ความคิดเห็นที่ 1 มีคนเป็นโรคนี้จริงๆ รายละเอียดไม่กล้าอธิบาย เพราะไม่รู้จริง พูดผิดๆไปคงไม่ดี รอคนที่เคยเป็นมาเล่าให้ฟังเองดีกว่า จากคุณ : ..ฟ้าใส.. - [ 13 ธ.ค. 50 20:37:42 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เป็นโรคค่ะ เราเคยมีญาติสนิทเป็นโรคนี้ คุณหมอแจ้งว่า สารบางอย่างในสมองของเขามีปริมาณที่ผิดปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความนึกคิด การตัดสินใจ การมองสิ่งแวดล้อมต่างๆผิดแผกไปจากคนปกติ ทำให้เกิดอาการต่างๆเช่น การหวาดระแวง ความกลัว และอื่นๆ ซึ่งการกินยา จะช่วยปรับสารดังกล่าวให้มีความสมดุลย์มากยิ่งขึ้นค่ะ อันนี้อาจจะอธิบายไม่ครบถ้วนนะคะ เท่าที่ฟังใจความคร่าวๆจากคุณหมอค่ะ จากคุณ : ยิ้มหวานตาโต (joyaccy) - [ 13 ธ.ค. 50 20:44:58 ]

ความคิดเห็นที่ 3 โรคนี้มันมีจริงๆครับ แต่ไม่ได้แปลว่าที่เห็นๆเป็นอาการนั้น เขาเป็นกันทุกคน ส่วนใหญ่แล้วเป็นโรคสำออย สงสารตัวเอง จากคุณ : sirnitfi - [ 13 ธ.ค. 50 21:46:48 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าหากเอาจริงๆเป็นโรคค่ะ  เพราะมีการหลั่งสารเคมีที่สมองผิดปกติ ทำให้ระบบความคิดเลยแปรปรวนไปบ้าง คิดง่ายๆ สารที่จะหลั่งเวลาที่มีความสุข มันไม่หลั่ง เลยทำให้ไม่รู้สึกมีความสุขเท่าไร จะหดหู่เป็นประจำ คิดแง่ร้ายเสมอ การรักษาก็จะมีการปรับสภาพจิต ให้ไม่คิดหดหู่บ่อย หมั่นทำใจ จะได้ไม่หลั่งสารแย่ๆมากเกิน แล้วก็กินยาปรับสารเคมีทีละนิดให้สมดุล ให้สารที่หลั่งเวลาที่คนเรารู้สึกดี หลั่งออกมาตามปกติ ไม่ฝ่อไปน่ะ จากคุณ : ทาสรักลูกแยม - [ 13 ธ.ค. 50 22:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อี๊ ไม่ชอบคำว่า "โรคสำออย" เอามากๆ อ่านแล้วฉุนแทนเลย จากคุณ : แม่ขวัญข้าว - [ 13 ธ.ค. 50 23:05:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ ^ คุณ คห.3 sirnitfi คะ คุณจะรู้ได้ยังไงคะ ว่าเค้าสำออย หรือ เค้าเป็นจริงๆ กรุณาอย่าใช้คำพล่อยๆนี้ กับคนอื่นอีก เพราะคุณจะไม่มีทางตัดสินได้ว่า เค้าเป็นอะไร และหากเค้าสำออยจริงๆก็แล้วไป แต่หากเค้าเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ คำๆนี้จะเป็นคำสุดท้ายที่คนเป็นโรคนี้อยากได้ยิน เพราะคำตัดสินว่าสำออย จะตามมาด้วยการไม่ใส่ใจจากคนรอบข้าง....... เพื่อนเราคนนึง ฆ่าตัวตาย เพราะเค้าเป็นโรคนี้ แต่ทางบ้านไม่สนใจเค้า คิดกันเอาเองว่า เค้าเป็น "โรคสำออย" โรคนี้ไม่เป็นเองไม่รู้ค่ะ จากคุณ : คนภูธรGO ONนครบาล - [ 13 ธ.ค. 50 23:46:59 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เอ่อ.. พี่เค้าคงหมายถึง ที่เค้าเจอส่วนใหญ่อ่ะค่ะ โรคนี้มันมีจริงๆอ่ะนะ คล้ายๆเป็นโรคทางจิตรึเปล่า? จากคุณ : sorry about that - [ 14 ธ.