ความคิดเห็นที่ 1 คุณอาจคิดมากก็ได ลองปรึกษาจิตแพทย์ รพ.หลวงได้ทุกแห่ง ปล.การปรึกษาจิตแพทย์เป็นรื่องปรกติ ไม่น่าอายตรงไหน รีบไปเถอะ ก่อนที่จะเป็นมากกว่านี้ จากคุณ : บลูเรย์ - [ 20 ม.ค. 51 21:43:01 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ใช่ค่ะ ไม่น่าอาย ถ้าไม่ไปก็แก้ไขที่ตัวเราเอง อย่างเธอเราก็เคยเป็น เพราะเราอยู่ในครอบครัวที่กดดันด้วย ต้องรู้จักปล่อยวางนะ หรือไม่ก็ทำไรที่อยากทำ หลุดโลกไปเลย เต็มที่กะชีวิต จากคุณ : โอ๋ - [ 20 ม.ค. 51 23:00:04 A:124.120.251.73 X: TicketID:166049 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เราป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ที่เรียกว่า OCD (obsessive compulsive disorder)ตั้งแต่อายุได้ 13-14 จะมีอาการปวดหัวเหมือนคุณมาตลอด กว่าจะรักษาหายขาดได้เราอายุปาเข้าไป 29 แน่ะ เราเคยไปหาจิตแพทย์แล้ว แต่ไม่กล้าไปอีก เนื่องจากจิตแพทย์คนที่แม่เราพาไปหา กับจิตแพทย์คนอื่นๆ (รวมหลายสิบคนจากโรงพยาบาลหลายสิบแห่ง) ต่างก็เคยรักษาแม่เราที่เป็นโรควิตกจริตคิดมากนอนไม่หลับปวดหัวเบลอๆ ยิ่งรักษา ไม่ว่าจะโดยการให้ยาหรือพูดเพราะๆในเชิงจิตวิทยา แม่เราก็ยิ่งป่วยหนักมากยิ่งๆขึ้น ส่วนใหญ่จะป่วยหนักมากขึ้นเพราะผลข้างเคียงของฤทธิ์ยา หลังจากนั้นเราโดนส่งไปอยู่ประเทศอังกฤษ เราไม่ได้เจอแม่เราอีกเลยเป็นเวลานาน อาการย้ำคิดย้ำทำเรากำเริบมากถึงขั้นเรียนหนังสือไม่ได้ ปวดหัวมากระบมเลย เราเลยต้องหยุดเรียนหนังสือ แล้วรับเงินสวัสดิการจากรัฐบาลอังกฤษอยู่หลายปี(เราได้รับสิทธินี้เพราะเราไปแต่งงานกับคนอังกฤษ(แต่ตอนนี้หย่ากันไปแล้ว)) เราไม่ได้เรียนหนังสือไม่ได้ทำงาน เดินๆไป แล้วไปหาหนังสือมาอ่าน เราพบตำราการแพทย์ทางเลือกที่คนจีนเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษมากมายหลายเล่ม  ตอนนั้นที่เราเรียนหนังสือแต่หยุดเรียนไว้ เราเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ แต่อยู่ดีๆเรามาหลงไหลปรัชญาของเต๋า   สิ่งที่เราได้เรียนรู้ก็คือทฤษฎีธาตุทั้ง 5 ของนักพรตเต๋า เขาบอกว่าอาการป่วยทางจิต แท้จริงแล้วมาจากอาการป่วยของอวัยวะภายใน  เช่นคนที่ชอบโมโหจนระงับไม่ได้นั้นตับและ/หรือถุงน้ำดี(ธาตุไม้)ป่วย คนที่เป็นโรคซึมเศร้า(depression)ปอดและ/หรือลำไส้ใหญ่(ธาตุโลหะ)ป่วย ส่วนคนที่กังวลหรือกลัวโดยไร้เหตุผลนั้นไต/และหรือกระเพาะปัสสาวะ(ธาตุน้ำ)ป่วย...และคัมภีร์เล่มนั้นยังกล่าวถึงอวัยวะอีก 2 คู่รวมเป็นอีก 4 อวัยวะ และรวมอีกสองธาตุ ...ซึ่งจะยังไม่กล่าวถึง เมื่อเราเรียนรู้เช่นนี้เราจึงตีความอาการของ OCD ว่ามีความโดดเด่นคือ "ความกลัว" ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า ไตและ/หรือกระเพาะปัสสาวะซึ่งเป็น"ธาตุน้ำ" ของเราป่วย ดังนั้นเราจึงรักษาที่ต้นตอ แทนที่จะไปกินยาระงับประสาทที่แพทย์ให้ แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 01:18:28 แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 01:16:07 แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 01:15:51 แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 00:44:51 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 21 ม.ค. 51 00:41:38 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งที่เราเรียนรู้มาจากคัมภีร์โบราณที่นักพรตเต๋าเขียนไว้เป็นภาษาจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อน  (มีคนจีนแปลเป็นภาษาอังกฤษ) เมื่อเราอ่านไปแล้วเรารู้ว่า การหลั่งน้ำอสุจิบ่อยๆเป็นการรีดพลังชีวิตออกจากไต เป็นการปล้นทรัพยากรไปจากไต ช่วงนั้นเราช่วยตัวเองจนหลั่งน้ำอสุจิมากมาย วันๆหนึ่งเกินกว่า 4-5 ครั้ง บางทีพอเราเสียวถึงจุดสุดยอดเป็นครั้งที่ 5 ของวัน เราไม่มีน้ำกามหลงเหลืออยู่เลย เพราะว่าร่างกายผลิตไม่ทัน ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ไต 2 ข้างเป็นตัวที่สร้างพลังทางเพศให้ผู้ชาย มันทำให้นกเขาขัน อีกทั้งการรีดน้ำกามออกวันละหลายๆหนทำให้ไตเรายิ่งอ่อนแอลง เมื่อธาตุน้ำอ่อนแอลง อาการประสาทคือความกลัวจึงมีมากขึ้น จึงส่งผลให้โรค OCD ของเรากำเริบหนักยิ่งๆขึ้น....จนยากที่จะเยียวยารักษาได้ อยู่มาวันหนึ่งเราไปดูหนังจีนมา แล้วกลับบ้านแล้วพยายามเลียนท่าเพลงการต่อสู้แบบในหนังที่เราไปดูมา แล้วเราหมดแรง ล้มลงฟาดกับพื้น หายใจแขม่วๆ แน่นหน้าอกรู้สึกว่าใกล้จะตาย เราจึงนอนพักอยู่นาน พอเริ่มมีแรงก้อค่อยๆคลานไปที่ชั้นหนังสือแล้วหยิบคัมภัร์เต๋าเล่มที่เรามีนานแล้ว แต่ไม่ยอมฝึกเนื่องจากมันเป็นวิชา alchemy (เล่นแร่แปรธาต) ที่สอนให้เราเก็บน้ำกามไว้ และนำไปผสานกับลมปราณเพื่อสร้างเป็นยาอายุวัฒนะ เพื่อความเปล่งปลั่งในชีวิต เราคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ แต่เนื่องจากป่วยหนักเราจึงไม่มีทางเลือก แต่ก็ยอมฝึกวิชาจากคัมภีร์เล่มนั้นอย่างสุดแสนจะทรมาณจิตใจ ...ทรมาณเพราะอะไร? ....