ความคิดเห็นที่ 1 ใช่ๆๆ หมอกา ป้ารู้ข่าวก็จี๊ดเลย เขาทำกันไปถึงไหนแล้ว แถมยาถูก จะเรียกทบทวน เพื่อสร้างผลงามหน้าทำม๊ายยยย จากคุณ : โสมรัศมี - [ 9 ก.พ. 51 11:20:38 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จี๊ดอีกรอบ เห็นใจบ.ยา ดันไม่เห้นใจชาวบ้าน เข้ามา รับใช้ประชาชนกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยและใหญ่ด้วยเงิน เฉก บ.ยา ส่อเจตนา ส่อเจตนา จากคุณ : โสมรัศมี - [ 9 ก.พ. 51 11:22:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อย่ามองด้านเดียวสิครับ 1.ที่มันเดือดร้อนไม่ใช่บริษัทยาเมืองนอกอย่างเดียวนะครับ บริษัทยาเมืองนอกเนี่ยใหญ่นะครับ ถ้าเราทำเช่นนี้ ประเทศ ใหญ่ๆที่เป็นเจ้าของบริษัทยา เค้าก็จะบอยคอตเราเช่นเดียว กันนะครับ ถ้าเค้าไม่ให้เราส่งออก หรือ ขึ้นภาษีนำเข้า คนส่วน มากของประเทศเราก็เดือดร้อนเช่นเดียวกันนะครับ 2.ถ้าเราทำ cl ยา หลายตัว บริษัทยาไม่ได้กำไรจากยาพวกนี้ ต่อไปเค้าก็จะไม่ค้นคว้าวิจัยยาพวกนี้ต่อ แล้วตอนนี้ถามว่ายา ได้ผลมากมั้ย สำหรับโรคมะเร็งยังได้ผลได้ไม่ดีเท่าที่ควรด้วยซ้ำ ถ้าบริษัทไม่วิจัยต่อ อนาคตของคนทั้งโลกจะเป็นเช่นไรครับ 3.ผมมองว่าผู้ป่วยก็เดือดร้อน แต่ถ้าช่วยด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง แล้วทำให้คนส่วนมากทั้งประเทศเดือดร้อนตามก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง นักนะครับ และในกรณีนี้ยังไม่ได้ยกเลิกนะครับ แค่ทบทวน หา ข้อตกลงที่เหมาะสมเถอะครับใจเย็นๆ จากคุณ : le dente - [ 9 ก.พ. 51 11:48:58 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เค้าน่าจะให้ข้อมูลการป้องกันมะเร็งกับประชาชนให้ต่อเนื่องและกว้างขวางด้วยนะค่ะ เอาแต่หาทางแก้อย่างเดียวไม่ป้องกัน ก็แย่เหมือนกันนะค่ะ คนฉลาดในกระทรวง ในรัฐบาลมีเยอะแยะ แค่คิดวิธีให้คนทั่วไปป้องกันการเกิดมะเร็งแบบง่ายๆแต่ยั่งยืน ทำได้ไหมค่ะ ใช้สื่อให้เป้ฯประโยชน์เป็นไหมล่ะค่ะ จากคุณ : แป้ง (Can'Paeng) - [ 9 ก.พ. 51 12:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมเห็นด้วยกับการ "ทบทวน" ตามที่ รมว.สธ. คนใหม่กล่าวมาครับ เนื่องจาก เค้าไม่ได้บอกว่าจะ "ยกเลิก" โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีญาติที่เสียชีวิตแล้วทางโรคมะเร็งถึงสี่คน และผมอาจจะเป็นหนึ่งในนั้น.. แต่ในเรื่องของการ CL ยานั้น มันถูกต้องหรือครับ? ผมว่าคนไทยเรามองเพียงด้านเดียวในส่วนที่ว่า "ได้รับ" แต่เราได้มองไปถึงในส่วนที่เรา "เสียไป" หรือไม่ จากผลเสียที่เราประกาศ CL ยานั้น 1.ประเทศไทยถูกจับตามองว่าเป็นประเทศที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และมันก็คงไม่ต่างจากโจรดีๆนี่เอง รวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆที่เราใช้อยู่ด้วย 2.การทำ CL ยานั้น เรายังต้องยืมจมูก ประเทศ อินเดีย หายใจอยู่ เนื่องจาก ตัวยาบางชนิดเรายังไม่สามารถผลิตเองได้ 3.เนื่องจากคุณภาพของยานั้น มีส่วนให้เกิดผลข้างเคียง (Side Effect) รวมถึงการดื้อยา จากการที่เราจะตายเพราะมะเร็ง เรากลับได้โรคอื่นแถมมาด้วย 4.