ค. 50 00:44:54 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เหมือนกับแม่ผมแหล่ะ เป็นโรค Huntington แต่คนคิดว่าเป็น Schizophrenia(depression) บางคนคิดว่าแกล้งทำ แม้แต่แพทย์ก็เชื่อไม่เชื่อว่าแม่ผมป่วยทางกาย  จะให้ส่งไป ร.พ.สมเด็จฯ/ศรีธัญญา แต่แพทย์ ร.พ.สมเด็จบอกไม่รับ เพราะไม่ใช่อาการทางจิต คนรอบข้างก็ไม่เข้าใจ บางครั้งก็พาลคิดว่าเป็นแบบเรียกร้องความสนใจน่ะแหล่ะ สุดท้ายท่านก็จากไป  .... ยังอยากจะไปถามคนบางคนจัง ที่ยังเข้าใจว่าเป็นอาการเรียกร้องความสนใจ อยากรู้ว่าเค้าจะยังคิดว่าแม่เรา เรียกร้องความสนใจอีกรึเปล่า http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L6022377/L6022377.html จากคุณ : S e m a k u t e k ! (เจ้าพ่อSemakutek) - [ 14 ธ.ค. 50 03:28:00 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โรคซึมเศร้า (major depressive disorder, clinical depression) จริงๆ เป็นโรคจิตเวช แบบกลุ่มอาการผิดปกติทางอารมณ์ (psychiatric disorder, mood disorder) สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะผิดปกติไม่แน่นอน แต่อาการที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับการทำงานที่ผิดปกติ หรือไม่เต็มประสิทธิภาพของสารสื่อประสาทเซโรโทนิน ( serotonin, 5HT) ในการศึกษาคนไข้บางกลุ่ม พบลักษณะของพยาธิสภาพในส่วนของสมองที่ชัดเจน บ่งชี้ว่ามีความผิดปกติของเนื้อสมองด้วย เซโรโทนิน เกี่ยวข้องกับการทำงานหลายๆส่วนของคน เช่น อารมณ์ ความโกรธ ความเศร้า การนอนหลับ การกิน คนที่มีอาการซึมเศร้า อาจพบอาการผิดปกติได้หลายอย่าง เช่น - มีความเศร้าที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ - สับสนในจิตใจ - รู้สึกเบื่อ ซึม ว่างเปล่า อะไรที่เคยชอบก็เบื่อ - นอนไม่หลับ หรือไม่ก็หลับทั้งวัน - เหนื่อย เพลีย - อยากทำร้ายตัวเอง อยากฆ่าตัวตาย .. และอื่นๆ ... อาการพวกนี้ เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล ใครไม่เคยเป็น คงเข้าใจได้ยาก แต่ผมเคยเป็น และรู้ซึ้งดี ว่ามันไม่มีเหตุผล "โรคสำออย" มันอาจมีจริง อาจมีเยอะ แต่คุณไม่สามารถตัดสินใครได้ง่ายๆนะครับ ดังนั้น ถ้าไม่แน่ใจ ก็เงียบไว้ก่อน "โรค" ต้องแยกออกจากความซึมเศร้าปกติ ถ้าคุณเปนหนี้ เจ้าหนี้ขู่จะฆ่า คุณกลัว คุณซึม บางทีมันก็แค่อาการเศร้าปกติ ถ้าไม่แน่ใจ ก็ไปหาจิตแพทย์ จบ ................... จะยกตัวอย่าง ว่าสารสื่อประสาทมันไปเกี่ยวไรกับใจคน สื่อ ก็คือสื่อ มันเป็นตัวส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท สมมติว่าคุณปิดประตูแล้วล็อกกลอน มันก็จะส่งข้อมูลไปมาในสมอง ว่านี่นะ เราล็อกประตูแล้ว คุณก็จะสบายใจ แล้วเดินต่อไป แต่ถ้าข้อมูลมันตกหล่นกลางทาง ไม่มีคำว่า "ภารกิจสำเร็จ" ไปเก็บไว้ยังหน่วยที่ทำหน้าที่  checkpoint สักพัก คุณก็จะสับสนว่า เราทำสำเร็จรึยัง ..