Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    วิกฤติในวงการแพทย์ไทยที่ประชาชนควรรู้

    วิกฤติในวงการแพทย์ไทยที่ประชาชนควรรู้

    ผู้เขียน :พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา

    ที่ปรึกษาสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
    ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับเปลี่ยนเงินเดือนและค่าตอบแทนแพทย์ในภาคราชก าร แพทยสภา
    อนุกรรมการให้คำปรึกษาทางวิชาการแพทยสภา
    อนุกรรมการจริยธรรม แพทยสภา
    อนุกรรมการพัฒนากฎหมายเพื่อความเป็นธรรมในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม แพทยสภา
    อนุกรรมการพิจารณากำหนดมาตรฐานการทำงานของแพทย์ในโรงพยาบาล แพทยสภา



    หลังจากประเทศไทยได้เริ่มใช้พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 แล้ว ประชาชนได้รับประโยชน์จากการมีการ “ประกันสุขภาพ” โดยไม่ต้องจ่ายเงินในการรักษาสุขภาพของตนเองเลย (แม้ว่าในช่วงแรกคือพ.ศ. 2545-2549นั้นประชาชนบางส่วนจะต้องจ่ายเงินครั้งละ 30บาท ในการไปตรวจรักษาสุขภาพ) ผลจากการที่ประชาชนไม่ต้องจ่ายเงินของตนเองเลยในการ “ไปซ่อมสุขภาพ” ทำให้ประชาชนหลั่งไหลไปโรงพยาบาลมากขึ้น เพื่อเรียกร้อง “สิทธิ” ในการ “ซ่อมสุขภาพ” ทำให้โรงพยาบาลต่างๆต้องรับภาระงานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องรับภาระตรวจรักษาประชาชนที่หลั่ งไหลมาโรงพยาบาลจนแน่นขนัดทุกวัน (ถ้าท่านผู้อ่านนึกภาพความ “แน่นขนัด” ของประชาชนที่ไปโรงพยาบาลไม่ได้ ก็ขอให้ท่านลองไปสังเกตการณ์ที่โรงพยาบาลของรัฐบาลที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย  ท่านก็จะเห็นคนเข้าคิวแน่นขนัดไปทุกโรงพยาบาล)  

      ในขณะเดียวกันรัฐบาลในยุคนั้นก็ได้พยายามส่งเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนรับรักษา ผู้ป่วยจากต่างประเทศมากขึ้น ภายใต้โครงการ “Medical Hub” ทำให้ชาวต่างประเทศมาใช้บริการตรวจรักษาสุขภาพในโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยม ากขึ้นจนมีจำนวนผู้ป่วยปีละเกือบสอง ล้านคนแล้ว ทำให้โรงพยาบาลเอกชนมีความต้องการบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆได้แก่ เภสัชกร นักเทคนิคการแพทย์ รังสีเทคนิค เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์อื่นๆอีกมากมาย โดยที่โรงพยาบาลเอกชนมีความสามารถในการจ่ายค่าตอบแทนการทำงานของแพทย์และบุค ลากรทางการแพทย์ในอัตราที่สูงกว่าเงินเดือนและค่าตอบแทนจากภาคราชการมาก จึงทำให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลลาออกมาทำงานในโรงพยาบาลเอกชนมากขึ้น ทำให้โรงพยาบาลของรัฐบาลมีบุคลากรไม่เพียงพอที่จะทำงานให้การตรวจรักษาประชา ชนอย่างเหมาะสม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ต้องรับภาระทำงานมากขึ้น ต้องทำงานสัปดาห์ละ 90-120 ชั่วโมง และมีเวลาตรวจผู้ป่วยเพียงคนละ 2-4 นาที(เอกสารหมายเลข1) ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงต่อความผิดพลาดในการรักษาเพราะแพทย์ไม่มีเวลาที่จะ คิดใช้ดุลพินิจอย่างเหมาะสมในการตรวจ วินิจฉัย หรือรักษาโรค ซึ่งทำให้มีการร้องเรียนหรือเรียกร้องค่าเสียหายจากการรักษามากขึ้น(เอกสารห มายเลข2และ3) และเกิดการฟ้องศาลทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาเพื่อให้ศาลลงโทษแพทย์ในคดีอาญาฐาน “ฆ่า” คนตายโดยประมาท

      นอกจากประชาชนจะฟ้องศาลแล้ว ยังร้องเรียนสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แพทยสภา หรือไปร้องเรียนหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เพื่อจะกล่าวหาแพทย์หรือโรงพยาบาลว่ารักษาผู้ป่วยไม่ดี ทำให้ไม่หายป่วย พิการ หรือตาย ทั้งๆที่บางกรณีเท่านั้นที่เกิดจากความผิดพลาดของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพท ย์ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากข้อจำกัดเรื่องสภาพของผู้ป่วยที่อาจป่วยหนักเกินเยียวย า ผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาไม่ดี เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์หรือผู้ป่วยมีโรคแทรกซ้อนในระบบอื่นๆของร่างกาย หรือมีข้อจำกัดด้านเครื่องมือ เทคโนโลยี เวชภัณฑ์ และความเชี่ยวชาญหรือความรู้ในวิชาชีพเฉพาะบางสาขาของบุคลากร หรือการขาดแคลนบุคลากรบางสาขา เช่นการขาดแพทย์เฉพาะทางด้านการดมยาสลบ การขาดแคลนแพทย์เฉพาะทางด้านการศัลยกรรม และอื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างเสมอเหมือนกันเมื่อไปโรงพยาบาลที่แตกต่า งกันและเป็นผลให้การรักษาสุขภาพอาจไม่ได้ผลเท่าเทียมกันในแต่ละโรงพยาบาล

    จากคุณ : หมอหมู - [ 17 พ.ย. 50 10:57:33 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom