninee - [ 10 พ.ย. 50 11:50:23 ]

ความคิดเห็นที่ 14 หน้าที่ของเภสัช 1. จ่ายยา และบอกข้อควรระวังในการกินยา เช่น ห้ามกินเกิน 5 วันติดต่อกัน 2. แนะนำยาที่ดีกว่า เช่น คนไข้มาซื้อยาที่ร้านยา ถ้าเรารู้ว่ามียาที่ดีกว่า ก็แนะนำตัวนั้น 3. วิจัย คิดค้นยาที่ดีกว่าเดิม 4. เวลาจ่ายยา ก็ช่วยหมอดูว่าจ่ายยาถูกต้องไหม 5. ให้ข้อมูลเรื่องยาแก่คนไข้เพิ่มเติม ถ้าคนไข้กังวลเกี่ยวกับการกินยา จากคุณ : ห - [ 10 พ.ย. 50 13:02:16 A:125.24.103.239 X: TicketID:139926 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอขอบคุณทุกความเห็นครับ สำหรับคห. ที่ 13 คุณ paninee ผมอยากให้มีเภสัชกรบางกลุ่มมาจี๊ดครับ ถ้าเค้าจี๊ดได้ ผมคงดีใจกว่านี้ บทบาทที่ผมทำอยู่ตอนนี้ อาจจะเป็นแค่มุมเล็กๆ ของเภสัชกรทั้งประเทศ ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง คงต้องเริ่มจากผู้บริโภคทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย หรือบุคลากรทางการแพทย์สาขาอื่น รักษาสิทธิที่ทุกท่านพึงมี จะช่วยให้เภสัชกรประเภทที่คุณ paninee พูดมา ได้สำนึกบ้าง ยังคงรอความคิดเห็นของทุกท่านนะครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 10 พ.ย. 50 18:11:44 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอโทษด้วยที่ขี้เกียจอ่านทั้งกระทู้ ถือว่าผมมาแจมเฉย ๆ อ่านเฉพาะกระทู้กับความคิดเห็นที่ 1 ลวก ๆ อยากตอบแบบชาวบ้าน ๆ ว่า ส่วนน้อย ๆ คุมการผลิตยา (เคยได้ยินแต่ องค์การเภสัชกรรม ไรงี้ ที่ดัง ๆ ตอนนี้นึกถึงแต่ จีพีโอ เคอร์มิน) แต่บ้านเราคงเน้นซื้อยาบริษัทต่างชาติ อีกส่วนก็อยู่ตามโรงบาล ส่วนมาก ๆ อยู่ตามร้านขายยา ไม่ว่าจะคุมเอง ขายเองหรือแค่เอาชื่อมาแปะไว้ เป็นนายประกันให้ร้าน จำคำถาม ERIG, HRIG ที่ผมเคยถามได้ป่าว นั่นแหละ ผมนึกว่าต้องถามหมอซะอีก จนมีคนแนะนำว่าแบบนี้ต้องถามเภสัช ผมถึงรู้ว่ามันมายังไง ผิดพลาดหรือกระทบกระเทือนก็ขออภัย จากคุณ : RealWorld - [ 10 พ.ย. 50 20:16:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มาตอบคุณ Realworld ครับ บริษัทยา 80% เ้ป็นบริษัท Local หรือบริษัทของไทยเองครับ และตัวยากว่า 90% ถูกผลิตในไทย (ภายใต้วัตถุดิบจากต่างประเทศ) ไม่ว่าจะเป็นบริษัทนอกหรือในครับผม และที่สำคัญเภสัชกรส่วนใหญ่อยู่รพ. และระบบบริษัทครับ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทยาหรือโรงงานยา ^^ จากคุณ : Epinephrine - [ 10 พ.ย. 50 21:07:09 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ภูมิใจ สุดแล้ว ที่เป็นเภสัชกร จากคุณ : smecta - [ 10 พ.ย. 50 21:52:00 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ต้องอยู่ประจำร้านยาจริงๆ เพราะเท่าที่ดูในตจว.ที่เราอยู่หลายร้าน อยากบอกว่าไม่รู้ใครมาคุมร้านยา หน้าตาไม่ใช่เลย แค่ใส่เสื้อกาวน์ขาวๆมาให้ดูเหมือนว่าจะเป็น แต่ไม่ใช่ค่ะ คอนเฟิร์ม เพราะรู้หน่อยกว่าเราอีก หลายคนแล้วล่ะ เช่น บางคนไม่รู้จักเรตินเอ พอได้ยินว่าเราจะซื้อเรตินเอ ก็เดินไปหาแถวๆ ที่ขายอาหารเสริมพวกวิตามิน เราก็รู้แล้วว่าอีนี่มั่วว่ะ แล้วก็เดินมาบอกเราว่า สงสัยลืมสั่งเข้ามา บางคนเอายาอะไรมาให้ไม่รู้ ที่ชื่อไม่ตรงกับยาที่เราต้องการ เพราะอันที่เราต้องการหมด แล้วบอกว่ารักษาได้เหมือนกัน พอเราถามว่าดีกว่ายังไง ก็ตอบไม่ได้ บางคนไม่รู้ราคายาที่ตัวเองขายด้วยซ้ำ ไม่ติดฉลาก บางคนก็ถามเราว่าอันนี้ใช้แล้วดีมั้ย เออ แปลก ขายเองไม่รู้เหรอว่าดีไม่ดี แบบนี้เยอะ โดยเฉพาะตจว. เราไม่ได้เรียนด้านนี้นะ แต่เรารู้มากกว่าคนขายยาบางคนอีก ร้านยาที่เป็นสาขาๆ ในกทม.เหมือนกัน บางคนเชียร์แต่พวกอาหารเสริม ไม่รู้เรื่องยาสักเท่าไหร่ เราถามว่าอันนี้ทำไมแพงกว่าเบตาดีน มันดีกว่ายังไง เค้าหยิบมาดูเหมือนจะรู้ แล้วบอกว่าเหมือนกัน แต่ทำคนละบริษัท เราก็ตอบได้ โธ่ แต่เราเห็นอยู่ชัดๆว่าตัวยาคนละตัว ถ้าเภสัชจริงๆ ก็น่าจะตอบได้เคลียร์กว่านี้ เราจะได้เลือกซื้อถูก ถ้าเห็นเราหน้าสิว ก็คิดว่าต้องกินอาหารเสริมแก้สิว จะขายอย่างเดียวเลย ซึ่งมันไม่ได้หายจริงๆหรอก เราลองมาแล้ว อย่าไปหลงเชื่อคำพูดพวกนี้มาก เภสัชจริงๆ ไม่ค่อยเชียร์ออกนอกหน้าหรอก คือถึงจะไม่ใช่เภสัชก็เหอะ ก็ควรหาคนที่ชำนาญๆหน่อย เราเคยซื้อยาแถวศิริราช เค้ามีลูกจ้างเยอะ แต่ลูกจ้างรู้หมดทุกคน หยิบคล่องทุกคน แต่มีเภสัชอยู่ทั้งวัน ถ้าคนไหนต้องการบอกอาการ ก็จะเรียกเภสัชมาฟัง บางทีเภสัชยังแนะนำยาไทยที่ราคาถูกให้ด้วยซ้ำขึ้นอยู่กับว่าคนซื้อจะเอาหรือเปล่า เราว่าดี ไม่เอาเปรียบลูกค้าเกินไป บางร้านเล็กๆ แต่เป็นเภสัชจริง เค้าก็แนะนำดี เราปวดท้อง กระเพาะ เค้าก็แนะนำเรื่องอาหารได้ด้วย จะจ่ายยากินปฏิชีวนะ ก็ถามขนาดก่อน ว่าเคยกินเท่าไหร่อะไรยังไง ไม่ใช่ขอซื้ออะไรได้อย่างนั้น อ้อ บางร้านนะคะ ไม่รู้เภสัชหรือเปล่า หรือพ่อเภสัชก็ไม่รู้ โก่งราคายาจนน่าเผาร้าน ที่อื่นยาเม็ดละสองบาท ไอ้แก่นั่นคิดเม็ดละสี่บาท ทีเดียวเลิกเลย ไม่คิดว่าจะต่างกันมากขนาดนี้ ทำยังกะของหายากงั้นแหละ จากคุณ : ด้วยคน (Alex on the rock) - [ 10 พ.ย. 50 22:26:51 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เราอยู่ร้าน  ก็ไม่เคยจำราคายาที่ร้าน  เพราะร้านเป็นของนายทุน  เรามีหน้าที่เป็นเภสัชกร เราไม่เคยยัดเยียดยา  แต่จะให้ตามเศรษฐานะ  และ ถ้าคุณมีฐานะ  จงรู้ไว้ว่า ยานอก  ถ้ามีปัญญาซื้อ  ซื้อทานซะ  วัตถุดิบมันดีกว่า  ไม่ได้ดูถูกโรงงานยาในไทย  แต่เราเป็นผู้ขายวัตถุดิบทำยา  เรารู้  และรู้ดีด้วยว่า บริษัทใด  ใช้ของคุณภาพแบบใด ไม่อยากพูดว่าสิ่งใดดี  สิ่งใดไม่ดี  เจ้าไหนดีไม่ดี  ถ้าคุณพอใจกินของจีน  ของอินเดีย  ตามสบาย คงจะพอเป็นเหตุผลได้ ว่าทำไมกินยาไทยไม่หาย  หรือ ทำไมยาไทยถูกคอดๆ  แล้วแต่ผู้บริโภค  เลือกเอา แล้วอีกเรื่อง ความแตกต่างของยา 2 ตัว  ถ้าคุณลองอ่านข้างขวดหรือกล่อง  มันมีตัวยาสำคัญ  ถ้ามันเหมือนกัน  ก็คือเหมือนกัน ต่างกันที่ยี่ห้อ  หรือถ้าต่างกันที่ตัวยาสำคัญ แต่สรรพคุณไม่แตกต่างกัน  อย่างเช่น ยาสมุนไพร  หรือยาหยิบเอง เราก็ตอบได้เพียงแค่นั้นแล้วคุณต้องการคำตอบอย่างไรเหรอ ทำไม ไม่มีใครถามว่า  ซันซิลกะแพนทิน  ต่างกันอย่างไร  ส่วนประกอบก็ต่างกัน เราขออย่างเดียว  เชื่อกันบ้าง  เราเองไม่เคยคิดค้ากำไรเกินควร  เพราะขายได้มากน้อยก็ได้เงินเท่าเดิม   แต่ไม่ค่อยเชื่อกันเรย  อย่างเรื่องกินยาปฎิชีวนะให้ครบโดส แล้วเราก็ถามเรื่อง  กินตัวนี้แล้วดีรึป่าว  เกือบทุกครั้ง เผื่อว่าคุณจะเปลี่ยน  หรือ ถ้าไม่ดี คุณไม่ชอบ  ไม่ชอบตรงไหน  คุณเจออาการข้างเคียงอย่างไร  จะได้จำไว้เพื่อบอกลูกค้า รายอื่น เรารักอาชีพนี้  อาชีพนี้สร้างโอกาสที่ดีกับเราและเราเชื่อว่า  เภสัช  ยังเป็นที่ต้องการ  แต่เราควรต้องวางตำแหน่งตัวเองให้ดี   ไม่ใช่แค่อ้อนหมอ  ที่หน้าวอร์ด จากคุณ : นู๋จุ๋มมาใหม่ - [ 10 พ.ย. 50 23:46:12 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ประสบการณ์ตรงครั้งหนึ่งค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการประเมิน เคยลงไปช่วยรุ่นพี่จัดงานสัมมนาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พอดีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ลงไปก่อนหน้า เกิดโดนน้ำร้อนลวกขา เป็นแผลใหญ่เอาเรื่อง ต้องพาเข้าเมืองมาโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จำชื่อโรงพยาบาลไม่ได้แล้ว ก่อนหน้าที่เราลงไปถึง พี่คนนั้นก็ไปหาหมอทำแผล และรับยามาทานแล้วครั้งหนึ่ง ช่วงที่เราลงไปถึง ก็พอดีกับที่พี่เขาจะต้องมาให้หมอดูแผลให้อีกครั้ง เราก็เลยติดรถตู้ออกจากหมู่บ้านมาหาหมอเป็นเพื่อนพี่คนนั้น เมื่อมาถึงโรงพยาบาล พี่เขาก็ไปให้หมอทำแผล และหมอก็เขียนใบสั่งยา ให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินไปเบิกที่แผนกยา เราก็เดินตามไปด้วย เพราะกะว่าถ้าได้ยาแล้ว เราก็จะรับแทนเลย พี่เค้าจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมา ขั้นตอนและกระบวนการเราอาจจะจำไม่หมดนะ เพราะนานมาแล้ว แต่ที่จำได้แม่นมากๆ ก็คือ เภสัชกรในห้องจ่ายยาปฏิเสธการจัดยาตามใบสั่งแพทย์ เพราะว่าแพทย์จัดยาที่คนไข้ระบุไว้ในใบกรอกประวัติว่าแพ้ ตัวยาที่คนไข้ระบุว่าแพ้ รู้สึกว่าจะเป็นเพนนิซิลิน ถ้าจำไม่ผิดนะ แล้วเจ้าหน้าที่ที่รับใบสั่งยามาจากหมอ ก็เดินเอาใบสั่งยากลับไปที่ห้องที่ทำแผล เราก็เดินตามไปสิ กลัวพี่เขาได้ยาที่แพ้มากิน ปรากฏว่า มีพยาบาลอีกคน เดินมาถามพี่ที่เพิ่งทำแผลเสร็จ ว่าคราวที่แล้วได้รับยาตัวนี้ไปกินหรือเปล่า พี่เขาก็พยักหน้ารับแบบงงๆ คราวนี้คุณพยาบาลก็เป็นคนเดินเอาใบสั่งยาไปที่ห้องจ่ายยาเองเลย เหมือนกับจะไปพยายามบอกกับเภสัชกรว่า คราวที่แล้วก็จ่ายยาตัวนี้ให้คนไข้กินแล้ว คราวนี้ก็คงจ่ายยาตัวเดิมได้ คือเราไม่แน่ใจว่าเค้าคุยกันยังไงนะ เพราะมันนานแล้ว สองปีกว่าเห็นจะได้ แต่ที่จำได้แม่นก็คือ ความรู้สึกแหม่งๆ ของเราตอนนั้น ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง ที่พอเราบอกหมอไปว่าแพ้ยาอะไร และหมอก็จ่ายยาตัวที่แพ้มาให้ แถมเอาไปกินแล้วก็ยังไม่เป็นไรอีก อาการแพ้ยานี่มันเป็นๆ หายๆ เหมือนรังแครึเปล่า และเราก็กำลังคิดจะเม้งๆ โวยวาย ถ้าสุดท้ายแล้วโรงพยาบาลจะยืนยันจ่ายยาที่พี่เค้าบอกว่าแพ้มาให้ เพราะถ้าเอากลับไปกินที่หมู่บ้าน เกิดอาการแพ้ยามันร้ายแรงขึ้นมา กว่าจะมาถึงโรงพยาบาลก็แย่กันพอดี สุดท้าย ยังไม่รู้ผลการเจรจาต้าอ่วยของคุณพยาบาลกะคุณเภสัชกร คุณพี่คนไข้ก็เดินมาระงับเหตุ ด้วยการชูซองยาที่ได้รับไปกินเมื่อครั้งก่อนให้คุณพยาบาลและคุณเภสัชดู ในซองมีเหลืออยู่สองสามเม็ด ปรากฏว่า เป็นยาคนละตัวกับยาที่คุณหมอเขียนในใบสั่งค่ะ เราก็ไม่ทราบว่าเหตุผลกลใด ที่คุณหมอที่เขียนใบสั่งยาครั้งนี้ ถึงเขียนสั่งยาตัวที่คนไข้แพ้มาให้ อาจจะเป็นการเข้าใจผิดอะไรกันซักอย่าง แต่ถ้าคุณเภสัชกรไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองโดยละเอียดรอบคอบ คราวนั้นพี่คนนั้นก็คงได้เกิดการแพ้ยาขึ้นมาในหมู่บ้านไกลตัวเมืองแน่ๆ เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราเข้าใจบทบาทของเภสัชกรมากที่สุดในชีวิตแล้วล่ะ นอกจากจะเคยเห็นวุฒิบัตรของเภสัชกร ที่แปะไว้เป็นยันต์ตามร้านขายยา แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 50 02:12:43 จากคุณ : ฟ้าคำราม - [ 11 พ.ย. 50 02:09:55 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ลบ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 50 13:06:47 จากคุณ : RealWorld - [ 11 พ.ย. 50 08:17:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 โอ้ว คห.21 ประทับใจครับ เจ๋งมัก จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 11 พ.ย. 50 13:40:52 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณพ่อเป็นเภสัชกร เวลาป่วยเล็กๆน้อยๆก็ไม่ต้องไปหาหมอเลย ปรึกษาป๊ะป๋า แล้วเค้าจะให้คำแนะนำพร้อมกับยาที่ดีที่สุดมาให้ทันที ตอนเด็กๆเลยมีปมด้อย อยากลองไปหาหมอตามคลินิคกับเค้ามั่ง T T จากคุณ : รัญจน์ - [ 11 พ.ย. 50 21:05:32 ]