เรา ล็อกประตูรึยัง นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ อาจไม่ใช่สำหรับโรคซึมเศร้า แต่ก็เปนตัวอย่างที่ทำให้เข้าใจว่า "สารสื่อประสาท" มันมีหน้าที่อะไร ............... สำหรับโรคซึมเศร้า รักษาด้วยยาเป็นหลัก การทำจิตบำบัดโดยไม่ใช้ยาร่วม ได้ผลน้อยมาก เพราะสาเหตุอย่างที่ว่าไว้ข้างบน แต่การดูแลจิตใจ เป็นการสนับสนุนที่ดีสำหรับผู้ป่วยเอง และช่วยฟื้นฟูอาการ เป็นที่สารเคมี ก็ต้องแก้ที่สารเคมี การใช้ยา ไม่ใช่การแก้ที่ปลายเหตุ จากการพูดพล่อยๆ ของคนที่ไม่รู้จักโรคจิตเวช อาจมีวิธีรักษาอื่นๆ เช่นการกระตุ้นให้ชักด้วยไฟฟ้า (ECT) .............. ป.ล. schizophrenia นี่คนละโรคกับซึมเศร้านะ ตัวนี้เรียกว่าโรคจิตเภท เป็นอาการรับรู้ที่ผิดปกติ มีความคิดที่แตกแยก หลงผิด เป็นมากๆ ก็จะสภาพเหมือน "คนบ้า" ข้างถนน แต่ถ้ารักษาดีๆ ก็คือคนธรรมดาๆ คนหนึ่งนี่ล่ะ แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 50 04:12:05 จากคุณ : atheist - [ 14 ธ.ค. 50 04:09:14 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เข้ามาตอบในฐานะเป็นผู้ป่วยโรคนี้ และมีโรคจิตเวชอื่นๆ ร่วมด้วยนะคะ ^^ "ซึมเศร้า" ที่พูดกันโดยทั่วไป ทุกวันนี้ มีหลายประเภทนะคะ มีทั้ง "อาการซึมเศร้าที่เกิดได้ในคนทุกคน" ในบางช่วงเวลาที่เผชิญความทุกข์ ความผิดหวังหรือความไม่สบายใจ คนที่มีอาการซึมเศร้าในกลุ่มนี้ มักรู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด (เชื่อว่า จขกท และเพื่อนสวนลุมทุกท่านย่อมเคยประสบมาบ้าง ถี่ห่าง หนักเบาต่างๆ กัน) สามารถที่จะหาทางออก ปรับตัว และฟื้นตนเองได้หลังจากช่วงระยะเวลาผ่านไประยะหนึ่ง และด้วยการช่วยเหลือตามธรรมชาติ และสิ่งรอบตัวง่ายๆ ของตนเอง เช่น มีครอบครัว คนรักช่วยปลอบใจ หาทางผ่อนคลายและทำความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น อาการที่เกิดขึ้นนี้ ก็สามารถเรียกได้ว่า "ซึมเศร้า" ได้เช่นกัน ส่วน "โรคซึมเศร้า" นั้น ต่างออกไป (รายละเอียดตามที่คุณ atheist เขียนไว้ด้านบน) เป็น "โรคทางจิตเวช" ชนิดหนึ่ง ** <ขอขอบคุณ คุณ atheist ที่กรุณามาทักท้วง ข้อมูลเกี่ยวกับการจำแนกโรคทางจิตเวชค่ะ เรื่องการจำแนกโรคทางจิตเวชเป็นเรื่องใหญ่ ซับซ้อน และค่อนข้างสับสน ด้วยสาเหตุต่างๆ .. เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน หรือสับสนเพิ่มขึ้น เราจึงขออนุญาตเข้ามาลบข้อมูลที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ> ** พอจะสรุปสั้นๆ ได้ว่า "โรคซึมเศร้า" มีสาเหตุจากความผิดปกติของชีวเคมีในสมอง ฮอร์โมนในร่างกาย ร่วมกับสาเหตุอื่นๆ เช่น สาเหตุในระดับจิตวิทยา / จิตใจ และสาเหตุที่เกิดจากสภาพความเป็นอยู่ สังคมและเศรษฐกิจ เป็นต้น ในทางการแพทย์ เห็นว่าทั้งสามสาเหตุล้วนมีส่วนในการทำให้คนเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ โดยทั่วไป การรักษาจึงใช้หลายวิธีร่วมกัน ได้แก่ การกินยา การทำจิตบำบัดและการใช้ ECT โรคซึมเศร้านี้ อาจเกิดกรรมพันธุ์ที่ผ่านมาทางยีนได้ และนอกจากการส่งผ่านกันทางพันธุกรรมได้แล้ว คนในครอบครัวเดียวกัน ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคนี้หลายคน เนื่องจากอยู่อาศัยร่วมกัน วิธีคิดและพฤติกรรมมีความโน้มเอียงไปในทางเดียวกัน .. การสูญเสียคนรัก การผิดหวังอย่างรุนแรง อาจเป็นตัว trigger ให้ความไม่สมดุลย์ของสารเคมีในสมองที่อาจมีอยู่แล้วบ้างในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถือเป็นความผิดปกติ เกิดผิดปกติ เกิดไม่สมดุลย์หนักขึ้น จนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการต่างๆ ของโรคขึ้น และในทางกลับกัน ภาวะชีวเคมีในสมองไม่สมดุลย์ก็อาจเป็นตัว trigger ให้ความเศร้าที่เกิดในผู้ป่วยบางราย ที่ควรจะหายได้เช่นคนปกติ กลับไม่หายไป ซ้ำก่อให้เกิดอาการของโรคตามมาเสียอีก เป็นต้น เท่าที่เราสังเกต ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคนเจ็บด้วยโรคนี้ออกมาขอความช่วยเหลือจากแพทย์ และเข้าถึงการรักษามากขึ้น สาเหตุสำคัญเนื่องจากภาครัฐ (ร่วมกับบริษัทยา) เริ่มรณรงค์ให้สังคมในวงกว้างรู้จักโรคนี้มากขึ้น เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย ถือเป็นเรื่องดี แต่ในขณะเดียวกัน เนื่องจากอาการของโรคแยกได้ยากจาก "อาการซึมเศร้าทั่วไปของคน" ทำให้คนไม่น้อยรีบผลักตนเองเข้าสู่การเป็นโรคนี้ และดูเหมือนจะเป็นโรคนี้ ฉะนั้น เราจึงย้ำเสมอว่าผู้ที่สงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดจะป่วยเป็นโรคนี้นั้น ขอให้คุณหมอเป็นผู้วินิจฉัย เนื่องจากคุณหมอมีความรู้และความชำนาญที่จะแยกได้ คัดกรองได้ว่าเป็นโรค หรือเป็นอาการ เป็นอารมณ์ปกติที่เกิดได้กับคนเราเท่านั้น มีโอกาสได้อ่านงานวิชาการเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าอยู่บ้าง มีรายงานที่พอจะยืนยันได้ว่า ในปัจจุบัน สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนป่วยด้วยโรคนี้ อยู่ที่ปัจจัยในด้านจิตวิทยา / จิตใจ กล่าวคือเมื่อมีความผิดปกติในระดับจิตวิทยา (วิธีคิด การรับรู้ พฤติกรรม บุคลิกภาพ ฯลฯ) ความผิดปกตินี้ไปกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของชีวเคมีในสมอง มีสถิติ (ของฝรั่ง) ยืนยันว่าการป่วยโดยมีสาเหตุการทำงานของชีวิตเคมีในสมองผิดปกติ ที่ไปสร้างความผิดปกติในด้านอื่นจนเกิดเจ็บป่วยนั้น มีจำนวนน้อยกว่า เราเดาว่าในเมืองไทยเราก็เช่นกัน ฉะนั้น เราเชื่อว่าการทำจิตบำบัดเป็นสิ่งจำเป็น ไม่น้อยกว่าการกินยาค่ะ แต่เงื่อนไขจำกัดอยู่ที่ว่าการทำจิตบำบัดต้องอาศัยทรัพยากรมาก ที่สำคัญ ได้แก่ เวลา และความรู้ความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล ตลอดจนนักจิตวิทยา ในฐานะเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ และส่วนหนึ่งที่เข้ามาในสวนลุมแห่งนี้ก็เพื่อมาสื่อสารพูดคุยกับผู้ที่มีอาการเศร้าเพื่อไม่ให้ความเศร้ากินลึกไปเป็นโรค ผู้ที่อาจเจ็บป่วยด้วยโรคซึมเศร้าที่ไม่แน่ใจว่าตนเองเศร้าหรือป่วยเป็นโรค และเพื่อนผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าเช่นกัน เราอยากบอกไว้ ณ ที่นี้ ว่าไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าความเศร้าจะอยู่ในระดับไหน จะเป็นโรคหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น หากแต่เราถือว่าคนๆ นั้น กำลังประสบทุกข์ ความที่ทนได้ยาก ความไม่สบายด้วยกันทั้งสิ้น และเชื่อด้วยว่าสวนลุมแห่งนี้ ที่แม้จะเป็นโลกไซเบอร์ ก็สามารถทำหน้าที่สำคัญประการหนึ่งเพื่อช่วยบรรเทาและหรือรักษาความไม่สบายในจิตใจของคนเราได้ นั่นคือ การเป็นสถานที่สำหรับการทำจิตบำบัดด้วยการพูดคุย (Talk therapy) การเป็นเพื่อนรับฟัง ให้กำลังใจ (แบบอ่อนโยนบ้าง แบบดุดุบ้าง) ซึ่งสามารถทำได้หลายอย่าง ดังจะเห็นได้ว่ามีกระทู้หลากรส หลายชนิดปะปนอยู่ร่วมกัน ซึ่งกระทู้ทุกๆ แบบ และความเห็นหลากหลายต่างก็ร่วมกันทำงานนี้ ผู้เขียนและตอบกระทู้บางท่านใช้อารมณ์ขัน บางท่านให้แนวทางเยียวยาความทุกข์แบบ practical เอาไปใช้ได้จริงและทันที .. และหรือแนวของเรา ซึ่งมักออกไปในแนวปรัชญา ให้ความสำคัญแก่ความจริงในระดับปรมัตถ์และจิตวิญญาณ และหากจะมีบ้างก็อาจมีแนวจิตวิเคราะห์ร่วมด้วย (ซึ่งขอย้ำในที่นี้ ว่าเป็นเพียงความเห็น ความรู้และประสบการณ์ที่มีของคนๆ หนึ่งเท่านั้น อาจมีผิดบ้าง ถูกบ้าง และออกทะเลบ้างนะคะ) สรุปว่า ซึมเศร้า มีทั้งที่เป็น "โรค" ที่เกิดกับคนบางคน และที่เป็น "อารมณ์ปกติชนิดหนึ่ง" ที่เกิดได้กับทุกคนค่ะ ไม่อยากให้ใครต้องเจ็บป่วยด้วยโรคนี้เลย ความทุกข์ทรมานมันมากเกินจะอธิบายหรือแสดงออกมาได้โดยใช้ถ้อยคำค่ะ แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 50 07:39:52 แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 50 07:05:13 จากคุณ : Between the birth - Nirvana (ipiup) - [ 14 ธ.