เพราะว่า ในคัมภัร์สอนให้เราปลุกปั่นอวัยวะเพศให้ตื่นตัว ทำตัวเองให้มีความรู้สึกทางเพศ แล้วพยายามขับเคลื่อนพลังทางเพศให้ผสานกับลมปราณ ร่างกายเราแทบจะมอดไหม้ไปด้วยความต้องการทางเพศอย่างรุนแรง .... แต่ในที่สุดเราก็ฝึกคัมภีร์เล่มนั้นสำเร็จในระดับหนึ่ง จนกระทั่ง OCD (โรคย้ำคิดย้ำทำ) ของเราหายขาดไปเองโดยไม่ต้องไปกินยา ไม่ต้องหาหมอ ... แค่รู้ว่าต้นตอความป่วยของเราอยู่ตรงไหน ก็แก้ที่จุดนั้น พอ OCD หายไป อาการปวดหัวของเราก็หายไปด้วย จากนั้นอีกหลายปี เรายังฝึกช่วยตัวเองพอน้ำกามจะออก เราก็หยุดไว้ แล้วปั่นอวัยวะเพศต่อ พอน้ำกามจะออกเราก็กลั้นไว้อีก ซ้ำๆแบบนี้วันละหลายๆหนด้วยกัน .... เวลาฉี่เราก็ฝึกกลั้นฉี่ แล้วขยับๆแกนกระดูกสันหลังเรา ให้กระตุ้นประสาทให้เกือบจะเสียวๆเหมือนหลั่งน้ำกาม แต่เป็นหลั่งฉี่ (หลังจากกลั่นฉี่) เสียแทน อยู่ดีๆในวันคริตสมาสของปีหนึ่งในนครลอนดอน เป็นโชคดีที่เป็นฤดูหนาวที่ไม่หนาวมากนักเราฝึกปั่นอวัยวะเพศเราแล้วเดินลมปราณเหมือนเช่นเคย พบว่าอยู่ดีๆเราถึงจุดสุดยอดได้โดยไม่มีน้ำกามไหลออกมาเลย  มันทำให้เราดีใจมากจนน้ำตาไหลที่ไปได้ล่วงรู้ความลับแห่งสวรรค์หลังจากที่เพียรพยายามฝึกมาหลายปี หลังจากฝึกขมิบฉี่ไปเรื่อยๆ เราก็ขมิบน้ำกามไว้ได้เหมือนขมิบฉี่ ในช่วงหลังๆเราสามารถมี multiple orgasm คือถึงจุดสุดยอดได้ต่อเนื่องกันหลายๆครั้ง(เหมือนที่ผู้หญิงทำได้) แต่เราทำได้โดยไม่หลั่งน้ำกามออกมาเลย รู้สึกว่าเมื่อประมาณปีที่แล้ว เราเขียนเรื่องวิธีการรักษา OCD เอาไว้ โดยการฝึกมี sex ให้ถึงจุดสุดยอดได้โดยไม่หลั่งน้ำกาม แต่โดนมือดีแจ้งลบไปเสียแล้ว กระทู้นั้นเราเขียนไว้ละเอียดมากกว่านี้อีก เข้าใจว่ามือดีที่สั่งลบอาจเป็นจิตแพทย์หรือคนชอบวิทยาศาสตร์ก็ได้ ที่ไม่พอใจแนวคิดของเรา  จากนั้นอีกไม่กี่สัปดาห์ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง mail มาหาเรา เล่าให้ฟังว่าแฟนเธอป่วยเป็น OCD ไปเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์ พอแฟนเธอกินยาเข้าไปก็กลายเป็นกามตายด้านคือนกเขาไม่ขัน เธอก็ปรึกษาเราว่าจะทำอย่างไรดี  เราก็ได้แต่บอกเคร่าๆว่า "ที่นกเขาไม่ขันเป็นเพราะฤทธิ์ยา มันลงไปที่ไต ยาไปยับยั้งไว้ ไม่ให้ไตสร้างพลังตามธรรมชาติของมัน เมื่อไต 2 ข้างไร้พลัง นกเขาจึงไม่ขันนั่นเอง" แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 01:25:45 แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 01:13:25 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 21 ม.ค. 51 01:07:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อืม ผมรู้แล้วว่าอาการป่วยแบบกลัวเกินเหตุของผมเกิดจากช่วยตัวเองมากไปนี่เอง ถ้าเกิดผมลดการช่วยตัวเองลง เหลือแค่อาทิตย์ละครั้งเนี่ย มันจะดีขึ้นมั้ยครับ เพราะตอนนี้ผมก็มีอาการย้ำคคิดย้ำทำเหมือนกันอ่ะ แต่จะว่าไปผมก็ช่วยตัวเองบ่อยนะ สมันวัยรุ่นใหม่ๆ เนี่ย ทุกวัน โตขึ้นหน่อย วันไหนคึกๆก็ 2-3 เหอๆ ทุกวันด้วยนะ ไม่ใช่นานๆที จากคุณ : ... - [ 21 ม.ค. 51 01:23:19 A:124.121.160.46 X: TicketID:166063 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตอบคุณ #5 เรื่องที่คุณถามเนี่ย เราจะค่อยๆเล่าให้ฟังเรื่องที่เราเปรียบเทียบแนวคิดของ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน แล้วลองผิดลองถูกด้วยตนเอง จนเจ็บตัวไปหลายปี นั่นก็คือเมื่อเราอายุได้ 14-15 เราเริ่มอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ทางเพศที่พ่อเรามีสะสมไว้มากมายในบ้าน พบว่ามีแนวคิดที่คนสงสัยไถ่ถามกันมากในสมัยนั้น นั่นก็คือว่า "จริงหรือไม่ที่ การสำเร็จความไคร่ด้วยตนเองแล้วหลั่งน้ำกามมากๆ ทำให้ใจสั่น หวาดกลัวโดยไร้เหตุผล ตกใจง่ายเวลามีเรื่องตื่นเต้นจะตกใจจนมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก (ที่เรียกว่า panic attack)" ตอนนั้นเราเด็กๆ ถามเพื่อนบางคนก็บอกว่าจริง บางคนก็บอกว่าไม่จริง เราสงสัยตั้งแต่อายุ 15 จนกว่าจะรู้ความจริง เราก็ปาเข้าไป 29 แล้ว พอค้นข้อมูลไปเรื่อยๆ เราพบว่า แนวคิดที่ว่า "การหลั่งน้ำอสุจิมากเกินมีผลต่อระบบประสาทนั้น" แท้จริงแล้วมาจากแนวคิดของ Sigmund Freud นั่นเอง มี sex gurus  2 รายที่พยายามหักล้างความเชื่อของ Freud โดยการกล่าวว่า "การสำเร็จความไคร่มากๆจนหลั่งน้ำกามบ่อยๆมากๆ ไม่มีผลเสียต่อระบบประสาท หากแต่ว่าคนไข้ที่มีอาการทางประสาทอยู่แล้วมักจะมีแนวโน้มที่จะสำเร็จความไคร่บ่อยครั้งกว่าคนธรรมดาเท่านั้นเอง"   sex gurus 2 คนนี้ก็คือ Masters and Johnson นั่นเอง Masters and Johnson เล่นสรุปแล้ว ซตพ เอาง่ายๆไปเลยว่า "ดังนั้น จงสำเร็จความไคร่ แล้วรีดพิษออกจากตัวท่าน ไปให้มากที่สุดเท่าที่หัวใจท่านจะโหยหา รับรองว่าไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด แล้วเลิกกังวลว่าจะเป็นโรคประสาท เพราะความกังวลต่างหากที่จะทำให้เป็นโรคประสาท" เพื่อความสุขสบายหายห่วงไร้ความกังวล เราจึงเลือกที่จะเชื่อ Masters and Johnson จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 21 ม.ค. 51 02:02:03 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จากอายุประมาณ 12 ขวบจนอายุ 28-29 เราช่วยตัวเองขยันหมั่นเพียร แล้วใกล้จะตาย ตามที่เล่าให้ฟังไว้แล้วใน คคห ต้นๆ วันที่เราหายใจพงาบๆ ใกล้จะตายนั้น เส้นชีวิตบนฝ่ามือของเรา มันขาดสะบั้นอยู่กลางฝ่ามือ ทีแรกเราก็จะไม่เชื่อคัมภีร์โบราณเล่มนั้น แต่เผอิญตอนเด็กๆเราบ้าหนังสือกำลังภายในเราชอบคิดว่า กำลังภายในมันคืออะไร? แล้วอยู่ดีๆเราเดินเข้าร้านหนังสือแล้วเห็นหนังสือวิชา acupuncture (การแทงเข็ม) มันแสดงเส้นทางเดินของลมปราณสายต่างๆ เราจึงเดาเอาว่า วิชาการเดินลมปราณน่าจะมีหลักการเหมือนวิชาแทงเข็ม พอเปิดอ่าน เราพบข้อมูลว่า มีแพทย์จีนที่เป็นนักแทงเข็มฝีมือเยี่ยมเดินทางพเนจรไปแล้วไปที่แค้วนแห่งหนึ่งซึ่งผู้ปกครองแคว้นนั้นป่วย ....