ความคิดเห็นที่ 1 จำความได้ว่าตั้งแต่ ป.5 – ม.6 มายด์แทบจะไม่รู้จักคำว่าหิวและอิ่ม เพราะมายด์สามารถกินได้เรื่อยๆ ไม่รู้จักอิ่ม และการกินแต่ละครั้งจะเป็นความอยากอย่างเดียวล้วนๆ ไม่เคยมีความหิวแต่อย่างใด ในช่วงนั้นจะกลัวการชั่งน้ำหนักเอามากๆ (ไม่กล้ายอมรับความจิง) ตอนเรียน ม.ปลาย มีเพื่อนผู้หญิงในห้องรวมมายด์ด้วยก็ 6 คน มีมายด์คนเดียวที่เป็นลูกหมูขี้เหร่  เพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆก็จะหุ่นดีกันทุกคน เวลาเค้าคุยกันเรื่องน้ำหนักมันจะกลายเป็นเรื่องแสลงแทงใจดำทุกทีไป และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นในการคิดลดน้ำหนักครั้งแรก (แต่ก็ได้แค่คิดค่ะ) เริ่มไปแอบชั่งน้ำหนักจนทำให้ตกใจเพราะเข็มตาชั่งชี้ไปที่ 78 Kg โอ้พระเจ้า...ซึ่งเพื่อนสาวคนอื่นๆหนักกันแค่ 45 – 55 ไม่เกินนี้ ก็ลองคิดสภาพของมายด์ตอนนั้นเถอะค่ะ ตอนจบม.6 น้ำหนักมายด์ก็ยังคงอยู่ที่เดิม คือ 78 Kg แต่พอเข้ามหาลัยเนี่ยแหละถึงทำให้เริ่มลดน้ำหนักแบบจิงจัง เพราะเริ่มเป็นสาว และสังคมก็กว้างขึ้นได้เห็นอะไรใหม่ๆ เพื่อนสาวคนอื่นๆเค้าก็แบบรักสวยรักงาม เสริมนี่แต่งนั้นกัน  ครั้งนี้นี่เองที่มายด์เริ่มจะลดน้ำหนักแบบจิงๆจังๆ และเหตุผลสำคัญเลยคือตอนไปซื้อชุดนักศึกษาไซส์ก็หายาก ราคามันก็สูงกว่าเป็นเท่าตัว ก็เลยคิดว่าแล้วทำไมฉันต้องจ่ายแพงกว่าคนอื่นๆด้วยนะ แต่การลดน้ำหนักครั้งแรกนี้ขอบอกก่อนเลยว่ามันเป็นการลดที่ผิด คือมายด์เน้นที่ตัวเลขบนตาชั่งเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คำนึงถึงสุขภาพเอาซะเลย จะทำยังไงก็ได้ขอให้น้ำหนักลด และผอมเป็นพอ ก็เลยใช้วิธีอดอาหารเอาอย่างเดียว ไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย (เพราะเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายเป็นอย่างมาก) ยอมรับว่าตอนนั้นเหมือนโรคจิตเอามากถ้าแบบวันไหนกินไรเข้าไปจะเริ่มวิตกกังวลและว่าน้ำหนักจะขึ้น แล้วจะกินยาระบายก็พึ่งยาระบายมานานเกือบปี คือจะติดเอามาก กินแล้วถ่ายก็จะคิดว่าเนี่ยเราผอมลงแล้ว ทำวิธีนี้ก็ไม่นานนักประมาณ 5 – 6 เดือนน้ำหนักก็ลงมาจาก 78 มาอยู่ที่ 55 ก็ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจ แต่น้ำหนักในครั้งนี้มันก็อยู่กับมายด์ได้ไม่นานนัก เพราะหลังจากได้น้ำหนักตามที่ตั้งเป้าแล้วมายด์ก็กลับมากินเหมือนเดิม แล้วความที่เราอดอาหารมาระยะนึง มันก็เหมือนคนเก็บกดพอถึงเวลาที่ได้กินมันก็ระเบิดจนเบรคการกินของตัวเองไม่ได้ ทีนี้ก็กลายเป็นกินไม่หยุดจนเวลาผ่านไป 1 ปีน้ำหนักมายด์ก็เด้งขึ้นมาเรื่อย แล้วก็เพิ่มๆลดๆอยู่แบบนั้นเป็นเวลาหลายปีอยู่ จากคุณ : P.sek - [ 12 พ.ย. 50 08:54:18 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จนวันนึงมาชั่งน้ำหนักอยู่ที่ 74 Kg จนทำให้เกิดอาการตกใจสุดขีดว่าน้ำหนักจะกลับไปเท่าเดิมแล้วหรอ และครั้งนี้เองที่ทำให้มายด์กลับมาเริ่มลดน้ำหนักอีกครั้งอย่างจิงจัง พอดีได้รู้จักกับน้องคนนึงชื่อ น้องสา ก็ได้แนะนำให้มายด์รู้จักกับ Web Siamfitness.com จึงเป็นจุดเปลี่ยนในการลดน้ำหนักของมายด์ เพราะการลดครั้งนี้มายด์หันมาใส่ใจกับสุขภาพมากกว่าตัวเลขบนตาชั่ง หลังจากที่ได้รู้จักกับ Web Siamfitness มายด์ก็เริ่มศึกษาข้อมูลวิธีการลดน้ำหนักแบบถูกวิธีและปลอดภัย ได้เข้าไปอ่านไดอารี่ลดน้ำหนักของหลายๆคน และก็เข้าไปอ่าน Success Story จนทำให้มีแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้ง และการลดน้ำหนักของมายด์ในครั้งนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก พี่หมวย “ SweetCake “ นี่เอง พอได้อ่านประสบการณ์ลดน้ำหนักของพี่หมวยรวมถึงรูป Before และ After บอกได้คำเดียวว่าทึ่งมากๆ และนั้นก็กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการลดที่จิงจัง และยิ่งใหญ่ หลังจากศึกษาข้อมูลได้สักระยะมายด์ก็เริ่มเขียนไดอารี่ลดน้ำหนัก เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2549 เป็นต้นมา ซึ่งบอกตามตรงว่าช่วงแรกก็ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการเขียนไดอารี่เท่าไหร่นัก แต่ก็ทำๆไปจะได้อินเทรนตามกระแส แต่พอเริ่มเขียนได้แค่ไม่กี่วันเริ่มเห็นความสำคัญของการเขียนไดอารี่มากๆ เพราะในการเขียนไดอารี่จะได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ และก็ยังได้คำแนะนำอีกมากมาย ที่สำคัญที่สุดเลยคงหนี้ไม่พ้นเรื่องกำลังใจ ตามความคิดของมายด์กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากๆสำหรับการลดน้ำหนัก และอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับคือความอบอุ่นที่ทุกๆคนมอบให้ตั้งแต่วันแรกที่มายด์เริ่มเขียนไดอารี่ทั้งๆที่ยังไม่มีใครรู้จัก จนกระทั้งวันนี้ความรู้สึกนั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทุกคนเหมือนญาติพี่น้อง เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน จากคุณ : P.sek - [ 12 พ.ย. 50 08:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ก้าวแรกของมายด์ในการเริ่มลดน้ำหนักครั้งนี้ก็เริ่มจากการปรับเปลี่ยนทัศนะคติ และพฤติกรรม ทั้งเรื่องอาหารการกิน และการออกกำลังกาย เริ่มมองถึงสัจธรรมความเป็นจริงว่าการลดน้ำหนักต้องอาศัยเวลา ห้ามใจร้อน เพราะต้องยอมรับว่าเรากินเข้าไปสะสมอยู่ในตัวตั้งกี่สิบปี และจะให้มาลดได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืน หรืออึดใจเดียวมันคงเป็นไปไม่ได้ ความเพียร พยายาม อดทนก็สำคัญไม่น้อย และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องของจิตใจที่เข้มแข็ง และมุ่งมั่น ซึ่งจากผู้หญิงคนนึงที่ไม่เคยจะชอบการออกกำลังกายเอามากๆ เพราะนอกจากวิชาพละที่ได้พอออกกำลังกายนิดๆหน่อยๆแล้วที่เหลือก็เรียกได้ว่าแทบไม่เคยออกเลยดีกว่า เพราะแต่ก่อนเข้าใจว่าการลดน้ำหนักสำคัญที่การควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว จนได้เข้าไปอ่านไดอารี่ลดน้ำหนักของพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ใน Web SiamFitness ไม่ว่าจะแวะเข้าไปอ่านที่ไดอารี่ของใครส่วนใหญ่ทุกคนก็ออกกำลังกายกันทั้งนั้น ก็เลยทำให้มายด์เริ่มปรับเปลี่ยนทัศนะคติซะใหม่ เริ่มเห็นความสำคัญของการออกกำลังกายว่ามันมีผลแค่ไหนกับการลดน้ำหนัก ร่วมถึงการกิน และออกกำลังกายที่ต้องสมดุลสอดคล้องกันด้วย ในช่วงแรกหลังการเริ่มปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างมายด์ก็ลดน้ำหนักโดย การควบคุมชนิดอาหาร     - ลดและเลี่ยงแป้ง                        - ลดปริมาณน้ำตาล ของหวาน น้ำหวาน เลิกกินน้ำอัดลม                        - หลีกเลี่ยงของมันของทอดทั้งหลาย                        - เลี่ยงอาหารที่แคลอรี่สูงๆ                        - หันไปเน้นอาหารประเภทโปรตีน และผักผลไม้ การควบคุมปริมาณ   อาหาร      - กินพอแต่อิ่ม พอดี - กินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน การออกกำลังกาย             - หากิจกรรมที่ให้ได้เคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอดทั้งวัน                        - พยายามใช้การเดินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นการขึ้นลงบันได เล่นกีฬาที่เราชอบ สนใจ และสนุกที่ได้เล่น จะได้ไม่เบื่อ หรือรู้สึกฝืน การออกกำลังกายทำได้สารพัดวิธี ไม่ใช่มีแต่การเข้าฟิตเนสเพียงอย่างเดียว มายด์เริ่มจากการเดินเร็วๆ และเพิ่ม เป็นวิ่งสลับกับเดินเร็ว ซึ่งมันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร สามารถออกกำลังกายคนเดียวก็ได้ สะดวกสบาย ปรtหยัดเวลา หลังจากนั้นก็เต้นแอโรบิคบ้าง ยกดัมเบลบ้าง เข้าฟิตเนสบ้าง ตีแบดบ้าง และรวมถึงว่ายน้ำบ้างเป็นครั้งคราว มายด์จะไม่เล่นอะไรอย่างเดียวไปเรื่อยๆ เพราะจะเป็นคนขี้เบื่อก็เลยต้องสลับสับเปลี่ยนกันไปมาตามโอกาสเอื้ออำนวย        ควบคุมช่วงแรกจาก 21 ธ.ค. 49 – สิ้นเดือน มี.ค. 50 น้ำหนักก็ลงไปเกือบๆ 10 โล ในช่วงที่2 นี้เองมายด์ได้เริ่มทำ Fast – 5 โดยคำแนะนำของพี่หมวยอีกแล้ว มายด์เริ่มทำวันที่ 4 เม.ย. 50 ด้วยวิธีหักดิบแบบไม่ได้ทันตั้งเนื้อตั้งตัว จำได้ว่าวันแรกของการทำพี่หมวยมาแนะนำให้รู้จักพร้อมกับอธิบายว่า Fast – 5 คืออะไร ก็ได้ศึกษาข้อมูลในทันที พอดีวันนั้นยังไม่ได้กินอะไรก็เลยเริ่มต้นมันซะเลย ช่วงแรกมายด์เลือก EW หรือ ช่วงเวลากินตอน 13.00 – 19.00 แล้วก็เลื่อนมาเป็น 12.00 – 18.00 จนในที่สุดลงตัวที่ EW 11.00 – 16.00 เพราะเข้ากับไลฟสไตล์ของตัวเองมากที่สุด เนื่องจากมายด์เป็นคนอ่านหนังสือ และนอนดึกทุกคืนก็จะตื่นสายๆ ถ้าจะมาให้เลือกเวลาตั้งแต่เช้าๆคงไม่ไหว ตื่นมาก็คงเลยเวลากินไปแล้วแน่ๆ        จากวันแรกที่เริ่มทำ Fast – 5 คือวันที่ 4 เม.