ความคิดเห็นที่ 25 กำลังเรียนเภสัชอยู่ค่ะ   สัญญากับตัวเองไว้แล้วค่ะ  ว่าจะต้องเภสัชที่ดีให้ได้ (ไม่ได้ช่วย Epinephrine เลย) จากคุณ : Zero_ordeR - [ 11 พ.ย. 50 21:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ประสบการณ์จากคนในครอบครัวครับ อาจจะผิดบ้างถูกบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมเข้าใครับ - เภสัชกรในร้านยา ตอนเด็กๆเวลาปิดเทอมจะตามแม่ไปนั่งขายยาที่โอสถศาลา คอยนั่งฟังว่าคนที่เข้ามามีอาการอย่างไร วิเคราะห์แล้วน่าจะเป็นอะไร ยาอะไรที่เหมาะสม รวมถึงวิธีการใช้ยาและข้อควรระวังของยาประเภทต่างๆ เลยรู้สึกว่า บางทีเวลาที่เราป่วยเป็นอะไรเล็กน้อย หรือเป็นอาการที่เราทราบเองอยู่แล้วว่าเป็นเพราะอไร การมาปรึกษาเภสัชกรเพื่อวินิจฉัยเบื้องต้น และรับยาเพื่อรักษาตามอาการ ก็สามารถช่วยเราประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มากทีเดียว แต่ก่อน เวลาเห็นเพื่อนๆไม่สบายแม้จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม แล้วพ่อแม่เค้าพาไปหาหมอ เสียตังค์ครั้งละเยอะๆตลอดทั้งที่โดยส่วนใหญ่แล้ว หมอก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า สอบถามและจ่ายยาตามอาการ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจังที่สามารถประหยัดค่าหมอไปหลาย (ตอนเด็กแอบคิดๆว่าทำไมเราถึงไม่ได้ไปหาหมอแบบเด็กคนอื่นๆบ้าง อิอิ) - อาจารย์เภสัชกร รวบรวมความรู้และวิทยาการใหม่ๆ เพื่อถ่ายทอดให้กับเภสัชกรรุ่นใหม่ รวมถึงสนับสนุนงานๆต่างของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับวงการสาธารณสุข - เภสัชกรนักวิจัย ป้าผมที่ทำงานมหาวิทยาลัย ก็ทำวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรต่างๆที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการต่างๆ เลยรู้ว่ามีเภสัชกรจำนวนหนึ่งที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อวิจัย ค้นคว้าผลิตยาชนิดใหม่ๆที่ดีขึ้น และปลอดภัยขึ้นให้เราได้ใช้กัน - เภสัชกรในโรงงานผลิตยา อันนี้ผมอาจจะไม่รู้มากนัก แต่เท่าที่เห็นก็จะมีเภสัชกรคอยดูแลกระบวนการผลิตยา และควบคุมคุณภาพของยาที่ผลิตได้ให้เป็นไปตามมาตรฐาน นอกจากนี้ในอีกระดับนึง ก็ต้องให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาระบบการผลิตของโรงงานให้ถูกต้องตามหลักกระบวนการผลิตที่ดี เพื่อการันตีความปลอดภัยของยาที่ได้ จากคุณ : มนุษย์บัตรผ่าน - [ 12 พ.ย. 50 00:15:54 A:58.8.9.125 X: TicketID:110995 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เนื่องจากถามบทบาท ผมจะตอบบทบาทที่ผมคิดว่าควรจะเป็นนะครับ ไม่ใช่สิ่งที่ผมเจออยู่ 0. ไม่ใช่ลูกน้องหมอ ในโรงพยาบาล เภสัชมีภาระหน้าที่และศักดิ์ศรี ที่จะต้องทำงานแบบคู่กันไปกับแพทย์ ถ้าเภสัชแพทย์สั่งยาผิดหรือไม่ถูก ก็ต้องกล้าที่จะถามหรือค้าน เพราะเป็นความรับผิดชอบของเภสัชกรเช่นกัน 1. มีหน้าที่ควบคุมดูแลการจ่ายยา พิจารณาว่า จากโรคที่แพทย์วินิจฉัย ใช้ยาแบบนี้ได้หรือไม่ ถูกหรือเปล่า ถ้าไม่ถูก ก็ต้องสามารถแย้งแพทย์ได้ และ"สามารถให้เหตุผลได้" 2. สอนการใช้ยา ยาบางตัวต้องการการแนะนำการใช้ยาที่ถูกวิธี เภสัชกรมีหน้าที่สอน (ถ้าอันไหนจะไม่สอน กรุณาบอกแพทย์ด้วย แพทย์จะได้สอน) 3. Updateความรู้ และสามารถประยุกก์ใช้ได้จริง ตามความรู้ใหม่ๆเสมอ และต้องรู้ด้วยว่าสิ่งใดใช้ได้จริงกับโรงพยาบาลที่ตนอยู่ 4. มีหน้าที่ดูแลเรื่องแพ้ยาและ adverse drug reaction 5. ดูแลเรื่องเวชภัณฑ์ การจัดซื้อจัดจ้าง การดูแล ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง 6. ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับยา - โดยเฉพาะในโรงพยาบาล ควรให้ความรู้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว (เภสัชไม่ได้มีหน้าที่แค่คนจัดยานะ) - มีออกหน่วยบ้างตามกำลัง 7. ตอนเย็นเวลาไปเปิดร้าน ก็มีหน้าที่ตรวจรักษาโรคทั่วไปขั้นเบื้องต้นได้ 8. ทำตัวให้เป็นวิชาชีพ - มีอะไรก็คุยกันครับ อย่าเอาไปนินทา รักษาบทบาทของตนให้ดี ... ไม่พอใจอะไร ก็เอาขึ้นที่ประชุมไม่ใช่เอาไป incite ในรพ. นี่คือบทบาทในความเห็นผมครับ ของจริงยังค่อนข้างห่างไกล ... แต่คงไม่บ่นมากในนี้ เอาแค่ว่า "หมอทำก็โดนหาว่าก้าวก่าย หมอไม่ทำก็หาว่าเกี่ยงงาน เอะอะหน่อยก็หาว่าดูถูกเภสัชเป็นลูกน้อง" อันนี้เจอบ้างเป็นครั้งคราว (แม้ว่าโดยรวมจะพอใช้ได้) มีข้อเสนอให้สภาวิชาชีพเภสัชกรรมล็กน้อยครับ ไม่เกี่ยวกับพรบ.ยา 1. ขอให้มีความร่วมมือในการปลูกฝังไปตั้งแต่ระดับนักศึกษา ให้ทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัช มีการทำงานที่เป็น"วิชาชีพ"ร่วมกันสักหน่อย สอนให้แพทย์ ไม่ให้มองว่าเภสัชเป็นลูกน้อง สอนเภสัช อย่าให้มีทัศนคติในแง่ลบแก่แพทย์ สอนพยาบาล ให้สามารถทำหน้าที่ที่อยู่ตรงกลางได้อย่างเต็มหน้าที่ ปัจจุบันไม่มีเป็นหลักสูตรชัดเจน ดูเหมือนเป็นสิ่งที่รับรู้กันเองมากกว่า ตรงนี้ต้องปรับกันขนานใหญ่กระมัง 2. ตรงที่จ่ายยา ผมอยากให้ต่อไปในโรงพยาบาลรัฐมีลักษณะเป็นห้องแบบห้องตรวจของแพทย์ เพราะหากเป็นเคาเตอร์รับยาแบบปัจจุบัน คนไข้ที่เขามาก็มองแค่ว่ารับยาแล้วกลับ แต่ถ้าหากทำเป็นห้อง มีเก้าอี้นั่งชัดเจน ก็จะสามารถทำให้คนไข้เข้าใจบทบาทของเภสัชกรได้มากขึ้น เภสัชกรก็สามารถอธิบายได้ง่ายขึ้น ปล. ผมเซนเซอร์ไปหลายจุดครับ เพราะไม่เกี่ยวกับกระทู้ ... ตัดเอาเรื่องความอัดอั้นตันใจบางเรื่องทิ้งไป ... เข้าใจว่าเรื่องพวกนั้นมันเป็นแค่เรื่องส่วนบุคคล เพียงแต่อยู่มาสองรพ. เจอทั้งสองรพ. จากคุณ : หมอแมว - [ 12 พ.ย. 50 12:42:46 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรื่องที่อยากให้ทำ ผมเคยเขียนไว้ในบลอกของพี่อะธีลาสแล้วครับ จากคุณ : Marquez - [ 12 พ.ย. 50 13:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เค้ามาช่วยโหวตให้นะก็อป จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 - [ 12 พ.ย. 50 14:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ความจริงเภสัช น่าจะมีความรู้เรื่องยามากกว่าแพทย์นะ ก็เรียนแต่เรื่องยานี่เน๊อะ จริงๆ มีหน้าที่ที่สำคัญมาก   แต่บ้านเรา  เภสัชกรไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไร นอกจากได้ใบอนุญาตไปเปิดร้านขายยา แล้วให้ลูกจ้างเฝ้าร้าน บางคนก็สวมชื่อแล้วรับตังค์ อย่างกรณี หมอคลีนิคหนึ่งจ่ายยาเกินขนาดให้คนไข้ เพราะเป็นคลีนิค คนจ่ายยาไม่ใช่เภสัชกร   อาจเป็นได้ว่าหมอเขียนผิด ในใจไม่อยากเชื่อนะ ว่าหมอคำนวณปริมาณยาผิด  เพราะมีเพื่อนเป็นหมอหลายคน กรณีนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้ หรือคนจ่ายยาอ่านลายมือหมอผิด แต่ถ้าเป็นเภสัช  เค้าต้องรู้ว่าต้องเอะใจ  เพราะมีความรู้เรื่องยาดี จากคุณ : Makit - [ 12 พ.ย. 50 17:37:13 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ่านความเห็นที่ 21 แล้วซึ้งใจค่ะ (ในฐานะเภสัชกรคนนึง) จากคุณ : BeCoffee (BeCoffee) - [ 12 พ.ย. 50 20:44:29 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขออนุญาตโหวตให้ก่อนละกันนะครับ . . . จากคุณ : Nanohana - [ 12 พ.ย. 50 23:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณทุกท่านมากครับ อยากให้ช่วยๆ กันแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกเยอะๆ เลยครับผม ^^ จากคุณ : Epinephrine - [ 13 พ.ย. 50 08:27:25 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 13 พ.ย. 50 11:35:33 ]

ความคิดเห็นที่ 35 หน้าที่หลักของเภสัชกรประจำโรงพยาบาล คืิอ อ่านลายมือหมอให้ออก เสียดายครับ เรียนมาเรื่องยาโดยตรง แต่ต้องมาจ่ายยาตามคำสั่งหมอ จากคุณ : บ้านน้อก...บ้านนอก - [ 13 พ.ย. 50 13:28:11 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ในความรู้สึกนี่ เภสัชกรคือผู้รู้เรื่องยาอย่างแท้จริงค่ะ ทุกวันนี้ไม่ต้องเสียเงินรักษาสิวเดือนละมากๆ ก็เพราะไปขอคำแนะนำจากเภสัชกรนี่แหละค่ะ แจกแจงให้ฟัง แนะนำเป็นอย่างดี ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปคลีนิกอีกด้วยค่ะ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เคยแพ้ไฮเตอร์ซักเสื้อขาว ผื่นขึ้นเต็มหลัง ก็ไปปรึกษาเภสัชกร ได้ยามาทา แนะนำยี่ห้อไม่แพงด้วย ทาอาทิตย์เดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ทำให้ประทับใจเภสัชกรสองท่านนี้มากๆ ค่ะ เป็นที่ปรึกษาใกล้บ้านในเรื่องเจ็บป่วย ประหยัดเวลาดีด้วยค่ะ ปล.1 ไม่รู้ตอบโจทย์ จขกท ได้หรือเปล่านะคะ แค่อยากเล่าความรู้สึกที่มีต่อเภสัชกร ปล.2 โหวตค่า ^^ จากคุณ : เตียวเสี้ยน (ชอนวอน) - [ 13 พ.ย. 50 13:31:00 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ก็คิดว่าเภสัชกร จ่ายยาได้ ทำโรงงานผลิตยาได้ คิดค้นยาตัวใหม่ได้ จ่ายยาดีกว่าหมอ (มั้ง) สำหรับเรานะ  เราไม่สนใจหรอกว่าเภสัชจะมีบทบาทอะไรบ้าง แล้วก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปคิดเลย เพราะถ้าเกิดเราป่วยขึ้นมา ก็แค่ไปหาหมอ  หมอก็ตรวจ ๆ เภสัชก็จ่าย ยา ๆ   หรือป่วยเล็ก ๆ น้อย ก็ไปซื้อยากับเภสัช  แทนที่จะไปหาหมอ เภสัชกรก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ก็พอแล้ว   คุณจะมีอุดมการณ์ หรืออะไร ก็ไปปรึกษากันเองในหมู่เภสัชด้วยกันก็แล้วกัน พูดให้ฟัง คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการนี้เค้าก็ไม่รู้เรื่องหรอก แค่คุณจ่ายยาให้คนไข้กินแล้วหาย ก็เป็นพระคุณมากแล้ว คุณปฎิบัติหน้าที่ดีเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มคุณค่าของอาชีพคุณเท่านั้น ก็แค่นั้น แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 21:12:29 จากคุณ : .. (ปากกาสีครีม) - [ 13 พ.ย. 50 17:28:33 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เภสัชกรในสายตาผมนะ อ้วนๆ ตัวขาวๆ นั่งอยู่ในร้าน คอยให้คำปรึกษาลูกค้า และก็หาของอร่อยๆกิน อ้อ..ลืม  โหดด้วย อิอิ จากคุณ : pattapon - [ 13 พ.ย. 50 21:20:01 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ให้คำปรึกษา เวลาเราเจ็บป่วยและเราไม่อยาก ไป รพ จากคุณ : babysheep - [ 13 พ.ย. 50 22:43:35 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เปนบุคลากรในสายงานวิทยาศาสตร์สุขภาพ ดูแลจัดการเกี่ยวกับยา ไม่ว่าจะด้านการบริการ ให้ความรู้ ค้นคว้าวิจัย จากคุณ : atheist - [ 14 พ.ย. 50 01:28:48 ]

ความคิดเห็นที่ 41 # 27 ตรงที่จ่ายยา ผมอยากให้ต่อไปในโรงพยาบาลรัฐมีลักษณะเป็นห้องแบบห้องตรวจของแพทย์ เพราะหากเป็นเคาเตอร์รับยาแบบปัจจุบัน คนไข้ที่เขามาก็มองแค่ว่ารับยาแล้วกลับ แต่ถ้าหากทำเป็นห้อง มีเก้าอี้นั่งชัดเจน ก็จะสามารถทำให้คนไข้เข้าใจบทบาทของเภสัชกรได้มากขึ้น เภสัชกรก็สามารถอธิบายได้ง่ายขึ้น เห็นด้วยค่ะว่าอยากให้เน้นคุณภาพ แม้จะเป็น counter ก็อยากให้อธิบายให้ละเอียด ตอนนี้เภสัชจบใหม่ก็มีเยอะแยะ ถ้าจะรับเพิ่มก็คงไม่ขาดแคลน และที่สำคัญ คือ หลายๆโรงพยาบาล กั้นกระจกห้องจ่ายยาซะมิดชิด เวลาจ่ายยาก็แทบจะไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้เหมือนกันว่ากลัวอะไร ถ้ากลัวติดเชื้อ รูแค่นั้น มันก็เข้าไปได้เหมือนกันแหละค่ะ จากคุณ : สาวแตก อารมณ์ไม่ดีผัวหนีเที่ยว - [ 14 พ.ย. 50 03:11:39 A:10.10.1.71 X:203.170.228.168 TicketID:150666 ]