คือเหนื่อยแทบจะสิ้นใจตาย หายใจระรวย...แพทย์พบเจ้าผู้ครองนคร คลำชีพจรดู ก็บอกได้ทันทีว่าชีพจรแผ่วเบามากๆ แสดงว่าหลั่งน้ำกามมากเกินขนาด คนไข้ก็ยอมรับว่าจริงเนื่องจากเขามีฮาเร็มที่เต็มไปด้วยสาวๆสวยๆนั่นเอง .... แพทย์จึงแทงเข็มเข้าจุดชีพจรสำคัญๆ จากนั้นก็ให้ยาสมุนไพรไปกินบำรุง แล้วสั่งให้คนไข้หยุดหลั่งน้ำอสุจิอย่างเด็ดขาดเป็นเวลาอย่างน้อยที่สุด 6 เดือนถ้ายังไม่อยากตาย คืนที่เราไปดูหนังจีนกลับมาแล้วเวียนหัว แล้ววูบไป เรามีอาการป่วยเหมือนที่เจ้าผู้ครองนครในหนังสือเล่มนั้นป่วย เราจึงตัดสินใจคลานไปหยิบคำภีร์เต๋าเล่มนั้นของเรามาฝึก จากนั้นเราไปหาหนังสือของ Sigmund Freud อ่านดู แล้วรู้สึกทึ่งว่า Freud ถึงจะเป็นชาวตะวันตก แต่ก็มีแนวคิดหลายๆอย่างคล้ายๆกับนักพรตเต๋าของจีนหรือปราชญ์ชาวฮินดู จนเราตลึงคิดว่า เขาน่าจะเป็น reincarnation (คนที่กลับชาติมาเกิด) คืดคิดว่า Freud น่าจะเป็นนักพรตเต๋าหรือปราชญ์ฮินดูกลับชาติมาเกิดนั่นเอง หมายเหตุ ปราชญฮินดูมีวิชาโยคะระดับสูงที่เป็น alchemy คล้ายๆนักพรตเต๋าเหมือนกัน  นั่นก็คือวิธีเอาพลังทางเพศไปผสานกับลมปราณเพื่อสร้างยาอายุวัฒนะ และเป็นยาบำรุงสมอง กระบวนการอันนี้ในภาษาอังกฤษเรียกว่า sublimation เราไม่แน่ใจว่าคนจีนกับฮินดู แลกวิชากันที่เส้นทางซึ่งค้าผ้าไหม หรือว่า Great men think alike.   บุคคลผู้ยิ่งใหญ่คิดอะไรเหมือนๆกัน กรณี Great men think alike. ให้ดูตัวอย่างคือ Isaac Newton (ชาวอังกฤษ) กับ Gottfried Wilhelm Leibniz (ชาวเยอรมัน) ทั้งๆที่อยู่กันคนละประเทศ แต่ก็คิดค้นวิชา calculus ได้พร้อมๆกันในเวลาอันไล่เลี่ยกัน ซึ่งทั้งสองคนนี้เกิดสนใจในแนวคิดของกันและกันจึงเขียนจดหมายโต้ตอบกันเป็นภาษา Latin และจดหมายที่โต้ตอบกันนั้นตอนนี้เก็บไว้ใน British Museum ในนครลอนดอน จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 21 ม.ค. 51 02:16:50 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผู้ชายที่มีปัญหาเรื่องการหลั่งน้ำกามมากเกิน หากต้องการพยายามลดจำนวนการหลั่งน้ำกามให้น้อยลง หรือฝึกไม่หลั่งน้ำกามเลย แบบที่เราฝึก ในช่วงแรกๆบางคนอาจมีปัญหาในการฝันเปียก เพราะการฝันเปียกจะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยลงได้เช่นกัน วิธีการแก้ฝันเปียกทำได้โดยการอย่ากินอาหารมากจนเกินไป (ทุกครั้งที่กิน พยายามเคี้ยวละเอียดๆ ทำสมาธิกับอาหาร อย่าพูดคุย อย่าดูทีวี อย่าฟังวิทยุ อย่าอ่านหนังสือ กินไปในขณะทำสมาธิว่าร่างกายนำอาหารไปเสริมสร้างพลัง แล้วหยุดกินเมื่ออิ่มประมาณเศษสองส่วนสาม อย่ากินให้อิ่มจนจุก)  และหมั่นออกกำลังให้มากพอสมควร ให้สม่ำเสมอ ปัญหาการฝันเปียกก็น่าที่จะหมดไปได้ แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 02:23:56 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 21 ม.ค. 51 02:22:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คราวนี้กลับมาท้าวความถึงอาการป่วยของแม่เรา อยู่ดีๆแม่เราหายกังวลไปมาก เพราะอะไร? ตอนที่เราเพิ่งกลับมาอยู่เมืองไทยได้ใหม่ๆ เราไม่ได้นำแนวคิดด้านโภชนาการแบบตะวันตกกลับมาเลย เราเอากลับมาแต่แนวคิด Macriobiotics ของญี่ปุ่น กินข้าวกล้องปลอดสารพิษ ผักปลอดสารพิษ หลีกเลี่ยงการใช้หม้ออลูมิเนียม หลีกเลี่ยงการใช้เตาไมโครเวฟ หลีกเลี่ยงการกินผลิตภัณฑ์นมเนย เราไม่ใช้น้ำตาล ไม่ใช้ชูรสในการทำอาหาร ซึ่งตอนเพิ่งเข้ามาอยู่กับพ่อแม่เราใหม่ๆ แนวคิดเราโดนต่อต้านอย่างรุนแรงเหมือนๆกับที่สายัณห์ เล็กอุทัยโดนต่อต้าน เมื่อตอนที่เขาเขียนหนังสือเรื่องแนวคิดของจีน (จำชื่อหนังสือไม่ได้) สิ่งที่เขาเขียนมันเป็นเรื่องของ Macrobiotics เกือบทั้งหมด แต่เขาไม่ได้พูดว่าคนญึ่ปุ่นพูดว่า แต่เขากลับพูดว่าคนจีนพูดว่า ....แต่ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ Macrobioics ของ George Ohsawa กับของ Michio Kushi แล้วมาอ่านหนังสือศาสตร์ต่างๆของจีนที่สายัณห์ เล็กอุทัยเขียน ก็จะรู้ได้เลยว่า หนังสือภาษาไทย (หลายเล่ม) ของเขา เอาแนวคิดจากญึ่ปุ่นมาเขียน แล้วสิ่งที่สายัณห์โดนรุมด่าที่บนเว็บผู้จัดการ (เพราะหนังสือเขาได้รับการจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผู้จัดการ) คนด่า หาว่า สายัณห์ งมงาย งึ่เง่า ซึ่งเราก้อเคยโดนรุมด่าในห้องลุมพินี เวลาเราพูดเรื่องอันตรายของหม้ออลูมิเนียม เตาไมโครเวฟ น้ำตาล ผงชูรส และผลิตภัณฑ์นมเนย โดยฝ่ายที่รุมด่าเราต่างก็งัดเอางานวิจัยต่างๆออกมา และเราก็เคยโดนนักเพาะกายรุมด่าเราตอนที่เราเขียนแนวคิดของเต๋าเรื่องการไม่เล่นกล้ามเพราะการเล่น (เบ่ง) กล้ามเป็นการเกร็งกล้ามเนื้อจนทำให้ระบบประสาทเครียดและกระแสลมปราณในร่างแปรปรวน ในขณะที่เต่าและเซนสอนในทางตรงกันข้ามว่า Your body is in the most powerful state when it is completely relaxed. ร่างกายอยู่ในสภาพที่มีพลังสูงสุดเมื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ ซึ่งเราก็เพิ่งไปแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ซ้ำไว้อีกในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L6251740/L6251740.html