ย. 50 จนกระทั้งตอนนี้รวมๆเวลาก็ประมาณ 7 เดือนได้แล้ว ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าถึงมายด์จะทำ Fast – 5 มานานพอสมควรแต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญข้อมูลอะไรเท่าไหร่ พวกทฤษฎีหลักวิชาการต่างๆจะไม่ค่อยถูกกับมายด์นัก เพราะมายด์จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Fast – 5 ง่ายๆ ก์คือ การที่เรามีช่วงเวลากินได้ 5 ชั่วโมง : 1 วัน ส่วนที่เหลืออีก 19 ชั่วโมงก็จะกินได้แต่ของที่ไม่มีแคลอรี่เท่านั้น เพราะเค้าบอกว่าในช่วง 19 ชั่วโมงนี้แหละที่ร่างกายเรามันจะดึงไขมันที่สะสมเก่าๆของเราเอามาเผาผลาญ ในส่วนของ 5 ชั่วโมงแต่ละคนก็สามารถเลือกช่วงเวลาได้ตามสะดวก ให้ตรงกับไลฟสไตล์ของแต่ละคน จากคุณ : P.sek - [ 12 พ.ย. 50 08:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จำได้ว่าช่วงแรกๆก็มีคนต่อต้าน Fast – 5 อยู่พอสมควร พอเราบอกว่าก็คือการกิน 5 ชั่วโมง อด 19 ชั่วโมง ก็จะมองว่ามันดุทรมานจัง และก็อาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ แต่สำหรับมายด์ในตอนนั้นบอกตามตรงว่าอยากลองของใหม่ และคิดว่าลองดูซักหน่อยก็ไม่น่าเสียหายอะไร เพราะถ้าเรามาลองคิดๆดู Fast – 5 ก็คล้ายๆไลฟสไตล์ของพระภิกษุสงฆ์ทั่วไป เวลาการกินก็ไม่ได้มากน้อยไปกว่ากันเลย จะต่างก็ช่วงเวลาที่เลือกกิน เราก็ยังเห็นพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายปฎิบัติได้โดยไม่มีปัญหา และไม่มีอันตราย หรือผลข้างเคียงแต่อย่างไร ยังคงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ        ในความคิดความเข้าใจง่ายๆของมายด์ Fast – 5 จะเคร่งครัดเรื่องเวลาเป็นสำคัญแค่นั้น แต่เรื่องของปรเภท และปริมาณอาหารจะฟรีสไตล์ มันก็เลยทำให้มายด์มีความสุขในการลดน้ำหนัก ไม่รู้สึกเก็บกด หรือกดดัน จะกินไรก็สามารถกินได้ และนี้เองก็คือข้อดีของ Fast – 5 ในความคิดของมายด์        มายด์เริ่มทำ Fast – 5 ในช่วง 2 วันแรกจะมีอาการ คือกินอะไรก็จะอาเจียน และมืนๆหัว เป็นแบบนี้อยู่ 2 วันซึ่งคาดว่าคงเป็นช่วงการปรับตัว แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอาการใดๆจนมาถึงวันนี้ แต่อาการแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นกันทุกคนนะคะ เพราะพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ส่วนใหญ่ที่ทำก็ไม่มีใครเป็นแบบมายด์        การเริ่มต้นช่วงแรกกับ Fast – 5 ต้องบอกก่อนเลยว่าต้องมีความอดทนมากเป็นพิเศษ เพราะเราไม่เคยชินยังไม่คุ้นกับการกินได้แค่ 5 ชั่วโมง มันก็จะทรมานเอาการค่ะ แต่รับรองว่าถ้าตั้งใจจิงยังไงซะก็ผ่านไปได้ไม่ยากเย็นจนเกินไป และข้อดีอีกข้อของ Fast – 5 ก็คือเป็นการลดปริมาณการกินของเราไปเองโดยปริยาย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า กระเพาะอาหารคงหดตัวเล็กลง เราก็จะกินน้อยลงอิ่มเร็วขึ้น        น้ำหนักของมายด์ในช่วงที่เริ่มทำ Fast – 5 น้ำหนักลดไป 11 Kg จาก 64 ก็ลงไป 53 ในเวลา 4 เดือน คือตั้งแต่ ต้นเดือน เม.ย. – ก.ค. 50 แล้วช่วง 3 เดือนหลังมานี้ก็คงที่บวกลบก็ไม่เกิน 2 Kg ที่ช่วง 3 เดือนหลังมานี้น้ำหนักคงที่ก็เพราะหลายอย่างเลย เป็นช่วงที่สอบก็เพิ่มปริมาณอาหารมากกว่าปกติ แล้วก็พักผ่อนน้อย รวมถึงหลุด Fast – 5 อยู่หลายครั้ง ก็เลยทำให้น้ำหนักในช่วงหลังนี้นิ่งๆไม่ลด จน ณ ตอนนี้มายด์ก็คงทำ Fast – 5 อยู่เหมือนเดิม และคิดไว้ว่าคงจะทำไปอีกซักระยะหนึ่ง เมื่อน้ำหนักคงที่แล้วจึงจะค่อยออก แต่ถึงจะออก Fast – 5 ยังไงมายด์ก็ยังคงจะควบคุมและดูแลเรื่องอาหารการกินกับการออกกำลังกายเหมือนเดิมทุกประการ ก็จะทำตลอดไป ข้อคิดเตือนใจจากมายด์ สำหรับคนที่คิดจะทำ Fast – 5 ต้องบอกก่อนเลยว่า Fast – 5 ก็ไม่ได้เหมาะกับคนทุกๆคนเสมอไป เพราะในบางคนทำแล้วน้ำหนักก็ไม่ลด และอีกประการหนึ่งที่อยากจะบอกมากๆก็คือ Fast – 5  ไม่ใช่พระเจ้า หรือสูตรสำเร็จตายตัวว่าทุกคนทำแล้วน้ำหนักจะต้องลดเหมือนๆกัน เพราะการลดน้ำหนักจะลดมากหรือน้อยมันก็มีปัจจัยและตัวแปรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ อายุ ระบบเผาผลาญ การขับถ่าย ชนิดประเภทอาหาร ปริมาณอาหารที่เรากิน และเรื่องของการออกกำลังกายก็เป็นตัวแปรที่สำคัญ คือต้องเข้าใจด้วยว่าทำเหมือนๆกัน แต่ทำไมน้ำหนักลดไม่เท่ากัน ก็เพราะแต่ละคนมีปัจจัยมีตัวแปรทั้งหลายที่กล่าวมาแตกต่างกันออกไป       มายด์เชื่อว่าทุกคนก็รู้เหมือนกันหมดแหละว่าทำยังไงถึงจะลดน้ำหนักได้มันไม่ใช่เรื่องยากไรเลย แต่ที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้เพราะไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น ไม่อดทน ไม่มีสติ ไม่ตั้งใจจิง ยอมแพ้อะไรง่ายๆ        โดยส่วนตัวแล้วมายด์เริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้ตัวเองอย่างชัดเจน แล้วก็สร้างศรัทธาในตัวเองเชื่อมั่นว่าสักวันมายด์ต้องทำสำเร็จ พร้อมๆกันสร้างกำลังใจให้ตัวเอง แล้วลงมือทำในสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้ อดทนและมีความพยายาม อย่าท้อถอย และมายด์ก็คิดอยู่ทุกครั้งว่าไม่มีอะไรได้มาโดยง่ายดาย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องลงทุนทั้งนั้น        หลายๆคนคงพอจะรู้ว่าแรงบันดาลใจ หรือเป้าหมายการลดน้ำหนักของมายด์ในตอนแรกว่าเพราะอะไร ก็คือการลดน้ำหนักเพื่อฉลองครบรอบที่คบกันมา 5 ปี จะทำให้แฟนได้ภูมิใจ แต่พอมายด์ลดน้ำหนักมาได้แค่ 3 เดือนมันก็มีเหตุให้ต้องเลิกลากับแฟน ถึงแรงบันดาลใจ และเป้าหมายการลดน้ำหนักของมายด์ในครั้งนี้จะเปลี่ยนไป  แต่อุดมการณ์การลดน้ำหนักของมายด์ไม่เคยเปลี่ยนตาม การอกหักก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ทำให้มายด์เลิกล้มการลดน้ำหนัก ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ  มายด์เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่ตัวเราเป็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่าเราจะหยิบมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์หรือเปล่าแค่นั้นเอง สำหรับการอกหักของมายด์ในครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เสียใจนะ แต่มายด์ก็เอาความเสียใจครั้งนี้มาเป็นแรงผลักดันเป็นแรงฮึดหยิบมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แทนที่จะมานั่งร้องไห้ฟูมฟายปล่อยเวลาทิ้งไปวันๆ ก็คงเป็นแบบที่แม่ได้ปลอบตอนอกหัก แม่บอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องรักตัวเองให้มากๆ ทำตัวเองให้ดีที่สุด ยังไงซะชีวิตเราก็คงต้องทำเนินต่อไป        ถึงอยากจะบอกทุกๆคนที่กำลังคิดจะลด หรือกำลังลดอยู่แต่ยังไม่สำเร็จ หรือใครๆก็ตาม จะลดด้วย Fast – 5 หรือวิธีอื่นๆ ไม่ว่าแรงบันดาลใจเป้าหมาย จะแตกต่างหรือเปลี่ยนแปลงไปยังไง แต่ถ้าอุดมการณ์ยังเหมือนเดิมรับรองว่าทุกคนต้องทำสำเร็จได้โดยไม่ยากเย็น ยังไงก็แล้วแต่มายด์ก็ของเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนนะคะ ขอให้อดทน พยายาม มีสติและสู้ต่อไป จงจำไว้ว่าไม่มีอะไรได้มาโดยง่ายดาย        ถ้าใครสนใจเกี่ยวกับ Fast – 5 ก็สามารถเข้าไปดูของมูลได้ที่ www.siamfitness.com นะคะ หรือถ้าอยากจะมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันก็มาคุยกันมายด์ได้เสมอ ยินดีมากๆค่ะ จากคุณ : P.sek - [ 12 พ.ย. 50 08:56:41 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ที่อยากจะบอกว่าขอบคุณมากๆค่ะ        ขอบคุณ พ่อ แม่ พี่ชาย และน้องสาว ตลอดจนคนในครอบครัวที่อยู่เคียงข้าง ให้กำลังใจมาตลอดเวลา        ขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ใน Web SiamFitness ทุกๆคนสำหรับคำแนะนำ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ตลอดจนการหยิบยื่นมิตรภาพแสนอบอุ่น และกำลังใจที่ไม่เคยขาดหาย        ขอบคุณ พี่หมวย SweetCake ที่เป็นแรงบันดาลใจอันสำคัญของมายด์ คำแนะนำทุกๆเรื่อง รวมถึงกำลังใจที่มีให้ตลอด        สำคัญที่สุด ขอบคุณ พี่เสก Webmaster SiamFitness ที่ทำ Web ดีๆที่มีประโยชน์สำหรับทุกๆคน รวมถึงเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนประสบการณ์ คำแนะนำ ความรู้ต่างๆนานา ทำให้มายด์ได้มาเจอกับทุกๆคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันจนทำให้มายด์เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดนี้          สุดท้ายนี้ที่มายด์เขียนมาทั้งหมดก็ไม่ได้ต้องการอวดโอ้ว่าตัวเองเก่ง วิเศษ หรือดีกว่าคนอื่นๆแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการส่งต่อกำลังใจให้กับทุกๆคน เหมือนที่ครั้งนึงมายด์เคยได้รับจาก Web Siamfitness ค่ะ        PS. ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการลดน้ำหนัก และหุ่นดีแบบมีสุขภาพจงเกิดกับทุกๆคน จากคุณ : P.sek - [ 12 พ.ย. 50 08:57:19 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีนะคะ เพราะฉะนั้น...เราต้องสู้.... จากคุณ : น้องหนาว (^=น้องหนาว=^) - [ 12 พ.