หากเรายกเลิก CL แล้ว เราสามารถ ขอต่อรองราคายากับทางบริษัทยาต่างชาติได้ เช่นเดียวกับการขอต่อรองราคากับบริษัท Software ต่างๆ 5.เกมส์การบีบบังคับจากอเมริกามาที่ประเทศไทย ยังคงไม่จบแค่ถูกส่งไป Black List หรอกนะครับ สรุปแล้วจากความคิดส่วนตัวของผม ถ้าเกิดการยกเลิก CL ยานั้น เราก็ยังมีตัวยาราคาถูกอยู่ดี เนื่องจากการลักลอบผลิต และประเทศไทยก็สามารถยืดอกอยู่ในสมาคมโลกได้ ไม่ใช่ว่าถูกตราหน้าว่าเป็นโจร และราคายาที่มีคุณภาพก็จะลดลงไปอีก และตัวยาที่เราแอบผลิตเองนั้นก็ยังเป็นตัวเลือก เราจึงสามารถเลือกได้ว่าจะต้องการยาระดับใด ตามความพอใจและกำลังทรัพย์ของบุคคลนั้นๆ และตราบใดที่ยังอยู่ในขั้นทบทวนนั้น ผลที่ออกมาจะต้องมีการรองรับไว้อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อย ถ้าไม่มีมาตรการรองรับ สงสัยคงโดนยำเละ เรารอดูสถานการณ์ก่อนดีกว่าไหมครับ แล้วค่อยโวยวาย หากมันไม่ถูกใจจริงๆ และสุดท้าย คำพูดที่ออกมาจากปากของ รมว.สธ.นั้นว่า น่าจะไปกินดอกไม้จัน ผมว่า ท่านพลาดก็ตรงนี้แหละครับ ปล.บางทีสื่อก็ชอบชงให้เกิดการทะเลาะกัน อย่างการพวดหัว ไม่รู้ว่าจรรยาบรรณของสื่อเรื่องการวางตัวเป็นกลางที่ได้ร่ำเรียนมา มันยังมีอยู่หรือไม่ อยากให้สื่อไปคิดทบทวนดูบ้างก็ดีนะครับ จากคุณ : thdamn - [ 9 ก.พ. 51 12:18:30 A:125.24.50.94 X: TicketID:167657 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ราคายาต่างกัน 30เท่านั่นเกินไปครับ ค่าR&D ไม่น่าแพงขนาดนั้น ชีวิตคนไม่ใช่มีไว้เพื่อเก็งกำไรทางธุรกิจนะครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 9 ก.พ. 51 12:27:16 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ประเทศที่ทำ CL ยามากที่สุดในโลกคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากคุณ : Alone with out lonely - [ 9 ก.พ. 51 12:55:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 การทำ CL ไม่ผิดกฏหมายนะครับ มีช่องเปิดให้เราทำได้ เราไม่ได้เป็นโจร และไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะเรื่องลิขสิทธิ์เปิดช่องให้ทำ ยาไม่เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือเพลง เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิต จากคุณ : Wizard. - [ 9 ก.พ. 51 13:29:32 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โธ่ จะแนะนำให้ป้องกันมะเร็ง ยากครับ ขนาด ให้เลิกสูบบุหรี่หรือใช้ถุงยาง ยังไม่ค่อยสำเร็จผลเลย การเป้นมะเร็งมีสาเหตุเยอะแยะมากๆๆ อยู่ในการใช้ชีวิตเยอะแยะ การป้องกันที่ดีที่สุด คือการตรวจมะเร็งทุกปี แต่ยากครับ คนมีตัง ยังคิดหนักเลย ส่วนการทำ CL ยาอันที่ทำไปแล้วจะมายกเลิกทำไมอ่ะ ไม่ทำเพิ่มก็ไม่มีคนว่าหรอกครับ การทำมันถูกต้องนะครับ เราไม่ได้ไปละเมิดใครเลย ส่วนเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะครับ - - ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีการละเมิด อย่ามาอ้างเลยครับ ขนาดบันเทิงอื่นๆๆ ยังไม่ทำกันเลย แต่นี้มันสำคัญต่อชีวิตนะครับ ถ้าคนที่คุณรักป่วย หรือเป็นมะเร็ง ผมว่าคุณไม่มีทางเห้นด้วยหรอกครับ จากคุณ : taecu - [ 9 ก.