ซึ่งถ้าโดนพวกนักเล่นกล้ามรุมด่าอีกก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องเกี่ยวกับแม่เรานั่นก็คือ พ่อแม่เราไม่เชื่อแนวคิดเราพอๆกับคนในเว็บผู้จัดการไม่เชื่อแนวคิดสายัณห์ เล็กอุทัย เนื่องจากว่าเราเป็นคนเรียนหนังสือไม่เอาถ่านจึงไม่มีเครดิตควรแก่การเชื่อถือ แต่อยู่ดีๆมี ดร. สาทิส อินทรคำแหง เอา Macrobiotics มาดัดแปลงเป็นชีวจิต แล้วเผยแพร่เป็นชีวจิต จนมีชื่อเสียง พ่อแม่เราเห็น ดร. สาทิส เรียนสูง มีชื่อเสียง ก็เลยเชื่อแนวคิดเรื่องกินอาหารปลอดสารพิษ แล้วเชื่อเราบ้างเรื่องไม่ใช้หม้ออลูมิเนียม (เปลี่ยนเป็นเหล็กไร้สนิมหมด) เชื่อเรื่องไม่ใช้ไมโครเวฟ (ขายทิ้งไปแล้ว) เรื่องไม่ใช้ผงชูรส แม่เราหยุดกินเนื้อสัตว์ตัวใหญ่ๆ เหมือนที่เราหยุดกิน (หันไปกินข้าวกล้อง อาหารทะเลกับผักมากขึ้น โดยตัดสารพิษทิ้งไปได้หลายส่วนเนื่องจากเลิกใช้หม้อและกะทะอลูมิเนียม และเลิกใช้เตาไมโครเวฟ)  แล้วอยู่ดีๆการกินอาหารที่เกือบๆจะเป็นอาหารชีวจิต ซึ่งแม้จะไม่ค่อยเคร่งเท่าการกินอาหารแม็คโครไบออติก แต่มันก็ทำให้อาการย้ำคิดย้ำทำ นอนไม่หลับ และวิตกจริตของแม่เรา (ที่เคยเป็นในอดีต) ทุเลาลงไปได้อย่างน่าประหลาด  ในขณะเดียวกันพ่อเราซึ่งถึงจะกินข้าวกล้องบ้างและกินผักปลอดสารพิษบ้าง แต่พ่อก็ยังกินเนื้อสัตว์ตัวใหญ่ๆ และสิ่งที่พ่อเราชอบมากๆตลอดกาลก็คือขนมหวานที่หวานมากๆ ในที่สุดน้ำตาลที่เมื่อเข้าไปในร่างกายมากๆ ก็ทำให้สภาพร่างกายกลายเป็นกรดอย่างแรง กลายเป็นสารพิษ จนไปทำลายระบบประสาทพ่อ ตอนนี้พ่อเราจากคนที่ไม่เคยกังวลอะไรเลย กลายเป็นวิตกจริต ทั้งๆที่เขามีเงินทองมากมายพอที่จะอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องทำงานได้อย่างสบายๆไปจนกว่าจะตาย พ่อเรากลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ชอบพูดอะไรด้วยความวิตกจริต (กลัวโดยไม่มีเหตุผลมากกว่าแม่เราในอดีตเสียอีก) เพราะการกินน้ำตาลเป็นจำนวนมาก พิษของน้ำตาล ทำให้ไตของพ่ออ่อนแอลงนั่นเอง ดังนั้น จึงเป็นข้อสรุปได้ว่า คำสอนของ Macrobiotics เต๋าหรือเซน เป็น paradox (ปฏิทรรศน์) อย่างแท้จริง นั่นก็คือ มันฟังเหมือนไร้สาระ แต่แท้จริงแล้วมันใช้งานได้ดี (นักพรตเต๋าไม่อยากให้คนหลายคนรู้วิชาดีๆ จึงเขียนคำสอนไว้เป็นปฏิทรรศน์)   เราจึงปฏิบัติตนเยี่ยงนักพรตเต๋า นั่นก็คือ นานๆทีจะเขียนเรื่องนี้ แล้วถ้าโดนรุมด่า ก็ปลงแล้วคิดเสียว่า เรารู้อะไร เอาความรู้ไปบำรุงสุขภาพเราก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเผยแพร่แบบสายัณห์ เล็กอุทัย ให้โดนด่าเอาเปล่าๆ... เราเคยคิดเผยแพร่ศาสตร์เร้นลับพวกนี้แบบสายัณห์ เล็กอุทัย แต่เมื่อเห็นเขาโดนรุมด่าบนเว็บผู้จัดการ และเมื่อตัวเราเองก็เคยโดนรุมด่าในห้องลุมพินี เราจึงคิดแบบเต๋าว่า Let nature take its own course. ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามวิถีของมันเอง By doing nothing everything is done and taken care of. โดยการไม่ทำอะไรเลย ทุกสรรพสิ่งก็จะได้รับการดูแล (โดยเต๋า) แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 14:18:54 แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 05:04:30 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 21 ม.ค. 51 03:17:55 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แพทย์ทางเลือกไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน และยาที่ใช้กับ OCD ก็ไม่ใช่ยาระงับประสาทด้วย! OCD มีวิธีการรักษาทางพฤติกรรมบำบัดอยู่แล้วตามหลักวิชาการ การเลือกที่จะรักษาโดยใช้ยาไม่ใช้ยาหรือจะใช้สองทางร่วมกันอยุ่ในดุลยพินิจของแพทย์ พบจิตแพทย์ดีที่สุดครับ จากคุณ : atheist - [ 21 ม.ค. 51 07:13:25 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ที่กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L6256934/L6256934.html คุณ atheist ไปเขียนไว้ว่า "จะเชื่ออะไรก็อย่าดูถูกแพทย์แผนปัจจุบันก็แล้วกันครับ ความเชื่อส่วนตัวจะเผยแพร่ก็ไม่ว่าหรอก เข้ามาตอบแค่นี้" แล้วเราก็คิดว่า แปลกมากๆ เราเขียนเรื่อง OCD ไว้ 2 ครั้งมันโดนลบทั้ง 2 ครั้ง ....แต่กระทู้นี้ กลับมาได้อย่างน่าประหลาด สงสัยมีสมาชิกบางท่านอยากอ่านแล้วไปกู้กลับมาจาก webmaster จริงๆแล้วเราไม่ได้กลับมาอ่าน เพราะอยากอ่าน เราเห็นกระทู้โดนลบ 2 ครั้งเพราะคนใจแคบไม่ยอมให้เราแสดงความคิดเห็น เราก็กะจะไม่เข้ามาในลุมพินีเพราะรำคาญ แต่ที่กลับมาดูกระทู้นี้เพราะมีสมาชิกบางท่านหลังมือไปคุยกับเราเรื่องนี้ (ซึ่งเราก็กำลังจะตอบพวกเขา) ก่อนอื่นขออธิบายว่าสิ่งที่เราเขียนไม่มีอะไรที่ดูถูกแพทย์แผนปัจจุบัน   ข้อความที่เราเขียนมีองค์ประกอบคือ   1. แนวคิดว่าการสูญเสียพลังทางเพศอย่างมากมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบประสาท แท้จริงแล้วเป็นแนวคิดของ psychoanalyst ชื่อดังพอที่จะเป็น authority ในเรื่องนึ้ได้ เขาคือ Sigmund Freud นั่นเอง ...