ย. 50 09:26:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบบคุณนะค่ะ ที่เข้ามาตั้งกระทู้นี้ อ่านแล้วรู้สึกฮึดสู้ขึ้นเยอะเลยค่ะ (เพราะเราก็หุ่นคล้ายกัน ตอนเด็กเราผอมมาก แต่พอขึ้นปวส.กินเก่งไปหน่อย) ตอนนี้เราหนัก 60 ค่ะ สูง 165 อยากลดมากๆ เมื่อก่อนหนักแค่ 48 อยากถามนิดนึงนะค่ะ F5 นี่มันมีผลกับคนที่เป็นโรคกระเพาะมั้ยค่ะ คือเราเป็นอยู่น่ะค่ะ แล้วเลือกกินเวลาไหนภายใน 5 ชั่วโมงก็ได้หรือค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ จากคุณ : คนเคยผอม (หมูน้อยหัวใจดุ๊กดิ๊ก) - [ 12 พ.ย. 50 14:01:40 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เก่งมาก มะไหร่เราจะลดได้ตามเป้าม่างงง จากคุณ : Chocolate Junkie - [ 12 พ.ย. 50 15:16:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณหมูน้อย  F5ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคกระเพาะค่ะ  เหมาะกับคนที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและโตเต็มที่แล้วเท่านั้นค่ะ  ถ้ามีปัญหาสุขภาพลองหาสูตรที่เหมาะกับตัวเองดูนะคะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 12 พ.ย. 50 15:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 โอ้ จริงหรือค่ะ คุณกุนซือฯ แย่แล้วเรา อุตส่าห์ฮึดสู้ ว้าแย่จัง แล้วถ้าเราจะเพิ่มเป็น F6 (แอบเพิ่มเอง) ได้มั้ยอ่ะค่ะ แหะๆ คือเราอยากเข้าไปดูสูตรลดน.น.ใน blog มากเลยค่ะ (แต่เน็ตที่ทำงานมันบล็อคเข้าไม่ได้ง่ะ ฮือๆ T_T ที่หอก็ไม่มี net เศร้าจัง) จากคุณ : อนิจจาเกิดมามีกรรม (หมูน้อยหัวใจดุ๊กดิ๊ก) - [ 12 พ.ย. 50 17:58:56 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบพระคุณพี่เสกมากนะครับ ที่เอาบทความดีๆ มาให้อ่าน และเป็นคนที่ประสบผลสำเร็จโดยการทำ Fast-5 อีกด้วย ผมอ่านจนจบและสิ่งที่ผมคิดว่า น่าจะได้ประโยชน์จากที่อ่านจากบทความของน้องมายด์สำหรับตัวผมก็คือ - ระยะเริ่มต้น น้องมายด์ ใช้วิธี ลดและเลี่ยงแป้ง, ลดปริมาณน้ำตาล ของหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม, หลีกเลี่ยงของทอดของมัน ของแคลอรี่สูงๆ หันไปเน้นโปรตีน และผักผลไม้ กินพอแต่อิ่ม พอดี และออกกำลังกาย ไม่ว่า จะเดินขึ้น-ลงบันได หรือเล่นกีฬาที่ไม่น่าเบื่อ **** น้ำหนักน้องเขาลดลงเกือบ 10 ก.ก. ***** - ระยะที่ 2 น้องเขาเลือกใช้ Fast-5 (โดยมีพี่ๆ คอยแนะนำ) แต่น้องเขาเลือกที่จะ "หักดิบ" ช่วง 2 วันแรก ก็กินอะไรและก็อาเจียน (เหมือนผมเลย -__-') แต่ก็ผ่านช่วงนั้นมาได้ด้วยดี *** น้ำหนักของน้องเขาก็ลดลงอีก 11 ก.ก. **** -  สิ่งที่น้องเขาเลือกใช้ Fast-5 ข้อหนึ่งคือ มีไลฟ์สไตร์เหมือนพระภิกษุสงฆ์ทั่วไป (คือทานไม่เกินเพล ทุกวันนี้เวลามีคนมาถามผมเรื่องลดน้ำหนักได้อย่างไร ผมบอกเสมอว่า ทานแค่มื้อเช้ากับมื้อกลางวันเท่านั้น ถ้าเป็นมื้ออื่น จะไม่ทานอะไร นอกจากน้ำเปล่าสะอาด และถ้าออกกำลังกายด้วย ก็ยิ่งดี) - การลดน้ำหนักต้องอาศัยเวลา ห้ามใจร้อน - Fast-5 ไม่ได้เหมาะกับคนทุกคนเสมอไป เพราะในบางคนทำแล้ว ไม่ลดน้ำหนัก (บางคนอาจจะน้ำหนักเพิ่ม) - Fast-5 ไม่ใช่พระเจ้า (ก็แหงอยู่แล้ว) เพราะการลดน้ำหนักต้องอาศัยปัจจัยและตัวแปรอื่นๆ อาทิ เพศ อายุ ระบบการเผาผลาญ การขับถ่าย ชนิดของอาหาร ปริมาณอาหาร และการออกกำลังกาย เป็นต้น - ความศรัทธาในตัวเอง คิดว่าตัวเองจะสามารถประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักสักวัน - มีแรงบันดาลใจและอุดมการณ์เหมือนเดิม ทำให้ประสบความสำเร็จโดยไม่ยากเย็น - ขอให้มีความพยายาม อดทน และมีสติ เป็นบทความที่ดีมากๆ เลยครับ ผมขออนุญาตไปเผยแพร่ต่อนะครับ จะให้เครดิตกับทางเว็บด้วยครับ จากคุณ : Christian Chang - [ 12 พ.ย. 50 18:06:12 ]

ความคิดเห็นที่ 12 วัตถุประสงค์ของบทความไม่ได้มาเชียร์ให้ใช้วิธี fast-5 นะครับ เพียงแต่ประสบการณ์ลดน้ำหนักของน้องมายด์ก็ด้วย fast-5 ครับ แต่หากจะย้อนกลับไปดู success story ของ siamfitness เรามีคนประสบความสำเร็จจากการกิน balance diet เยอะมาก หรือแม้แต่แอตกิ้น south beach ก็ยังมี พี่กลับมองว่า Balance diet สามารถถือได้ว่าเป็น The Best แต่หากใครไม่สามารถปฏิบัติได้ (หลายๆคนก็ทำ Balance ไม่ได้ แต่ประสบความสำเร็จจาก fast-5) ก็อาจจะถือเอาว่า Fast-5 เป็น The second best ได้หรือเปล่า เหมือนเราหาคนสวยที่สุดเป็นแฟนไม่ได้ ก็เอาคนที่สวยน้อยกว่ามาเป็นแฟน เพราะหากเลือกมาก อาจจะไม่ได้แฟนเลยก็ได้ (เลยต้องโสดสนิท ศิษย์ส่ายหน้า อย่างพี่ไง ฮือฮือ) (หรือแม้กระทั่งการกำหนดอะไรเป็น the best one ก็ยังเป็นปัญหา อยากคนสวยที่สุดของพี่ แต่อาจจะเป็นคนไม่ค่อยสวยในสายตาของคนอื่น) (ปล. คนที่ลดด้วยวิธีอื่นๆ เช่นพวกสูตรพร่องแป้งทั้งหลาย ที่หลายๆคนว่าอันตรายนั้น ก็อีกเช่นกันว่า แล้วแต่จะเอาเหตุผลข้างไหนมายืนยัน เพราะฝั่งทางพวกพร่องแป้ง ก็มีงานวิจัยพบว่า กลับทำให้ไขมันในเส้นเลือดลดลง ความดันลดลง ก็มี) เห็นไหมว่า มันยังหา fact ที่ทุกคนยอมรับ แบบโลกกลมไม่ได้ แล้วแต่ว่าเราจะชมส่วนไหนของช้าง มองข้างหน้าก็มองได้แบบหนึ่ง มองข้างๆก็ได้แบบหนึ่ง มองข้างหลังก็ได้แบบหนึ่ง เอาง่ายๆประเด็นว่า พระ ก็กิน fast-5 นะไม่เห็นเป็นไรเลย หากเรามองต่างมุม ก็มองได้ว่า (1) ถึงพระจะกินสองมื้อ หรือมื้อเดียว แต่พระดื่มน้ำปานะได้ พวกโอวัลติน นมั่วเหลือง พวกนี้มีแคลอรีนะครับ (จากประสบการณ์ที่เคยบวช ก็อาศัยน้ำปานะนี้แหละครับประทังหิว) (2) และพระก็ไม่ได้ผอมทุกคน มาอีกมุมมองก็อาจจะมองว่า (1) เห็นไหม พระดื่มน้ำปานะมีแคลอรี ทำให้พระบางคนยังอ้วนอยู่ ไม่ได้แปลว่า fast-5 ล้มเหลว (2) พวกที่เชื่อเรื่องการออกกำลังกายอาจจะมองว่า ที่พระบางคนยังอ้วนทั้งๆที่กินสองมื้อ เพราะพระไม่ได้ออกกำลังกาย เห็นไหมครับว่า ความแตกต่างทำให้เราคิดได้หลายมุม พี่เป็นอาจารย์เอง ก็ไม่ได้สอนให้ลูกศิษย์สรุปอะไรง่ายๆ ก็ให้ช่วยกันคิด ช่วยกันให้เหตุผล แล้วก็เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กัน เพื่อนทำงานบางคนเถียงกันจะตาย พอเลิกงาน ก็ชวนไปกินข้าวกัน ไม่งั้นโลกนี้มีสีเดียว มันจะสวยได้ไงจริงไหม แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 50 19:22:00 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 50 19:13:48 จากคุณ : P.sek - [ 12 พ.ย. 50 18:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ทักทายๆ พี่เสกค่ะ น้องมายด์เขาลดน้ำหนักได้เก่งมากๆเลย ชื่นชมๆ จากคุณ : la-la-bell - [ 12 พ.ย. 50 19:07:12 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เชียร์ Fast-5 อย่างออกนอกหน้า เนื่องจากตอนนี้มีความคิดที่จะรับผิดชอบต่อสังคม ก็คือ ถ้าแนะนำไปแล้ว เขาเอาไปปฏิบัติตาม แม้ว่าเขาจะทำ fast-5 แบบหักดิบ (ผิดวิธี) หรือศึกษาถูกวิธีแล้วแต่น้ำหนักเพิ่ม ยิ่ง Fast-5 เป็นที่โด่งดังและนิยมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ต้องมีคนที่ให้คำปรึกษามากขึ้น และคำถามที่เจอเกือบทุกวัน คือ fast-5 คืออะไร เหมือนกับว่า เป็นกระแสนิยม อยากปฏิบัติ แต่ก็ไม่ได้ศึกษาด้วยตนเอง ดังนั้นทุกวันนี้ผมเลยบอกว่า ผมลดน้ำหนักได้ โดยการกินมื้อเช้า และมื้อกลางวันอย่างอิ่มเพียงพอให้อยู่ได้จนถึงเช้าของอีกวันหนึ่ง หิวก็ดื่มน้ำบ่อยๆ ดื่มทีละไม่เกินครึ่งแก้ว แต่ถ้าคนที่ผมแนะนำ เขาชอบที่ศึกษาหาความรู้เพิ่ม ผมก็อาจจะเสนอเกี่ยวกับ EW ช่วงเย็น 17.00-22.00 ก็ได้ ก็แล้วแต่กรณีไป จริงอย่างที่พี่เสกว่า ไม่มีวิธีไหนที่เฟอร์เฟ็ค สิ่งที่ผมคิดว่าหวังดีแล้วผลออกมาเลวร้าย ก็ไม่อยากให้เกิดกับใคร ถ้า Fast-5 ไม่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตของบางคน เช่น ต้องมีสังคมในการทานอาหารกับเพื่อนร่วมงานและครอบครัว, หรือทานแล้วอ้วนขึ้น  ฯลฯ ******************************************* ขออนุญาตยืมความเห็นคุณ Xoop มาอ้างอิงในที่นี่ครับว่า อย่าลืมว่า Fast-5 เป็นวิธีการลด+ควบคุมน้ำหนักในระยะยาวที่มี 5 ขั้นตอน ไม่ใช่สูตรอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนจี๋ 3 วัน 7 วันนะจ๊ะ มาดูขั้นตอนในการลด+ควบคุมน้ำหนักของ Fast-5 กันนะจ๊ะว่าใครอยู่ช่วงไหนกันบ้าง 1. Learning - ศึกษาขั้นตอนการทำ Fast-5 อย่างละเอียดให้เข้าใจมากที่สุดจากตำรา Fast-5 และจากประสบการณ์ของคนอื่นๆ ตามกระทู้ต่างๆ อย่าขี้เกียจอ่านกันล่ะ 2. Goal Setting - กำหนดเป้าหมายคือน้ำหนักที่เหมาะสมกับเรา 3. Adjustment - ช่วงฝึกหัดอดให้ได้ 19 ชั่วโมง ห้ามหักดิบนะจ๊ะ เพราะอันตราย ให้ค่อยๆ ทำตามวิธีที่บอกไว้ในตำรา ช่วงนี้ต้องใช้เวลามากหน่อย แล้วแต่คน และอย่าคาดหวังว่าจะเห็นได้เห็นน้ำหนักลดนะจ๊ะ บางคนน้ำหนักอาจจะขึ้นด้วย เพราะทานแหลกเนื่องจากความกดดันเรื่องอาหารมานาน อันนี้ก็ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกังวล เพราะมันจะค่อยๆ ลดลงเอง ขอให้อดทน มุ่งมั่นเข้าไว้ อันนี้ล่ะคือช่วงที่ยากที่สุดของ Fast-5 ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็สบายแล้ว 4. Active Loss - ประมาณ 2 อาทิตย์หลังจากที่เราอดได้แบบไร้แคลอรี่นานวันละ 19 ชั่วโมงแล้ว fat-burning mechanism ในตัวเราจะเริ่มทำงานอย่างต่อเนื่อง น้ำหนักจากไขมันส่วนเกินจะค่อยๆ ลดลงประมาณ 0.45 kg ต่ออาทิตย์ ประมาณ 22 kg ต่อปีเชียวนะจ๊ะ ถ้าออกกำลังกายด้วย ดูแลเรื่องอาหารด้วย เราว่าต้องลดได้มากกว่านี้แน่ๆ 5. Maintenance - พอน้ำหนักลดได้อย่างที่ต้องการแล้ว ก็ถึงขั้นตอนที่ต้องรักษามันเอาไว้ไปตลอดชีวิตเราแล้วล่ะ ช่วงนี้ใครจะพลิกแพลงดัดแปลง Fast-5 แบบกลับหัวกลับหางกันยังไงก็ตามสบายเลยจ้า เพราะเก่งๆ กันหมดแล้ว จะ fast แค่ 5 วันต่ออาทิตย์ก็ได้ จะขยาย eating window ก็ได้ ยังไงก็ได้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเราจ้าา ถ้ามันยังคุมน้ำหนักให้เท่าเดิมได้ ก็ทำกันไปเลยจ้า หรือใครจะ fast 19 ชั่วโมงทุกวันอย่างเดิมก็ได้จ้า จากคุณ : Xoop *************************** ที่ยกบทความนี้มา ก็คือ ยังไงจะคิดทำ fast-5 ก็ต้องศึกษาให้ถูกต้องครับ จากคุณ : Christian Chang - [ 12 พ.ย. 50 19:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เข้ามายินดีกับน้องสาวคนนี้ด้วยคนนะครับ (^_^) เรารู้จักกันมานานพอสมควรแล้ว ต้องบอกตามตรงว่า "ไม่รู้สึกเป็นห่วงน้องสาวคนนี้สักเท่าไหร่นัก" เพราะในความรู้สึกของผมแล้ว... "ถ้าการลดน้ำหนักเปรียบเสมือนการสร้างบ้าน ผมเชื่อว่า น้อง Mind ได้วางรากฐานของบ้านที่แข็งแรงมั่นคงไว้อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าน้อง Mind คิดจะต่อเติมบ้านขึ้นไป ด้วยความรู้และความพยายามที่น้อง Mind มี ผมเชื่อเหลือเกินว่า...น้องเค้าต้องทำได้อยู่แล้ว" แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมยังคงยืนยันว่า... สำหรับการแนะนำการลดน้ำหนักต่อสังคมและส่วนรวม..."Fast-5" ยังมีข้อเสียมากกว่าข้อดีมากมายนัก และเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยนะครับ ถ้าใครสักคนที่ตัดสินใจทำวิธีนี้แล้ว จะพบว่า "ทำแล้วหลุดเป็นครั้งที่ล้านแปด ,ทำแล้วไม่สำเร็จ ,ทำแล้วอ้วนขึ้น หรือทำแล้วรู้สึกท้อแท้ยิ่งกว่าเดิม!!!" ปล. ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ซักเล็กน้อยนะครับ สำหรับจังหวัดอุดรธานี และศรีสะเกษ หากท่านใดสนใจการบรรยายติดต่อหลังไมค์ได้นะครับ 27 พฤศจิกายน 2550 : บรรยายเรื่องสุขภาพที่ บ้านนาข่า รีสอร์ท จังหวัดอุดรธานี (โครงการของโรงพยาบาลอุดรธานี) 1 ธันวาคม 2550 : บรรยายเรื่องสุขภาพ 2 คน (กวิน&กระเจี๊ยบ) ที่จังหวัดศรีสะเกษ (โครงการของสาธารณสุข จ.ศรีสะเกษ) 10 ธันวาคม 2550 : สัมภาษณ์คอลัมน์ลดน้ำหนัก นิตยสาร Men Health ฉบับเดือนธันวาคม 2550 (วางแผงวันที่ 10 ธันวาคม 2550) แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 10:43:27 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 10:33:05 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 02:21:55 จากคุณ : พี่กวิน&มารน้อยจอมป่วน (Again-With-Love) - [ 13 พ.ย. 50 02:14:41 ]

ความคิดเห็นที่ 16 >>> พี่กลับมองว่า Balance diet สามารถถือได้ว่าเป็น The Best แต่หากใครไม่สามารถปฏิบัติได้ (หลายๆคนก็ทำ Balance ไม่ได้ แต่ประสบความสำเร็จจาก fast-5) ก็อาจจะถือเอาว่า Fast-5 เป็น The second best ได้หรือเปล่า ขออนุญาตแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้หน่อยนะคะ ถ้าคำว่า the best ของพี่หมายถึง เป็นเพียงแค่การลดความอ้วน อันนี้ก็ค่อนข้างเห็นด้วยนะคะ เพราะเราไม่ต้องทำตัวแตกต่างจากคนอื่น ทานวันละ 3 มื้อตามธรรมเนียมปฏิบัติ แถมยังลดความอ้วนได้ มันก็ดีค่ะ ไม่ต้องคอยตอบคำถาม ไม่ต้องโดนดูถูก โดนเย้ยหยันสารพัด เหมือนคนที่ทำ Fast-5, low-carb diets ละก็พวกสูตรอื่นๆ โดนกัน แต่ถ้าหมายถึง ใช้ balance diet (ทานอาหารตามตารางวันละ 3 มื้อ+คุมแคลอรี่) แล้วจะทำให้คนมีสุขภาพดีที่สุดล่ะก็ อันนี้เป็นการด่วนสรุปที่เร็วเกินไปหรือเปล่าคะ เพราะจริงๆ แล้วมันก็ยังไม่มีข้อสรุป เราคงต้องแยกระหว่าง "ธรรมเนียมปฏิบัติ" และ "ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์" ออกจากกันค่ะ แพทย์และนักโภชนาการในระดับผู้ปฏิบัติทั่วไปอาจจะรับรองหรือแนะนำว่า อาหาร 3 มื้อดีที่สุด แต่ถ้าเป็นในระดับงานวิจัยแล้ว มันยังสรุปไม่ได้ค่ะ เรื่องอาหาร 3 มื้อ น่าจะเป็นเพียงแค่ คำแนะนำที่วิทยาศาสตร์ในอดีตและในปัจจุบันสามารถให้คำตอบได้เท่านั้น แต่ยังไม่ใช่ข้อสรุป เพราะมีหลายเรื่องที่เราเชื่อว่ามันเป็นแบบนี้มานาน แต่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า มันไม่ใช่ ที่เราเชื่อๆ กันมานั้นมันไม่ถูกต้องอ่ะค่ะ เพราะจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่สามารถฟันธงลงไปได้ว่า การทานอาหารตามตารางวันละ 3 มื้อนั้น ดีที่สุดต่อสุขภาพของคนจริงค่ะ นายแพทย์ Bert Herring เจ้าของ Fast-5 ก็ยังเคยพูดว่า ตัวเค้าเองคิดว่า คงมีแพทย์ที่พร่ำบอกไปในทำนองที่ว่า "อาหารเช้าคือสิ่งสำคัญที่สุด (ในประเด็นที่เกี่ยวกับสมอง)" ไม่กี่คน จะสามารถหาหลักฐานเกี่ยวกับกลไกการทำลายเซลล์สมองที่เกิดจากการงดอาหารเช้า  อันนี้น่าจะเกิดจาก มีบางคนบอกว่า การงดอาหารเช้าแล้วจะทำให้สมองเสื่อมอะไรแบบนี้อ่ะค่ะ (เราเคยเห็นคนเอาเรื่องนี้มาเขียนลง blog อย่างเป็นเรื่องเป็นราวด้วยอ่ะ แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมาอ้างอิง) เลยทำให้มีหลายคนกลัว ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเรางดอาหารเช้า ก็ลองอ่านสิ่งที่นายแพทย์ Bert Herring เคยบอกไว้ตาม link นี้ค่ะ http://health.groups.yahoo.com/group/fast5/message/369   เรื่องอาหาร 3 มื้อ ก็ลองอ่านหัวของเปเปอร์ที่ออกมาในปี 2007 นี้เองดูซิคะ เค้าก็บอกแล้วว่า แม้ว่ารูปแบบการทานอาหารตามตารางวันละ 3 มื้อจะเป็นที่นิยมในประเทศที่มีความเจริญทางด้านอุตสาหกรรม แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่สามารถฟันธงลงไปได้ว่า การทานวันละ 3 มื้อดีที่สุดต่อสุขภาพของมนุษย์จริงค่ะ แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ กลับบอกว่า การลดจำนวนมื้ออาหารลง (หมายถึง Intermittent Fasting หรือ IF) ทำให้สัตว์ทดลองมีสุขภาพดีขึ้น มีร่างกายแข็งแร็งขึ้น ทำให้สัตว์มีอายุยืนขึ้นค่ะ แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่า IF ทำให้มนุษย์มีสุขภาพดีขึ้น มีอายุยืนขึ้นเหมือนในสัตว์ทดลองหรือเปล่านะคะ เพราะมนุษย์มีช่วงอายุที่ยาว ถ้าจะทดสอบจริงๆ มันก็ต้องทำกันตลอดชีวิต ซึ่งเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจะทำ ก็คงต้องทดลองกับคนที่ใช้ Fast-5 และ Calorie Restriction/Intermittent Fasting แบบอื่นๆ กันตลอดชีวิตค่ะ เราเคยโพสต์เรื่อง Calorie Restriction และ Intermittent Fasting ไว้ที่นี่ ใครยังไม่รู้ว่าสองอย่างนี้คึออะไรก็เข้าไปอ่านกันนะคะ http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5962724/L5962724.html A controlled trial of reduced meal frequency without caloric restriction in healthy, normal-weight, middle-aged adults. BACKGROUND: Although consumption of 3 meals/d is the most common pattern of eating in industrialized countries, a scientific rationale for this meal frequency with respect to optimal health is lacking. A diet with less meal frequency can improve the health and extend the lifespan of laboratory animals, but its effect on humans has never been tested. OBJECTIVE: A pilot study was conducted to establish the effects of a reduced-meal-frequency diet on health indicators in healthy, normal-weight adults. DESIGN: The study was a randomized crossover design with two 8-wk treatment periods. During the treatment periods, subjects consumed all of the calories needed for weight maintenance in either 3 meals/d or 1 meal/d. RESULTS: Subjects who completed the study maintained their body weight within 2 kg of their initial weight throughout the 6-mo period. There were no significant effects of meal frequency on heart rate, body temperature, or most of the blood variables measured. However, when consuming 1 meal/d, subjects had a significant increase in hunger; a significant modification of body composition, including reductions in fat mass; significant increases in blood pressure and in total, LDL-, and HDL-cholesterol concentrations; and a significant decrease in concentrations of cortisol. CONCLUSIONS: Normal-weight subjects are able to comply with a 1 meal/d diet. When meal frequency is decreased without a reduction in overall calorie intake, modest changes occur in body composition, some cardiovascular disease risk factors, and hematologic variables. Diurnal variations may affect outcomes. PMID: 17413096 [PubMed - indexed for MEDLINE] http://www.ncbi.nlm.nih.gov/sites/entrez?Db=pubmed&Cmd=ShowDetailView&TermToSearch=17413096&ordinalpos=2&itool=EntrezSystem2.PEntrez.Pubmed.Pubmed_ResultsPanel.Pubmed_RVDocSum แต่เปเปอร์นี้ไม่เกี่ยวกะ Fast-5 นะคะ เพราะจุดประสงค์ในการศึกษาของเค้าก็คือ ศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เมื่อให้คนทานอาหารวันละ 1 มื้อ โดยที่มีแคลอรี่เท่ากับที่เคยทานวันละ 3 มื้อ ซึ่งเค้าก็สรุปออกมาแล้วว่า คนสามารถทานอาหารวันละ 1 มื้อได้ค่ะ Fast-5 มีวิธีฝึกลดจำนวนมื้ออาหารอย่างเป็นขั้นเป็นตอนค่ะ ไม่ใช่ให้อยู่ดีๆ มาอดอาหารพรวดเดียว 19 ชั่วโมง และเมื่อใช้ไปนานๆ เราจะทานอาหารได้น้อยลง (ในหนังสือบอกว่าประมาณ 500 Kcal ต่อวัน) ทำให้ Fast-5 กลายเป็น Intermittent Fasting กึ่้ง Calorie Restriction ตัวนายแพทย์ Bert Herring เอง พร้อมด้วยคนที่ใช้ Fast-5 นานๆ หลายคนก็พบ biomarker หลายตัว เช่น หัวใจเต้นช้าลง อุณหภูมิของร่างกายลดลง ความดันลดลง การอักเสบลดลง ซึ่ง biomaker เหล่านี้ ก็น่าจะเป็นสัญญาณของสุขภาพที่ดีขึ้น ที่อาจทำให้มนุษย์มีอายุยืนขึ้น เหมือนกับที่เกิดกับสัตว์ทดลอง CR และ IF ค่ะ Fast-5 ไม่ได้ให้เราทานข้าววันละ 5 ชั่วโมง เวลาเดิมๆ ไปตลอดชีวิตนะคะ พอเราใช้ Fast-5 ไปได้สักพักนึงจนอยู่ตัวแล้ว หรือพอลดน้ำหนักได้แล้ว จนอยู่ในช่วง Maintenance แล้ว เราก็สามารถกลับมาทานวันละ 3 มื้อได้ สลับกับการทำ Fast-5 ในบางวัน วิธีใช้ Fast-5 ในช่วง Maintenance ก็มีเยอะแยะค่ะ แล้วแต่ใครจะคิดค้นวิธีใหม่ๆ กันเอง ตัวอย่างก็ตามนี้ค่ะ อีกหนึ่งแนวคิด อีกหนึ่งวิธีที่ใช้เล่นกับ eating window ในช่วง Maintenance http://fast5.thaifreebies.com/board/index.php?topic=379.0 ไม่ว่าจะเลือก EW ช่วงไหนก็ได้ผลเหมือนกันจริงเหรอคะ? http://fast5.thaifreebies.com/board/index.php?topic=665.msg6321#msg6321 เรื่องของ Fast-5 ในแง่วิทยาศาสตร์ก็ตามนี้เลยค่ะ ใครสนใจก็อ่านและศึกษากันเองนะคะ Intermittent Fasting, Calorie Restriction จำนวนมื้ออาหาร สุขภาพ และการมีอายุยืน http://fast5.thaifreebies.com/board/index.php?topic=334.0 การรับประทานใน pattern 5 ชม. เดิมๆ ทุกวันจะทำให้ metabolism ลดลงมั้ย http://fast5.thaifreebies.com/board/index.php?topic=492.0 เอ่อ.... อยากถามว่า การทำ Fast-5 เนี่ย เป็นการ ชลอวัย จริงไหมค่ะ http://fast5.thaifreebies.com/board/index.php?topic=100.0 แนะนำหนังสือ สำหรับชาว Fast-5 ที่อยากมีอายุยืน อยากหนุ่ม อยากสาวไปนานๆ http://fast5.thaifreebies.com/board/index.php?topic=659.0 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 08:59:34 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 08:56:36 จากคุณ : Xoop - [ 13 พ.ย. 50 08:09:41 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ คห.ที่15คะ อะไรคือข้อเสียของFast5 ที่บอกว่ามีมากกว่าข้อดี เดาเล่นๆนะคะ 1. จะทำให้คุณจัดสัมนาแล้วไม่มีใครสนใจ...รึป่าวคะ อิอิ ล้อเล่นน่ะค่ะ อยากทราบจริงๆพร้อมเหตุผลทางวิทยาศาตร์ด้วย "ไม่เอาการคาดคะเนนะคะ" คุณคห.ที่15ได้เคยลองทำFast5แล้วหรือยังคะ อ้อ คงไม่เคยแน่ๆใช่มั้ยคะ ถ้ามีผลเสียมากกว่าผลดีจริงๆ จะได้เลิกทำFast5ค่ะ ^^ บอกทีสิคะ ขอบคุณค่ะ อ้อ ขอคำตอบตรงประเด็นนะคะ ไม่เอาอ้อมโลก ไม่เอาค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 11:53:41 จากคุณ : KiChiKo - [ 13 พ.ย. 50 11:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 พี่กวินครับ ทำไมเปลี่ยนความเห็นหลายรอบจัง เมื่อเช้าอ่านแล้วอีกอย่าง กลับมาอ่านตอนนี้อีกอย่าง ตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกงงๆ พี่แล้วล่ะครับ จากคุณ : ไม่อยู่กับร่องกับรอย (Christian Chang) - [ 13 พ.ย. 50 12:10:51 ]

ความคิดเห็นที่ 19 และจากประโยคนี้ >>>และเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยนะครับ ถ้าใครสักคนที่ตัดสินใจทำวิธีนี้แล้ว จะพบว่า "ทำแล้วหลุดเป็นครั้งที่ล้านแปด ,ทำแล้วไม่สำเร็จ ,ทำแล้วอ้วนขึ้น หรือทำแล้วรู้สึกท้อแท้ยิ่งกว่าเดิม!!!"<<< ขอตอบจาก "ประสบการณ์ของคนที่ทำFast-5มาเกือบ4เดือนนะคะ" -ทำแล้วหลุดเป็นครั้งที่ล้านแปด << เคยหลุดค่ะ แต่ตั้งใจหลุด เพราะจำเป็นต้องหลุด เมื่ออยู่ในสถานการณ์ต่างกันไป แต่ไม่ได้เกิดจากการหักห้ามใจหรือเกิดอาการอยากอาหารจนทนไม่ได้  "แต่การควบคุมอาหารแบบทั่วไป ทำให้ดิฉันหลุดเกิน ล้าน8!!! มา5ปีแล้วค่ะ" - ทำแล้วไม่สำเร็จ << นน.ที่ลดลง ถือเป็นความสำเร็จค่ะ แต่คนที่ทำไม่สำเร็จคือคนที่ขาดวินัยในการปฏิบัติ ดังนั้นคนกลุ่มนี้ไม่ว่าจะลดนน.ด้วยวิธีใด ก็ไม่สำเร็จหรอกค่ะ - ทำแล้วอ้วนขึ้น << คนฉลาดย่อมรู้ค่ะ ส่าต้องศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อน แล้วจะทราบว่า fast5อาจไม่เหมาะกับคนที่ไม่อ้วน หรือคนที่ก่อนหน้านี้ลดนน.ด้วยการจำกัดปริมาณอาหารและแคลอรี่ เพราะเมื่อเข้าสู่Fast5ใน "ช่วงแรก" จะมีอาการสวาปามในช่วงEWทำให้นน.ตัวขึ้น ย้ำนะคะว่าแค่ช่วงแรก แต่คนก็panicกันไปใหญ่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปริมาณการกินของแต่ล่ะคนจะลดลงไปเองตามธรรมชาติ เมื่อปรับตัวได้ และนน.ก็จะลดในที่สุด - ทำแล้วรู้สึกท้อแท้ยิ่งกว่าเดิม << ให้ตายเถอะ เราต้องถามคุณคห.ที่15นะคะ ว่ารู้ได้ยังไง ในเมื่อยังไม่เคยลองใช้วิถีชีวิตแบบFast5เลย เดาเอาเองไม่ดีนะคะ คนเราถ้าจะต่อต้านอะไรซักอย่าง เรา "ต้องรู้จริง" ก่อนค่ะ เราคือคนที่ทำFast5นะคะ เราไม่เคยรู้สึกท้อเลย ถ้าจะท้อก็ท้อเพราะคนหัวรั้นที่ชอบยึดติดว่าสิ่งเก่าๆคือสิ่งที่ดีที่สุด แล้วคอยบั่นทอนกำลังใจนี่แหล่ะค่ะ ถามได้เลยค่ะ คนที่ทำFast5มาตั้งแต่2เดือนขึ้นไป มีใครรู้สึกอย่างที่คุณ คห.15 พูดหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าอีก5ปีข้างหน้า มีผลการวิจัยออกมารองรับว่า Fast5มีผลเสียจริง ดิฉันก็จะเลิกทำค่ะ แต่ตอนนี้คงไม่เลิก เพียงเพราะใครคนนึงมาเดาเอาเองหรอกค่ะ เพื่อนๆที่ทำFast5ทุกคน สู้ๆนะคะ พวกเราจะมีสุขภาพที่ดีไปพร้อมๆกัน โดยไม่ต้องไปนั่งฟังบรรยายเกี่ยวกับการลดนน.ที่น่าเบื่อ และเนื้อหาเดิมๆซ้ำซาก พื้นฐานการลดนน. ใครๆก็ทราบดีกันอยู่แล้ว แต่วิธีไหนล่ะ ที่ทำแล้วสุขภาพจิตดี ได้ทานอาหารอร่อยๆ ไม่เข้มงวดจนเกินไป ยังหาไม่เจอเลยค่ะ นอกจากFast5 ที่พูดมา ก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรนะคะ แต่มันเป็นความจริงค่ะ จากประสบการณ์โดยตรง และดิฉันคิดว่า คนไม่รู้จริง ก็ไม่ควรจะไปปิดทางให้คนอื่นได้เจอแสงสว่างนะคะ อีกอย่าง คนที่เค้าคิดจะไม่ทำFast5 เค้าก็ไม่ทำหรอกค่ะ มีหลายคนออก ที่ไม่สนใจ เพราะเค้าเห็นว่า วิถีชีวิตแบบFast5 ไม่เหมาะกับกิจวัตรประจำวันของเค้า หรือไม่มั่นใจว่ามันจะปลอดภัย แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครต่อต้าน "จนออกนอกหน้า" อาจเพราะพวกเค้าไม่มี "ส่วนได้ส่วนเสีย" มั้งคะ จากคุณ : KiChiKo - [ 13 พ.ย. 50 12:21:29 ]

ความคิดเห็นที่ 20 รู้สึกแต่ว่า คนที่ทำ fast - 5 เวลามีใครวิจารณ์ว่ามีข้อเสีย จะค่อนข้างออกแนว ตอบโต้ ไปๆมาๆ จะเข้าขั้น "รุม" คนที่ไม่เห็นด้วย ทุกครั้งๆเวลาใครลดความอ้วนแบบใดแบบหนึ่ง ไม่ว่าวิธีไหน จะ atkin's diet, south beach, balance, fast-5, ฯลฯ ก็มักจะมีคนวิจารณ์ถึงข้อดีข้อเสียเสมอๆแหละค่ะ ใจเย็นๆหน่อยค่ะ จากคุณ : la-la-bell - [ 13 พ.ย. 50 13:10:26 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ทุกคนก็มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นกันได้เหมือนๆกันแหล่ะค่ะ แต่เวลามีคนจำนวนนึงเห็นพ้องต้องกัน ในเรื่องเดียวกัน เค้าไม่ได้เรียกว่ารุมนะคะ fast5อาจจะมีข้อเสีย แต่เราว่าบางคนก็พูดเว่อร์เกินไป ก็เท่านั้น แล้วมันจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดตามไปด้วย จากคุณ : KiChiKo - [ 13 พ.