ความคิดเห็นที่ 42 >>>>อยากให้ช่วยกันสนับสนุนร้านที่มีเภสัชกรค่ะ ถ้าเป็นไปได้ขอเป็นร้านเภสัชกรแบบ standalone ด้วยค่ะ เพราะถ้าเป็นร้านแฟรนไชส์ ยังไงก็โดนนายทุนควบคุมอยู่ดีค่ะ <<< อยากสนับสนุนร้านขายยาแบบ Stand alone นะคะ แต่ว่าร้านหน้าบ้านเราถึงจะแปะป้ายว่าขายยาโดยเภสัชกร แต่ว่าเข้าไปทีไรก็เจอแต่อาแปะแก่ๆหรือเมียอาแปะอ่ะ ช่วงหลังๆเราเลยซื้อยาที่ Boots ตลอดเลย จากคุณ : Pat :o) - [ 14 พ.ย. 50 09:18:41 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ต่อไปเข้าร้านขายยาอาจจะได้เห็นสัญลักษณ์นี้ บ่อยขึ้น จากคุณ : apotheker - [ 14 พ.ย. 50 13:20:09 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คห. 10 โดนใจ จรรยาบรรณ จะต้องมีพร้อมกับการดำเนินธุรกิจ ถ้าอยากรวยๆไป อาชีพอื่นครับ บาปกรรมมีจิง   เราตายไปแล้ว สมบัติ เงินทองก็เอาไปไม่ได้ ขายยาในราคายุติธรรม และได้ช่วยเหลือคนเจ็บป่วย เป็นกุศลที่แรงครับ จากคุณ : Mr.medicine - [ 14 พ.ย. 50 14:18:36 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ ตอบคุณปากกาสีครีม คห. 37 ครับ เหตุผลที่ต้องการขอความเห็นไม่เพียงเพื่อต้องการทราบบทบาทเท่านั้นครับ แต่เพื่อที่จะสะท้อนกลับไปยังเภสัชกรกลุ่มใหญ่ ที่ยังคงไม่เห็นบทบาทวิชาชีพตัวเองอย่างชัดเจน รวมถึีงเป็นแนวคิดถึงความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อเภสัชกร เพื่อกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกในนิสิตนักศึกษาด้วยครับ ตอบ ด.ช. เป้ คห. 38 ตกหล่อๆ ไปด้วยนะ ว่าแต่จะไปกินสเต็กกันไหม 55555 ----------------------------------------------------------------------------- อย่างไรก็ตาม ผมและทีมงาน ยังคงรอฟังความคิดเห็นจากทุกท่านเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 14 พ.ย. 50 14:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เภสัชกร ควรมีบทบาทในการควบคุม /กำกับ คัดสรร หาข้อมูลรองรับ การใช้ยา และเวชภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ทุกทีที่มี ยา / เวชภัณฑ์ ควรมีเภสัชกรอยู่ประจำตรงนั้นด้วย เภสัชกร ควรมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ โดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (ใครที่คิดหาแต่เงิน  สมควรให้ไปอ่านหนังสือธรรมะ แล้วจะรู้ว่า ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ทำเพื่อคนอื่นซะมั่ง) เภสัชกร ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และสร้างทักษะการวิจัย นวัตกรรมใหม่ เพื่อสร้างบทบาทวิชาชีพให้เป็นกำลังสำคัญหนึ่งในทีม บุคลากรสาธารณสุข จากคุณ : numsainoi - [ 14 พ.ย. 50 19:06:29 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เราขอตอบในฐานะหมอ(ยังเด็ก)นะคะ  ในรพ. - ช่วยเช็คใบสั่งยาของแพทย์อีกครั้งว่ายานี้ให้ถูกตามขนาดหรือยัง  มียาตัวที่ออกฤทธิ์ต้านหรือเสริมกันแบบที่ไม่ควรให้ด้วยกันหรือเปล่า(ที่จริงหมอก็รู้ค่ะ  แต่มักจะรู้แต่ประเภทที่คอขาดบาดตายจริงๆน่ะค่ะ)  เช็คเรื่องประวัติการแพ้ยาอีกครั้ง  แล้วก็ให้ความรู้เรื่องการใช้ยากับผู้ป่วย  พักนี้พูดตามตรงเรารู้สึกทั้งเสียดายทั้งไม่ชอบดีเทลยาสาวๆ(ไม่แน่ใจว่าเป็นเภสัชกรทั้งหมดหรือเปล่า)  ที่วันๆเอาแต่มาออดอ้อนหมอขายยาเอาซะเลย  คือเราว่าการขายยามันควรมีลิมิตนิดนึงน่ะนะ  เอ่อ...มันต้องนุ่งสั้นๆ  เอาตัวมาอยู่แบบโคต..ร....ใกล้ชิดกันขนาดนั้นเลยเหรอ  เรารู้สึกว่าใครๆที่ได้เห็นก็ดูแล้วไม่ดีเลยอ่ะ  ไม่ดีทั้งกับตัวหมอ  ตัวดีเทล  แล้วก็กับคนไข้+ญาติทั้งหลายที่เห็นด้วย  ร้านขายยา - ก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยกรุณาอยู่ที่ร้านหน่อยนั่นแหละ  เราว่าน่าจะทำแบบหมอนะคะ  ที่มีการติดรูป -เลขที่ใบอนุญาต -สาขาวิชาชีพ  เอาไว้ที่หน้าร้านน่ะค่ะ  เดี๋ยวนี้เราไปตรวจที่คลีนิกไหนก็ต้องติดหมดเลยค่ะ  เราว่าน่าจะแก้ปัญหาได้ดีทีเดียว  เพราะถึงจะแอบมั่วแต่ถ้ามีคนสงสัย  อย่างน้อยก็ยังสามารถตรวจสอบได้ว่าคนในภาพนี่(คนขายยา)คนชื่อนี้เป็นเภสัชกรจริงหรือไม่  เพราะเราอยู่คลีนิกนี่เจอประจำเกือบทุกครั้งเลยค่ะ  ฟังประวัติคนไข้แล้วเอายาที่ไปซื้อจากร้านยามาให้ดูนี่.....................  หมอตี๋ทั้งนั้น  ไม่กินยังจะดีซะกว่าด้วยซ้ำไป  อย่างวันนี้คนไข้แคะหูแล้วมีเลือดออกจากนั้นอีก1-2วันก็ปวดหู  คุณหมอตี๋จ่ายยาDex-oph กับOfloxacin มาให้  ให้ตายสิ......น่ากระทืบมาก  แถมคนไข้ยังบอกอีกนะว่าไปซื้อกับเภสัชกรมาครับ  ก็เลยบอกไปว่า"หมอแนะนำว่า  คราวหน้าอย่าซื้อยาร้านนี้เลยค่ะไปซื้อร้านอื่นเถอะ" ................ถึงกับเซ็ง  ส่วนเรื่องจรรยาบรรณก็ตาม คห.ข้างบนค่ะ จากคุณ : vinv - [ 14 พ.ย. 50 23:30:16 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เภสัชกร คือผู้ดูแลระบบยาค่ะ แต่เป็นที่น่าเสียใจที่ปัจจุบันกำลังถูกสังคม กฏหมาย ลดบทบาทหน้าที่สิทธิ์ตามวิชาชีพเภสัชกร จากคุณ : EkNoT - [ 14 พ.ย. 50 23:32:15 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ตอบคห. ที่ 47 ครับ เป็นเรื่องจริงที่วงการเภสัชฯ ต้องยอมรับครับ สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมพยายามปรับปรุงครับ ตอบคห. ที่ 48 ครับ น่าเศร้ามากครับ แต่นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนต้องสู้ครับ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อผู้ป่วย จากคุณ : Epinephrine - [ 15 พ.ย. 50 08:12:39 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เข้ามาโหวตก่อน เด๋วกลับมาอ่าน ^ ^ จากคุณ : Rata_RG - [ 15 พ.ย. 50 11:50:17 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เภสัชกรถ้าเปิดร้านแข่งกะหมอตี๋ในละแวกใกล้กัน สำหรับเมืองไทยแล้วคอนเฟิร์มว่าร้านหมอตี๋จะรวย แล้วร้านเภสัชกรจะอยู่แบบกล้ำกลืนค่ะ  ขนาดอาจารย์ของเราท่านมาเปิดร้านเองเฉพาะช่วงเย็นยังเจ๊งเลยค่ะ ต้องกลับไปสอนหนังสือเต็มเวลาแบบเดิม    ยอมรับเลยจริงๆอย่างที่หมอแมวบอกค่ะ ว่าเมืองไทยยังมีปัญหาเรื่องความร่วมมือกันระหว่างวิชาชีพอยู่เยอะจริงๆ หมอยังติดนิสัยมองเภสัชว่าเป็นลูกน้อง แล้วหลายๆๆๆๆๆๆๆๆๆครั้งไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองพลาด แล้วก็ไม่ยอมรับว่ามีอาชีพใดที่จะเก่งกว่าตน  เชื่อไหมคะ ว่าหมอส่วนมากเลยไม่ยอมรับหรอกค่ะ ว่าเภสัชกรเก่งเรื่องยามากกว่าหมอน่ะ   เภสัชเองก็มองหมอในแง่ลบ เพราะตัวเองก็ถือว่าเรียนมายากเหมือนกัน  ผลเสียไม่ได้ตกกะใครหรอกค่ะ ก็ตกกับคนไข้ทั้งนั้น  น่าจะมีการกระชับความสัมพันธ์ในบรรดานักศึกษาแพทย์กับเภสัชกันเยอะๆในช่วงเรียนบ้างนะคะ  เด็กที่ออกมาจะได้รักกันหน่อย   สมัยเรียนเคยศึกษาเรื่องการทำ medical roconciliation แล้วถามอาจารย์ผู้สอนว่าทำไมเมืองไทยเราไม่ทำตรงนี้บ้าง เพราะจากงานวิจัยพบว่ามันช่วยลดความคลาดเคลื่อนทางยาได้เยอะมากๆ   อาจารย์ของปอท่านก็บอกว่า นี่เมืองไทยนะ บุคลากรเราไม่พอหรอก แล้วหมอเมืองไทยอีโก้สูงมาก ไม่มีทางยอมร่วมมือกับเราง่ายๆหรอก  ตอนนั้นก็คิดในใจนะคะ ว่าอาจารย์ของเราอคติกับหมอไปนิดนึงมั้ย แต่พอมาทำงานแล้วก็เลยได้รู้น่ะค่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์เลย   ตอนนี้ทำร้านยาอยู่เองค่ะ  ค่าใช้จ่ายในร้านตกประมาณเดือนละสามหมื่นห้า ยังไม่รวมเงินเดือนให้ตัวเอง  กำไรจากการขายยาอยู่ที่ประมาณหมื่นห้าพันบาทต่อเดือน เรียกว่ายังไม่พอค่าเช่าร้านเลยค่ะ  ยอมรับว่าแพ้ร้านหมอตี๋จริงๆ  คนไทยส่วนมากยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพน้อยมากจริงๆค่ะ แล้วแถมไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอีกต่ะหาก   มาร้านยานี่ต้องการได้ยาเยอะๆ  ร้านไหนให้ยาเยอะแสดงว่าร้านนั้นเก่ง ไม่เลี้ยงไข้?  จรรยาบรรณกับธุรกิจนี่มันไปด้วยกันได้ยากจริงๆค่ะ ยอมรับเลย   ทุกวันนี้ก็ยังทนทำร้านยาแบบขาดทุนจากการขายยาเดือนละสองหมื่นอยู่นะคะ  เพราะยังไงงานร้านยาก็เป็นงานที่เรารัก แล้วก็มีลูกค้าบางส่วนที่เข้าใจเราแล้วมาเป็นลูกค้าประจำ ทำให้ยังคงมีกำลังใจอยู่บ้าง  มานึกถึงน้องๆรุ่นหลังๆนี่แล้วก็เป็นห่วงเค้าจริงๆ ว่าถ้าเจอแบบเรากันนี่จะทำยังไง ไอ้เรานี่ยังไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ที่ทำร้านยาแล้วขาดทุนเพราะว่าเรามีรายได้หลายทางที่มันมาช่วยเสริมกับการขาดทุนของร้านยาได้  แต่น้องๆที่เค้าเปิดร้านเป็นอาชีพหลักอย่างเดียวล่ะ  คิดแล้วก็ปลงกับระบบสาธารณสุขเมืองไทยจริงๆค่ะ  มีอะไรที่อยากระบายอีกเยอะเลยค่ะ แต่ก็รู้ว่าบ่นไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา  เพราะตัวเราเองก็เป็นแค่น้อตตัวเล็กๆตัวนึงในระบบสาธารณสุข  ยังไงก็หวังว่าในอนาคตจะมีอะไรๆที่มันดีกว่านี้เกิดขึ้นในไทยก็แล้วกันนะคะ ** ยอมรับในสิ่งที่คุณหมอแมวชี้แจงมาค่ะ แล้วก็ขอบคุณด้วยนะคะ ที่ทำให้ปอมองเห็นในข้อบกพร่องของตัวเอง  ขอบพระคุณคุณหมอแมวมากเลยนะคะ    ถ้าแพทย์เมืองไทยส่วนใหญ่เป็นอย่างหมอแมวก็ดีนะคะ หลินปอก็อยากเห็นบรรยากาศอย่างที่คุณหมอแมวว่ามาเหมือนกัน   แต่ก็ไม่คาดหวังอะไรมากล่ะค่ะ  ที่นี่เมืองไทย ระบบสาธารณสุขสร้างมาเพื่อเอื้อกับใครเป็นหลักเราก็รู้กันอยู่แก่ใจ  เมืองไทยเราหายากที่คนมีตำแหน่งสูงกว่าจะยอมรับฟังคำแนะนำจากคนตำแหน่งต่ำกว่าน่ะค่ะ   ปอบอกตรงๆ ว่าคงเป็นไปได้ยากที่บรรยากาศอย่างที่คุณหมอแมวบอกมาว่าอยากเห็นหมอกับเภสัชกรโต้แย้งกันด้วยวิชาการหรือความรู้จะเกิดขึ้นมาได้จริงๆ      เพราะในความเป็นจริงแล้วเวลาขัดแย้งกันนั้น  ฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่านั้นจะไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองผิดหรอกค่ะ ถ้าจะมีก็หายากจริงๆ เรียกว่าหนึ่งในร้อยเลยก็ว่าได้   เรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆล่ะค่ะ    เฮ้อ...... ก็ได้แต่ปลงล่ะนะคะ    แต่ก็ขอบคุณคุณหมอแมวนะคะ ที่ทำให้อคติในตัวแพทย์ของหลินปอลดลงไปได้เยอะทีเดียว แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 50 23:33:27 จากคุณ : ^^หลินปอ^^ - [ 15 พ.ย. 50 14:10:03 ]

ความคิดเห็นที่ 52 คุณหลินปอ อยู่ร้านไหนเหรอ จะไปซื้อ จากคุณ : Khun KP - [ 15 พ.ย. 50 15:27:51 ]

ความคิดเห็นที่ 53 พอดีทำงานในโรงพยาบาลที่สังกัดโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง รู้สึกเหมือนกันว่าแพทย์ส่วนใหญ่นี่อีโก้สูงมากๆอาจเป็นเพราะสังคมไทยให้ความนับหน้า ถือตา พวกเค้าเป็นพิเศษมากกว่าคนที่ทำงานในอาชีพอื่นมากเกินไปรึเปล่า? ... สำหรับเราคิดว่าเภสัชกรมีหน้าที่ ผลิต-จัด-จ่ายยา ,ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาแก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป รวมถึงค้นคว้าวิจัยยารักษาโรคใหม่ๆ  ประมาณนี้น่ะค่ะ โหวตให้นะคะ (^ ^)v จากคุณ : stnd - [ 15 พ.ย. 50 16:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เรียนคุณหลินปอครับ .... จริงๆ อีกเรื่องนึงที่ผมเห็นว่าเภสัชกรมีปัญหา คือ EGO เช่นกันครับ ความเป็นEgo ที่ว่า เภสัชรู้เรื่องยามากกว่า ทำให้บางครั้ง เกิดตกม้าตายในการรักษาคนไข้เช่นกัน หลายครั้งก็เกิดการนินทาข้ามสายงาน สิ่งที่ผมอยากให้เป็นคือ ทั้งหมอและเภสัชทำงานร่วมกัน มีอะไรขัดแย้งกันก็ให้เกิดการถกเถียงกันทางวิชาการ อะไรเภสัชเห็นว่าหมอไม่รู้ ก็ต้องบอกต้องเตือน อะไรหมอเห็นว่าเภสัชกรเข้าใจผิด ก็ต้องเตือน ไม่ใช่เอามาเล่าในinternetที่คนฟังมีหลากหลาย (ยกเว้นเตือนแล้วไม่ฟัง อันนั้นขึ้นกับวิจารณญาณ) เพราะเรื่องการรักษาคนไข้ คือการรักษา การรักษาไม่ได้มีแบ่งเป็นอายุรกรรม เภสัชกรรม ไม่ได้แบ่งเป็น ศัลยกรรม หรือ เวชศาสตร์ แต่การรักษาคือการรักษาคนทั้งคน ..... ผมเห็นความเห็นของเภสัชกรหลายคนแล้ว สะท้อนใจ ผมเข้าใจครับ ในการทำงานจริง ต้องมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่ของพวกนี้ ไม่ได้วัดกันที่EGO(จริงๆต้องเรียกว่า SuperEGO) เราวัดกันที่ความถูกต้องเหมาะสมครับ การที่เภสัชกรบอกว่า หมอ มีEGO สูง ....... แปลความได้ว่า เภสัชกรคนนั้น เกิดความเห็นที่ไม่ตรงกับความเห็นของหมอคนนั้น ซึ่งก็แปลความได้ต่อไปว่า เภสัชกรคนนั้นมีEGO สูงเช่นกัน(เพราะเห็นไม่ตรงกันและเชื่อมั่นในความเห็นตนเอง) สิ่งเดียวที่มั่นคง คือ ความรู้ครับ ถ้าเห็นไม่ตรงกัน ก็ฟาดฟันกันด้วยความรู้ หมดเรื่องก็ไปนั่งกินไอติมกัน พร้อมกับการทำให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเหตุผลของEGOของเราคืออย่างไร จากความเห็นที่27 ผมได้เอ่ยไว้ถึงเรื่องสิ่งที่อัดอั้นเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับเภสัชกรที่ผ่านมา แต่ผมไม่ได้เล่าในที่นี้เพราะเล่าไปมันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น คนนอกที่ไม่เข้าใจในวิชาชีพทางการแพทย์มาอ่าน กลับจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเภสัชกร ดังนั้น ส่วนมากแล้วผมไม่ค่อยเล่าเรื่องราวที่เห็นและเป็นไปเกี่ยวกับเภสัชกรที่ประสบ ... ถ้าจะเล่าก็อาจจะเป็นวงแคบลงอย่างในThaiclinic(ก็ไม่ค่อยลง) และที่ Pharmacafe ที่คนอ่านแล้วจะเข้าใจมากกว่า จากคุณ : หมอแมว - [ 15 พ.ย. 50 23:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ระหว่างขีดเขียนอยู่นี่ คันไม้คันมือ อยากเล่ามาก ..........-_-' -_-' -_-' แต่ไม่เอาๆๆๆๆ .............................. เอาใหม่ ................................ เวลาผมมาทำงานนะครับ ... เช่นเดียวกับเภสัช ทันตะ แพทย์ที่มาพร้อมๆกัน กับคนที่ผมรู้จัก ผมจะบอกไว้ก่อนเลยว่า "มีอะไรเห็นไม่ตรงกัน บอกได้เสมอ" แต่พอทำงานไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มรู้ว่า มันมีปัจจัยหลายอย่างที่มากเกินกว่าที่พวกจบใหม่จะไปแก้ได้ ทัศนะ ของ กลุ่มรุ่นที่ทำงานมาเก่าๆ ที่มีต่อวิชาชีพอื่น เป็นอะไรที่แก้ไขได้ยาก หลักปฏิบัติ กฎเกณฑ์ยิบย่อยในการทำงาน ก็เป็ฯสิ่งที่เราแก้กันไม่ได้ ของพวกนี้ ถ้าเราตกไปอยู่ในวังวนของมันนานๆ เราก็จะสร้างมุมมองของเราที่มีต่อวิชาชีพอื่นขึ้นมา ผมเอง อยู่ในมุมที่เห็นเภสัชกรหลายท่าน (ซึ่งอาจจะมีความหลังที่ไม่ดีกับหมอมาก่อน) เภสัชกรที่มองแพทย์ในแง่ลบ ชอบคิดว่า หมอส่วนใหญ่มองเภสัชกรเป็นลูกน้อง ด้วยความสัตย์จริง ผมอยู่ในหมู่หมอ ผมรู้ดีว่าหมอส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้น เภสัชกรหลายคน มีEGOสูงมาก ถ้าหมอมีความเห็นไม่ตรงกัน จะตีตราหมอว่า"Ego" สูง หลายครั้งทีเดียว ความเห็นไม่ตรงกัน แต่ไม่อธิบายอะไรเลย ... (แล้วหมอจะรู้ได้อย่างไรล่ะครับว่าตกลงความเห็นไม่ตรงกันมันตรงจุดไหน หมอพลาดตรงไหน) ................................................................................................ ดังนั้น ผมอยากเห็นภาพการทำงานที่มันมีความร่วมมือกันมากกว่านี้ มีปัญหาอะไรไม่เข้าใจ ก็ต้องหันหน้าเข้าหากัน ถ้ามีปัญหาอะไรแล้วไม่พูดกัน หรือพูดไม่สำเร็จแล้ว ปล่อยผ่านให่คาราคาซัง จากนั้นเอาไปก่อมุมมองว่า "เราช่างเป็นวิชาชีพที่โชคร้าย" ผมว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายครับ ปล. สรุปแล้วคงไม่เล่าตรงนี้นะครับ ที่มีคนเขียนมาหลังไมค์ว่าเรื่องอะไร ผมกำลังพิมพ์ราวหลายเรื่องที่เกิดขึ้น โดยพยายามจะตัดอคติออกไป(ยากเหมือนกัน) ... ไม่อยากให้เรื่องที่ฟังดูไม่ดี(แต่จริงๆเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไร) ออกไปสู่คนนอกกลุ่มวิชาชีพครับ จากคุณ : หมอแมว - [ 15 พ.ย. 50 23:18:17 ]

ความคิดเห็นที่ 56 คห.51 คุณหมอ : อ้าว จะเปลี่ยนทำไมล่ะ  doxy มันก็กลุ่มเดียวกับ amoxy ไม่ใช่เรอะ  คนไข้ไม่ได้แพ้ penicillin นี่ -สงสัยคุณหมอไม่ได้นอนมานะเนี่ย เป็นผมผมก็อึ้งเหมือนกัน ถ้าคุณเจอก็ลองแย้งๆ หรือว่าเถียงหมอก็ได้นะครับฃ ส่วนเรื่อง Ego เนี่ย ผมว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า .. อย่ามาเหมารวมเลยครับ คุณบอกว่าเจอหมอมาแล้วเจอแต่คนที่มี Ego สูง แต่ถามหน่อยหมอที่คุณเจอมันกี่เปอร์เซนต์ของหมอไทย แล้วจะเอาแค่ไม่กี่เปอร์เซนต์มาเหมาว่าหมอมี Ego สูงทั้งหมด มันแฟร์แล้วหรือครับ ปล. ผมก็มีพี่เป็นเภสัชครับ บางเรื่องผมก็ต้องถามพี่ผม หรือถามเภสัช ผมไม่อายที่จะถาม แต่อายมากกว่าถ้าจ่ายยาผิดเพราะไม่ถาม จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 15 พ.ย. 50 23:24:14 ]