ซึ่งแนวคิดของเขาก็น่ายังรับการยอมรับมากพอสมควรจากจิตแพทย์สมัยนี้   2. แนวคิดเรื่อง nutritional approach (คือใช้วิธีการทางโภชนาการรักษาอาการป่วย (ในกรณีนี้คือรักษาอาการป่วยทางจิต)) เราได้มาจากผู้หญิงอเมริกันคนหนึ่งที่เรียนวิชา psychiatry ในมหาลัยสหรัฐ แล้วเธอลงเรียนวิชา Macrobiotics ควบคู่กันด้วย (มหาลัยสหรัฐยอมนับ alternative medicine รวมหน่วยกิตด้วย) เพื่อนำมาใช้ผสมผสานกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เหมือนกับที่แพทย์ในโรงพยาบาลในกรุงปักกิ่งใช้การแพทย์แผนปัจจุบันผสมผสานกับการแพทย์แผนโบราณของจีน   ผู้หญิงอเมริกันคนที่ว่านี้พาเราไปฟัง lecture เรื่องวิชา Macrobiotics ที่ Kushi Institute (Kushi Institute มีหลายสาขาในโลก แต่สาขาที่เราไปฟัง lecture กับผู้หญิงอเมริกันคนนั้น มันคือสาขาในนครลอนดอน) ซึ่งมี Bill Tara เป็นวิทยากร  Bill Tara เป็นศิษย์เอกของ Michio Kushi ผู้เป็นศิษย์เอกของ George Ohsawa ที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องการเผยแพร่วิชา Macrobiotics ไปทั่วโลก  Bill Tara บรรยายได้สนุกมาก มีอารมณ์ขัน ฟังแล้วเพลินเพลินได้ความรู้มากๆเลย  ...เมื่อกี้นี้ เราลองใช้ google ค้นโดยใช้ keywords คือ bill tara macrobiotics แล้วพบข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขามากมาย 3. วิชาทฤษฎีธาตุทั้ง 5 ของนักพรตเต๋า ที่เราใช้วิเคราะห์หาต้นตอการแก้ไขปัญหา OCD ถูกเผยแพร่โดยผู้หญิงอเมริกัน ซึ่งเป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันแบบฝรั่งและแพทย์แทงเข็มแบบจีน   4. การสงวนไว้ซึ่งพลังทางเพศเพื่อเอาพลังทางเพศไปรักษาโรค มีฝรั่ง จีน และอินเดีย ที่เป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งรู้การแพทย์ทางเลือก เขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่องนี้ไว้มากมาย โดยระบุว่ากลไกของผู้ชายทำงานอย่างไร อนึ่ง กระทู้มันโดนลบไปแล้วก็ดีแล้ว เนื่องจากว่าเราทำงานยุ่ง ไม่มีเวลาที่จะไปแก้ตัวว่าเราเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรงมงายหรือไม่งมงาย   แล้วเราก็ไม่อยากลงเอยเป็นแบบ คุณสายัณห์ เล็กอุทัย ที่เผยแพร่วิชา Macrobiotics แล้วเมื่อพูดถึงอันตรายของน้ำตาล ว่ามันก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บหลายๆอย่าง รวมทั้งอาการป่วยทางจิต (ซึ่งเป็นจริง) แล้วก็โดนคนรุมด่า ....ซึ่งเราก้อเคยโดนรุมด่าในห้องลุมพินีเพราะมีแนวคิด (อันสุดกู่) เหมือนๆกับเขา อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การแนะนำคนถึงแนะนำถูกต้อง แต่ถ้ามีพวกอัฉริยะตีความว่าเราพยายามรักษาคนไข้ เราก็อาจลงเอยโดนฟ้องข้อเรื่องไม่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ เรื่องอะไรกันเราจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยง.. แล้วอีกอย่างหนึ่ง นี่เป็นกระทู้สาธารณะที่เปิดให้คนหลายๆคนแสดงความคิดเห็น  เราผู้ซึ่งเป็นอดีตคนไข้ซึ่งมีแม่เป็นอดีตคนไข้ด้วยเช่นกัน มีสิทธิที่จะเล่าเรื่องที่แม่เราไปรักษากับจิตแพทย์มากกว่า 10 รายแล้วรักษาไม่หาย และเราก้อมีสิทธิที่จะเล่าว่าเรารักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกแล้วเรารักษาหาย ซึ่งถ้าคุณ atheist เป็นจิตแพทย์ แล้วคิดว่า psychiatry ของคุณมีประสิทธิภาพมากกว่า คุณก็มีสิทธิที่จะพูดให้สาธารณชนเข้าใจได้เช่นกันว่าคุณจะรักษาพวกเขาอย่างไร  คือต่างฝ่ายต่างก็มาแสดงเหตุของกันและกัน หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ใช่มาลบกระทู้เรา โดยสรุปแบบ lame logic (ระบบตรรกะชำรุด) ว่า "เราดูถูกแพทย์แผนปัจจุบัน" ทั้งๆที่ (คุณไม่รู้ว่า) วิธีการที่เราเขียนไว้เกี่ยวกับการแพทย์ทางเลือกข้างบนนี้ ทั้งหมด แพทย์แผนปัจจุบัน (จากสหรัฐ) นำมาเผยแพร่ทั้งสิ้น แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 14:31:09 แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 14:27:49 แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 14:19:26 แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 01:24:51 แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 00:16:35 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ม.ค. 51 00:11:30 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อนึ่ง เรื่องที่คุณพูดว่า "OCD มีวิธีการรักษาทางพฤติกรรมบำบัดอยู่แล้วตามหลักวิชาการ" คุณจะใช้พฤติกรรมบำบัดอย่างไรก็ตาม คุณก็ยังไม่หนีความจริงไปจากทฤษฎีธาตุทั้ง 5 นั่น...ที่เรากล้าพูดแบบนี้ก็เพราะว่าในมือเรามี case histories และ case studies เป็นจำนวนมาก ของจิตแพทย์ที่รักษา OCD  จนเรารู้ว่า "พฤติกรรมบำบัด" ที่คุณ atheist  พูดถึงนั้น เป็นการ "ให้กำลังใจคนไข้" ให้มีชีวิตอยู่ได้กับ "phobia(ความกลัว)" นั่นก็คือว่า กลัวอะไรก็ให้พยายามอยู่กับสิ่งที่กลัว เรามาตีความกันในมุมมองของทฤษฎีธาตุทั้ง 5 คนที่ไตอ่อนแอจะกลัวโดยไม่มีเหตุผล คนที่กลัว(ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเหตุผล)ไตจะอ่อนแอลงตราบเท่าที่ความกลัวยังไม่หายไป และในทางกลับกันก็เป็นจริงด้วย นั่นก็คือ คนที่ไตแข็งแรงมากๆจะใจกล้าบ้าบิ่น คนที่สบายใจไม่หวาดกลัว ไตจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น "พฤติกรรมบำบัด" ของ คุณ atheist มันก็แค่เป็นวิธีการ "ทางอ้อม" ที่จะทำให้ไต 2 ข้างแข็งแรงขึ้นเท่านั้น ซึ่งในกรณีที่คนไข้ไม่มีปัญหาซับซ้อนนัก มันก็อาจช่วยได้ แต่อย่าลืมว่า การที่ phobia (ความกลัว) จะเกิดขึ้นได้นั้น แพทย์จีนพูดถึงความแปรปรวนของกระแสลมปราณของไต นั่นก็หมายความว่า หากอยู่ดีๆ กระแสลมปราณของไต ไม่ไหลเวียนอย่างถูกต้อง ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่ได้มาจาก ผลกระทบโดยตรงจากอาการป่วยของไต จิตแพทย์จะไปใช้ "พฤติกรรมบำบัด" อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะรักษา OCD ได้  ...!!!   ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า กระแสลมปราณที่ยังแปรปรวน มันก็ยังแปรปรวนอยู่   ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาจาก misalignment of the spine (กระดูกสันหลังเอียงผิดรูป) ....physical condition เช่นนี้ ทำให้กระแสลมปราณแปรปรวน การที่จะแก้ปัญหาได้ คุณจะไป "พฤติกรรมบำบัด" เช่นไรมันก็ไม่ได้ผล มันต้องแก้ไขที่ต้นตอ นั่นก็คือ แก้แนวกระดูกสันหลัง .....ถามว่า จิตแพทย์มี knowhow พอที่จะแก้ไข แนวกระดูกสันหลังที่เอียงหรือไม่??? ....เราคิดว่า "ไม่มี" นะ  ...........น่าจะต้องพึ่ง chiropractor .... แต่กระนั้นก็เถอะ ไม่ใช่ว่า chiropractor จะแก้ไข misalignment of the spine ได้เสมอไป .........??? แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 09:20:13 แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 00:36:40 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ม.ค. 51 00:34:41 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วถ้าแก้ misalignment of the spine ไม่ได้ล่ะ...??? ก่อนที่จะพูดต่อไป เราขอหยุดตรงนี้ก่อน แล้วกล่าวว่า บ่อยครั้งที่การเยียวยารักษาคนไข้ในเรื่องง่ายๆ กลายเป็น "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" กลายเป็นต้องมี psychoanalysis (จิตวิเคราะห์)  ซึ่งเสียเวลามาก และถ้าคำนึงถึงว่า และตั้งสมมุติฐานว่า  อาการป่วยทางจิต เป็นอะไรที่ psychosomatic นั่นก็คือ กายกับจิต สัมพันธ์กันอย่างมาก  แทนที่เราจะไป ขี่ช้างจับตั๊กแตน โดยการลงแรงเข้าไปยุ่งกับ psychoanalysis เราไปรักษาอาการป่วยทางสรีระ เพื่อให้อาการป่วยทางจิตหายไป มันจะง่ายกว่า ถ้าคุณ atheist ไม่เคยได้ยิน หรือไม่เชื่อว่า misalignment of the spine ทำให้คนป่วยเป็น OCD ได้ เกิดคุณเป็นจิตแพทย์ที่รักษาคนไข้ คุณก็จะงง มากๆ  ว่า "ทำไมรักษาไม่หาย" ............ คราวนี้หละ Macrobiotics จะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ .....หากเรายึดตำสอนของนักพรตเต๋าว่า "โรคภัยไช้เจ็บทั้งหมดของมนุษย์นั้น เกิดจากความแปรปรวนของกระแสลมปราณ" คนที่บอกว่า เขากินสารพิษเช่น น้ำตาล ผงชูรส สารกันบูด ข้าวขัดจนขาว อาหารหุงในหม้ออลูมิเนียมหรือทำให้สุกด้วยไมโครเวฟ เขาว่าเขา "ไม่ป่วยเป็นอะไร" แต่แท้จริงแล้ว กระแสลมปราณหลายๆเส้นทางของเขา "อุดตัน" ที่ร่างกายไม่แสดงอาการป่วย (ยังไม่แสดง) นั่นก็เพราะว่าร่างกายยังใช้ "เส้นทางอื่น" โคจรลมปราณได้ ....แต่ในกรณีของผู้ป่วย OCD ที่มีปัญหา misalignment of the spine นี้ กระแสลมปราณหลายๆสายถูกอุดตัน เนื่องจากกระดูกสันหลังเอียง แล้วอาจนำไปสู่อาการป่วยที่เรียกว่า sciatica (หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท) ในกรณีนี้ คนไข้ OCD ที่กินอาหารแม็คโครไบออติกอย่างเคร่งมากๆ ก็จะ "เปิดเส้นทางเดินกระแสลมปราณเพิ่มขึ้น" และทำให้ลมปราณของไต ไหลเวียนดีขึ้น .........ดังนั้น OCD ก็จะทุเลาลงได้ หรือถึงกับหายขาดไปเลยก็ได้ ตั้งแต่เริ่มต้นกระทู้นี้ มาจนถึงจุดนี้ เราพูดแต่ตรรกะ โดยตั้งสมมุติฐานว่า "ทฤษฎีธาตุทั้ง 5 ของนักพรตเต๋า (ที่มีมาแล้วหลายพันปี) มีความถูกต้อง" นั่นก็หมายความว่าใครก้อตามที่รู้ทฤษฎีธาตุทั้ง 5 ก็สามารถรักษา OCD ได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้อง "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" แต่อย่างใด ...!!!! การที่คุณ atheist พิสูจน์ได้นะ ก็นับว่า "เป็นเรื่องใหญ่มากที่เดียว" เพราะอะไร? คำตอบง่ายๆก็คือว่า " acupuncture (การแทงเข็ม) ที่ใช้รักษาโรคอยู่ทุกวันนี้ โดยแพทย์จีนและแพทย์ฝรั่ง มันมาจากแนวคิดของทฤษฎีธาตุทั้ง 5  ถ้าคุณ atheist พิสูจน์ได้ว่าทฤษฎีธาตุทั้ง 5 เป็นเรื่องไร้สาระ มวลมนุษย์ทั่วโลกก็ต้อง ประหลาดใจกันยกใหญ่อีกหลายๆรอบว่า การแทงเข็ม ได้ผลเพราะอะไร?" สรุปแล้วใน 2 กระทู้ที่เราแสดงความคิดเห็นและคุณ atheist แสดงความคิดเห็นนั้น แนวคิดหลายๆอย่างของเรา  follow the law of logic (เป็นไปตามกฎแห่งตรรกะ)   แต่คุณ atheist อยู่ดีๆ มาตีความว่าเราดูถูกแพทย์แผนปัจจุบัน แล้วก็แค่พูดได้ว่า ""จะเชื่ออะไรก็อย่าดูถูกแพทย์แผนปัจจุบันก็แล้วกันครับ ความเชื่อส่วนตัวจะเผยแพร่ก็ไม่ว่าหรอก เข้ามาตอบแค่นี้" และพูดว่า "แพทย์ทางเลือกไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน และยาที่ใช้กับ OCD ก็ไม่ใช่ยาระงับประสาทด้วย! OCD มีวิธีการรักษาทางพฤติกรรมบำบัดอยู่แล้วตามหลักวิชาการ การเลือกที่จะรักษาโดยใช้ยาไม่ใช้ยาหรือจะใช้สองทางร่วมกันอยุ่ในดุลยพินิจของแพทย์พบจิตแพทย์ดีที่สุดครับ " เราคิดว่าถ้าคุณ atheist เป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ผ่านมาแล้วหมั่นใส้เรา แล้วแจ้งลบกระทู้เรา (เหมือนที่มันโดนลบ 2 ครั้งแล้ว) นะ สาธารณชนก้อคงพอที่จะทำใจได้ในเรื่องนี้  แต่หากว่าคุณ atheist เป็นจิตแพทย์ แล้วพูดได้แค่ ที่พูดมา แล้วมาด่วนสรุปด้วย lame logic ว่าเราดูถูกแพทย์แผนปัจจุบันนะ ....