ย. 50 15:22:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบแทนน้องกวิน ที่น้อง KiChiKo ถามว่า กวินนั้นจะเสียรายได้จากการสัมนา เลยประมาณมาโจมตี fast-5 คือ ถึงคุณจะเขียนออกตัวว่าล้อเล่น แต่เห็นน้องย้ำเหลือเลย เลยเห็นว่าไม่ยุติธรรมเลยมาตอบแทน วิธีการของ KiChiko เขาเรียกการดิสเครดิตที่นักการเมืองเขาใช้กัน งั้นผมถามกลับว่าพวกคุณสนับสนุน fast-5 เพราะคุณมีผลประโยชน์หรือเปล่า ซึ่งผมเชื่อ 100% ว่าพวกคุณไม่มีผลประโยชน์ เพียงแต่เป็นความเชื่อที่คุณยึดถือ เหมือนกันจึงแสดงความเห็นออกมา   น้องกวินก็เช่นกันครับ (ที่รู้ เพราะสนิทกับกวินมา 3 ปี รู้จักนิสัยใจคอกันมานาน พี่เสกขอยืนยันเลยว่า กวินตอกย้ำเรื่องสุขภาพก่อนมี fast-5 และมีคนเชิญน้องเป็นวิทยากร กวินก็ไม่ได้รายได้แบบมหาศาลอะไร) แน่นอน คุณ Kichiko อาจจะไม่เชื่อ แต่ถามกลับว่าที่คุณเชื่อว่ากวินมีผลประโยชน์นะ มีเหตุผลหลักฐานอะไรหรือเปล่า   การสัมนาของน้องกวิน ราชการเขาเชิญไปครับ รพ. อุดรธานี หรือสาธารณสุขศรีษะเกษ น้องกวินไม่ได้เป็นเจ้าของงานครับ แค่รับเชิญ และผมเองเป็นข้าราชการคนหนึ่งรู้ดีว่า ค่าตอบแทนพวกนี้น้อยมากครับ คงไม่ต้องอุตส่าห์มาโจมตีเพื่อรายได้แค่นี้ เขาแชร์ข้อมูลที่แตกต่าง เพราะความเห็นไม่เหมือนไม่ได้หมายความว่าเขาจะมาแสวงหาผลประโยชน์ แบบนี้มันหมิ่นประมาทครับ แชร์ความเห็นสิครับ แบบที่คุณ xoop ทำนะถูกต้องแล้ว ได้ข้อมูลเพียบ หรือแบบที่คุณ Jackson5 ทำนะข้อมูลดีมากๆ หรือแม้แต่คุณ A เองผมเองยอมรับครับความรู้มากกว่าผมมาก จนผมเองยังเคยขออนุญาตนำบทความมาลงใน siamfitness เลย ขอเถอะครับ แสดงความเห็นได้แน่นอนแต่ไม่ใช่ดิสเครดิต (หมายถึงดิสเครดิตคนพูด แทนที่จะโต้ว่าความคิดเขาไม่ดียังไง) ได้ไหมครับ ผมเชื่อว่า ทั้งคนนิยม fast-5 ทั้งคนนิยม balance ต่างก็บริสุทธ์ใจที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเองคิดว่าดี อย่างเรื่องการเมือง ผมก็ประกาศว่าผมจะเลือกพลังประชาชน คนชอบประชาธิปัตย์อาจจะมองว่ามีประโยชน์หรือเปล่า แบบนี้ไง ต่ออีกหน่อย คุณ Kichiko น่าจะมาต่อว่าผมมากกว่าผมมีประโยชน์อะไรไหมกับการลดความอ้วน ตอบว่าผมมีครับ ผมมี web site www.siamfitness..com หากมีคนเข้ามามาก ผมอาจจะได้รายได้จากการโฆษณาและการขายสมาชิกลดน้ำหนัก อันนี้ผมตอบรับว่าผมมีผลประโยชน์ และแลกกับข้อมูลที่ให้และประสบการณ์ต่างๆที่ผมนำเสนอมากกว่า 3 ปี เรียกว่าอาชีพสุจริต ว่าผมได้ครับ ผมนี้แหละครับ มีผลประโยชน์แอบแฝง อย่างการเอาบทความมานำเสนอในบอร์ดนี้ ก็มีข้อความลิงค์กลับไปที่ siamfitness อันนี้ก็เป็นการโฆษณาแต่แลกกับประสบการณ์ที่มีให้อ่านกัน เอาว่าผมเอง ขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า "ผมขอลาบอร์ดแห่งนี้ตลอดไปครับ" แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 17:48:24 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 17:17:52 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 16:52:16 จากคุณ : P.sek (P.sek) - [ 13 พ.ย. 50 16:34:59 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 17:18:09 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 17:13:36 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 50 17:02:56 จากคุณ : P.sek - [ 13 พ.ย. 50 17:02:02 ]

ความคิดเห็นที่ 24 พี่เสกจะไปทำไม  อย่าคิดมากเจ้า ดูกุยแกสิ  โดนคนบ้าโรคจิตตั้งกระทู้ด่าตั้งหลายรอบ  มีมารผจญสารพัด  กุยยังทนอยู่เลย  เพราะรู้ว่าคนที่อาศัยคลับลดความอ้วนเป็นที่พึ่งสุดท้ายยังมีอีกมาก  คนที่ใช้F5หลายคนก็มีข้อมูลดีๆมาให้  และไม่ตามกัดคนอื่นนี่เจ้า  ไม่อยากให้พี่ต้องลาบอร์ดไปเพราะคนที่ดีแต่ปากแค่ไม่กี่คนนะคะพี่ ทั้งคลับนี้และพันทิพเสียคนดีๆไปหลายต่อหลายคนแล้ว  เพราะคนที่เอาแต่ดิสเครดิตคนอื่น  กุยไม่อยากให้พี่ไปอีกคนค่ะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 13 พ.ย. 50 22:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จริงๆว่าจะไม่ตอบแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ก่อนอื่นต้อง "ขอโทษ" จขกท. จากใจจริงค่ะ ถ้าข้อความของเราทำให้ลำบากใจ หรือไม่พอใจ ใดๆก็ตาม เราไม่ได้คิดอะไรลึกล้ำถึงขนาดต้องการดีสเครดิตใคร คุณกวินไม่เห็นด้วยกับFast5 แล้วโพสข้อความทำนองเสียดสี คนที่ทำFast5  และดิฉันไม่เห็นด้วย จึงโต้แย้ง เพียงเท่านั้นจริงๆค่ะ ไม่ได้คิดอะไรมากมายถึงขนาดต้องตามดิสเครดิตเค้านะคะคุณกุนซือฯ เราไม่เคยคิดจะโต้ตอบคนที่ไม่เห็นด้วยกับFast5 แถมยังเต็มใจที่จะรับฟัง ว่าข้อเสียต่อสุขภาพของFast5 คืออะไร เพราะมันมีประโยชน์กับเราค่ะ แต่ไม่ใช่การพูดจาทำนองว่าเสียดสีผู้อื่น มันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เราเชื่อว่าเพื่อนๆที่ทำFast5 ถ้าเคยอ่านๆมาบ้าง คงรู้สึกเหมือนเรา สุดท้าย เราต้องขอโทษอีกทีค่ะ ถ้าข้อความที่เราตอบโต้คุณกวินแค่เพียงคนเดียว จะมีผลกระทบต่อคนอีกหลายๆคน แต่มันก็เป็นเพียงความคิดเห็นของเราคนเดียวค่ะ เราเป็นคนตรงๆคิดยังไงก็พูดยังงั้น และค่ะ เราเป็นคนที่ดีแต่ปาก ดังนั้นอย่าใสใจเราเลยค่ะ คุณ P.sek จากคุณ : KiChiKo - [ 14 พ.ย. 50 01:43:48 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ร้อนจนไม่กล้าแตะเลยค่ะกระทู้นี้ กะว่าจะกลับมาแสดงความยินดีกับคุณ Mind เค้านะนี่ เรานับถือคุณกวินในเรื่องความตั้งใจในการเผยแพร่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับคนที่ลดความอ้วน แต่อย่างไรเราก็ไม่เข้าใจจุดยืนของคุณกวินที่มีต่อ Fast-5 ค่ะ คือในความเห็นส่วนตัวของคุณมันอาจจะไม่ดี ทำลายสุขภาพ แต่มันก็แค่ความเห็นส่วนตัว ถ้ามีข้อมูล งานวิจัย หลักฐานทางวิชาการอะไรมาเผยแพร่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าจะอ้างหลักฐานแค่ว่า ได้ยินคนเยอะเหลือเกินพูดว่า ทำ Fast-5 แล้วไม่ได้ผล เราว่ามันไม่มีน้ำหนักพอ เพราะจริงๆแล้วคนที่ทำ Balanced diet แล้วไม่ได้ผลก็มีเยอะค่ะ เผลอๆจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าทำกันไม่ถูกวิธี และ Balanced diet ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคน'หลุด' ตัวอย่างของคนที่ลดความสำเร็จด้วย Balanced Diet บางคนที่ยกมาให้ดูนั้น จากความรู้ของเรา เราไม่คิดว่าเป็นวิธีการที่ถูกสักเท่าไหร่ บางคนดูเหมือนจะทานน้อยกว่าความต้องการของร่างกายเยอะจนกลัวว่าอาจจะเกิดโยโย่ภายหลังได้ เราว่าทุกคนมีจุดยืนที่เหมือนกันค่ะ คือต่อต้านวิธีการลดความอ้วนที่ผิด และส่งเสริมวิธีการลดความอ้วนที่ถูก แต่หลายกระทู้ที่ผ่านมา คุณกวินเหมือนจะปักใจเชื่อว่า ขึ้นชื่อว่าเป็น Fast-5 แล้วเป็นวิธีการที่ผิด ข้อเสียมากกว่าข้อดี ทั้งๆที่หลายๆท่านในห้องนี้ก็พยายามพิสูจน์ด้วยการทำ Fast-5 อย่างถูกวิธีให้เห็นผล เอางานวิจัยที่เป็นระบบมาอ้างถึงข้อดีข้อเสีย ก็ไม่ทำให้คุณเปลี่ยนความคิดได้ บางทีคุณกวินอาจจะหวังดีว่า การเผยแพร่ Fast-5 ในวงกว้างจะทำให้ คนที่ไม่รู้นำ Fast-5 ไปทำแบบผิดๆ แต่คนที่ไม่รู้เหล่านั้น ต่อให้ทำ Balanced Diet ก็ทำแบบผิดๆเหมือนกัน และให้ผลร้ายเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรจะต่อต้าน คือการลดความอ้วนโดยไม่มีความรู้ หรือการลดสามวันเจ็ดวัน ไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ไม่ใช่มุ่งต่อต้านโจมตีการลดแบบใดแบบหนึ่ง และทุกคนก็มีสิทธิ์จะเผยแพร่และเรียนรู้วิธีลดที่ตัวเองใช้ได้ผล ที่เหมาะกับตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้ผู้อื่นที่มีวิถีชีวิตคล้ายๆกันไปปรับใช้ แต่ละคนก็เผยแพร่วิธีการที่เหมาะกับคุณไป พร้อมๆกับเปิดใจฟังวิธีที่เหมาะกับคนอื่นๆ ถ้าไม่เห็นด้วยตรงไหน ก็ยกเหตุผลหรือข้อมูลแหล่งอ้างอิงมาช่วยแก้ไขปรับปรุงกัน แค่นี้ก็มีความสุขกันทุกฝ่าย ลึกๆแล้วเราเชื่อว่าทุกคนหวังดีต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ค่ะ ไม่งั้นคงไม่นั่งพิมพ์กันจนเมื่อยมือแบบนี้ เพียงแต่การใช้ภาษาและความเข้าใจอาจจะขัดแย้งกันเท่านั้นเอง จากคุณ : ปะการังเรืองแสง - [ 14 พ.ย. 50 02:13:08 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เราว่าคุณกวินไม่ได้ต่อต้านF5หรอกค่ะ  แต่ต่อต้านคนคลั่งF5แบบไม่ลืมหูลืมตามากกว่า  ช่วงหลังนี่ยังน้อยลงแล้วค่ะ  แต่ช่วงแรกที่F5เข้ามานี่หนักมากถึงหนักที่สุด การลดความอ้วนสูตรที่ใช้ต้องเหมาะกับคนใช้ค่ะ  มีทั้งผลดีและผลเสียต่างกันไปในแต่ละคน  ปกติแล้วถ้าใครใช้สูตรไหนแล้วมีปัญหาควรหยุดใช้  เช่น  เราเคยกินสูตรชาจีนแล้วท้องผูกก็หยุดใช้แค่นั้นเอง แต่กรณีF5ต่างกัน  เนื่องจากเป็นสูตรที่แรงพอควรและต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในการใช้  การปรับตัวเข้าสูตร  บางคนมีโรคประจำตัวหรือใช้แล้วมีปัญหาก็ควรหยุดทันทีแล้วหันไปใช้สูตรอื่น  ไม่ว่าสูตรไหนก็เหมือนกันค่ะพอมีคนบอกว่ามีปัญหา  คนในคลับลดฯก็บอกให้หยุดเถอะใช้สูตรอื่นแทน  แต่F5ต่างกันพอมีคนบอกให้หยุด  จะถูกโจมตีทันที  เราเองก็เคยโดนหลายครั้งขนาดตั้งกระทู้ด่าหยาบๆคายๆ  ตามว่ากระทบโจมตีนานนับเดือนค่ะ  หลังบ้านมาต่อว่าอีกนับครั้งไม่ถ้วน นี่แหละคือปัญหาของF5  ไม่ใช่สูตรที่เป็นปัญหา  แต่เป็นคนคลั่งสูตรบางคน  ที่ไม่ยอมรับข้อเสียที่สูตรลดความอ้วนอื่นก็มี  แล้วก็ตามด่าคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยอย่างหยาบคายค่ะ ตอนแรกเราต่อต้านสูตรนี้มาก  เพราะคนที่ใช้สูตร ไม่ใช่เพราะตัวสูตรF5ค่ะ  แต่ช่วงหลังมีหลายคนที่มีความรู้และเปิดกว้างมาแนะนำให้ผู้ใช้อย่างดี  และเสนอวิธีใช้ที่ถูกต้อง  มาบอกคำเตือนและข้อระวังต่างๆเวลาใช้  เราเห็นว่าดีและมีประโยชน์จึงเลิกต่อต้านค่ะ เราว่าคุณกวินก็เช่นเดียวกับเราค่ะ  ไม่ได้ต่อต้านสูตรโดยตรง  แต่ต่อต้านคนใช้สูตรนี้บางคนมากกว่าค่ะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 14 พ.