ความคิดเห็นที่ 57 จริงๆเรื่องแบบนี้อาจจะต้องโทษกันที่ระบบมั้งคะ   ที่ทำให้วิชาชีพต่างๆมีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกันมากขนาดนี้   ผลเสียตกอยู่ที่ประชาชนจริงๆนะคะ     ปอขออภัยนะคะ ที่เอาเรื่องที่คันมืออยากเล่ามาเล่าออกไปโดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีก่อน( ลบไปเรียบร้อยแล้วค่ะ )   จะเห็นได้ว่าเราต่างมีเรื่องที่อยากเล่ามากมายเหมือนกันเลยนะคะ คุณหมอแมว     ก่อนได้ออกมาทำงานนั้นปอไม่มีอคติใดๆกับแพทย์เลยนะคะ เพราะในมหาลัยที่หลินปอเรียนมานั้นก็ไม่มีคณธแพทย์ศาสตร์ด้วย เลยไม่ค่อยได้มีโอกาสได้รู้จักกับแพทย์ท่านอื่นเท่าไหร่ ยกเว้นอาจารย์ในคณะบางท่านที่เป็นแพทย์แล้วท่านก็น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆ  แต่อคติทั้งหลายที่ปอเกิดขึ้นกับแพทย์นั้นเกิดขึ้นตอนปอเริ่มทำงานค่ะ  ทั้งประสบด้วยตัวเองแล้วจากที่เพื่อนๆนำมาเล่าให้ฟัง      หันหน้าเข้าหากัน.... อธิบายกัน....  มันดูเป็นหนทางที่ดีนะคะ  จากที่คุณหมอแมวบอกมาว่าคุณหมอแมวอยู่ในหมู่แพทย์  คุณหมอแมวเชื่อว่าแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าเภสัชกรเป็นลูกน้องหรือเป็นคนที่ด้อยกว่า ?    ยอมรับนะคะ ว่าหลินปอและเพื่อนของหลินปออาจจะไม่ได้พบแพทย์ส่วนมากของประเทศ  แต่แพทย์ที่พวกเราได้พบเจอมานั้นไม่ได้ทำให้ปอรู้สึกอย่างที่คุณหมอแมวบอกมาได้เลยอ่ะค่ะ    อยากบอกด้วยความสัตย์จริงเลยค่ะ ว่าเพื่อนๆของปอที่เป็นเด็กกิจกรรม เป็นคนทำงาน  เกือบทั้งหมดต้องออกจากราชการเพราะทนกับแพทย์ในระบบราชการไม่ได้น่ะค่ะ  ก็ไม่ขอเล่าเรื่องในวงการแล้วกันนะคะ  เพราะเล่าไปมันก็รังจะทำให้วิชาชีพเสียหายกันทั้งสองฝ่ายอย่างที่คุณหมอแมวว่าไว้จริงๆ      ก็ขออธิษฐานให้วงการสาธารณสุขของไทยมีการปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยแล้วกันนะคะ  ทำได้แค่นี้จริงๆล่ะค่ะ เพราะปอเองก็เป็นแค่เด็กเล็กๆคนนึงเท่านั้นเองล่ะค่ะ ไม่ใช่ซูเปอร์วูแมนซะหน่อย จากคุณ : ^^หลินปอ^^ - [ 15 พ.ย. 50 23:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 58 .... ผมก็ไม่ใช่ซูเปอร์แมน ..... อย่างมากก็Undercats จากคุณ : หมอแมว - [ 15 พ.ย. 50 23:52:47 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ...เข้ามาดู แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 50 00:38:14 จากคุณ : ดร คลองตาล - [ 16 พ.ย. 50 00:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ของคุณทั้งคุณหมอและคุณเภสัชทุกท่านครับ ที่มาถกกัน ผมขอยืมเวทีของพันทิป เป็นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็น อย่าคิดว่าคนจบใหม่ไม่มีปัญญาเปลี่ยนครับ อย่าคิดว่าเราเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ที่ทำอะไรไม่ได้ครับ มันก็เหมือนโยนหินลงในทะเลสาบ ถ้าคนเดียวโยน มันก็กระเพื่อมแป๊บๆ แล้วหาย แต่ถ้าทุกคน ทุกฝ่าย ทุกหน่วยงาน ช่วยกันโยนคนละก้อน มันก็ทำให้น้ำสงบๆ ปั่นป่วนได้ มันก็ทำให้สิ่งไม่ดีที่ถูกซ่อนอยู่ถูกดึงขึ้นมาได้ คำพูดหนึ่ง ที่ผมพูดเสมอก็คือ การทำงานต้องมีสามสิ่ง ที่จะทำให้งานเราไปข้างหน้าได้ 1. การสื่อสาร หากคุณไม่สามารถสื่อสารได้ด้วยดีแล้ว คุณจะไม่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น 2. ความรู้ หากคุณไม่มีความรู้และไม่สามารถหาความรู้เพิ่มได้ ก็เหมือนกับเตรียมฆ่าคนแล้ว และอย่างสุดท้าย 3. จริยธรรม ทั้งความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ จรรยาบรรณ หากไม่มีจริยธรรมในการทำงาน ก็เลิกทำดีกว่า ผมยังคงรับฟังความเห็นของทุกท่านครับ ผมอยากให้ใช้เวทีนี้เต็มที่ เพราะอย่างน้อย ในพันทิป เรายังได้ความคิดเห็นที่หลากหลายมากขึ้น ขอบคุณทุกท่านครับ และยังคงรอความคิดเห็นเพิ่มเติมเสมอ จนกว่าจะไม่มีคนโหวตให้กระทู้ ^^' ปล. พี่หมอแมวครับ เรื่องที่ขอ ช่วยบอกเถอะครับ T_T จากคุณ : Epinephrine - [ 16 พ.ย. 50 08:48:51 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อ่านแล้วรู้สึกดีเหมือนกันนะที่บางท่านมองเห็นความสำคัญของวิชาชีพนี้อยู่บ้าง ขอบคุณน้องกอล์ฟด้วยที่มุ่งเน้นที่จะพัฒนาและยกระดับความคิดและสำนึกของคนในวิชาชีพ วิชาชีพเราคงต้องการคนดี มีไฟ ไม่เห็นแต่เงิน ไม่เห็นแก่ได้ และไม่เห็นแก่ตัวแบบนี้มากๆวันนึงจะดีขึ้น มันเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่เราจะเปลี่ยนให้คนในวิชาชีพเราให้มีจิตสำนึกที่ดี มีจรรยาบรรณ พี่เองทำงานตรงนี้มา เบื่อบ่อยๆ แต่ไม่ท้อ เพราะพี่คิดเสมอว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนใครได้ แต่พี่จะทำแค่ที่พี่เอง คนไข้ที่พี่เจอทั้งที่โรงบาลและร้านขาย คนในสังคมพี่ รอบตัวพี่ จะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่ถูก ......... ส่วนเรื่องความขัดแย้งของบุคคลากรทางการแพทย์ที่พูดถึงกัน ระหว่างแพทย์ เภสัช ฯลฯ มันคงไม่ใช่แค่สายงานนี้ที่เกิดแบบนี้ คนที่ทำงานคนละส่วนจะเกิดความขัดแย้ง เข้าใจผิด หรือไม่พอใจกัน คงมีทุกวงการ แล้วก็คงเป็นแค่ที่คนแต่ละคน ไม่ใช่ทุกคน ................ ขอพูดในส่วนร้านขายยาบ้าง วิชาชีพมันไม่มีทางพัฒนาบทบาทไปในทางที่ดี ที่สมควรจะเป็นได้หรอกคะถ้าคนที่ใช้คำนำหน้าว่า ภก. ภญ. ทำตัวเป็นแค่คนขายยา มองแค่ตัวเอง สักแต่เปิดร้านแล้วให้ใครที่ไหนมาทำหน้าที่แทน ส่วนพวกที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ก็รบกวนเอาจริงสักที ค่ะ ตั้งแต่เรียนยันจบมา รวบๆนี่10ปีแล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรที่เคยเอ่ยปากว่าจะมีเกิดขึ้นเลย ส่วนเรื่องที่ไม่น่าทำกับมีเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย ........... นิดนึง ความคิดเห็นที่ 38   เภสัชกรในสายตาผมนะ อ้วนๆ ตัวขาวๆ นั่งอยู่ในร้าน คอยให้คำปรึกษาลูกค้า และก็หาของอร่อยๆกิน อ้อ..ลืม  โหดด้วย อิอิ จากคุณ : pattapon 555555 อ่านแล้วนึกว่าแฟนเรามาตอบ ทำไมเหมือนเราจัง จากคุณ : ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน - [ 16 พ.ย. 50 10:32:39 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ^ ^ ^ หายใจเข้าก็แฟน หายใจออกก็แฟน จากคุณ : กลม_กลม_Girl - [ 16 พ.ย. 50 10:39:39 ]

ความคิดเห็นที่ 63 อ่า มาอ่านแบบไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะเป้น Engineer รู้สึกเหมือนกันว่าแพทย์ส่วนใหญ่นี่อีโก้สูงมากๆอาจเป็นเพราะสังคมไทยให้ความนับหน้า ถือตา และมักจะหมิ่นๆพวกที่ทำงานร่วมกันลับหลังด้วยซ้ำ ผมเอง ไม่คิดว่าจะได้คบหาพวกคนสายนี้เท่าไหร่ บังเอิญเจอแควนเก่ามาขอรีเทิร์น ก้ดีเหมือนกัน ไม่สบาย เฮ๊ย ตรวจให้หน่อยดิ๊ อะไรอย่างเงี๊ยะ  แฟนผมน่ะ ไม่เป็นนิสัยอีโก้นะ แต่เพื่อนๆแฟนหลายคนก็เป้นนิสัยหยั่งงี้(และคิดว่ามีเกือบทุกคน และอาจจะเป้นสาเหตุที่ผมเคยต่อยเด็กแพทย์สมัยเรียน ปี 2- 3 ไป หลายคนเพราะสาเหตุนี้หรือเปล่า หาเหตุเข้าข้างตัวเองชัดๆเลยตรู hahahahaha) ขนาดบางทีผมยังด่าแฟนเลยว่าไปนินทาพยาบาล อีกคนได้ไง เขาผิดอะไร พวกเธอนั่นแหละโยนงานไป ก็เงียบ เจอคนอาชีพอื่นๆดันไม่ค่อยกล้าเถียง ผมยังคิดอยู่เลยว่า มันเรียน health science ด้วยกัน ทำไมมันไม่มองกันในแง่ดีมั่งว๊า แต่เท่าที่เจอ อย่างเช่นหมอเด็กๆกับเภสัชแก่ๆ การสั่งจ่ายยาด้วยวิจารณญาน หรือประสบการณ์ทำงาน ขัดแย้งกัน ใครซวย คนไข้ อย่างหมอผู้หญิงวัยรุ่นบางคน พูดจากับคนไข้ ทำอย่างกับว่าเมนส์ไม่มาตอนเช้ายังไงยังงั้นแหละ บางทีเราก็ยากจะเถียงว่าไม่ได้เป็นคนไข้อานาถานะเฟ๊ย  ที่มาตรวจร.พ.รัฐ ไม่ให้แฟนจัดการเองก็เพราะตรูต้องการใช้ใบรับรองแพทย์จาก ร.พ.รัฐลางานตะหากเล่า(แต่ผมรอมันคลิ๊กสั่งยาเสร้จก่อน แล้วจึงจะเถียง กลัวมันสั่งยาห่วยๆให้) แล้วก้ค่อยๆเปิดฉากตอกหน้า แล้วคิดไปถึงกระบวนการจ่ายยา ถ้าเภสัชเขารู้ว่ายาไม่เหมาะสม อยากจะแก้ไขเพราะเห็นใจคนไข้ เขาจะทำได้ยังไง ในเมื่อสังมาอย่างนั้นแล้ว นี่ก็อาจจะเป้นปัญหาที่ผมคิดมีน้อยมากๆก้ได้ แต่มั่นใจว่ามันต้องมี(แต่ถ้ามีเภสัชแบบ คคห.21 ว่ามาเยอะๆผมว่าดีคับ)เพียงแต่ตอนนี้จะหาคนแบบนี้ คงยากครับ แต่ถ้ามีการแก้กฏหมาย ขอบเขตวิชาชีพ หรือทุกคนเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ตอนนี้ อาจจะดีขึ้นก็ได้ ผมเข้าใจนะ ว่าบางทีเภสัชเขาก็ลำบากใจที่จะแย้งหมอจริงๆแต่อยากให้ทุกคนร่วมใจกันกล้ากว่านี้หน่อย น่าจะดีขึ้น(แอบบอก อันที่จริง หลายครั้งเวลาผมไม่สบายเล็กๆน้อยๆ หรือโรคที่พอจะแน่ใจสาเหตุ ก็มักจะปรึกษาเภสัชกรครับ ไม่บอกแฟน เพราะบางที ขี้เกียจได้ยินแฟนบ่น ประเภทว่า รุ้อยู่ว่า ยังงี้ ยังจะยังงี๊ กิน Amoxy เยอะๆ เดี๋ยวดื้อยาต้องเปลี่ยนเป้น ยา ***** อีกนะ )แบบเนี๊ยะ ปรึกษาเภสัชกรสบายใจกว่าเยอะครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 50 18:21:56 จากคุณ : โบกโบยบิน ใต้เงาฝัน - [ 16 พ.ย. 50 14:26:35 ]

ความคิดเห็นที่ 64 แต่ถ้าคิดในแง่พฤติกรรม หรือคิดในอีกแง่หนึ่งเป้นเพราะหลายคนไม่ได้เรียน(เภสัช แพทย์))เพราะชอบจริงๆจังๆหรือเปล่า อย่างเช่นกระพ๊ม สมัยก่อน ตอนสอบ ก็ไม่ได้ชอบสาย health science เล๊ย แต่คิดว่างานมันสบายๆเงียบๆดี เลยสอบ ดูผลคะแนนก่อนยื่น Dent หว่ะ(เพราะไม่ชอบวิชาEnglishมาก ทำยังไงก้ไม่เกิน 70 คะแนน ขี้เกียจกลับไปอ่านจริงๆ) เลยคิดว่าถ้าจะเรียนสาย health science ถ้าไม่ใช่ medicine ไม่ดีกว่า เพราะผมคิดที่จะเป้น Engineerตั้งแต่เด็กแล้ว พอมาเรียนสายนี้ ก้โอเคครับ งานก็โอเค เงินก็โอเคแต่อาจจะฉุนนิดหน่อย เวลามีพวก ปวส.ต่อเนื่อง หรือพวกหลักสูตรไม่ค่อยดี ทำมาเทียบรุ่น แต่เราก็ทำใจได้เพราะสังคมพวกผมมันค่อนข้างรุนแรง ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆจะเลี่ยงการทะเลาะกันเลย แต่ของพวกคุรมันเป้นสังคมผู้หญิง การนินทา เรื่องกระจุกกระจิกมันมีเยอะ การทะเลาะกันคงบ่อย น่าจะควบคุมอารฒณ์กันให้มากกว่านี้ จากคุณ : โบกโบยบิน ใต้เงาฝัน - [ 16 พ.ย. 50 14:27:42 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ผมมองว่าทางเภสัช ก็คงเน้นการพัฒนาด้านการผลิตยาและการทำยาใหม่ๆสิครับ เพราะแพทย์ก็เป้นผู้ใช้ยาสำเร้จรุป side effect จากยา ผมว่าเภสัชรู้ดีที่สุดแล้วครับ คุณเป็นผู้ผลิต การพัตนาระยะยาว น่าจะมองตรงจุดนี้นะครับ ผู้ปฎิบัติงานเอง ประสบการณ์มีเท่าไหร่ ผมว่าใช้ประโยชน์ได้มาก ขอบเขตหรือความพยายามในการทำวิจัยเป้นอย่างไร ไม่ได้คิดจะให้ทำแบบ Global เอาแค่ Local และการเป็น Specialist ก็พอแล้วมั๊ง ทำงานมานาน ต้องมีความสามารถบ้างสิครับ อย่างเช่นการที่ครูเขาพยายามทำวิจัยเป้นรายบุคคล เพื่อพัฒนาการศึกษา อย่างนี้ผมว่าดีมากๆเลย ชื่นชมและสนับสนุนเลย การพัมนาทั้งระบบ แต่ช่วยกันทำคนละอย่าง ผมว่าดีออก คงไม่ได้คิดจะหวังให้ใครทำยาสุตรใหม่หรอกนะครับ เพราะมันยากมากๆๆๆๆๆๆ แต่ยาบางตัวถ้าแก้ปัญหาเรื่องการดัดแปลงตัวยา ส่วนผสม วัตถุดิบจากประเทศเขตร้อน(สงสัยผมคงมองคล้ายๆฐานการผลิตรถยนต์น่ะ ไม่รู้จะสื่อให้คนอื่นเข้าใจได้หรือเปล่า)หรือการส่งเสริมการผลิตยาคุณภาพจากไทยเอง แบบเนี่ยน่ะครับ ตัวบุคคลเองก็อย่างที่บอก นำประสบการณ์มาประมวลผล เป้นข้อมูลหรือผลงานเข้าสู่องค์กรกลางอย่างสม่ำเสมอ อย่าคิดแค่ว่าตลาดร้านขายยาของฉันจะไปได้แค่ไหน เพราะมันหมดยุคที่จะคิดและทำกำไรกันขนาดนั้นแล้ว เดี๋ยวนี้เภสัช ผลิตกันเกร่อ หลายที่รับภาคสมทบ ขอพูดตรงๆเถอะ ว่าคะแนนเด็กบางคน เข้าเรียนคณะที่คะแนนต่ำกว่านั้นสัก 5 คณะได้หรือเปล่าก้ไม่รู้ แล้วอีกไม่นานมันจะเดินตามรอยคณะพวกผมแน่ๆ อยากให้พวกคุณมองตรงคุณภาพในด้านการศึกษาระยะยาวด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้น วิชาชีพที่เริ่มเสื่อมถอยจากสังคมทุนนิยม จะยิ่งงเสื่อมถอยจากตัวบุคคลด้วย อ่า เขียนมาซะยาวยืด อาจจะไม่เข้าเค้าคำถามเท่าไหร่ แต่ผมก็เขียนไปตามความรู้สึกน่ะครับ อันใหนไม่ดี ก็อย่าไปจำเลยครับ sorry ด้วย เพราะนานๆเข้ามาที  ก็หวังนะครับ ว่าต่อไป วิชาชีพเภสัชกรรม จะมีการพัฒนาที่ยั่งยืนกว่านี้ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 50 18:07:15 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 50 14:41:33 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 50 14:36:14 จากคุณ : โบกโบยบิน ใต้เงาฝัน - [ 16 พ.ย. 50 14:30:57 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ทักษะและเบสิคการใช้ยา ไม่ยิ่งหย่อนกว่าแพทย์เลย เภสัชบางท่าน สามารถปรับใช้ยาเหมาะสมตามอาการของผู้ป่วย ยังไม่นับบางท่านที่เก่งทั้งสมุนไพรและแผนปัจจุบันนะครับ ภาพโดยรวมแล้วเคารพและนับถือ ในความสามารถ เท่าที่เห็นในสายตาผม ที่ไม่ดีอย่างมาก ก้อเรื่อง การกระทำของบางท่าน เข้าใจนะครับ ว่าร้านขายยาเป็นอาชีพที่สุจริต บางท่านทำงานประจำไปด้วย เปิดร้านขายยาไปด้วย เวลาท่านไม่อยู่ ใครเฝ้า ใครจ่ายยาให้ลูกค้า เข้าใจนะครับ ว่าผู้ช่วยของท่านบางคนมีความสามารถ เวลาเถียงเรื่องนี้ กันทีไร บางท่านก้ออ้างว่าลูกค้า ไม่ดูเอง เวลาซื้อไม่ดู ในที่นี้ ไม่ขอนับพวกขยะสังคมไร้จรรยาบรรณ เอาชื่อไปแขวนไว้เฉยๆนะครับ ถ้าจะให้เดินทางสายกลาง ขอรูปขนาด เอ 4 ปัจจุบัน ไม่เกิน 6 เดือนของเภสัชคุมร้านนั้นๆ แขวนหน้าเคาเตอร์ จ่ายยา ได้ป่าวครับ ที่นี้ จะได้โทษลูกค้าได้เต็มๆ รักและเคารพ จากใจ เพราะคนผมรักที่สุดก้ออาชีพเภสัชกรเช่นกัน แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 50 17:39:34 จากคุณ : papatn - [ 16 พ.ย. 50 17:33:22 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คห.47 ไม่ทราบว่า รพ. ของคุณอยู่ที่ไหนอ่ะครับ จะได้ย้ายไปอยู่มั่ง เคยเห็นแต่ดีเทลยาที่มาแบบวางตัวเหมาะสม ไม่เคยเห็นดีเทลที่ออดอ้อนสักที แต่ confirm อีกครั้งว่า ดีเทลน่ารักจริงๆ ฮะ... 555 จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 16 พ.ย. 50 18:15:05 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ที่คุณหมอแมว กล่าวในความเห็นที่ 27 นั้น รวมทั้งคุณหมอทุกท่านที่มีความคิดเห็นแบบคุณหมอแมว   ต้องขอปรบมือให้เลยค่ะ เพราะว่าหาได้ยากยิ่ง คนที่เปิดใจกว้างเปิดรับความคิดเห็นจริงๆ นั้นมีไม่มากนัก การทำงานเป็นสหสาขาวิชาชีพ เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยอย่างแท้จริงนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะทุกฝ่าย ไม่ว่าแพทย์ เภสัช พยาบาล ก็ต่างมีแนวคิดของวิชาชีพตน และหลายๆ ครั้งที่ ผู้ป่วยไปตกแป้กอยู่ระหว่างหลุมดำของแต่ละวิชาชีพ หรือบางทีวิชาชีพเดียวกันแต่คนละแผนก เสมอ บ้างก็เกิดจากปัญหาเรื้อรังจากระบบงาน แนวคิด การสื่อสาร อีโก้ ข้อจำกัดอื่นๆ ฯลฯ ของแต่ละคน นี่ยังไม่ได้พูดถึงปํญหาอื่นๆ เช่นค่าตอบแทนvsWorkload , ปัญหาจรรณยาบรรณและอีกมากมาย พูดถึงบุคลากรสาธารณสุขที่ไม่ได้คุณภาพ รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้จะพบได้มากขึ้นนะคะ อย่างที่คุณหมอvinv พบในคคห.ที่ 47 นั้น ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ในฐานะที่เคยทำงานด้านเภสัชกรรมในรพ.ของรัฐมานานพอควร อยู่ในระบบราชการมาสิบปี ได้รู้ได้เห็นได้เข้าใจหลายๆอย่างค่ะ คนที่ดีและไม่ดี ก็มีอยู่ปะปนในทุกวิชาชีพ และในระบบราชการแน่นอนว่าการแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นไปได้ช้ามากกกกกกก ส่วนคำสั่งใช้ยาจากแพทย์ แบบที่น่าตกใจ หรือไม่น่าเป็นไปได้ ก็ได้เห็นมาไม่น้อยค่ะ (ไม่ขอเล่ารายละเอียดดีกว่านะคะ จะกลายเป็นดิสเครดิตระหว่างวิชาชีพได้) ในฐานะทีมสหสาขาเราก็ควรช่วยกันแก้ไข มีการconsultกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว   มันไม่เป็นอย่างนั้นค่ะ จากคุณ : Renka - [ 16 พ.ย. 50 19:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 69 มีไว้ถามข้อมูลทุกเรื่องเกี่ยวกับยา จากคุณ : KCrazy16 - [ 17 พ.ย. 50 01:40:56 ]

ความคิดเห็นที่ 70 มาอ่านด้วยคนครับ จากคุณ : rxkku - [ 17 พ.ย. 50 21:02:16 ]

ความคิดเห็นที่ 71 คือว่า หนูเรียนจบเภสัชมา แต่มาทำงานสายดีเทลล์ได้ซักสองปีแล้วค่ะพี่ แต่ก็ยังมีสำนึกของวิชาชีพเภสัชกรรมอยู่ตลอดเวลา เวลาทำงานก็ไม่เคยคิดจะให้ข้อมูลยาเกินจริง ให้ข้อมูลตาม clinical study เสมอนะ แม้ว่าจะไม่ได้ลงไปสัมผัสการทำงานแบบเภสัชกรโรงพยาบาลแบบเต็มตัว แต่ก็มีจรรยาบรรณของเภสัชกรเต็มตัวแน่นอนค่ะ จากคุณ : กระต่ายสายฟ้า - [ 17 พ.ย. 50 23:58:57 ]

ความคิดเห็นที่ 72 โทษนะไม่ได้อ่านความเห็นเลย ขอตอบเลยละกัน เภสัชในความคิดเรา คือผู้ให้คำปรึกษาเรื่องยา ยิ่งกว่าหมออีก เพราะเภสัชเรียนมาเรื่องยาโดยตรงนี่นา เวลาไปซื้อยาก็บอกๆๆ อาการไป ถ้าไปหาหมอมาแล้วก็บอกด้วยว่าหมอให้ยาตัวนี้มาแล้ว ฯลฯ ซื้อยา ก็ถามเภสัชทุกที เจอเด็กเฝ้าร้านถามอะไรไม่ค่อยได้ บางทีถ้าไม่ได้เป็นอะไรมากก็ไม่หาหมออะ อย่างเมารถพะอืดพะอมมากๆ เงี้ย เรารู้ว่าไม่จำเป็นต้องหาหมอไง เดินเข้าร้านขายยาสะดวกดี "เมารถมากๆๆๆๆ จะอาเจียน มึน พะอืดพะอม ขอยาหน่อยจ้า" เก็บคุณหมอเอาไว้รักษาคนที่เค้ามีความจำเป็นมากกว่าเราดีกว่าเนอะ เวลามียาใหม่ หรือผลิตภัณฑ์อะไรออกใหม่ ก็รู้จากเภสัชนี่แหละ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ไม่ได้ซื้อยากินเองอย่างเดียว บางอย่างก็ไปหาหมอเหมือนกัน แต่ประวัติของเราดันไปอยู่ในรพ.ที่มีหมอดี แต่คิดค่ายาแพงมากๆๆๆๆๆๆๆ (ยาที่นี่พันแปด ซื้อข้างนอกได้ในราคาแปดร้อย) เพราะฉะนั้น ไปหาหมอ ขอยาพอประทัง แล้วไปซื้อข้างนอกเอา ประหยัดได้โข สรุป พอไม่สบาย ไปหาหมอ ถามรายละเอียดที่จำเป็น(เป็นอะไร ต้องรักษานานแค่ไหน ยามีผลข้างเคียงยังไงบ้าง ถ้ายังไม่หายซื้อยากินเองต่อได้ป่าว ฯลฯ) + รับยาจากรพ.บ้างถ้าจำเป็น แล้วก็ไปซื้อยาที่เภสัช + ถามรายละเอียดเพิ่มเติม (มียาที่ดีกว่านี้ไม้ ดีกว่ายังไง ตรงไหน หมอให้ยาแบบนี้มามีผลข้างเคียงอะไรป่าว(เพื่อยืนยัน) กินต่อเนื่องจะมีอันตรายไม้ ราคาเท่าไหร่(ถูกกว่ากันเยอะมาก) ขอของแถมด้วย(อิอิ) ลดหน่อยดิ ร้านอื่นขายถูกกว่านี้อ่า ฯลฯ) เออ แปลกเนอะ  ทำไมเราไม่ค่อยถามเภสัชในรพ.แฮะ ออกมาถามตามร้านขายยาทุกทีสิน่า จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) - [ 18 พ.ย. 50 13:39:12 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มาช่วยโหวตครับ... จากคุณ : kb008 - [ 18 พ.ย. 50 16:12:04 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ขอแสดงความคิดเห็นในฐานะเภสัชที่ทำงานบนหอผู้ป่วยมา 8 ปีนะคะ หน้าที่มีไม่มากแค่ ค้นหา แก้ไข ป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาทั้งหมดของผู้ป่วยที่เข้ามานอนในหอผู้ป่วยที่รับผิดชอบ  อ้อแล้วก็มีการติดตามผลด้วยนะคะ ดูเหมือนจะ Idial ใช่ไหมคะ  แต่ขอยืนยันว่าทำได้ค่ะ  โดยเฉพาะการประสานงานกับแพทย์  พยาบาล  คนไข้  และเจ้าหน้าที่ห้องยาด้วยกันเอง ถ้าเราทำงานแล้วผู้ร่วมงานเห็นว่ามีประโยชน์ทั้งต่อตัวเขาเอง  และมีประโยชน์ต่อคนไข้  เราว่าผู้ร่วมงานยอมรับนะคะ   แต่ว่าการเข้าไปของเภสัชกรต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าตัวเองทำหน้าที่อะไร  ไม่ก้าวก่ายบุคลากรด้านอื่นๆ  ที่สำคัญต้องยอมรับตวามคิดเห็นซึ่งกันและกัน  การดูแลผู้ป่วยไม่มีอะไรถูกหรือผิดทั้งหมด  ถ้าตัวเภสัชกรมีเหตุผลที่ดีจิงๆ   แสดงความคิดเห็นแบบอ่อนน้อม  มีใจช่วยเหลือกกัน ไม่ใช่การโจมตี  หรือการจับผิดกัน   ทำงานได้ค่ะ  เป็นที่ยอมรับเลยล่ะ  และมีความสุขมากๆเลยเวลาที่คนไข้ดีขึ้นเพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 50 13:09:46 จากคุณ : rung_khan - [ 19 พ.ย. 50 13:08:56 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เหมือน กระทู้ เรียกเภสัชรายงานตัวเลย สรุปได้ว่าเภสัชกร ก็คือ หมอยา หมอที่เขี่ยวชาญเรื่องยาแต่มีข้อจำกัดเรื่องการวินิจฉัยโรค ที่ห้ามแตะต้องตัวผู้ป่วย ทำหน้าที่หลายอย่างมากเกี่ยวกับยาทั้ง ผลิต กระจาย นำส่ง แนะนำ สั่งใช้(ยกเว้นยากลุ่มอันตรายที่ต้องให้แพทย์สั่งใช้) แต่ผมว่า ในไทยเภสัชไม่ค่อยปกป้องวิชาชีพตนเท่าไร ความเข้มแข็งของสภาค่อนข้างน้อย  บทบาท หรือชื่อเสียงที่คนทั่วไปรู้จักเลยด้อยกว่าวิชาชีใกล้เคียงเช่น หมอและพยาบาล เห็นด้วยกับหมอแมว ประเด็นที่เภสัชในไทย เวลาจ่ายยายังมีกระจกหรือกรงกันระหว่างคนไข้กับเภสัช   ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับเภสัชไม่ซึมซาบเท่าที่ควร   เห็นในสิงคโปร์ หรือแถบยุโรป ห้องจ่ายยาเป็นเคาร์เตอร์แบบโอเพ่น การรู้จักเภสัชหรือความสัมพันธ์เภสัชกับคนไข้ ซึมซาบมากกว่านี้ผมว่า... ก็ต้องค่อยๆแก้ไขกันไป แต่ประเด็น ที่สำคัญผมมองไปถึงประสิทธิภาพของวิชาชีพ กับการเปิดเภสัชในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ยังมีศักยภาพไม่พร้อม หรือ การเปิดเภสัชนอกเวลาของมหาลัยรัฐบางแห่ง ว่าเรามาแนวทางกันที่ถูกแล้วหรือ ต่อไปบทบาทวิชาชีพเรา จะไปทางไหนกันบ้าง ที่ไม่ใช่เร่งเปิดร้านขายยาให้มากขึ้น จากคุณ : ไซโคแมน - [ 19 พ.ย. 50 17:28:19 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณเภสัชกรทุกท่านครับ ที่เข้ามาแสดงความเห็น สิ่งที่เป็นปัญหาของเราตอนนี้ คุณ rung_karn และ คุณไซโคแมนได้อธิบายอย่างชัดเจนครับ สิ่งต่างๆ ก็ได้แต่หวังว่าจะดีขึ้นหละครับ ยังคงรอฟังความคิดเห็นต่อไปครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 20 พ.ย. 50 09:50:01 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เรา...ในฐานะที่เป็นเภสัชกรน้อยๆคนนึง ขอเล่าเรื่องเรียนนิ๊สนุง ตอนเรียน...เรียนเหมือนเป็ดเลย...ภายในเวลา 5 ปี สิ่งที่เราต้องรู้มีมากมาย ความคาดหวังคือ 1.เราต้องรู้จักยาและสมุนไพร(ย้ำเราต้องท่องสมุนไพรไทยทุกตัว ชื่อวิทย์ ตัวยาสำคัญ วิธีการใช้ สรรพคุณด้วยนะ) ยังคิดเลยว่าตรูจะต้องท่องไปทำไมเนี่ย(พอห่างหายมันกลับไปอยู่ในตำราแล้วล่ะ5555) 2. เราต้องรู้วิธีการวิเคาระห์ตัวยาสำคัญ (อันนี้เคมีมากๆๆๆ) รู้สูตรทางเคมีของตัวยาเพื่ออธิบายถึงกลไกการออกฤทธิ์ของยาให้ได้ (เป็นวิชาที่หินสุดๆแล้ว) 3.  เราต้องรู้ลักษณะของโรคต่างๆ อาการของโรคต่างๆ วิธีการรักษา 4. อันนี้แน่นอน เราต้องจ่ายยาเป็น...ทำเป็นเล่น...มีวิชาการจ่ายยาด้วยนะคุณ..ก็เช่น การซักประวัติ การจ่ายยา การให้คำอธิบาย อะไรแบบนี้ 5. เราต้องผลิตยาได้ ยาน้ำ ยาเม็ด ยาฉีด ยาติ่งอะไรเราต้องมีความรู้เพื่อที่จะทำให้ได้ พวกเราส่วนนึงต้องไปอยู่โรงงานผลิตยาด้วยนี่นา...ต้องเรียนพวกมาตรฐานต่างๆ GMP ISO HACCP อะไรแบบนี้เราลืมๆไปบ้างแล้ว... ...แปลนโรงงานเราก็ต้องรู้นะว่าต้องวางอะไรไว้ตรงไหน มันมีข้อกำหนดอยู่... 6. การบริหาร...ทำเป้นเล่นเราเรียนวิชาบัญชีด้วยนะ พวกหลักการบริหาร กฎหมายยา คุ้มครองผู้บริโภค เรียนหมดเลย และอีกมากมาย.........ขี้เกียจพิมพ์แล้ว เข้าประเด็นนะ....เราว่าทุกวันนี้บทบาท ภก. เริ่มพัฒนาขึ้นแล้ว(มากกว่าแต่ก่อน) สิ่งเดียวที่จะทำให้เสีย....ไม่ใช่ใครอื่น..เป็นบุคคลากรในวิชาชีพเดียวกันนี่แหละ ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นหึ่งเลย..... เราเห็นด้วยกะคุน ไซโคแมนเต็มๆ เรื่อง ม.ที่จะเปิดสอน เรื่องมาตรฐานวิชาชีพ ภก. ที่คนทั่วไปเห็นทุกวันนี้คือ...ใน รพ. และร้านยา ภก. ที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้คือ งานด้านคุ้มครองผู้บริโภคใน รพ.และ สสจ. ตรวจโรงงานผลิตน้ำดื่ม ตรวจคุณภาพร้านอาหาร งานผลิตยาในโรงงาน.... งานวิจัย คิดค้น สกัดสารจากสมุนไพร ตรวจสอบ....very important นะว่ามั้ย งานในศูนย์วิทยาศาสตร์ งานใน อ.ย. และ อาจารย์(ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักวิจัยด้วยอยู่แล้ว) อีกเยอะเลยล่ะบทบาทของ ภก. น่ะ.... เราก็จะเป็นอีกคนที่รอฟังความเห็นของชาวพันทิป ที่มีต่อ ภก ว่าอย่างไรนะจ๊ะ จากคุณ : Jiasin - [ 20 พ.ย. 50 22:42:03 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ถ้ามีแบบ จขกท มากๆ มุมมองที่มีต่อเภสัชก็จะดียิ่งขึ้น ในปัจจุบันคงต้องยอมรับกันว่า มีจำนวนมากเลยล่ะที่มอง เภสัช เหมือน คนขายของร้านของชำ เพียงแค่ประเภทที่ขายผิดกัน (แต่บางทีก็เกือบยกร้านของชำไปไว้ในร้านขายยาแล้ว) คิดว่าจริงหรือเปล่า ลองดูตามตลาด ชุมชน ที่ไม่ได้เป็นโรงพยาบาลซิ เงินมือถือหมด ร้านขายยาก็มีสติ๊กเกอร์เติมเงินมือถือให้ หิวน้ำ ร้านขายยาก็มีตู้ขายน้ำตั้งไว้ บางที่มีลูกอม ยาสระผม ครีมอาบน้ำ ฯ ปวดหัว ตัวร้อน ร้านขายยาก็มียาแผงให้ และก็จ่ายยาแบบซองง่ายๆ ให้ต้องมารณรงค์งดใช้ยาชุดกันอีก ทั้งที่ถ้าเภสัชไม่จ่าย จะต้องมานั่งรณรงค์กันทำไม อารมณ์แบบ ร้านของชำ หรือ มินิมาร์ท ที่ซื้อยาแผงได้ง่ายๆ แถวบ้านเหมือนร้าน มินิมาร์ท ฉบับ ครอบครัวน่ะ ตึก 2 ห้องแถว คนไหนเภสัช คนไหนลูกจ้าง คนไหนคนในครอบครัว แยกแทบไม่ออก เพราะเดินกันมั่วไปหมด ถามคนไหนอธิบายได้หมด ในร้านมีเกือบ 10 คน  ถามว่า เชื่อไหมเป็นเภสัชทั้งหมด  ตอบไม่คิดว่า  ไม่เชื่อ บางคนใส่ชุดแบบอาม่า อาซิ้มมาขาย ไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์ ใครจะเอาอะไรขายหมด ไม่ถาม หรือ อธิบาย แต่อีกร้านหนึ่งแถวบ้าน (ชอบเข้าไปซื้อของมากมาย เพราะ นศ เภสัช น่ารักมากๆ) รู้สึกจะเป็นครูสอนด้วย มี นศ มานั่งเรียนประจำ เวลาไปซื้อ นศ ก็จะถามไถ่ แต่บางที่ก็มากเกินจนแบบอึดอัดเหมือนกันน่ะ  จะไปซื้อไซลิงค์มาป้อนอาหารให้สัตว์ ก็ต้องตอบคำถามเขาก่อน จะซื้อวิตามินซีก็ต้องตอบ แต่ก็ยอม เพราะน่ารัก ><  อันนี้เขาค่อนข้างให้ความรู้ และก็ตัวเลือกของยาที่จะใช้ ก็ยังโอเคนะ ร้านแถวหมู่บ้านที่ต่างจังหวัด มีอยู่ร้านเดียว และก็เปิดขายแบบตามใจฉัน จะซื้อจะกินยังไงก็ได้ ไม่มีอธิบาย อันนี้พูดจากประสบการณ์จริง เพราะพ่อแม่ กินยาตามใจตัวเองตลอด เราจะไปพูดก็เปลี่ยนลำบาก เพราะขนาดเภสัชยังขายให้ พอตกดึกหนาวๆ ไม่สบาย ยาแก้หวัด แก้น้ำมูก แก้แพ้อากาศ แก้ไมเกรน(?) สารพัดจะแก้ ขนาดเราไปค้างยังจะบังคับให้กิน เรามองแล้วยังหวั่นๆ  แต่จะทำไงได้ พ่อแม่ก็ชื่นชมบอก เนี่ย ยาแก้ไมเกรนเนี่ยนะ เม็ดไม่แพงเลย กินแล้วหายปวดหัวดีจัง และก็กินบ่อยเพราะคิดว่าดี เราก็เออนะ ได้แต่เตือนอ้อมๆ แต่พออยู่ห่าง ก็ไปซื้อจากร้านยาในหมู่บ้านมาแล้ว  ซื้อเยอะขนาดที่ว่า เวลาซื้อยาที่เล่นเป็นกระปุก บอกถูกดี นึกว่าซื้อลูกอมร้านของชำ จากคุณ : ทาสรักลูกแยม - [ 21 พ.ย. 50 03:07:53 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ในสายตาเรา เภสัชกรเมืองไทย เหมือนอาชีพลูกเมียน้อย ที่เมืองนอก เค้าจะแบ่งแยกหน้าที่กันชัดเจน แพทย์ เภสัช พยาบาล และมักจะให้เกียรติซึ่งกันและกัน ที่เมืองไทย "เรารู้สึกว่า" แพทย์เป็นศูนย์กลาง พยาบาลเป็นผู้ช่วยแพทย์ เภสัชเป็นคนรอคำสั่งจากแพทย์อีกที มีญาติทำงานเป็นเภสัชที่ รพ. เอกชนชื่อดัง รู้สึกว่าจะเกรงหมอมากเลย บางทีสงสัยว่าหมอแน่ใจแล้วเหรอว่าจะจ่ายยานี้ ก็โทรถามไม่ได้ ไปถามเองก็ไม่ได้ ต้องให้หัวหน้าเดินไปถามด้วยตัวเอง ทำให้จ่ายยาช้า โดนคนไข้บ่น อยู่บนวอร์ด บางวอร์ดดีก็ดีไป บางวอร์ดเจอพยาบาลเขม่น ก็ซวยหน่อย จะคุยกับหมอทีต้องผ่านด่านพยาบาลก่อน บางทีไม่ผ่านด่าน ต้องใช้ระบบฝากข้อความเอา ***ที่เล่ามานี่คือ รพ. เอกชน แห่งหนึ่งนะคะ ไม่ได้หมายความรวมถึงทุกที่*** ในสายตาเรา นะคะ "เภสัชกร" คือ ผู้ที่มีความรู้เรื่องยามากที่สุด เพราะเรียนมาทางนี้โดยตรง "แพทย์" คือ ผู้ที่มีความรู้ เกี่ยวกับโรคและระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์ดีที่สุด สามารถวินิจฉัยอาการ และเลือกใช้วิธีรักษาได้ถูกต้องและเหมาะสม (ใช้เครื่องมือไหนรักษา ใช้ยาอะไร ทำอะไรก่อนหลัง ฯลฯ) ส่วนเรื่องเลือกใช้ยา เภสัชกร ควรมีบทบาทในการให้คำแนะนำแก่แพทย์ แน่นอนว่าแพทย์เองต้องมีความรู้เรื่องยาอยู่แล้ว แต่เนื่องจากแพทย์ต้องทำหน้าที่หลายอย่างมาก ไหนจะวินิจฉัย ไหนจะรักษาอาการ ไหนจะมาคิดเลือกยา ดังนั้นเภสัชกรสามารถแนะนำทางเลือกเพิ่มเติมได้ เช่น ใช้ยาตัวไหนยี่ห้อไหนดีกว่า ยาตัวนี้ในโรงพยาบาลหมด ใช้ยาอะไรแทนได้ ยาตัวนี้อาจเกิดปฏิกิริยากับตัวนี้ควรเปลี่ยนมาใช้ตัวนี้แทน เป็นต้น ยาวไปไหมเนี่ย สรุปง่ายๆ คิดว่า ทุกอาชีพควรทำงานร่วมกันให้เป็นทีมเวิร์คตรงตามที่ตัวเองเรียนมา แพทย์เน้นหน้าที่หลักไปที่วินิจฉัย+รักษา เภสัชช่วยแนะนำเรื่องยา พยาบาลช่วยดูแลผู้ป่วย+ช่วยสังเกตอาการแล้วรายงาน ทำอย่างนี้น่าจะเป็นผลดีกับผู้ป่วย + ช่วยลดภาระแพทย์ +เพิ่มคุณค่าให้กับวิชาชีพ + ทำงานตรงกับที่เรียนมา ได้ใช้ความรู้จริงๆ ปล. ไม่ชอบดีเทลยาที่ไปรุมคุณหมอเหมือนกันค่ะ เห็นทีแรกตกใจมากๆ (ไม่เคยไป รพ รัฐ ตอนเช้าๆ) แต่เท่าที่ทราบบางคนก็ไม่ใช่เภสัชนะคะ จากคุณ : น้องมู - [ 21 พ.ย. 50 16:45:26 A:125.24.212.238 X: TicketID:161147 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เมื่อก่อนตอนอยู่โรงพยาบาลชุมชนบางวันออกตรวจเพียงคนเดียว พี่เภสัชที่อยู่ด้วยกันเป็นผู้ร่วมงานที่ดี ช่วยเหลือเราได้มากค่ะ บางทีเขียนยาผิดพลาดหรือติดขัดเรื่องขนาดของยา พี่เค้าจะคอยช่วยตรวจทานให้ รวมทั้งให้คำปรึกษาเรื่องการทำงาน การดำเนินชีวิต เลยมีความประทับใจกับเภสัชกรเสมอมาค่ะ ตอนนี้ทำงานที่ใช้ยาเฉพาะทางเสียส่วนใหญ่(วิสัญญี) เลยไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับห้องยาเท่าไหร่ค่ะ  แต่ก็ยังได้รับการบริการที่ดีเสมอ ในฐานะผู้ใช้บริการ มีครั้งหนึ่งลูกชายวัยหนึ่งขวบป่วยเป็น pneumonia หมอเด็กให้รักษาเป็นแบบ OPD case  พร้อมกับสั่งยาฉีดเป็น Cef-3 ขนาด 500mg ฉีดเข้ากล้ามวันละครั้งเป็นเวลาสามวัน เมื่อไปรับยา น้องเภสัชได้ท้วงว่า ขนาดที่ฉีดเข้ากล้ามนั้นจะทำให้ปวดมาก ขนาดผสมยาชาฉีดในผู้ใหญ่ก็แทบทนไม่ได้  น้องเภสัชแนะนำให้ฉีดเข้าเส้นดีกว่า ดังนั้นจึงได้ให้พยาบาลที่วอร์ดเด็กแทงเส้นคา heparin lock ไว้ให้ค่ะ ลูกชายเลยเจ็บตัวครั้งเดียว เป็นวิธีที่ดี ภายหลังมาศึกษาดูก็พบว่าจริงอย่างที่น้องเภสัชท้วงไว้ ต้องขอบคุณน้องมากๆ ไม่งั้นลูกเราคงเจ็บน่าดู นี่ขนาดหมอเด็กยังไม่รู้เลย อันนี้เป็นความประทับใจที่เจอค่ะ   ส่วนบทบาทขอลอกคคห. ที่27 ของหมอแมวนะคะ เขียนได้ครอบคลุมดีมากค่ะ จากคุณ : หมูเหมียว - [ 22 พ.ย. 50 00:20:19 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ผมมองว่า อาชีพ เภสัชกร ในเมืองไทย เหมือนลูกเมียน้อยหมออ่ะครับ (ขอพูดตรงๆ เพื่อเป็นประโยชน์ละกัน) เวลาผมจะซื้อยาตามร้าน ผมก็จะซื้อตามแพทย์บอกแหละครับ ไม่เคยได้ปรึกษาถามคนขายหรอก (ซึ่งส่วนมากไม่ใช่เภสัชกรหรอก อาม่า อาซิ่ม ที่ไหนไม่รู้) หรือไม่ก็ มีร้านเดียวเลยที่ผมไว้ใจ คนขายเป็นเภสัชกรจริงๆ (ร้านนี้มีชื่อเสียงมากที่สุดในจังหวัดน่ะครับ) ผมมองว่า เภสัชกร ทำหน้าที่ในแผนกจ่ายยา ใน รพ จ่ายยาตามที่แพทย์สั่งมาอีกที ครับ ผมมองว่า เภสัช เรียนจบไป ทำงานได้สองอย่าง ในแผนกจ่ายยา ตาม รพ กับ เปิดร้านขายยา ครับ จากคุณ : zero or die - [ 22 พ.ย. 50 01:12:43 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ง่าย ๆ เลยครับ เภสัชกรมีความสำคัญมาก เพราะเชี่ยวชาญในเรื่องยามากกว่าหมอแน่นอน การรักษาโดยส่วนมากก็ใช้ยาอยู่แล้ว จึงเป็นปราการด่านสุึดท้ายของระบบการรักษาที่จะทำให้ผู้ป่วยใช้ยาอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดภาวะไม่พึงประสงค์ ผลข้างเคียง แนะนำวิธีการใช้ยาที่ดีที่สุดได้ ตรวสอบ และเฝ้าระวังการใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูง จากคุณ : ZtahC - [ 22 พ.ย. 50 10:41:02 ]

