อยู่ก่อนแต่ง: ดีหรือไม่ดี?
ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
หัวข้อนี้ เป็นอีกประเด็นที่นักศึกษาชอบถาม ความจริงผม อธิบายยาวเหยียดเป็นชั่วโมง แต่ในที่นี้จะกล่าวสั้นๆ เพื่อให้อ่านให้จบโดยใช้เวลาไม่มากนัก ทุกวันนี้ สังคมไทยเต็มไปด้วยสื่อ ามกอนาจาร ผู้หญิงผู้ชายต่างเติบโตมาภายใต้สิ่งยั่วยุ กิเลสตัณหาเป็นสิ่งที่มีอยู่ไม่จำกัดประมาณ เมื่อผู้ชายเริ่มคบผู้หญิงเป็นแฟน ก็อยากมีเพศสัมพันธ์ด้วย
Love ที่แปลว่ารักหรือความรักนั้น ถ้าเราสืบรากศัพท์จริงๆ ใน ภาษาตระกูลอินโดยุโรป มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า โลภะ (lobha) ที่แปลว่าความอยากได้ เมื่อมนุษย์พูดกันว่า I love you ความหมายดั้งเดิมก็คือ ฉันอยากได้ตัวเธอมา(ระบายราคะ)ของฉัน' เหมือนๆ กับที่มนุษย์อยากได้เงินทองมาใช้สอยส่วนตัว หรืออยากได้เสื้อผ้าแพงๆ มาประดับตัวนั่นแหละ วัตถุสิ่งของเหล่านี้ก็ล้วนแต่หามาเพื่อสนองโลภะส่วนตัวเท่านั้น
ในบาลีและสันสกฤต เรามีคำอีกคำที่บ่งถึงความรัก คือเมตตาหรือกรุณา แต่ในภาษายุโรป คำว่า love ถูกใช้ในความหมายหลายอย่าง เพราะเมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้น ความรักก็ถูกขยายให้มีความหมายในแง่ดีด้วย ความรักจากคำว่า love จึงถูกตีความหมายไปต่างๆ นานา มีทั้งด้านบวก ด้านลบ
แต่ในสัญชาติญาณจริงๆ ของมนุษย์ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่บอกว่ารักมีราคะตัณหาเจือปนอยู่ด้วย และเป็นการยากที่จะบอกว่าเส้นแบ่งอยู่ตรงไหนในชีวิตจริง บางคนถือว่าความรักกับเซ็กส์เป็นอันเดียวกัน บางคนบอกว่ารักกับเซ็กส์เป็นคนละเรื่อง คนที่รักกันไม่จำเป็น ต้องมีเซ็กส์กัน ฯลฯ คนเขาจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ขณะนี้เราไม่ได้พยายามหาคำนิยามที่ถูกต้องว่ารักคืออะไร? เซ็กส์กับความรักคาบเกี่ยวหรือแยกกันได้หรือไม่? แต่เรากำลังพูดถึงสถานการณ์จริงว่าจะมีรักอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด
ผู้ชายเมื่อรักผู้หญิง (ไม่รู้จะรักจริงหรือรักลวง)ก็จะพยายามมีเพศสัมพันธ์ด้วย และผู้หญิงจำนวนมากก็ยอมพลีกายให้ทั้งที่อยู่วัยเรียน บางทีผู้ชายก็ใช้เทคนิคหลายอย่างเพื่อลวงผู้หญิง เช่น
1.แค่บอกว่ารักเธอคนเดียว ตามเอาอกเอาใจไปสักพักหนึ่ง ผู้หญิงก็ใจอ่อน ส่วนใหญ่ นักศึกษาที่อยู่ๆกันฉันผัวเมียตามหอพัก ก็จะเข้าสูตรนี้
2.ผู้หญิงบางคนไม่ยอมง่ายๆ ผู้ชายต้องอ้างเรื่องแต่งงาน ขนาดพาไปรู้จักครอบครัว ผู้หญิงก็เกิด ความรู้สึกมั่นใจขึ้นแล้วก็ใจอ่อน
3.บางคนใจแข็ง ผู้ชายถึงขนาดหมั้นกันแล้ว ผู้หญิงถึงยอมใจอ่อน