ย. 50 09:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 28 พูดว่า "ไม่เห็นด้วย" ทั้งๆที่ไม่มีเหตุผลสนับสนุน มันก็เหมือนเสียงเห่าของหมาตัวนึง ก็น่าแปลกใจเหมือนกันนะครับว่า "ทำไมผมถึงยอมเป็นหมาตัวนั้น!!!" เวลาที่ผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรตามโรงพยาบาลต่างๆ ไม่ใช่แค่ผู้ฟังที่เป็นชาวบ้าน ,คนทำงานวัยกลางคน ,ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย แต่คุณรู้ไหมว่าระหว่างที่ผมพูดไป มีใครนั่งฟังสิ่งที่ผมพูดอยู่บ้าง? ที่เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น คนที่นั่งฟังสิ่งที่ผมพูดคือ... 1. รศ.เจริญ  กระบวนรัตน์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ที่ถวายพัฒนาการเรียนรู้ทักษะกลไกการเคลื่อนไหว ( Psychomotor Learning ) ให้กับคุณพุ่ม เจนเซ่น โอรสในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี 2. ดร.วณิชา  กิจวรพัฒน์ 3. นายแพทย์เกรียงศักดิ์  พิมพ์ดา 4. นายเจริญ  มีชัย  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานี ที่จังหวัดนครนายก คนที่นั่งฟังสิ่งที่ผมพูดคือ... 1. นายแพทย์วิศาล  คันธารัตนกุล  โรงพยาบาลรามาธิบดี 2. ศ.น.พ.สมิง  เก่าเจริญ  ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย 3. อาจารย์สง่า  ดามาพงษ์  โฆษกกระทวงสาธารณสุข และอีกหลายๆท่านที่ผมอาจไม่รู้จัก "รศ.เจริญ  กระบวนรัตน์" ท่านเคยสอนผมในเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมไว้ว่า... "คนเราไม่ใช่ว่าทำอะไรสำเร็จ หรือค้นหาความรู้เอาเองโดยไม่รู้จริง แล้วจะเอามาสอนหรือแนะนำคนอื่นได้ เพราะถ้าคนที่ฟัง เค้าเอาไปปฏิบัติตาม มันอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพของเค้าได้!!!" และจากการที่ผมได้พูดคุยกับนายแพทย์ และอาจารย์หลายๆท่าน ทำให้ผมเองจึงมี "จุดยืน" และเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับ "การแนะนำการลดน้ำหนักให้กับส่วนรวมโดยกรอบความคิดของ Fast-5" ส่วนที่ถามว่า "แล้วทำไมพี่กวินไม่เอาความรู้วิชาการ ,paper ,Journal หรืองานวิจัยมาสนับสนุน" นั้น ผมรู้ว่าผมเป็นใคร? มีหน้าที่อะไร? และมีความรู้แค่ไหน? การนำเอาความรู้วิชาการ ,paper ,Journal หรืองานวิจัยมาสนับสนุนนั้น...คงเป็นหน้าที่ของนายแพทย์ และนักวิชาการเฉพาะด้าน ที่มีความรู้จริงๆครับผม ท่านเหล่านั้นจะออกมานำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ถึงข้อเสีย ,ผลกระทบ และความเสี่ยงต่างๆที่จะเกิดขึ้น ในเวลาที่เหมาะสมในอนาคตครับ และอีกจุดยืนนึงของผมก็คือ... "ผอม..ไม่ได้แปลว่าสวย  และอ้วน...ก็ไม่ได้แปลว่าขี้เหร่ ผอม...ไม่ได้แปลว่าแข็งแรง  และอ้วน...ก็ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ ผมรู้จักคนอ้วนมากมายที่รู้จักเลือกทานอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ" สรุปสั้นๆครับ... "ผมอายุ 33 ปีแล้ว และผมมีหน้าที่แค่สร้างแรงบันดาลใจในการดูแลสุขภาพไปพร้อมๆกับการลด/ควบคุมน้ำหนัก มากที่สุดนั้น...ผมก็จะแค่แนะนำและให้ความรู้ เฉพาะวิชาการในส่วนที่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์แล้วว่าถูกต้องและเหมาะสมกับคนโดยรวม" ก็เท่านั้นเองครับ ปล. - พี่เษกครับ...ขอบคุณมากครับ และผมยังอยากให้คนใหม่ๆที่เข้ามาในคลับนี้ รู้จักและได้รับแนวคิด และข้อมูลดีดีจากพี่อยู่นะครับ - ขอบคุณมารน้อยฯด้วยนะครับ ที่เข้าใจและคอยให้กำลังใจพี่คนนี้ รักที่รักคนเดียว(ที่สุดในโลก)นะขอรับ (^_^) จากคุณ : พี่กวิน&มารน้อยฯ (Again-With-Love) - [ 14 พ.ย. 50 10:36:04 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เฮ่อ! อ่านแล้วเหนื่อยใจ จากคุณ : KiNky - [ 14 พ.ย. 50 12:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เข้าใจฝั่งคุณกวินนะครับ เพราะเมื่อก่อนก็เคยสงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมเรื่องความรู้ใหม่ๆดีๆไม่รู้จักนำมาใช้กัน มัวแต่ยึดติดกับรูปแบบเก่าๆ พอมาทำงาน เจอคนหลายๆแบบ หลายๆพื้นฐาน ก็พบว่าส่วนใหญ่เค้าไม่ได้คิดแบบเราแฮะ ที่พอรู้แล้วจะนำมาวิเคราะห์ว่าดีเลวยังไง เหมาะกับตัวเองมั้ย แต่ที่มักจะเจอก็คือ เค้าฟังปุ้บก็จะ jump to conclusion เลยว่าทำแบบนี้แล้วดี จะลดความอ้วนได้เร็ว อะไรแบบเนี้ย(แม้กระทั่งกรณีน้องมายที่เล่าให้ฟังตอนเริ่มทำ fast-5 ก็เหมือนกัน ที่สนใจแค่วิธีการโดยไม่ต้องการรับรู้หลักการ) ทีนี้ ถ้าเราหวังดี เจอความรู้ใหม่ๆก็เอาไปบอกเล่าเผยแพร่้เลย แถมบอกว่ามีผลวิจัยใหม่ๆศึกษาเรื่องนี้มาแล้วนะ คนฟังส่วนใหญ่ของประเทศนี้ก็จะได้ยินแต่คำว่า "ทำแล้วดี" โดยไม่สนใจเงื่อนไขอื่นๆของการวิจัยนั้นเลย คุ้นๆมั้ยครับเรื่องพวกนี้ !?? พอเค้าเอาไปทำแล้วไม่ได้ผลอย่างที่คาดไว้ หรือถ้าแย่กว่านั้นก็ทำให้สุขภาพเสียไปซะอีก อย่างหน้ามืด เป็นลม โรคกระเพาะ ก็จะกลายเป็นว่าเป็นความผิดของคนแนะนำซะอีก ที่ดันเอา"ความรู้เฉพาะด้าน" มาเผยแพร่โดยไม่บอกให้หมด !?? ดังนั้น ที่คุณกวินตัดสินใจว่าในการเผยแพร่บนสื่อสาธารณะอย่าง internet หรือบรรยายทั่วไป ซึ่งจะสื่อสารไปถึงสังคมโดยรวมเนี่ย จะแนะนำแต่"ความรู้ทั่วไป" และจะไม่แนะนำ"ความรู้เฉพาะด้าน" อย่าง fast-5 เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนเอาไปปฏิบัติแบบผิดๆเนี่ย ก็ดูมีเหตุผลดีละครับ สำหรับสมาชิก fast-5 ทั้งหลาย ถ้าดูแล้วคนรับสารต้องการแค่"วิธีการ" ไม่ใช่"หลักการ" เนี่ย คงต้องระวังนิดนึงเวลาสื่อสารออกไปละครับ ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นทำบาปแทนที่จะได้บุญ คำว่า"ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด" ยังเป็นสำนวนที่อธิบายวัฒนธรรมของคนกลุ่มใหญ่ในประเทศได้จริงๆนะครับ ... -_- จากคุณ : 3MOG - [ 14 พ.ย. 50 15:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 31 จากคุณ : 24 hours. - [ 14 พ.ย. 50 16:19:14 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อเสวนา จะ พาลานัง ปัณฑิตา นัญจะ เสวนา . . . กัมมุนา วัตตตี โลโก จากคุณ : atheist - [ 15 พ.ย. 50 00:38:30 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เอ่อ คือขอโทษนะค่ะ ที่เข้ามารบกวน พอดีเราพึ่งเข้ามาคลับนี้ได้ไม่นานน่ะค่ะ(อยากเข้ามาหาความรู้เรื่องการลดน้ำหนัก) พอดีแวะเข้ามาอ่านกระทู้นี้(ช่วงแรกๆ) ก็รู้สึกดีนะค่ะ มีกำลังใจในการลดน้ำหนักเยอะเลย และตอนนี้ก็กำลังศึกษาเรื่อง F5 อยู่ แล้วสนใจ แต่เราก็ยังไม่รู้ศัพท์เฉพาะอีกหลายคำ และหลังจากเข้ามาดูกระทู้นี้อีกรอบ อ่านจนครบ ก็ได้เห็นพี่ๆ กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่ ^_^" แต่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี จึงอยากรบกวนพวกพี่ๆ ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับวิธีลดน้ำหนัก (ชื่อเฉพาะ) ว่ามันแตกต่างกันยังงัยค่ะ (สรุปคร่าวๆ สั้นๆ ก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่ๆ จะสะดวก) 1. F5 (พอศึกษามาบ้างแล้วค่ะ แต่ยังไม่ค่อยกล้าลองเท่าไหร่ เพราะติดที่เป็นโรคกระเพาะ) 2.Balance diet (ไม่มีความรู้เลยซักนิด เห็นแต่พี่ๆ คุยกัน) 3.atkin's diet 4.south beach 5.ข้อสุดท้ายแล้วค่ะ แล้วก็วิธีที่พี่กวินฯ แนะนำคนที่ลดความอ้วนใช้ คือวิธีไหนเหรอค่ะ รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะค่ะ คือหนูเป็นมือใหม่จริงๆ น่ะค่ะ (อยากได้วิธีที่คนเป็นโรคกระเพาะก็สามารถทำได้น่ะค่ะ) สาเหตุที่ตั้งใจจะลดอย่างเอาจริงเอาจังก็เพราะว่า หนูหนัก 61 สูง 163 ค่ะ แต่เป็นคนที่ขาเล็กมาก (ใหญ่ช่วงพุง) พออ้วนก็จะชอบเจ็บข้อเท้า (เจ็บแปล๊บๆ แล้วขาจะอ่อนเลยอ่ะ แทบล้ม บ่อยๆ) เมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา ที่บริษัทเค้ามีตรวจสุขภาพกัน ปรากฎว่า ผลออกมาว่าหนูสุขภาพดีทุกอย่าง น้ำตาลในเลือดก็ไม่เยอะ คลอเลสเตอรอล ก็ไม่เกินเกณฑ์ แต่ปรากฎว่า พอตรวจมวลกระดูกแล้วเค้าบอกว่า "หนูกระดูกบาง" ค่าปกติไม่ควรต่ำกว่า 100 แต่ของหนู 96 หนูก็เลยกลัวนะค่ะ (แล้วยิ่งมานึกได้ ว่าตัวเอง เจ็บข้อเท้าบ่อยๆ ยิ่งกลัว ) ก็เลยอยากจะปรึกษาพวกพี่ๆ นะค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ จากคุณ : กลัวจังค่ะ (หมูน้อยหัวใจดุ๊กดิ๊ก) - [ 15 พ.ย. 50 13:15:42 ]