ความคิดเห็นที่ 83 หลังจากอ่านมาพักใหญ่ เกิดความสงสัย โรคเล็กน้อยที่เภสัชสามารถจ่ายยารักษา แทนหมอได้เลยนี่ หมายถึงโรคไหนมั่งคะ พวกเป็นหวัด ปวดหัว ปวดท้อง อันนี้ ชัวร์ว่าได้ แต่นอกเหนือจากนั้นล่ะคะ ถ้าปวดหัวไมเกรน คออักเสบ โรคกระเพาะ กล้ามเนื้ออักเสบ ฯลฯ อย่างนี้เภสัชสามารถจ่ายยาได้เลยมั้ยคะ อยากทราบเป็นความรู้ค่ะ เห็นประเด็นเรื่อง EGO ของหมอและเภสัช มีประสบการณ์จากคนในครอบครัว ที่เป็นหมอเรื่องการจ่ายยา เล่าอาการให้ฟัง หมอสงสัยว่าเป็นโรคกระเพาะเลย ให้ยามากินประมาณ4-5ตัว ด้วยความสงสัยเลยถามว่าแต่ละตัวรักษาอาการอะไร บ้าง คำตอบคือ กินไปเถอะ รักษาหายแล้วกัน ถ้าหมอทุกคนจะช่วยอธิบาย เวลา คนไข้ถามจะดีมากๆ ค่ะ (เภสัชคงอธิบายอยู่แล้วล่ะ) (เคสของตัวเองไม่สามารถ บอกได้ค่ะ ต้องอาศัยถามจากเภสัชใจดีแถวๆ นี้แทน :P ) จากคุณ : แมวน้อยสีน้ำตาล - [ 22 พ.ย. 50 13:53:22 ]

ความคิดเห็นที่ 84 คห.83 ถ้าหมออธิบายว่า ยานี้ช่วยยับยั้งโปรตอนปั๊ม โดยใช้กลไกบลาๆๆๆๆๆ อีกตัวหนึ่งทำหน้าที่ช่วยยับยั้งเอชแชนแนล บลาๆๆๆ   ยานี้ช่วยเคลือบโดยใช้กลไกเมตาบอลิซึม บลาๆๆๆ เอาอย่างนี้ไหมครับ ขำๆ อย่าคิดมาก จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 22 พ.ย. 50 18:28:10 ]

ความคิดเห็นที่ 85 คุณหมอแมว  คห. ที่ 27 เขียนได้ดีมากๆ ครับ ผมขอยกย่องว่า  เภสัชกร ก็คือเพื่อน ร่วมวิชาชีพ คนหนึ่ง ไม่ใช่ ลูกน้องหมอ ผมเคย โดนเภสัช ท้วง เนื่อง จากผม จ่ายยา แล้ว มี ยาตัวนี้ อาจมีการตีกัน ระหว่าง ยาอีกตัวที่ผู้ป่วยใช้อยู่ ผมต้องขอบคุณ เภสัช คนนั้น มากๆ  , ไม่เกี่ยวกับ EGO หรืออะไร ที่สำคัญ คือ ความปลอดภัยของผู้ป่วย สรุปว่า เภสัช มีความสำคัญ ไม่แพ้ หมอ ไม่แพ้ พยาบาล , นักกายภาพบำบัด นักรังสีเทคนิค , LAB ฯลฯ เราทำงาน เป็น ทีม สหสาขาวิชาชีพ ขาดใครไป ทีม ก็ไม่สมบูรณ์ ครับ ;-) จากคุณ : บางคนเรียกผมว่า (lexusman) - [ 22 พ.ย. 50 21:09:00 ]

ความคิดเห็นที่ 86 คุณหมอก้อนหินคะ ดิฉันหมายความว่า อย่างน้อยก็น่าจะอธิบายว่ามันรักษา อาการอะไรด้วยภาษาที่คนธรรมดาไม่ได้เรียนหมอมาเข้าใจได้ง่ายๆ ซึ่งดิฉัน คิดว่าผู้ป่วยน่าจะมีสิทธิ์รู้นะคะว่ายาที่ตัวเองกินเข้าไปมันจะไปทำอะไรกับร่าง กายเราบ้าง จากคุณ : แมวน้อยสีน้ำตาล - [ 23 พ.ย. 50 13:04:44 ]

ความคิดเห็นที่ 87 คห.86 รับทราบครับ... ส่วนรายละเอียดของยาแบบละเอียด น่าจะถามได้จากเภสัชกรนะครับ ถ้าคุณหมอบกพร่องในการบอกรายละเอียดยา คุณสามารถถามได้จากเภสัชกรได้อีกทีครับ จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 23 พ.ย. 50 18:34:29 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ผมว่าส่วนหนึ่งที่วิชาชีพนี้ไม่พัฒนาเพราะเกิดจาก  เภสัชกรอาวุโสไม่เสียสละตัวเองเท่าวิชาชีพอื่น   มิหนำซ้ำยังคอยกีดกันกลัวรุ่นน้องจะก้าวหน้ากว่าครับ จากคุณ : rxkku - [ 23 พ.ย. 50 20:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เรียนคุณ คห. 83   ตามที่เรียนมานะคะ ถ้าคุณมีปัญหาด้านสุขภาพแล้วเข้าไปร้านขายยา ปัญหาไหนที่เภสัชกรไม่สมควรวินิจฉัยหรือคนไข้มีอาการรุนแรง ต้องอาศัยการวินิจฉัยเพิ่มเติม เภสัชกรต้องส่งต่อแพทย์ค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่มั่นใจเข้าไปถามก่อนได้ค่ะ ปล. ถ้าร้านนั้นเป็นร้านเภสัชกรจริงๆนะคะ เราว่าไม่มีเภสัชคนไหนไม่อยากให้คนป่วยเป็นมากกว่าเดิมอ่ะค่ะ ----------------------------------------------------------------------------- ส่วนเรานะคะ ทำงานทะเบียนยาค่ะ เป็นงานเภสัชกรที่ยังแทบจะไม่มีคนรู้จัก ทั้งๆที่เป็นส่วนจำเป็นและสำคัญที่ทำให้ยาทั้งหลายในท้องตลาดออกมาขายได้ หน้าที่นี้จะคอยรวบรวมข้อมูลของยาที่ได้ผลิตมา และนำเสนอต่อ อย. เพื่อให้ทาง อย.ตรวจว่า ยาของเรามีคุณภาพมากพอที่จะออกสู่ท้องตลาดได้ไหม หากยาที่เราผลิตยังมีปัญหาด้านต่างๆ เราจะเป็นฝ่ายที่ติดต่อ สืบค้น ตามจิก เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพและเราเอาไปติดต่อกับ อย.ได้โดยไม่ต้องมีปัญหา เราอาจจะอธิบายหน้าที่นี้ได้ไม่มากนักนะคะ แต่นี่เป็นบทบาทของเภสัชกรอีกด้านหนึ่งที่เราอยากนำเสนอให้ทุกท่านได้เห็นค่ะ ^^ ส่วนหน้าที่เภสัชกรด้านอื่นๆ เราก็ยังไม่ได้เข้าไปสัมผัสมากนะคะ จึงไม่ขอวิจารณ์ นอกจากเภสัชใน รพ.ชุมชน ซึ่งเภสัชมีหน้าที่ตรวจสอบการจ่ายยาของแพทย์กับเภสัชกรร้านยา พอดีที่เราไปฝึกงาน เภสัชกรกับแพทย์สนิทกันหน่ะค่ะ จึงมีการเตือนกันได้ ซึ่งเราว่า มันก่อประโยชน์ต่อคนไข้เยอะมากๆ ทำให้เรารู้สึกดีกับวิชาชีพนี้มากขึ้นเลยค่ะ ส่วนเรื่องเภสัชกรร้านยา เราเลือกเข้าแต่ร้านที่มีเภสัชหน่ะค่ะ ถึงเราจะเป็นเภสัชแต่เราก็ยังไม่ได้ศึกษามาทางด้านคลินิคมากพอ เพราะเรียนมาด้านผลิตก็เลยขอปรึกษานิดนึง เราก็ได้ความรู้และสบายใจนะคะ เมื่อได้รับข้อมูลที่ดี เภสัชกรใส่ใจเรา คือเราแอบมาเปิดตำราดู ก็เรียกว่าเภสัชในร้านยานี่แทบจะไม่ตกหล่นอะไรไปเลยอ่ะค่ะ สุดท้ายนี้ ขอบคุณพี่เจ้าของกระทู้ที่ทำให้เราได้เปิดโลกมองมุมมองของผู้ป่วยจริงๆ และทำให้เห็นว่าก็มีมากเหมือนกันที่มองเห็นความสำคัญของวิชาชีพนี้ ขอบคุณค่ะ ปล.มาแก้คำผิดค่ะ เขียน คห.ผิด - -!! แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 50 13:12:28 จากคุณ : pamaano - [ วันลอยกระทง 13:10:19 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เราซักประวัติแพ้ยา คนไข้ก็ไม่เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่เค้าต้องการความรวดเร็ว เราก็พยายามอธิบายให้คนไข้รู้เรื่อง วันไหนเจอซักประวัติยาที่เคยแพ้วันละ 5-6 เคส ก็เหนื่อยแล้วค่ะ จะพยายามทำต่อไปนะคะ จากคุณ : kittycmu (kittycmu) - [ วันลอยกระทง 15:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เคยมีญาติมาถามว่าเรียนเภสัช จบไปแล้วจะทำอะไร  .......... แล้วเค้าก็ตอบเองเลยว่าคงไม่พ้นเปิดร้านขายยา หรือแค่นั่งจ่ายยาในห้องยาที่โรงพยาบาล  งานสบายดีเนอะ ฟังแล้วก็รู้สึกโมโหปรี๊ดขึ้นมาเหลือเกิน  ..... แต่อีกใจนึงก็เศร้าว่าประชาชนรู้จักเภสัชกรแค่ใน 2 บทบาท(แบบไม่ครบถ้วนด้วย) เท่านี้น่ะเหรอ จากคุณ : narusaru - [ 26 พ.ย. 50 17:37:13 ]

ความคิดเห็นที่ 92 มาเจอพอดีเลย กำลังหาเภสัชกรปรึกษาเรื่องยาอยู่ครับ  คือว่า ที่บ้านผมคุณพ่อและคุณแม่มีโรคประจำตัวที่ต้องทานยาต่อเนื่อง ได้แก่ เบาหวาน และหัวใจ คุณหมอจ่ายยา กลูโคฝาจ ซึ่งเป็นยานอก มีราคาแพงพอสมควร ในขณะที่ยาจากองค์การเภสัช หรือ ยาในประเทศ ซึ่งมีตัวยาแบบเดียวกัน ขนาดเท่ากัน มีราคาต่างกันเยอะมาก  เลยอยากปรึกษา เภสัชกร หน่อยครับว่า ยานอก กับ ยาใน มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนครับ และอย่างไรครับ  ขอบคุณมากครับ จากคุณ : glizmo (glizmo) - [ วันสาธารณสุขแห่งชาติ 22:43:51 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นทุกท่านอีกครั้งครับ ตอนนี้ได้รวบรวมข้อมูลสำหรับทำโครงการในช่วงแรกแล้ว หากท่านใดมีความเห็นอื่นๆ เพิ่มเติม ยังเชิญได้ตลอดครับ และหากเภสัชกรท่านใดที่ต้องการร่วมโครงการ ลองไปอ่านที่ http://pharmacistproject.thaipharmd.com ได้ครับ ขอบคุณเวทีของพันทิป ที่ทำให้เป็นสื่อของเภสัชกรครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 29 พ.ย. 50 19:18:09 ]

ความคิดเห็นที่ 94 อันนี้เป็นประสบการ์ณ ส่วนตัวนะคะ มีอยู่วันนึง แม่เข้าไปในร้านขายยา เพราะมีอาการแพ้ยาแก้ฝ้า  หน้าไหม้และปากบวม ..... แม่เราก็ปรึกษาเภสัช เขาก็ให้คำแนะนำดี  ว่าให้ใช้ครีมว่านหางจรเข้ ช่วยประคบ...... จนมาถึงตอนแม่ อยากได้ยาแก้แพ้ ....  เราก็ไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านนี้นัก  เราก็พูดออกไปว่า  .... "แม่อย่าซื้อเลย ไปหาหมอดีกว่า" ....  พี่เภสัช คนนั้น เดือดขึ้นมาเลย ว่า "ทำไม พี่เนี่ยจบถึงเภสัชนะ พี่จ่ายยาได้"   โวยวายมาก   เราก็ไม่เถียงอะไร สาเหตุที่เราพูดไป เพราะเราเป็นห่วงแม่  แม่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน  เราก็ไม่รู้ว่ายาที่เขาให้จะมีผลกระทบอะไรเลยหรือเปล่า   แล้วทำไมถึงจ่ายยาได้ โดยไม่ดูประวัติหรือซักถามคนไข้เลย ว่ามีโรคประจำตัวหรือเปล่า  .... จากคุณ : i_am_ami - [ 29 พ.ย. 50 21:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ตราบใด ที่แพทย์ยังจ่ายยาเอง เภสัชกรยังวินิจฉัยโรค แต่ละคนก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่บทบาทที่แท้จริงแต่ละวิชาชีพ จากคุณ : Bandit - [ 29 พ.ย. 50 22:47:22 A:203.107.202.38 X: TicketID:094240 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ตอบคห. ที่ 94 ครับ 1. คุณทำถูกแล้วที่เป็นกังวลเรื่องโรคประจำตัวของคุณแม่ครับ ดังนั้น หากมีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะพบแพทย์หรือเภสัชกร บอกโรคประจำตัวของตนได้เลยครับ จะทำให้การสื่อสารและประเมินโรคเป็นไปได้ง่ายขึ้นครับ ^^ 2. ไม่ต้องกังวลครับ เภสัชกรจะสามารถประเมินเรื่องยาที่เกี่ยวข้องกับโรคได้ 3. กรณีที่เกิดการแพ้ยาแบบนี้ แนะนำให้พบแพทย์เลยก็ดีครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 29 พ.ย. 50 23:19:18 ]

ความคิดเห็นที่ 97 บทบาทเภสัชกรในความคิดเรา  เป็นผู้จ่ายยาตามใบสั่งแพทย์และเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ยาที่ถูกต้อง  ละมั้ง แต่ไปตามร้านขายยาไม่ค่อยเจอเภสัชกร  เจอแต่เด็กเฝ้าร้าน จากคุณ : bubblebaba - [ 30 พ.ย. 50 09:48:18 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ส่วนตัวผมนะเคยเจอคำพูดแบบความเห็นที่94เหมือนกัน ซึ่ง จริงๆก็ไม่ผิดที่จะคิดเช่นนั้นครับ เรามีสิทธิ์เลือกจะรับบริการที่ไหนอย่างไร แต่การพูดแบบนั้น ไม่ต่างอะไรกับการที่เข้าไปร้านอาหารสักร้านนึง แล้วบอกว่า ร้านนี้ไม่อร่อยอย่ากินเลย ไปกินร้านอื่นดีกว่า แล้วพุดดังๆให้เจ้าของร้านได้ยิน เค้าจะรู้สึกยังไงละครับ ผมเจอแบบนี้ผมจะทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ถามว่าจะพอใจไหม ไม่พอใจหรอกครับ เภสัชคนไหนเจอก็คงเป็นเหมือนกัน คิดได้ครับ เลือกได้ แต่ไม่ควรพูดทำร้ายจิตใจคนอื่น จากคุณ : apotheker - [ 30 พ.ย. 50 12:08:20 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ส่วนตัวนะคะ เป็นเภสัชร้านยา ร้านเล็กๆ ในอำเภอเล็กๆ ต่างจังหวัด ก้อทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แนะนำการใช้ยา ซักประวัติ จ่ายยา ตามเศรษฐานะของคนไข้ ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร แต่ก้อให้ตัวเราเองอยู่รอด พอมีพอกิน เพราะส่วนใหญ่เภสัชกรร้านยาจะถูกคนอื่นหรือว่า เภสัชกรด้วยกันเองมองว่า เราเป็นพ่อค้าแม่ค้า อันนี้มันก็แล้วแต่คนจะคิดนะคะ ว่าบทบาทจิงๆของเภสัชกรคืออะไร แต่ถ้าเรายังยึดมั่นคำว่า จรรยาบรรณวิชาชีพเภสัช ไว้ในใจเสมอ คิดว่า ทุกคนก้อคือ เภสัชกรที่ดี อีกอย่างที่ทำได้คือ ตอนนี้รับเด็กฝึกงานที่ร้าน ก็พยายามปลูกฝังจรรยาบรรณให้น้องเค้าเยอะๆ เพราะโดยส่วนตัว เชื่ออย่างหนึ่ง คือ ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่ง ไม้อ่อนที่เพิ่งโตขึ้นมา โดนคนไม่ดีเอาไปดัด ไม้นั้นก็จะเสียคุณภาพไปเลย........ช่วยกันนะคะ จากคุณ : สักวันเราจะเจอคนที่ดี - [ 30 พ.ย. 50 13:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ขอพูดถึงเภสัชกรในส่วนของร้านยาก้อแล้วกันนะคะ ในความเห็นของเรา.. เภสัชกร เป็นบุคคลที่มีความรู้เรื่องของการใช้ยาที่ถูกต้อง และเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ผู้ป่วย เข้าถึงประชาชนได้ง่ายกว่าหมอ เพราะฉะนั้น เภสัชกร ควรจะต้องมีจรรยาบรรณที่ดีในการแนะนำคนไข้ มีจิตใจที่ดี และยินดีบริการให้คำปรึกษาในสิ่งที่ถูกต้องกับคนไข้ ไม่เอารัดเอาเปรียบ แอบขายยาปลอม แอบขายยาต้องห้ามทั้งหลาย ขอพูดนอกเรื่องนิดนึงนะคะ ที่บ้านเป็นร้านขายยาที่มีพี่ชายเป็นเภสัชกร แต่คนที่อยู่ขายยาคือพี่สาวที่ไม่ได้จบเภสัช หลายๆครั้งที่มีคนมาซื้อยานอนหลับ และยาคลายเครียด ซึ่งที่ร้านเราก้อจะไม่ขาย เนื่องจากมันผิดกฎหมาย แต่ผู้ซื้อหลายคนก้อไม่เข้าใจ และบ่อยครั้งที่พูดว่า ทำไมร้านนั้นขายได้ ร้านนี้ขายไม่ได้ ซึ่งแต่ละร้านที่เอ่ยมา เราทราบดีว่า เป็นร้านที่มีเภสัชกรประจำร้านทั้งสิ้น นอกจากยาพวกนี้ ก้อยังมีพวกยาชุดต่างๆที่มักจะผสมพวกยาคลายเครียด หรือยา steroid ที่ร้านที่เภสัชประจำร้านชอบขายกัน เนื่องจากกินแล้วได้ผลชะงัก ทำให้คนไข้รู้สึกว่า ยาร้านนี้ดี (แท้จริงแล้ว ยา steroid อันตรายมากมาย) ในเมื่อบุคคลที่จบด้านนี้โดยตรง ยังประพฤติตัวที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างนี้ แล้วชาวบ้านที่ไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่.. จะทำอย่างไร ในขณะที่ อย. เอง ก้อพยายามจะบีบร้านขายยาอย่างเรา (ไม่มีเภสัชประจำร้าน) ให้หมดทางทำมาหากิน โดยไม่คิดที่จะมีหลักสูตรอบรมอะไร เพื่อเป็นหนทางให้เราได้สามารถพัฒนาความรู้ เพื่อที่จะเป็นร้านขายยาที่มีคุณภาพได้ มันเป็นอะไรที่สะท้อนใจ .. ว่าคนที่ไม่ได้จบเภสัชอย่างพี่สาวเรา มีความตั้งใจเกินร้อยที่จะให้คำปรึกษากับคนไข้ ไม่เคยคิดขายยาต้องห้าม ไม่เคยทำอะไรที่ให้โทษกับผู้บริโภค ขวนขวายหาความรู้เกี่ยวกับยาตลอด .. สุดท้ายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก้อจะต้องเลิกขายยา เพราะกม.ใหม่ที่อย.คิดจะนำออกมาใช้ .. ในขณะที่ ร้านยาแถวบ้าน ที่ชอบแอบขายยานอนหลับ ยาคลายเครียด ยา steroid ยังคงสามารถใช้ชีวิตอย่างไร้จรรยาบรรณต่อไปได้ และชาวบ้านก้อยังคงต้องแขวนชีวิตพวกเค้า กับร้านยาแบบนี้อยู่ ขอโทษน่ะค่ะ ที่บ่นมายาวเหยียด แต่หากมันจะทำให้ เภสัชกร หลายๆคน ได้คิด และกลับมาเป็นคนที่มีจรรยาบรรณอีก ก้อคงดี จากคุณ : JF (Jack Frost) - [ 2 ธ.ค. 50 16:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ร้านขายยาแถวบ้านไม่เห็นจบเภสัชเลยครับ แต่ขายยาได้แทบทุกชนิด ยาชุดยังมีขายอยู่เลย ไม่รู้กฎระเบียบมีไว้เพื่ออะไร จากคุณ : +ปุ๋ยคอก+ - [ 2 ธ.ค. 50 17:23:00 ]

ความคิดเห็นที่ 102 หลังจากอ่าน คห.หลายท่าน อยากจะขอเสริมความจริงบางอย่างที่เภสัชกรหลายๆท่าน ที่ไม่ได้ประจำร้านยา หรือไม่มีโอกาสได้คลุกคลีกับชาวบ้าน ได้มองข้ามไป 1. มีหลายคห.บอกว่า ถ้าร้านที่มีเภสัชประจำ จะมีการพูดคุยซักประวัติคนที่มาซื้อยา --> ขอบอกว่า ที่ร้านเราก้อทำนะคะ แต่ว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำอยู่ หลายๆคนจะมองหน้าเราเหมือนกับว่า มายุ่งอะไรกับชีวิตเค้าเนี่ย หยิบๆยามาได้มั๊ย ตัวอย่างเช่น.. มาซื้อยาแก้ท้องเสีย เราจะถามตลอดว่า มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนมั๊ย ปวดหัว มีไข้รึป่าว เป็นมาแล้วกี่วัน ได้ทานยาอะไรไปแล้วบ้าง แต่บอกได้เลยว่า ชาวบ้านเค้ายังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาซักถามละเอียดแบบนี้ 2. การทานยาให้ครบ dose เป็นอีก 1 เรื่องที่ชาวบ้านไม่เข้าใจ เนื่องจากมีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางว่า อย่ากินยาเยอะ ไม่ดี มันอันตราย ชาวบ้านที่ไม่มีความเข้าใจมากมาย ที่เข้าใจตามนั้น ตรงนี้มีผลกระทบโดยตรงกับการรับประทานยาแก้อักเสบ ทุกครั้งร้านเราจะบอกว่า ควรรับประทานติดต่อกัน 5-10 วัน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะพูดว่า ไม่เอาละ วันเดียวก้อพอ ยาทานเยอะไม่ดี ถึงแม้เราจะพยายามอธิบายว่า การทานยาไม่ครบนั้นจะทำให้ดื้อยา แต่ชาวบ้านก้อจะไม่ฟังไม่สนใจ (ไม่สำคัญว่าคุณจะคือเภสัชกรหรือไม่) ยิ่งไปกว่านั้น บางคนอาจจะเข้าใจว่า เราอยากจะขายของเยอะๆ ถึงได้หลอกให้เค้ากินยาเยอะๆ 3. หลายๆครั้งที่ได้ยินอย.ออกมาพูดว่า ร้านขายยาบางร้านไม่ได้คุณภาพ ทำให้ชาวบ้านกินยาแล้วไม่หาย ... ไม่เถียงคะว่าร้านแบบนั้นก้อมี แต่อยากจะบอกว่า ... 70% ของลูกค้าร้านเรา ไม่ยอมทานยาอย่างที่บอกไป เช่น.... "เนี่ย ทานยาแก้ไอมา 3 วันแล้ว ไม่เห็นดีขึ้นเลย" เราก้อจะถามว่า ทานยาตัวไหนมา ทานอย่างไร มีอาการไอแบบไหน คุณลูกค้าตอบว่า "ทานวันละเม็ด" - -''  อยากจะตะโกนออกไปมากว่า "วันละเม็ด แล้วมันจะหายได้อย่างไร" "ทานพาราแล้ว ไข้ไม่ลด" พอถามว่าทานอย่างไร ... "ทานวันละเม็ด" ส่วนนึงเป็นความเชื่อจากข้อ 2 ที่คิดไปเองว่า ทานยาเยอะๆมันไม่ดี อีกส่วนนึงก้อคือ ไม่ยอมกินเอง .. ไม่ชอบกินยา อยากกินยาอะไรก้อได้ทีเดียวหาย - -' 4. มีหลายคห.บอกว่า ร้านยาบางร้าน ขายยาซ้ำซ้อน เช่น จ่ายพาราแล้วก้อยังจ่ายทิฟฟี่ไปด้วย แต่จากประสบการณ์แล้ว .. ต่อให้อธิบายลูกค้าว่า มันมียาตัวเดียวกัน เลือกทานเฉพาะทิฟฟี่ก้อได้ แต่ในเมื่อลูกค้าจะเอา จะกินแบบนี้.. เราจะไปห้ามอย่างไรค่ะ 5. อีกกรณีนึง เป็นลูกค้าที่ปวดฟัน แล้วก้อมาซื้อ ibruprofen แรกๆเราก้อขายปกติ แต่ก้อจะบอกไปว่า ดีขึ้นเมื่อไหร่ ไปหาหมอฟันด้วยนะคะ แต่ลูกค้าคนนี้ ก้อยังมาซื้อตลอด .. เตือนแล้วว่า ทานต่อเนื่องนานๆมันไม่ดี ก้อไม่ฟังคะ บอกว่ามันมีผลต่อกระเพาะอาหาร ก้อไม่ฟังค่ะ สุดท้ายก้อเลิกขายเค้า แต่ถามว่า มันคือการแก้ปัญหามั๊ย.. ก้อคงไม่ใช่ เพราะเค้าก้อสามารถไปซื้อกินจากร้านอื่นได้อีก ตัวอย่างทั้งหมดที่ยกขึ้นมา ... จะเห็นได้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ทัศนคติและความเข้าใจที่ถูกต้องของชาวบ้าน ชาวบ้านในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ชาวบ้านต่างจังหวัด หรือพวกแม่ค้าน่ะค่ะ นักศึกษาหลายๆคน คนทำงานหลายๆคน ก้อยังมีความเข้าใจที่ผิดไม่ต่างกับแม่ค้าทั้งหลาย ในขณะที่พยายามจะพัฒนาเภสัชกรที่มีคุณภาพ... ร้านยาที่มีคุณภาพ... ได้เคยคำนึงถึงความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชนบ้างหรือเปล่า มีการให้ความรู้กันมากน้อยแค่ไหน ขนาดนักศึกษา คนทำงาน ที่มีความรู้ระดับปริญญาตรี ก้อยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในการกินยาอยู่ .. แล้วประสาอะไรกับคนที่เค้ามีการศึกษาน้อย เห็นว่า คนในกระทู้นี้ เป็นทั้งหมอ และเภสัช อาจจะมี connection กับบุคคลในอย.อยู่บ้าง ถ้ามีการได้พูดคุย หารือ ในจุดนี้ สักนิด .. ก้อคงดีนะคะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : JF (Jack Frost) - [ 2 ธ.ค. 50 17:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ขอเสริมอีกนิดนึง เกี่ยวกับยาชุด ยาชุด .. จริงๆแล้ว ไม่ใช่ยาที่ไม่ดีนะคะ แต่เป็นยาที่ผลิตในประเทศ เช่นเดียวกับยาตัวอื่น ต่างกันตรงที่ว่า เป็นยาที่เราแบ่งขาย ไม่ได้ขายเป็นแผงๆ แต่คงต้องยอมรับว่า .. ร้านขายยาบางร้าน มีการจัดชุดที่ผสมยา steroid บางร้าน ก้อใช้ยาราคาถูกจากโรงงานที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก อันนี้ ขอยกให้เป็นปัญหาในการควบคุมโรงงานผลิตยาดีกว่า เพราะถือว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมด และสุดท้าย คงต้องบอกว่า ไม่ว่าจะเป็น เภสัชกร หรือ หมอตี๋ จรรยาบรรณ กับความรู้สึกผิดชอบต่อสังคม เป็นสิ่งที่ไม่ควรขาดหายไป จากคุณ : JF (Jack Frost) - [ 2 ธ.ค. 50 17:38:55 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เวลาป่วยไปหาหมอมากกว่า ไม่ค่อยพึ่งเภสัช  ส่วนใหญ่ไปร้านขายยาจะรู้อยู่แล้วว่าจะซื้อยาอะไร เช่นไทลีนอล ยาแก้แพ้  ไม่ต้องถามอะไรจากเภสัช ส่วนใหญ่หมอสั่งยา   แล้วถ้ายาหมด  ค่อยมาซื้อตามร้านยา  เภสัช สำหรับเราจึงไม่ค่อยมีความสำคัญ  เหมือนเค้าแค่ทำตามที่แพทย์สั่งยาให้ เท่านั้น เหมือนเป็นคนขายของในร้านมากกว่า จากคุณ : babyhoney - [ 3 ธ.ค. 50 10:49:07 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ในส่วนร้านยา เภสัชประจำร้านยาก็ถือเป็นด่านหน้าในการให้บริการผู้ป่วยเบื้องต้น เรามีหน้าที่ตรงนี้ ให้ข้อมูล ให้คำปรึกษา ประเมินการรักษาเบื้องต้น ซึ่งถ้าจำเป็นเราก็จะส่งต่อผู้ป่วยไปพบเเพทย์อยู่เเล้ว สำหรับคุณ babyhoney ถ้าป่วยคุณไม่คิดจะมาร้านยา คุณไม่ผิด เเต่การที่คุณไม่เห็นความจำเป็นของเภสัช คุณก็ไม่ควรมาว่า ว่าเราเหมือนเป็นคนขายของในร้านเเค่นั้น มีเภสัชตั้งมากมายทำงานตรงนี้ ที่เค้าบริการผู้ป่วยโดยต้องทนกับคนที่ไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่ ต้องทนกับอีกหลายๆอย่างซึ่งถ้าคุณอ่านความคิดเห็นทั้งหมด คุณจะรู้ว่า มันเป็นอาชีพที่ น่าอึดอัดขนาดไหน เเต่เภสัชทุกคนก็ยังทำ ยังพยายาม ทำให้คนที่ไม่เข้าใจเเบบคุณ รู้ว่าเราเป็นใคร และกำลังทำอะไร การที่คุณซื้อเเค่ ไทลินอล ยาเเก้เเพ้ ซึ่งคุณคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องการข้อมูลอะไรจากเภสัช ขอถามกลับนะคะ ยาเเก้เเพ้ที่คุณบอก คุณรู้มั้ยว่ามันมีตัวยามากมายขนาดไหนที่ใช้สำหรับเเพ้ คุณไม่เคยคิดจะถามเลยเหรอ คุณจะรู้จักยาเเก้แพ้สักกี่ชนิด คุณจะรู้มั้ยว่าเเก้เเพ้ที่คุณรับประทาน (สมมุติ เป้นยาเเก้เเพ้อากาศลดน้ำมูก)คุณเคยคิดจะถามมั้ยว่านอกจากลดน้ำมูกมันเเก้เเพ้อย่างอื่นได้มั้ย ถ้าคุณไม่สนใจตรงนี้ ไม่คิดจะถาม เเค่เข้าไปเรียกๆชื่อยาเพื่อซื้อรับประทานเอง ก็เเสดงว่าคุณไม่ให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองเหมือนกัน จากคุณ : เภสัชกร (Pharmaceutic) - [ 3 ธ.ค. 50 12:22:07 ]

ความคิดเห็นที่ 106 คุณ JF เขียนได้โดนใจมาก ความเห็นเหมือนกันตามนั้น อิอิ^^ จากคุณ : Pharmaceutic - [ 3 ธ.ค. 50 12:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ขอบคุณครับคุณ JF ที่มาร่วมแสดงความคิดเห็น เป็นสิ่งที่ดีครับที่ครอบครัวคุณพี่สาวคุณพยายามตรงนี้ เภสัชกรเองไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีทั้งหมด ทุกอาชีพมีด้านมืดและด้านสว่าง สำหรับการที่เภสัชกรเองแอบจ่ายยาที่ไม่เหมาะสม คุณสามารถแจ้งไปที่อย.ได้ครับ หรือสสจ.ในเขตที่คุณอยู่ ส่วนเรื่องการผลักดัน ไม่ใช่ว่าอย.ไม่ส่งเสริมร้านยาที่ไม่มีเภสัชกรครับ แต่การที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา คุณไม่อาจไม่ยอมรับว่า ยาไม่ใช่ขนม ดังนั้นยามีสิ่งที่ผู้ที่ไม่ได้จบเภสัชกรมา แม้กระทั่งหมอเอง ก็ไม่สามารถบอกได้ ยาสองตัวสองบริษัทต่างกันอย่างไร บริษัทที่เชื่อถือได้คืออะไร? ทำไมถึงต้องเลือกยาตัวนี้ ทำไมถึงต้องเลือกยาบริษัทนี้ นี่คือสิ่งที่เราต้องรู้ครับ นั่นคือสิ่งที่เภสัชกรจำเป็นต้องตอบได้ ดังนั้นอย. จึงต้องผลักดันให้ร้านยาทุกร้าน มีเภสัชกรประจำครับ อย่างน้อยเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย รวมทั้งเภสัชกรมีใบประกอบวิชาชีพกำกับอยู่ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น เราสามารถถอนหรือห้ามใช้ได้ แต่หากให้ใครสักคนก็ได้ขายยา หากเกิดปัญหาจะทำอย่างไร?? การดำเนินคดีไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ๆ ครับ หวังว่าคงเข้าใจนะครับ --------------------------------------------------------------------- ขอบคุณคุณ babyhoney ที่เข้ามาร่วมแสดงความเห็นครับ สำหรับผมเอง เข้าใจว่าความรู้สึกของคุณเป็นอย่างไร คนใช้ยายังไม่สามารถปรับทัศนคติได้ เพราะเภสัชกรเองก็ไม่ได้ทำตัวดีกว่านั้น จึงเป็นปัญหาต่อเนื่องกัน เภสัชกรไม่ได้มีหน้าที่แค่ทำตามแพทย์ครับ ยกตัวอย่างเช่นยาแก้แพ้ ก็มีหลายตัวแล้ว การเลือกใช้ก็ต่างกัน และบางตัวก็ไม่สามารถใช้ในคนไข้บางรายได้ ตรงนี้คือหน้าที่ของเภสัชกรครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 3 ธ.ค. 50 12:57:09 ]

ความคิดเห็นที่ 108 เป็นเภสัชกรชุมชนมา 23 ปีแล้วค่ะ อยู่ร้านตลอดเวลาที่เปิดทำการ ไม่อยู่ก็ปิดค่ะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ชักแก่แล้ว ก็จะทำเรื่องส่วนตัวมากขึ้น เช่น ไปออกกำลังกาย ไปประชุมวิชาการ ไปสังสรรกับเพื่อน ก็เลยปิดร้านบ่อยพอควร แต่ก็พบว่าลูกค้าไม่ไปไหน เขารอได้เขาก็รอ รอไม่ได้ก็ไปซื้อร้านอื่นกินประทังไป แล้วมาหาเราใหม่ เพราะที่ร้านก็จะเปิดเป็นเวลา เพียงแต่ไม่ใช่เช้าจรดมืดเหมือนตอนเราอายุน้อยๆ ที่เล่าเพราะว่า อยากบอกว่า การทำหน้าที่เภสัชกรที่จะทำให้ลูกค้า(ผู้ป่วย)ไว้วางใจ ต้องการเวลา ความน่าเชื่อถือ และความสม่ำเสมอ คนที่เข้ามาครั้งแรก จะงงว่ามาซื้อยาถามอะไรมากมาย เราก็ต้องบอกเขาบ้างว่า ที่เราถามเพื่ออะไร มีประโยชน์ต่อเขาอย่างไร แล้วค่อยจ่ายยาที่เหมาะสมให้เขา บางคนไม่ต้องการซื้อครบโดส ก็ยังคงควรขายให้เขา แต่บอกเขาด้วยว่า อะไรจะเกิดขึ้น ถ้ากินไม่ครบ อะไรจะเกิดขึ้นถ้ากินครบ ทุกวันนี้ มีความสุขมากกับการอยู่ร้าน ขายยาได้มากได้น้อย ก็มีความสุข เพราะว่าตัวเองไม่ได้หวังรวย (แต่ก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไร) พอใจมากที่ได้แนะนำคนป่วย เพราะเวลาขายยาให้ไป จะใส่ใจว่า นอกจากให้เขาหายป่วยแล้ว จะพยายามแนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อจะไม่ต้องป่วยอีกให้คนไข้ด้วยเสมอ เท่าที่ทำได้ ที่ร้านก็มีทำประวัติคนไข้ไว้พอสมควรเพราะจะเป็นลูกค้าประจำเป็นส่วนใหญ่  มีบริการวัดความดันโลหิต มีเครื่องวัดน้ำตาลและคลอเลสเตอรอลด้วย เราว่าลูกค้าที่ร้านก็ดูพอใจกับการบริการที่ร้าน ทั้งเรื่อง การจ่ายยา การให้คำปรึกษา ซึ่งมันก็ทำให้ย้อนกลับมาว่าเราก็ทำงานอย่างมีความสุขไปด้วย ไม่รู้ตรงกับวัตถุประสงค์ของกระทู้ไหม แต่ที่ร้านยังไม่เป็นร้านยาคุณภาพ เพราะว่ายังต้องปรับปรุงเรื่องสิ่งแวดล้อมในร้านและนอกร้านอีกพอสมควรจึงจะเหมาะสม แต่ในอนาคตอันใกล้จะทำร้านให้เป็นร้านยาคุณภาพให้ได้ค่ะ จากคุณ : notno - [ 3 ธ.ค. 50 15:35:55 ]

ความคิดเห็นที่ 109 เราไม่ได้หลอกว่าเภสัชกรนะคะ แค่แสดงความเห็นว่าสำหรับเราเภสัชกรไม่ค่อยมีบทบาทอย่างแพทย์อะคะ  ถ้าออกไปในแนวว่าก็ต้องขอโทษเภสัชกรทุกคนที่เข้ามาอ่านแล้วเข้าใจเช่นนั้นค่ะ จากคุณ : babyhoney - [ 6 ธ.ค. 50 15:51:22 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ขอขอบคุณคุณ babyhoney อีกครั้งที่กล้ับมาดูครับ ความเห็นของคุณคือความเห็นที่มีค่าครับ สิ่งที่ผมต้องการอย่างหนึ่งคือสะืท้อนสิ่งที่ประชาชนคิด ให้กลับไปยังเภสัชกรทุกคน สิ่งที่คุณคิด นั่นคือภาพอย่างหนึ่งที่เภสัชกรต้องคิดถึงตัวเองครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 6 ธ.ค. 50 15:56:33 ]

ความคิดเห็นที่ 111 เข้ามาเล่าว่า วันก่อนไปซื้อยาที่ร้านบู๊ทส์สาขาถนนข้าวสาร เราจะเอาครีมทาผิวแก้แพ้ ยี่ห้อหนึ่งที่เคยใช้ คนขายหยิบเอายาอะไรไม่รู้มานำเสนอ อ่านฉลากดูบอกว่าเป็นยาแก้โรคผิวหนังชนิดที่ใช้ยาอื่นแล้วไม่ได้ผล ไม่ค่อยจะใกล้เคียงกับอะไรที่เราต้องการ แต่คนขายเชียร์ว่าดีนะคะ พวกฝรั่งชอบใช้ ไอ้เราก็งงๆ ว่าฝรั่งมาเกี่ยวอะไร สุดท้ายก็ถามไปว่า ไอ้ยี่ห้อที่เราบอกไม่มีหรือ คนขายบอกว่า มีค่ะ แต่หนูหยิบให้พี่ไม่ได้ เพราะฟาร์มาซีไม่อยู่ เป็นอันว่าเราไม่ได้ซื้ออะไรเลย เพราะเคืองคนขายที่หน้าแก่แต่มาเรียกเราว่าพี่ จากคุณ : ฟ้าคำราม - [ 6 ธ.ค. 50 19:49:03 ]

ความคิดเห็นที่ 112 เภสัชกร ในความคิดผมอ๊ะ ก็เป็นคนจ่ายยา  ถ้าเป็นในโรงพยาบาล  ก็แค่เป็นคนหยิบยาตามคำวินิจฉัยของแพทย์  ไม่ได้ให้คำแนะนำอื่นใด ส่วนร้านขายยา เภสัชกรจะทำหน้าที่ได้ดีกว่า แนะนำยาให้ลูกค้า  แต่ไม่ได้ถามปัญหาของโรคมากมาย แค่พอรู้ว่าเป็นอะไรก็จะรีบหยิบยา แล้วจ่ายเงินก็จบ  มันดูเหมือนเราไปซื้อของในตลาดยังไงอย่างงั้นอ่ะ ผมว่าเภสัชกรน่าจะเรียนเรื่องการซักถามประวัติผู้ป่วยมากกว่านี้หน่ะคับ   ส่วนเรื่องการใช้ยา  ก็ควรจะแนะนำตามสรรพคุณของยาจริง ๆ ไม่ใช่แนะนำตามเปอร์เซ็นต์ที่บริษัทแบ่งให้หน่ะคับ เพราะนี่มันคือจรรยาบรรณของเภสัชกรอ่าคับ *0* จากคุณ : คุณชายซอดอง - [ 7 ธ.ค. 50 00:54:08 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ก้คนขายยาตามร้าน กับคนที่อยู่ในช่องจ่ายยาตาม รพ. เหมือนๆกับแม่ค้าพ่อค้าคนขายของชำ กับแคชเชียร์คิดเงิน เพียงแต่มีความรู้ด้านยา และขายยาจ่ายยาได้ จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ 7 ธ.ค. 50 22:40:40 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ถ้างั้นคุณก็ไปปรึกษาเรื่องยากับพ่อค้าแม่ค้าคนขายของชำนะคะ จากคุณ : ผู้หญิงอย่าหยุดอ้วน - [ 8 ธ.ค. 50 11:39:41 ]

ความคิดเห็นที่ 115 คนทุกวงการมีทั้งดีและไม่ดี ต้องขอโทษคุณ Sir.-ขงเบ้ง พอดีเมื่อกี๊พออ่านแล้วรู้สึกน้อยใจอะค่ะ ว่าโดนมองขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะมั่นใจในตัวเองมากว่าไม่ได้คิดแต่จะขายยา เรามองถึงความจำเป็นเท่านั้น กล้าท้าให้มาพิสูจน์ได้ค่ะ และมีเภสัชกรอีกไม่น้อยที่ทำแบบนี้ ที่ให้คุณมากกว่ายาที่คุณจ่ายเงินซื้อไป เภสัชกรทุกท่านที่มาอ่านควรคิดนะคะว่าทำไมเราถึงโดนมองแบบนั้น เพื่อวิชาชีพของเราเราต้องช่วยกันนะคะ จากคุณ : ผู้หญิงอย่าหยุดอ้วน - [ 8 ธ.ค. 50 11:57:55 ]

ความคิดเห็นที่ 116 โอ้ย คุณซอดอง ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าๆ ก่อนที่คุณจะได้ยาจากโรงพยาบาลอะ รู้ป่าว เภสัชเค้าทำอะไรกันมั่ง จะบอกให้ -ดูว่ายาที่คุณจะได้รับอะ ขนาดมันเหมาะสมมั้ย เพราะในผู้ป่วยบางคนเช่น ผู้ป่วยโรคตับ หรือโรคไต ยานี้ๆๆๆ ต้องปรับลดขนาดยาลง น้อยกว่าคนปกติ -ช่วยตรวจสอบว่ายาที่คุณกะลังจะไปใช้อะ ถ้ามันหลายๆตัวก็ดูว่ามันจะมีผลต่อกันจนเกิดพิษของยา หรือทำให้การรักษาไม่ได้ผล ถ้าใช้ร่วมกันหรือไม่ -ตรวจสอบความแรงและชนิดยาให้ตรงกับที่คุณหมอเค้าเขียนมา -ช่วยดูว่ายาที่คุณกำลังจะได้รับอะ เป็นยาหรือ กลุ่มยา ที่คุณเคยแพ้มาก่อนหรือป่าว อย่าลืมตอบเภสัชด้วยถ้าเภสัชถาม 555 -ช่วยดูว่าใบสั่งยาที่คุณถือมาน่ะ มันคือใบสั่งยาของคุณจริงๆไม่ได้ไปถือของคนอื่นเค้ามา 555 เจอออกจะบ่อย อ้าว ไปถือใบสั่งยาของใครมาฟระ -อธิบายสรรพคุณและวิธีใช้ยาตามโรคที่คุณเป็นอยุ่ แต่ไอ้สรรพคุณตามบริษัทยาโฆษณามันเป็นยังไงหรอ งง จากคุณ : Gaba (GaBa) - [ วันรัฐธรรมนูญ 13:56:10 ]

ความคิดเห็นที่ 117 เมื่อไม่กี่วันก่อนมี Professor ท่านหนึ่งมาเยี่ยมโรงพยาบาลค่ะ. .และทักทายด้วยคำถามที่ว่า "What are the 3 main functions of the pharmacist?" คำตอบก็คือ 1. Controlling คือการควบคุมดูแลจัดการทางด้านยา เพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 2. Teaching คือการให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับด้านยา โดยเฉพาะความรู้ทางด้าน pharmacology แก่บุคคลากรทางสาธารณสุข ทั้งแพทย์ เภสัชกรด้วยกัน พยาบาล หรือแม้แต่วิชาชีพอื่นๆ เพราะเภสัชกรถือเป็น drug spacialist 3. Counselling คือให้คำปรึกษาทางด้านยาแก่ผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ยาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมถึงให้ความรู้และทัศนคติที่ดีต่อการใช้ยาในการรักษาโรคของผู้ป่วย . .อาจฟังดู Ideal นะคะ แต่ถ้าคิดดูจะรู้ได้เลยว่าจริงๆแล้วบทบาทของเราสามารถทำอะไรให้เกิดประโยชน์ได้อีกเยอะ. .แม้ว่าในตอนนี้หน้าที่หรือบทบาทของเภสัชกรอาจจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่เชื่อมั่นเสมอว่าในอนาคตทุกสิ่งทุกอย่างจะก้าวไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้น. . . .และหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำอะไรได้บ้าง. .ไม่มากก็น้อย. . จากคุณ : my_mind - [ วันรัฐธรรมนูญ 16:40:36 A:202.12.73.4 X: TicketID:162664 ]

ความคิดเห็นที่ 118 เวลาเราป่วย เราจะไปหาเภสัช บอกอาการเบื้องต้น และได้ยามาตรงกับอาการจริง ๆ ที่เรารู้เพราะ เรากินยาแค่วันเดียว หายป่วยน่ะ ก่อนหน้านี้ไปหาหมอ และ ได้ยาตามสิทธิ์ประกันสังคม ซึ่ง กินแล้วเป็นหนักขึ้น พอไปปรึกษาเภสัช ถึงรู้ว่า ยา ของ ประกันสังคม กับยาผู้ป่วยจ่ายเงินเอง เป็นคนละเกรดกัน และก็รู้ถึงขั้นว่า โรงพยาบาลไหนแถวบ้าน ใช้ยาเกรดไหน อันนี้จากประสบการณ์ สรุปว่า ถ้าอาการไม่หนักหนาอะไร ก็ปรึกษาเภสัชดีกว่า ไม่ค่อยเชื่อหมอว่า วินิจฉัยโรคถูก ถ้า ใช้สิทธิ์ ประกันสังคมนะ จากคุณ : tawan ja - [ 11 ธ.ค. 50 20:22:28 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ขอแสดงความเห็นนิดหนึ่ง ลืมอะไรไปหรือเปล่าเอ่ย เภสัชกร  ยังต้องเตรียมยาเคมีบำบัด ด้วยนะ เนื่องจากไม่มีใครยอมเตรียม  และก็คงเป็นหน้าที่ ของเภสัชกรด้วย (มั้ง)  ทั้งๆที่ไม่เคยเรียนมาก่อน รู้สึกว่า เสียสละสุดๆ  ไม่ได้จะชมตัวเอง  แต่แม้ว่าเราจะรู้ ว่ามันมีความเสี่ยง (ทำให้เซลล์ผิดปกติ) และอาจจะกลาย เป็นมะเร็งได้  เราก็ยินดีจะทำให้คนไข้นะ  เหมือนปิดทองหลังพระ แม้โอกาสจะน้อย (ที่จะเป็นมะเร็ง)  ...ใครจะรู้บ้างว่า ... วันไหนที่เตรียมยาเคมีเยอะๆ  โดยเฉพาะ cisplatin  เราจะท้องเสีย ทุกครั้ง  ออกจากห้องเตรียมยา แทบจะยืนไม่อยู่  ทั้งแสบตา มึนงง กลับมาบ้าน นอนหลับ สลบไสล  แม่เรียกให้มาทานข้าว ก็ไม่มีแรง (บางคนคิดว่าเวอร์)  แต่มันเป็นเรื่องจริง  ...ที่ รพ เราสลับกันเตรียม อยู่ 2 คน และต้องทำแข่งกับเวลา เพื่อคนไข้จะไม่ต้องรอนาน... บางวันอยู่คนเดียว  มีวิ่งไปเตรียมยา  วิ่งไปจ่ายยาคนไข้นอก วิ่งไปเช็คยาคนไข้ใน  เอ่ เจอคำสั่งแพทย์ใช้ยาแปลกๆ  ก็วิ่งไป ห้องหมอ ...หมอๆๆ  หมอสั่งยา A  กับยา B กินร่วมกันแบบนี้ มันจะเกิดปฏิกริยาต่อกันที่เป็นอันตรายได้นะคะ.... ..หมอๆๆ  เด็กคนนี้อายุยังไม่ถึง 2 เดือนเลย ทำไมสั่ง Bactrim อ่ะคะ มันเป็นข้อห้ามใช้ในเด็กน้อยกว่า 2 เดือนนะคะ (กรณีน้อง seven) ...และที่ขำๆ หมอ  เขียนตัวย่อ   NAC , ALM , CNZ , VCR , EX , Act , PPNL ,Cet , ATN , MTV , MTX ยกตัวอย่างเล่นๆ  เพื่อนๆเภสัชกร  ก็ลองทายกันดูนะ  บางตัวไม่รู้จริงๆ ไปถามหมอ  ต้องขำก๊ากๆๆ  เลย   เนี่ย ไม่ใช่เภสัชกร  ไม่รู้หรอก เภสัชกร  ต้องมีไหวพริบ  ทั้งศาสตร์ และ ศิลป์  เจอ คนไข้ ร้อยพ่อ พันแม่ หลายรูปแบบ  คนไข้เจ้าปัญหา ก็ต้องทน (สำหรับเรา ยิ้มอย่างเดียว นับ 1 ถึง 10 แล้วค่อยพูด) เฮ้อ  ก็จบๆๆ  ไปวันหนึ่งๆๆ   มีเรื่องเล่า เป็นร้อยๆๆเรื่องเกี่ยวกะคนไข้ และหมอ  ก็ดีนะ  ถ้าไม่ได้เป็นเภสัชกร ไม่เจออย่างนี้แน่นอน ...ส่วนร้านยา  ไม่มีความเห็น  ไม่ค่อยรู้  .... จากคุณ : nanuty - [ 11 ธ.ค. 50 21:15:16 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ ขอบคุณคุณซอดอง และ Sir.ขงเบ้ง ที่นำปัญหาที่คุณพบ และเป็นมุมมองที่มีค่าอีกมุมหนึ่ง มาแนะนำครับ ขอบคุณคุณ Gaba และ my_mind ที่ช่วยแจงรายละเอียดที่ชัดเจนครับ ภาวนาให้เภสัชกรไทยได้ซึมซับตรงนี้มากๆ ขอบคุณคุณ tawan ja ที่ให้ความเชื่อถือครับ เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราครับ คุณ nanuty ครับ ถ้าหมอเขียนอย่างนั้น จดลง Prescription Error ได้เลยครับ 5555 เพราะว่าค่อนข้างอันตรายกับคนไข้ ปัจจุบันในการเรียนการสอนของเภสัชกรหลักสูตร Pharm.D. มีวิชา Aseptic Dispensary ครับซึ่งน่าจะพร้อมในการไปเตรียมยาเคมีบำบัดได้ระดับหนึ่ง เพราะมีการออกฝึก 3 สัปดาห์ครับ แต่ของผมเลือกหัวข้อ TPN เลยไม่ได้ทำ ^^ ยังรอฟังความคิดเห็นของทุกท่านครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 12 ธ.ค. 50 19:01:36 ]

ความคิดเห็นที่ 121 มาโหวตให้ค่ะ แต่รู้สึกว่าจะออกแนวคลินิก เยอะจังค่ะ ^ o^ จากคุณ : หมูน้อยอ้วนกลม - [ 12 ธ.ค. 50 19:23:17 ]