เชื่อว่าความไม่เป็นสุข ไม่รู้สึกถึงความสงบในจิตใจ หรือทุกข์ทนอยู่กับอาการ "จิตกระเพื่อม" หวั่นไหวของคนเราหลายๆ คนนั้น เกิดจากการที่ชีวิตของเราในหลายๆ ด้านต้องเผชิญอย่างไม่อาจเลี่ยงได้กับความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นไปตามกฎธรรมชาติพื้นฐานของโลกและสรรพชีวิต
ตามปกติ เราเองอาศัยหลักการเจริญอานาปานสติ ด้วยการกำหนดรู้ลมหายใจ มีความสุขไปกับทุกๆ ลมหายใจ เป็นหนทางในการสร้างความสุขและสงบให้เกิดขึ้นในจิตใจของตนเอง -- ตามที่กัลยาณมิตรคนหนึ่งของเรา บอกเราผ่านทางข้อความ sms ทุกๆ วันในตอนเช้า ขอขอบคุณเพื่อนผ่านทางหน้าบอร์ดแห่งนี้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ
นอกจากแนวทางกำหนดรู้ลมหายใจ ตามหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีแนวทางอื่นๆ อีก เช่น แนวทางที่นักจิตวิทยาชาวอมริกัน ชื่อคุณซูซาน เจฟเฟอร์ส แนะนำไว้ ในหนังสือที่เธอเขียนขึ้นเมื่อปี ค. ศ. 2003 ชื่อ Embracing Uncertainty ในหนังสือดังกล่าวนี้ ผู้เขียนแนะนำให้คนเรามองโลก มองชีวิตได้อย่างมีความสุข และความสงบได้มากขึ้น หรืออีกนัยหนึ่ง มีความวิตกกังวลน้อยลงในเรื่องที่เกี่ยวกับโลกและชีวิตของตนเอง โดยเสนอหลักการไว้ 9 ข้อ ดังนี้
1. ไม่กำหนดไว้ในใจว่าโลกต้องเป็นไปอย่างที่เราต้องการ ("Un-set" your heart.) เนื่องจากความทุกข์ของคนเราส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการต้องการให้สิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างแตกต่างจากที่มันเป็น แต่ตามความเป็นจริงแล้ว โลกและชีวิตเป็นไปอย่างที่มันเป็น หากเราสามารถไม่กำหนดไว้ในใจว่าโลกต้องเป็นไปอย่างที่เราต้องการได้ คนเราจะรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่งขึ้น
2. เปลี่ยนจากการคิดถึงชีวิตและโลกในแง่มุมต่างๆ จากเดิม ที่ว่า "ฉันหวังว่า" เป็น "ฉันสงสัยว่า" (Create a "wondering" life instead of a "hoping" life.) ตัวอย่างเช่น "ฉันหวังว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้น" เปลี่ยนเป็นว่า "ฉันสงสัยว่าหุ้นจะราคาสูงขึ้นได้หรือไม่" หากทำได้เช่นนี้ จะช่วยให้เราเรียนรู้และเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เกิดได้มากขึ้น
3. เลือกที่จะไว้วางใจในชีวิต และความเข้มแข็งภายในที่ตนเองมีมากกว่าที่จะเลือกที่จะยอมเป็นเหยื่อของสถานการณ์ต่างๆ (Choose the path of trust) ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า เมื่อคนเราเข้าใจแล้วว่าเราต่างก็มีอำนาจควบคุมโลกนอกตัวน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลยนั้น เราเหลือทางเลือกสองทาง ได้แก่ เลือกที่จะเป็นเหยื่อของสถานการณ์ต่างๆ นั้น หรือเลือกที่จะวางใจว่าตนเองมีความเข้มแข็ง - แข็งแกร่งภายในที่จะสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งดีดีต่อตนและคนรอบข้างได้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร
4. เพิ่มความรู้สึกว่ามีพละกำลังอยู่ภายในอยู่ภายในตนเอง (Increase your inner sense of power) ทำได้ด้วยการลดความคิดและความรู้สึกที่เป็นแง่อกุศล หรือแง่ลบด้วยการบอกกับตนเองไว้เสมอว่า "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของฉัน ฉันจะจัดการมันให้จงได้!" ("Whatever happens in my life, I will handle it!)
5. สะสมเรื่องราวดีดีเกี่ยวกับวีรบุรุษหลายๆ คนที่ประสบเหตุทุกข์ยากในชีวิตแต่ไม่ย่อท้อที่จะจัดการสร้างสรรค์ชีวิตของตนเองและผู้อื่นให้ดีขึ้นได้ไว้ในความนึกคิดและความทรงจำ (Collect "heroes" who have learned to " handle it".) ตัวอย่างเช่น Christopher Reeve, Viktor Frankl เป็นต้น ผู้เขียนเห็นว่าเมื่อเราคิดถึงชีวิตของคนเหล่านี้ จะช่วยให้คนเราวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตและความไม่แน่นอนในชีวิตของตนเองน้อยลงได้
6. มองให้เห็นว่าไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดๆ ขึ้นในชีวิต เราสามารถจะเรียนรู้จากสถานการณ์นั้นๆ ได้ (Focus on the learning that can come from any situation in your life.) หากมองและคิดเช่นนี้ได้ เราจะต้องการให้โลกและชีวิตเป็นไปตามที่เราต้องการน้อยลงได้
7. คิดไว้เสมอว่า "ทุกสิ่งที่กำลังเกิดนั้น มันต้องเกิดและมันเกิดอย่างสมบูรณ์แบบของมันแล้ว" (Embrace the thought, "It's all happenning perfectly.") เช่นกันกับข้อที่ 6 นั่นคือ หากมองและคิดเช่นนี้ได้ เราจะต้องการให้โลกและชีวิตเป็นไปตามที่เราต้องการน้อยลงได้
8. มองให้เห็นและให้ความสำคัญ สำนึกในคุณค่าของสิ่งที่เรามีและเราเป็น ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยเพียงใด (Focus on the blessings)
9. เชื่อว่าชีวิตของตนเองมีคุณค่า มีความหมายในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างสรรค์ให้โลกนี้ดีขึ้น แล้วลงมือทำตามความเชื่อนั้นๆ ของตนเอง (Get involved) เมื่อทำได้เช่นนี้ ความกลัว ความกังวลในชีวิตจะลดลง และในขณะเดียวกันจะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าได้ด้วย
All of us can rise above any situation that life hands us.
All of us can live a fulfilling life in the middle of the turmoil.
All of us can find a sense of peace and purpose.
ขอส่งกำลังใจ มิตรภาพและความปรารถนาดีถึงเพื่อนสวนลุมทุกคนให้สามารถสร้าง และรักษาความสุขสงบให้เกิดขึ้นในจิตใจของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนค่ะ
แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 51 12:43:50
จากคุณ :
ipiup
- [
29 ม.ค. 51 12:32:35
]