ความคิดเห็นที่ 34 อ่า......... กลายเป็นกระทู้ร้อนไปซะแร๊ว หุหุ เราไปเจออีกเวอร์ชั่นนึงของหัวเปเปอร์ที่เราเอามาให้ดูใน #16 อยู่ในเว็บกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ แต่คราวนี้มาในเวอร์ชั่นภาษาชาวบ้าน ที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายกว่า ตามนี้เลยค่ะ Interpretive Summary: Although three meals per day support rapid growth in children, it may not be the healthiest eating pattern for adults. The rising obesity epidemic usually occurs among individuals consuming several large meals per day. Overeating is widely accepted as a cause of premature death from cardiovascular disease and diabetes, but few studies have determined how meal frequency affects health risk. Despite a general perception among the public that it is important to eat three or more meals per day, there have been no controlled research studies that directly compare the effects of different meal frequencies on human health. A pilot study was conducted to determine the feasibility of controlled meal frequency in normal weight, middle-aged men and women. Participants consumed all of their required calories either in one meal per day or three meals per day for eight weeks. ###Results showed that the majority of the study participants were able to consume total calories in one meal per day. Consumption of one meal per day versus three meals per day increased the participants' blood pressure but had no effect on heart rate, body temperature and the majority of blood tests measured. Scientists and nutritionists interested in the effects of eating patterns that may influence health may find this information useful. http://www.ars.usda.gov/research/publications/Publications.htm?seq_no_115=200159 ก็ชัดเจนค่ะ ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มันก็เป็นแบบนั้น แต่ไม่ขอแปลนะคะ เพราะเค้าใช้ภาษาอังกฤษแบบที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ ### เมื่อเปรียบเทียบกับ Fast-5 Fast-5 ไม่ได้ให้เราทานอาหาร 1 มื้อต่อวันนะคะ แต่เราจะทานกี่มื้อก็ได้ใน EW  และ Fast-5 ก็ไม่ได้ให้เรา *จำเป็นต้อง* รับแคลอรี่ทั้งหมดใน EW เท่ากับที่เราเคยทานวันละ 3 มื้อค่ะ เพราะเมื่อเราใช้ Fast-5 เป็นเวลานานๆ ซัก 1-3 เดือนขึ้นไป ความอยากอาหารแบบบ้าคลั่งของเราจะเริ่มลดลง เราจะเริ่มทานได้น้อยลง ซึ่งเป็นไปเองโดยธรรมชาติ ไม่มีการบังคับฝืนใจ ในหนังสือ Fast-5 บอกว่าประมาณ 500 Kcal ต่อวัน พอที่จะทำให้น้ำหนักลดลงไปเรื่อยๆ ค่ะ นายแพทย์ Bert Herring เคยบอกประมาณว่า Fast-5 จะสร้างกลไกบางอย่าง ที่ทำให้ *ความอยากอาหาร (appetite)* ตรงกับความต้องการพลังงานที่แท้จริงของร่างกายในแต่ละวัน พวกสูตรคำนวณพลังงานแบบตายตัวทั่วไป จึงไม่น่าจะใช้ได้กับ Fast-5 ค่ะ (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของเรานะคะ) ดังนั้นเราคงไม่ต้องกลัวว่า ใช้ Fast-5 นานๆ แล้วจะผอมจนเกินไปค่ะ ลองอ่านความเห็นต้นฉบับของ นายแพทย์ Bert Herring ที่นี่นะคะ http://fast5.thaifreebies.com/board/index.php?topic=162.msg1413#msg1413 จากคุณ : Xoop - [ 16 พ.ย. 50 08:58:34 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ^ ^ ตัวอย่างข้างบนของคุณ Xoop นี่ไม่ใช่ภาษาชาวบ้านเลยครับ ภาษานักวิชาการชัดๆ ถ้าเป็นนักวิชาการอ่าน summary หรือ abstract เค้าจะต้องไปเปิดดูรายละเอียดในรายงานการวิจัยว่าการทดลองทำอย่างไร มีการ control อะไรบ้าง ใช้เวลานานเท่าไหร่ ดูแล้วมี confident แค่ไหน ผลออกมาแล้วพบว่าทำให้มวลไขมันลดลง(ดี), triacylglycerol และ cortisol ลดลง(ดี) แต่ก็ทำให้ระดับความดันสูงขึ้น(ไม่ค่อยดี), ทั้ง LDL และ HDL สูงขึ้น (ไม่ค่อยดี)ซึ่งผลทั้งหลายเหล่านี้มาจากการที่ร่างกายปรับเปลี่ยน metabolism มาใช้ไขมันในการให้พลังงานมากขึ้น ซึ่งอาจมีผลทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น(บ้าง)ด้วยเหมือนกัน แต่ก็เข้าใจว่ายังอยู่ในวิสัยที่คนที่แข็งแรกปกติน่าจะยอมรับได้ ขณะเดียวกัน พอชาวบ้านอ่านข้างบนปุ้บ เค้าก็จะตีความแค่ว่า"กินมื้อเดียวดีกว่ากิน 3 มื้อ" แล้วก็ไปลองทำดู โดยไม่ได้รู้เลยว่าถ้าตัวเองเป็นโรคหัวใจ,ความดันสูงอยู่แล้ว หรือระดับ chloresterol เกินอยู่เนี่ย ไปทำแบบนั้นมันอาจจะเสี่ยงกับอันตรายได้นะครับ :( การเผยแพร่ข้อมูลทั้งหลาย คงต้องคำนึงถึงผู้รับสารด้วยนะครับว่าเค้าอ่านแล้วจะคิดอะไรต่อ, fast-5 เป็นทางเลือกที่ดีในการ diet แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน และเสี่ยงต่อการนำไปใช้แบบผิดๆได้ง่ายมากๆ ดังนั้น การ"โยน"ข้อมูลลงมาในที่สาธารณะ แล้วบอกให้ไปคิดต่อศึกษาต่อเอาเองเนี่ย บางครั้งก็ดูจะมักง่ายไปนิดนึงนะครับ เอางี้มั้ยครับ อย่างน้อยเรามาตั้ง definition ของ fast-5 ใหม่กัน แทนที่จะเป็น "การกินอาหารได้ไม่จำกัดเฉพาะในช่วงเวลา EW 5 ชม.ต่อวัน" เปลี่ยนเป็น "การปรับตัวเพื่อลดช่วงเวลากินอาหารให้เหลือเฉพาะในช่วงเวลา EW 5 ชม.ต่อวัน โดยให้ได้สารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย" อย่างน้อยแทนที่มือใหม่จะเริ่มแบบหักดิบเลย ก็จะทำให้คนที่เริ่มทำต้องคำนึงถึง transition phase และ calories/nutritions และจะถามหาข้อมูลเพิ่มเติมกันมากขึ้นละครับ ^^)b จากคุณ : 3MOG - [ 16 พ.ย. 50 11:12:01 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ก็ถ้าลดจนให้กินอาหารเหลือวันละ 500 kcal ไม่แปลกที่น้ำหนักจะลดลงเยอะและรวดเร็วค่ะ จากคุณ : la-la-bell - [ 16 พ.ย. 50 14:33:30 ]

ความคิดเห็นที่ 37 >>> ก็ถ้าลดจนให้กินอาหารเหลือวันละ 500 kcal ไม่แปลกที่น้ำหนักจะลดลงเยอะและรวดเร็วค่ะ ใจเย็นๆ ค่ะ คุณเข้าใจผิดแล้ว น้อยลงประมาณ 500 Kcal ต่อวันค่ะ ไม่ใช่น้อยลงจนลดเหลือ 500 Kcal ต่อวัน โทดนะคะ ถ้าเราเขียนวกวนจนทำให้คุณเข้าใจผิด จากคุณ : Xoop - [ 16 พ.ย. 50 16:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คุณ คคห. 35 คะ ประเด็นสำคัญที่เรานำหัวเปเปอร์มาให้ดูกันก็คือ "มันยังไม่มีข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ว่า การรับประทานอาหารตามตารางวันละ 3 มื้อดีที่สุดต่อสุขภาพของมนุษย์จริง ยังต้องมีการศึกษากันต่อไป" ก็แค่นี้เองค่ะ ไม่มีมากไปกว่านั้น และเปเปอร์นี้เค้าก็เพียงแค่ต้องการศึกษาผลกระทบของการลดจำนวนมื้ออาหาร ไม่ได้ต้องการเปรียบว่าอะไรดีกว่ากัน (เราก็บอกไปแล้วใน # 16) และเราเองก็ไม่ได้ต้องการจะสื่อ หรือพยายามทำให้คนอ่านเข้าใจไปในทำนองที่ว่า อาหาร 3 มื้อดีกว่า หรืออาหาร 1 มื้อดีกว่า อะไรแบบนี้ค่ะ แต่ปัญหาคือ ที่ผ่านมาคนบางส่วน (หรือส่วนใหญ่) เชื่อว่า อาหาร 3 มื้อดีที่สุด และคิดว่า อะไรที่มันไม่เป็นแบบนี้ มันจะต้องผิด มันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ซึ่งจากที่เราสังเกต Fast-5 จะถูกต่อต้านตรงประเด็นนี้มากที่สุดค่ะ ดังนั้นเราจึงพยายามหาหลักฐาน รวมถึงข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ในระดับที่คนทั่วไปพอเข้าใจได้ ที่แนะว่า "มันยังไม่มีข้อสรุป ว่าอาหาร 3 มื้อนั้นดีที่สุดจริง" ป็นการนำเสนอข้อมูลอีกด้าน ส่วนใครที่สนใจ หรือเป็นนักวิชาการจะหา full text มาอ่านก็เป็นอีกเรื่อง ส่วนอีกเรื่องที่คุณพูดนั้น พวกเรา (คนใช้ Fast-5) พยายามทำกันมานานแล้ว ตั้งแต่ที่ Fast-5 โผล่เข้ามาที่นี่ครั้งแรกแล้วค่ะ เราพูดมาตลอดว่า ใครที่สนใจ Fast-5 มันก็จำเป็นที่ต้องอ่านหนังสือให้เข้าใจก่อน เพราะข้อมูล คำเตือนเรื่องสุขภาพ ข้อจำกัดต่างๆ ก็อยู่ในหนังสือ Fast-5 Diet and The Fast-5 Lifestyle หมดแล้ว อีกทั้งก็ยังมีเว็บบอร์ดภาษาไทยให้เข้าไปศึกษา แต่พวกเราคงไม่สามารถช่วยคนที่ไม่คล่องภาษาอังกฤษ คนใจร้อน คนที่ขี้เกียจอ่านหนังสือ คนประเภท "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด" ฯลฯ อะไรแบบนี้ได้ค่ะ และถ้าคุณจะเรียกสิ่งนี้ว่า "ความมักง่าย"  มันก็เป็นสิทธิ์ของคุณค่ะ เพราะพวกเราคงไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ จากคุณ : Xoop - [ 16 พ.ย. 50 17:13:23 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ^ ฮ่อ เรื่อง 500kcal เข้าใจแล้วค่ะ ก็คิดอยู่ว่าเหลือ 500kcal มันน้อยไปค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : la-la-bell - [ 16 พ.ย. 50 17:17:50 ]

ความคิดเห็นที่ 40 อิ อิ เราทำfat 5 ก็ไม่ทำให้ผอมลงหรอกนะ แต่อาจจะจัดระเบียบการกินให้ขยับปากน้อยลง จริงๆ คือ การเลือกอาหารมาทานแต่ละมื้อจะเหมาะกว่า อยากผอมเหมือนคนที่ทำสำเร็จจัง เราพวกไขมันเยอะ แต่ก็ใจสู้คะ ..แม้น้ำหนักจะไม่ลงเลย จากคุณ : เกด (bookan25) - [ 19 พ.ย. 50 06:08:21 ]

ความคิดเห็นที่ 41 p.sek จากคุณ : jaijant - [ 4 ธ.ค. 50 11:57:54 ]