ค. 50 06:34:13 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ sirnitfi  ก็แค่ออกความเห็นของเค้า ไม่น่าไปว่าเค้าเลยนะ จากคุณ : ลิเซิ่ล - [ 14 ธ.ค. 50 13:33:41 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ  sirnitfi  ปากเสียจังนะคะ จากคุณ : อาซิ่ม - [ 14 ธ.ค. 50 14:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เข้ามาเพิ่มนิดนึง บ่ายนี้นะคะ ^^ เราเองคิดว่าการบำบัดทางจิตที่จะช่วยเหลือคนไม่สบายใจตลอดไปจนผู้ป่วยด้วยโรคนี้ น่าจะไม่จำกัดอยู่เพียงบุคลกรทางการแพทย์ และนักจิตวิทยาเท่านั้น ครอบครัว เพื่อน รวมทั้งบอร์ดสาธารณะทั้งหลายเช่นนี้ ก็ทำงานเพื่อบำบัดจิตได้ ถือเป็นการบำบัดในแบบอื่นๆ เป็นทางเลือกที่คนไม่สบายใจ และผู้ป่วยอาจสามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่เพียงคนเหล่านี้และบอร์ดสาธารณะเท่านั้นที่เราเห็นว่าช่วยในเรื่องการบำบัดจิตได้ดี (และก็ไม่เพียงบำบัดจิตเท่านั้น แต่ป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตได้ดีด้วย) นั่นคือ หลักธรรมคำสอนของศาสนาต่างๆ ไม่เพียงศาสนาพุทธเท่านั้น ตัวอย่างเช่นคำสอนของศาสนาพุทธ ที่บอกกล่าวเรื่องกฎธรรมชาติของชีวิตและโลกไว้อย่างละเอียด และเราทุกคนต่างก็อยู่ภายใต้กฎนี้ ทั้งยังบอกแนวทางการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ ไว้ด้วย นอกจากนั้น หลักการเจริญวิปัสสนายังสามารถช่วยให้คนเราสามารถมีความสงบสุขในจิตใจได้มากขึ้น ท่ามกลางความดิ้นรน ยากลำบากที่มีมากมายรอบตัว เราเอง เชื่อว่าการรักษาโรคนี้ โดยอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ก็เป็นสิ่งจำเป็น ดยเฉพาะในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง (เมื่ออาการเริ่มทุเลาลงแล้ว) ส่วนหลักคำสอนทางศาสนาและการเจริญวิปัสสนานั้น น่าจะได้ผลดี หากใช้เยียวยาและรักษาผู้ป่วยในระยะที่อาการเกือบปกติดีแล้ว และคนทั่วไปที่ต้องการรักษาสภาพการมีสุขภาพจิตที่ดีของตนเองไว้ค่ะ จากคุณ : Between the birth - Nirvana (ipiup) - [ 14 ธ.ค. 50 14:34:35 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณ คุณ atheist และคุณ Between the birth - Nirvana มากๆ ครับ สำหรับคำอธิบาย ที่กระจ่างมากๆ พอดีเพิ่งมีเวลาอ่านจนจบ... และก็ขอบคุณทุกๆ ท่านด้วย ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นคับ ^^ จากคุณ : ต่ายหมายจันทร์ - [ 16 ธ.ค. 50 00:33:26 ]