แต่ไม่ว่าจะถึงระดับไหน ผู้หญิงทั้งสามข้อนี้มีสิทธิ์ถูกผู้ชายทิ้งได้ทั้งนั้น ถ้าผู้ชายเบื่อขึ้นมาและไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเขาจะอยู่กับเธอตลอดไป (และผู้ชายก็มีสิทธิ์ถูกทิ้งได้เหมือนกันตามกฎอนิจจัง) เราจึงได้ยินข่าวต่างๆ นานาว่าผู้หญิงกระโดดตึกตายบ้าง กระโดดสะพานบ้าง กินยานอนหลับเพื่อฆ่าตัวตายบ้าง ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ ควรเป็นบทเรียนให้ผู้หญิงรู้จักรอบคอบในการตัดสินใจ ผู้หญิงที่เคยฆ่าตัวตายในอดีตจะได้ไม่ตายปล่าว ผู้หญิงที่ถูกทิ้งอย่างทรมานหลังจากมีเพศสัมพันธ์กันแล้วมีมากมายนัก โบราณถึงมีคำสอนตกผลึกให้ถึงเวลาเหมาะสมก่อนค่อยเลือกคู่ เพราะแม้หญิงจะมีมารยาร้อยแปด แต่ผู้ชายก็มีร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม การที่เพิ่งเรียนมัธยมหรือเพิ่งเป็นนักศึกษา ก็ตัดสินใจมีแฟน สายตาที่มองผู้ชายอาจไม่รัดกุมพอ ไม่เพียงอาจไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม ยังอาจด่วนตัดสินใจผิดพลาดได้ และจะกระทบชีวิตการศึกษาและส่งผลเสียต่อครอบครัวได้ หลายๆ ครอบครัว พ่อแม่ยากจน การศึกษาของลูกสาวคืออนาคต เมื่อลูกสาวมาพลาดท่าเสียทีก็พลอยทำให้ชีวิตที่วาดฝันไว้ว่าต้องดีในอนาคตต้องมาเซหรือสะดุด พ่อแม่ก็พลอยเป็นทุกข์เสียใจไปด้วย
แต่ถ้ามีการศึกษาพร้อม รู้จักโลกมากพอควร รู้จักเล่ห์เหลี่ยมผู้ชาย รู้จักแยกแยะคนดีและคนไม่ดีอย่างเพียงพอแล้วค่อยตัดสินใจก็จะรัดกุมและปลอดภัยแก่ตัวเองมากขึ้น พึงจำคำโบราณให้ขึ้นใจว่าความอดทนนั้นทรมานแต่ผลของมันหวานชื่น ทำให้ผู้ที่อดทนมีความสุขในบั้นปลายเสมอ เหตุดังนี้ โบราณจึงสอนมิให้ ชิงสุกก่อนห่าม' บ้าง ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม' บ้าง ฯลฯ ภาษิตเหล่านี้ล้วนเกิดจาก ประสบการณ์จริงที่ผู้หญิงในอดีตเคยประสบมาก่อนทั้งนั้น
สรุปได้ว่าถ้าผู้หญิงผู้ชายต่างเป็นแฟนกัน มีเพศสัมพันธ์และยินดีที่จะทิ้งหรือถูกทิ้งไปเรื่อยๆ ทางพระพุทธ ศาสนาถือว่าเธอและเขาทั้งคู่ไม่สำรวมในกาม ไม่รักษาพรหมจรรย์ (โปรดดูหัวข้อว่าด้วยพรหม จรรย์) คำถามก็คือเธอจะอยู่กับผู้ชาย และได้เสียกับเขากี่คนถึงจะได้แต่งงานกันเป็นฝังเป็นฝาเสียที? เพราะผู้หญิงและผู้ชายที่ใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ใช่วิถีชีวิตแบบชาวพุทธที่ดีแน่นอน
บางคนพยายามคิดว่าการรักนวลสงวนตัวเป็นความคิดในแนวอนุรักษ์นิยม (conservative) ส่วนการอยู่ก่อนแต่งเป็นแนวก้าวหน้านิยม (progressive) หรือทันสมัยนิยม (modern trend) ผู้ชายที่อยากมีเพศสัมพันธ์กับแฟนตัวเองก็พยายามโน้มน้าวว่าใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริง การรักษาพรหมจรรย์หรือการรักนวลสงวนตัว เป็นการใช้ชีวิตบนพื้นฐานปรัชญาพุทธ คือการอยู่บนพื้นฐานของศีล, สมาธิและปัญญา พระพุทธเจ้าทรงสอนทั้งผู้หญิงผู้ชาย ศัพท์เฉพาะทางภาษาบาลีเรียกกันว่ากามสังวร
คำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นสัจธรรม ไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาว่าจะทันสมัยหรือล้าสมัย คำว่าทันสมัยหรือล้าสมัยเกิดจากการที่เราเอาวัตถุที่มนุษย์สร้างมาเป็นตัววัด เช่น สมัยศตวรรษที่ 21 ตึกราม บ้านช่องย่อมพัฒนาสูงกว่าสมัยศตวรรษที่ 17-18 ดังนั้น คำว่าทันสมัยและล้าสมัย จึงถูกสร้างขึ้น แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม อยู่เหนือทวิภาวะว่าอนุรักษ์นิยมและก้าวหน้านิยม ถ้าจะมีทวิภาวะก็จะมีแค่ สิ่งใดดี' กับ สิ่งใดชั่ว' ซึ่งมีให้เห็นได้ทุกยุคสมัยมากกว่า พฤติกรรมใดเป็นความชั่วก็จะให้ผลชั่ว พฤติกรรมใดเป็นความดีก็จะให้ผลที่ดี และจะเป็นเช่นนี้ไปทุกกาลสมัย จำเป็นอะไรถ้าคนอื่นจะเมามายตามกระแสโลก มีจิตใจต่ำลงและตกนรกในภพหน้าแล้วเราต้องมัวเมาตัวเองให้ตกต่ำตามไปด้วย
ถ้าจะเป็นอะไรสักอย่าง พระพุทธศาสนาก็เป็นสัจนิยมในแง่ที่ว่าชีวิตที่มีพื้นฐานอยู่กับปรัชญาที่ดีงาม ย่อมจะมีผลเป็นสุขทั้งในปัจจุบันชาติและอนาคตชาติ ชายหญิงที่รู้จักรักนวลสงวนตัวก็ย่อมแต่งตัวมิดชิด มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งแตกต่างจากการแต่งกายยั่วยุหรือโป๊เปลือยนั่นแหละ ชาวพุทธแท้ย่อมไม่ส่งเสริมการแต่งตัวโป๊เปลือย ชาวพุทธแท้ย่อมไม่จัดพิมพ์ปฏิทินปลุกใจเสือป่า ชาวพุทธแท้ย่อมไม่มอมเมาชาวบ้านด้วยเครื่องดองของเมา พวกที่ทำสิ่งเหล่านี้สักแต่เป็นชาวพุทธในนามเท่านั้น เป็นตัวแทนพระพุทธศาสนาหรือเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทั้งชายและหญิงรู้จักแต่งตัวให้เรียบร้อยตามกาละและเทสะ การแต่งกายที่เรียบร้อยทั้งชายและหญิงเป็นอภิสมาจาร (มารยาทที่ดี) ของชาวพุทธเพราะเป็นการแต่งกายที่อยู่บนพื้นฐานของศีล, สมาธิและปัญญา
ถามว่าเพราะเหตุใดต้องเอาศีล, สมาธิและปัญญามาเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำ? คำตอบก็คือเรามีความเชื่อว่าศีล, สมาธิและปัญญาจะทำให้เราไปเกิดในภพภูมิที่ดีในอนาคตชาติ
ชาวพุทธเชื่อในกฎแห่งกรรม ชาวพุทธเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง แต่กระแสสังคมสมัยใหม่ มาจากประเทศตะวันตกซึ่งเป็นวัตถุนิยม จึงตกอยู่ภายใต้กระแสปรัชญาวัตถุนิยมซึ่งไม่เชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริง ไม่เชื่อว่าภพหน้ามีจริง
เมืองไทยได้พัฒนาจิตนิยมมาสูงพอแล้ว ทำไมจะต้องเอนเอียงไปตามกระแสสังคมวัตถุนิยมแบบฝรั่งซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิและด้อยพัฒนาในด้านจิตนิยม?
http://www.bodhinanda.com/s0117/index.php?pgid=0007
จากคุณ :
Mr.Terran
- [
29 ธ.ค. 50 20:49:43
]