เราคิดว่าถ้าคุณเป็นจิตแพทย์ "ใครก้อตามที่ป่วยก้อไม่ควรที่จะตกอยู่ในเงื้อมมือของคุณ เนื่องจากว่า จิตแพทย์ที่ระบบตรรกะชำรุดอย่างคุณ อาจมีดุลพินิจที่ผิดพลาดและสร้างปัญหาให้แก่คนไข้อีกมากมาย จนกระทั่งเข้าข่ายที่เรียกว่า  The disease will become iatrogenic นั่นก็คือโรคที่เป็นอยู่จะยิ่งเลวร้ายลงเพราะการรักษาเยียวยา หรือเป็นเพราะแพทย์ (ไม่ใช่แพทย์ทุกคนนะ แต่เป็นแพทย์ที่มีดุลพินิจต่ำอย่างคุณ atheist (ต่ำขนาดไม่ยอมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่แจ้งลบลูกเดียว ซึ่งเป็นการริดรอนสิทธิของผู้อื่นไม่ให้แสดงความคิดเห็น) นั่นเอง" แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 01:15:00 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ม.ค. 51 01:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อีกอย่างหนึ่งที่ผู้ป่วย OCD ควรสังเกตสภาพร่างกายตนเอง นั่นก็คือตรวจสอบดูว่าตนเองมีปัญหา misalignment of the spine หรือไม่ วิธีสังเกตก็คือ 1. ดูว่าเวลาเดินหรือยืน น้ำหนักตัวเองไปที่เท้าข้างใดข้างหนึ่งมากผิดปกติหรือไม่ 2. ลองเอามือจับแกนกระดูกในจมูกดู ลองดันมันไปทางซ้าย และทางขวา แล้วดูว่ามันไปทางไหนง่ายกว่า หรือมันฝืนทางเวลาดันไปอีกฝั่งหนึ่ง อาจารย์สอนโยคะของเราที่เป็นสาวสวยจากแดนอาทิตย์อุทัย สอนเราไว้ว่า แกนกระดูกในจมูก ถ้าเอียงไปทางไหน กระดูกสันหลังก็เอียงในแนวเดียวกัน และในคัมภีร์โบราณของอินเดีย เขากล่าวไว้ว่า มีสายลมปราณ 2 สายจากโคนกระดูกสันหลังโยงไปถึงโพรงจมูก 2 ข้าง เหมือนงูเลื้อยเป็นเกลียวพันกระดูกสันหลังอยู่ ผู้ที่ฝึกสมาธิจนแก่กล่าจะปิดลมปราณ 2 สายนี้เพื่อให้มันเดินไปที่สายกลางอีกสายหนึ่งได้   แต่เราเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ OCD จะกล่าวถึงสายลมปราณ 2 สายที่โยงโพรงจมูกข้างซ้าย และข้างขวากันก่อน  บรรดา gurus วิชาโยคะของอินเดียทั้งหลาย กล่าวว่า ร่างกายมนุษย์เรานั้น โพรงจมูกข้างซ้ายกับข้างขวาผลัดกันหายใจคล่อง เป็นช่วงๆ (นี่เป็นสภาพร่างกายของคนปกติ) แต่สำหรับคนที่ไม่ปกติ เช่นกระดูกสันหลังเบี้ยว หรือเอียงผิดแนวนั้น เขาจะหายใจคล่องแค่โพรงจมูกข้างใดข้างหนึ่งตลอดชีวิต ทำให้ปวดหัวข้างเดียว แล้วจะมีผลต่อระบบประสาทไปตลอดชีวิต (หากไม่แก้ไขที่ต้นตอ) ในกรณีของแม่เรา ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่จิตแพทย์ 10 กว่าคน (มีชื่อเสียงมาก) รักษา OCD และอาการวิตกจริตของแม่เราไม่หาย แต่ครั้นพอแม่เราไปกินอาหารชีวจิต (ที่คล้ายๆกับแม็คโครไบออติก) แม่ก็เลยสบายดีขึ้นมาเอง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าจิตแพทย์ทุกราย (ที่พยายามรักษาแม่ (แต่ไม่ใช่ทุกรายในโลก ดังนั้นจึงไม่ถือว่าข้อความที่เราเขียนเป็นการดูถูกแพทย์แผนปัจจุบัน)) ไม่ได้รักษาที่ต้นตอของอาการ (มัวแต่ขี่ช้างจับตั๊กแตนอยู่ โดยการให้ยาหรือให้ทำพฤติกรรมบำบัด) นั่นก็คือในชั้นตอนของการวินิจฉัยโรค จิตแพทย์ไม่เคยตรวจสอบดูว่า แกนกระดูกในโพรงจมูกของแม่เรานั้นเอนไปทางซ้าย แล้วแม่เดินน้ำหนักลงไปที่เท้าซ้ายมากผิดปกติ ถ้าจิตแพทย์รู้ว่าสาเหตุของ OCD เป็นอะไรที่ phsychosomatic (กายกับจิตมีความสัมพันธ์กัน กายป่วยจิตก็ป่วยด้วย) พวกเขาจะพยายามแก้ไข misalignment of the spine (กระดูกสันหลังที่บิดเบี้ยว) ของแม่เรา แทนที่จะไปให้ยาหรือไปเสียเวลากับพฤติกรรมบำบัด...!!!! ความบิดเบี้ยวของกระดูกสันหลัง มีผลกระทบต่อสายลมปราณที่ไปหล่อเลี้ยงไต เมื่อไตไม่มีพลังตามธรรมชาติของมัน ความกลัวอย่างไม่มีเหตุผลจึงเกิดขึ้นจนพัฒนากลายเป็น OCD แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 12:53:34 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ม.ค. 51 09:46:44 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เราแค่พูดว่าจิตแพทย์ 10 กว่าคนรักษาแม่เราไม่หาย แต่เราไม่ได้พูดว่าจิตแพทย์ทุกคนจะไม่เก่งกันหมด (เนื่องจากจิตแพทย์ในโลกมีตั้งหลายล้านคน) ดังนั้นเราจึงไม่ได้ดูถูกแพทย์แผนปัจจุบัน และใครจะไปรักษากับจิตแพทย์ที่ไหนก็สุดแล้วแต่เขา   ส่วนคุณ atheist ถ้าจะแสดงความสามารถในการรักษา OCD ในฐานะที่เป็นจิตแพทย์ อย่างน้อยๆก็ควร ระบุสาเหตุของโรค และวิธีการรักษา ตามกฎแห่งตรรกะให้น่าเลื่อมใส ถ้าทำได้ เรารับรองว่าจะมีคนไปขอบริการรักษากับคุณมากมายเลย แต่ถ้าคุณเป็นคนไล่ลบกระทู้เราถึง 2 ครั้ง เพราะคุณใช้ lame logic (ตรรกะแบบระบบความคิดความอ่านชำรุด)  มาตัดสินว่าการเล่าประสบการในอดีตของเรากับแม่เรานั้น "เป็นการดูถูกแพทย์แผนปัจจุบัน" ถ้ามีดุลพินิจที่ต่ำแบบนี้นะ เราว่าคนไข้อาจไม่เลื่อมใสคุณ atheist ก็ได้ .... แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 13:09:43 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ม.ค. 51 13:08:46 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตามที่บอกไปแล้วว่า เราไม่ใช่แพทย์ หากแต่เป็นอดีตผู้ป่วยที่ค้นคว้ามากเพื่อเรียนรู้อาการป่วยของตนเอง และรักษาตนเองได้จนสำเร็จ ดังนั้น สิ่งที่เราเขียนเป็นแค่การเล่าเรื่อง ไม่ได้เป็นการดูถูกแพทย์แผนปัจจุบัน และไม่ได้เป็นการเสนอว่าเราจะรับรักษาใคร   เราจึงได้แต่แนะนำว่า ในกรณีที่คุณป่วยเป็น OCD อย่างหนัก แล้วรักษากับจิตแพทย์มาแล้ว แต่ไม่หาย หรือยังไม่ได้รักษาเพราะไม่มีปัจจัยสำคัญคือ "เงิน" ก็ให้ลองศึกษาวิชา Macrobiotics ดู มีหนังสือที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเป็นจำนวนหลายเล่มของ George Ohsawa กับของ Michio Kushi ...รู้สึกมีแปลเป็นไทยมาแล้วหลายเล่มด้วยกัน   ส่วนผลงานของคุณสายัณห์ เล็กอุทัย ก็นับว่า "ดีเยี่ยม" เขาไม่ได้แปล แต่เขาอ่านจับใจ และศึกษาจากความหนังสือ George Ohsawa กับของ Micjhio Kushi (ที่เป็นชาวญี่ปุ่น) จนเข้าใจดี และรู้วิชา Macrobiotics ลึกซึ้งมากๆ  แล้วเขาเอาไปเขียนใหม่หมดเลย แต่เขาพูดถึงสิ่งที่ญึ่ปุ่นเขียนไว้ว่า "คนจีนกล่าวว่า" ....วิธีการของคุณสายัณห์ เล็กอุทัย เป็นวิธีการที่สุดกู่มากๆ คือเคร่งเกินกว่าชีวจิตหลายเท่า แต่ก็น่าที่จะช่วยทำให้ไตแข็งแรงขึ้นมาได้.... หนังสือของคุณสายัณห์ เล็กอุทัย ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผู้จัดการ มีอยู่หลายเล่มด้วยกัน รู้สึกว่าน่าจะมีเกิน 10 นะ ส่วนใหญ่ชื่อเรื่องจะเป็นเหมือนกับอะไรที่เกี่ยวกับศาสตร์ของจีน (จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่ละเล่มมีชื่อต่างกัน แต่จะออกทำนองจีนศึกษาหรือการแพทย์ทางเลือก)   ถ้าอยากค้นข้อมูลเกี่ยวกับเขาก้อลองใช้ google หาชื่อเขาดู เผลอๆอาจหลงเข้าไปในกระทู้ (บนเว็บผู้จัดการ) ที่เขาโดนคนรุมด่าหาว่างมงาย ตอนที่เขาแนะนำให้คนหยุดกินน้ำตาล และหยุดกินผลไม้เมืองร้อน เหมือนๆที่เราเคยโดนรุมด่าในห้องลุมพินี้ เพราะมีแนวคิดสุดกู่แบบนี้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าแนวคิดนี้มาจาก George Ohsawa นั่นเอง เขาระบุว่า การกินน้ำตาลมากๆ ทำให้เป็นโรคประสาทได้ แม้กระทั่งกินน้อยๆก็ทำให้คุณภาพของเลือดตกต่ำทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นกรดมากๆ จนเกิด free radicals ขึ้น และทำให้ cells ในร่างกายเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วมากกว่าคนที่ไม่กินน้ำตาล ด้วยเหตุดั่งนี้ พวกที่ฝึก Macrobiotics จึงเรียนรู้วิธีทำให้อาหาร (ของคาว) หวานได้เองโดยธรรมชาติ (เช่นใช้ผักที่มีรสหวาน) หรือทำของหวานให้หวานได้โดยไม่ใช้น้ำตาลเลยนั่นเอง และเราก็เชื่อด้วยว่าการกินน้ำตาลทำให้ไตอ่อนแอลงอย่างแน่นอน ตอนนี้พ่อเราซึ่งไม่เคยกังวลเรื่องใดๆในชีวิตเลย หัวถึงหมอนก็หลับ อยู่อย่างสุขสบาย ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ไม่มีปัญหาเรื่องครอบครัว แต่พ่อชอบทานของหวานมากๆ (หวานด้วยน้ำตาลที่ฟอกสีจนขาว) ตอนนี้ อยู่ดีๆ พ่อกลายเป็นมีอาการวิตกจริตย้ำคิดย้ำทำ เป็นเพราะน้ำตาลไปทำให้ไตพ่อเสื่อมนั่นเอง..พ่อเป็นพวกเดียวกับคนที่รุมด่าเราในห้องลุมพินี พอเราแนะนำเรื่องผลร้ายของน้ำตาล พ่อเราจะด่าเราหาว่างมงาย เหลวไหล..!!! มีอะไรอีกหลายๆอย่างที่ผู้ป่วย OCD สามารถทำให้ไตแข็งแรงขึ้นมาได้ นั่นก็คือ "ฝึกโยคะ" ฝึก "Qi Gong (พลังลมปราณสายจีน)" หรือฝึก "pranayama (พลังลมปราณสายอินเดีย)" การออกกำลังให้เหงื่อออก จะช่วยให้ไตแข็งแรงขึ้นมาได้ การออกกำลัง แบบวิ่ง หรือชกลม (เรียนมวยไทยหรือมวยจีนหรือเรียนทั้งสองอย่างผสมผสานกัน) แต่จริงๆแล้ว เรียนมวยไทเก็กดีที่สุด เพราะมันสอน relaxation สอนให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและคลายเครียด ทำให้จิตใจผ่องใสนั่นเอง หนังสือที่สร้างกำลังใจ ให้มองโลกในแง่บวก เป็นหนังสือเก่ามากๆ ชื่อ As a Man Thinketh เขียนโดยนักจิตวิทยาฝรั่งชื่อ James Allen  หนังสือเล่มนี้เก่านับร้อยปี ไป download ฉบับภาษาอังกฤษได้ โดยการตาม link ข้างล่างนี้ไป http://www.gutenberg.org/etext/4507 แต่ใครที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงนักจะอ่านภาษาไทยก็ลองฉบับแปลดู   จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ บริษัท โอ้ พระเจ้า พับลิชชิ่ง จำกัด  ....ชื่อภาษาไทยคือ "คิด เห็น เป็น ชีวิต" ผู้เรียบเรียงคือ "ปลายฟ้า" หมายเหตุ พอเห็นชื่อสำนักพิมพ์ แล้วอย่าคิดว่าหนังสือเรื่องนี้เป็นหนังสือสอนศาสนานะ เพราะว่าไม่ใช่ แต่หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือจิตวิทยา ที่สอนให้คนมองโลกในแง่บวก แล้วเปลี่ยนแปลงวิถึชีวิตของตนเองได้ เราไม่รับประกันฉบับภาษาไทยว่าจะแปลเรียบเรียงได้ดีหรือไม่นะ คือว่าเราส่งหนังสือบางเล่มไปให้เพื่อนเรา แล้วเพื่อนเราก้อเลยส่งหนังสือเล่มที่ว่านี้มาให้เราเพื่อเป็นการตอบแทน  พอเราเห็นชื่อเรื่องเราก้อวิ่งไปที่ google แล้วไปหาต้นฉบับภาษาอังกฤษมาอ่าน เราจึงอ่านแต่ต้นฉบับภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่ได้อ่านภาษาไทยเลยนั่นเอง.... แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 14:37:35 แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 14:16:33 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ม.ค. 51 13:42:40 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณ คุณ tansy ที่เอามาลงไว้เป็นวิทยาทาน ปราชญ์โบราณเคยบอกไว้ว่า อยู่จนแก่ ก็ต้องเรียน จนแก่ "คู่มือชีวิต" ไม่จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนเสมอไป วันหน้าถ้ามีความรู้ดีๆก็เอามาเผอแพร่อีกครับ จากคุณ : บลูเรย์ - [ 28 ม.ค. 51 23:26:50 ]