พ. 51 14:36:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จริงๆ  le dente กะ thdamn ลองไปหาข้อมูลเรื่องการทำ CL ยาของไทยดูอีกทีนะครับ ลองดูว่าแต่ละขั้นแต่ละตอน เขาตัดสินใจทำกันอย่างไรนะ หมอและทีมที่เป็นคนตัดสินใจ เขาไม่ได้มองอะไรด้านเดียวอย่างที่คุณคิดหรอกครับ ... จากคุณ : BO Lovely - [ 9 ก.พ. 51 14:44:41 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับ คห.3 และ5 จากคุณ : เห็นด้วย (ข้าวสุก) - [ 9 ก.พ. 51 14:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ในฐานะที่แซ่เดียวกัน งานง้วนเซียวปีนี้ก็ต้องเห็นหน้าท่านอีก อยากบอกว่าขอให้ท่านคำนึงถึงชีวิตมนุษย์ก่อนเหตุผลอื่นๆครับ คนเป็นมะเร็งเป็นสาเหตุอันดับต้นๆของการเสียชีวิต การยกเลิก CL ถ้าท่านมั่นใจว่าสามารถได้ราคายาในราคาที่ไม่แพงกว่านี้มาก (อาจจะซัก 10-20%) ก็ทำเถอะครับ ถ้าท่านไม่สามารถทำให้ราคายาอยู่ในระดับนี้ ก็อย่าทำให้ชีวิตคนไทยเดือดร้อนมากไปกว่านี้เลยนะครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 9 ก.พ. 51 15:35:33 ]

ความคิดเห็นที่ 13 .......ไทยกับอเมริกาก็เหมือนหมาป่ากับลูกแกะนั่นแหละ....... .... ยอมเรื่องยาแล้วหวังจะได้ไม่โดนกีดกันทางการค้า...โคตรละเมอเลย  มีเรื่องอ้างอีกหลายเรื่องให้โดนกีดกันทางการค้า. .... ..... .......ทีกับจีนเป็นเหล่งละเมิดลิขสิทธิ์ใหญ่ที่สุดในโลก..ยังไม่มีปัญญาบีบอะไรได้พอจะบีบก็โดนบริษัทที่มีผลประโยชน์ในจีนขวางก็ทำไม่ได้อีกเรื่องของเรื่องมันอยู่ที่การดูแลผลประโยชน์ต่างหาก จากคุณ : drhmu09 - [ 9 ก.พ. 51 16:17:39 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ thdamn คคห. 5 การทำ CL ถูกต้อง ตามระเบียบขององค์การค้าโลกครับคุณ thdamn เพราะมวลหมู่สมาชิกขององค์การการค้าโลกนั้น เขาให้สิทธิในการมี ชีวิตรอดอยู่เหนือสิทธิการคิดค้นครับ ผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้น เป็นเพราะประเทศที่ผลิตยานั้น ไม่เคารพต่อองค์กรการค้าโลกเอง คิดจะเอาอิทธิพลมาบีบประเทศไทย เหมือนเห็นประเทศไทยเป็นประเทศเบี้ยล่าง ขอแจกแจงผลเสียที่คุณว่ามาเป็นข้อ ๆ 1) ดังนั้นประเทศไทยไม่ใช่โจร เพราะไทยทำตามกฎหมายขององค์การ การค้าโลก ที่เขาให้ช่องทางไว้ เรื่องนี้มันคนละเรื่องกับโปรแกรมคอม พิวเตอร์ เพราะโปรแกรมคอมพิวเตอร์ WTO ไม่ได้ให้สิทธินี้เหมือน กับยา เพราะว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต 2)การที่เราทำ CL ก็เพราะไทยผลิตยาไม่ได้ด้วยตัวเองนั่นเอง ถึงได้ทำ CL ถ้าผลิตได้เองแล้วเราไปทำ CL ทำไม การที่เราต้องไปซื้อยาจากเจ้าของ ลิขสิทธิ์ซึ่งแพงกว่ายาสามัญที่ซื้อจากอินเดียไม่รู้กี่สิบเท่า แล้วประเทศ ไทยนั้นคนส่วนใหญ่ไม่ได้รวยขนาดนั้น อินเดียเป็นช่องทางให้กับคนยาก จนในการเข้าถึงยาถุก ๆ ...... การยืมจมุกอินเดียหายใจ มันก็ดีกว่าไปซื้อ ยาที่แพงเกินจริงของเจ้าของสิทธบัตรเพราะว่ามันประหยัดเงินได้เยอะ นอกจากนั้นพวกนั้นเจ้าของสิทธิบัตรเอง มันก็ไม่เคยช่วยให้ไทยได้หาย ใจด้วยจมูกของตัวเองเลย ประเทศอินเดียที่สามารถผลิตยาสามัญจน ขายได้ทั่วโลกในขณะนี้ เพราะอินเดียไม่ยอมออกกฎหมายคุ้มครอง สิทธิบัตรตามที่ประเทศมหาอำนาจตัองการเหมือนกับที่ประเทศไทยออก กฎหมายออกมา เพราะกลัวถูกตัด GSP 3)ยา ที่จะซื้อมาใช้นั้นคนซื้อเขาไม่ได้ซื้อมามั่ว ๆ ครับ กฎเกณฑ์ในการทำ CL นั้น เขาบังคับไว้เลยว่า ยาที่ซื้อมาต้องผ่านมาตรฐานขององค์การ อนามัยโลก ถ้ายาต้นแบบไม่มี side effect ยาสามัญก็ต้องไม่มี side effect ด้วย ขอให้คุณเข้าใจไว้ว่า ผู้ที่คัดเลือกยามาทำ CL นั้นเขาไม่ได้ ทำมั่ว แต่การคัดเลือกมานั้นคุณภาพต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานขององค์ การอนามัยโลก 4)โห ถ้าเราสามารถต่อรองกับพวกบริษัทผลิตยาได้ เราก็ไม่ต้องทำ CL แล้วครับคุณ ก่อนหน้าที่เราไม่เคยทำ CL เราก็ต่อรองกับบริษัทยาไม่รู้ เท่าไหร่แล้ว แต่พวกนี้ถือว่ามีอำนาจต่อรองมากกว่า มันเคยเห็นชาติเล็ก เหมือนเมืองไทยที่ไหน การต่อสู้เพื่อให้สามารถทำ CL ผ่านองค์การ การค้าโลกนั้น ถึงได้เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถต่อรองให้บริษัทยาลดราคา ยาลงมา พวกบริษัทยาที่ลด ๆ ราคาลงมา ก็เพราะประเทศกำลังพัฒนา มี CL .ในการต่อรองนี่แหละ 5) อเมริกาก็บีบบังคับไทยมาตลอดแหละครับ จัดไทยให้เป็นประเทศ ทั่จับตามองบ้าง ขึ้นแบล็คลิสต์บ้าง ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ก็เพื่อ จะนำ ไปข่มขู่ไทยที่จะไม่ให้สิทธิไทยในเรื่องสิทธิทางภาษี GSP นั่นเอง แต่ ว่าปัจจุบันนี้ GSP มีความหมายต่อประเทศไทยน้อยลงไปเรื่อย ๆ ไทย ไม่จำเป็นต้องพึ่ง GSP มากเหมือนสมัยก่อน ภาษีที่ได้รับการยกเว้น ในการนำสินค้าเข้าสหรัฐนั้นก็มีเพียงเล็กน้อยประมาณ 3% เท่านั้น โดย มีสินค้าไทยประมาณ 20% เท่านั้นที่ต้องพี่ง GSP ในการนำเข้าตลาด สหรัฐ แล้วสิทธิเหล่านี้ก็ถูกตัดลงไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ ปี แม้ว่าประเทศไทย จะไม่ได้ขึ้นบัญชีดำก็ตาม บริษัทที่ได้ประโยชน์จาก GSP ในปัจจุบัน นั้นมักเป็นบริษัทที่มีประบริษัทแม่อยู่ในสหรัฐ ที่มีเงินมากพอในการจ้าง พวกนล๊อบบี้ในการล๊อบบี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ส่วนบริษัทคนไทยนั้น ก็ถูกตัด GSP ไปเรื่อย ตามระดับการพัฒนาของไทยและปริมาณการส่ง สินค้าไปสหรัฐ ถ้ามองให้เลวร้ายที่สุด สินค้าก็น่าจะสามารถต่อสู้กับคู่ แข่งโดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งการยกเว้นภาษีราวประมาณ 3% ของสหรัฐ คุณ thdamn ต้องเข้าใจว่า การทำ CL นั้นไทยทำตามระเบียบกฎเกณฑ์ ขององค์การการค้าโลก ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ดังนั้นประเทศ ไทยไมใช่โจรครับ คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ยาที่ประเทศไทยทำ CL นั้นเป็นยาที่ประเทศ ไทยผลิตไม่ได้ทั้งสิ้น ถ้าเรามีปัญญาผลิตได้แล้วไปทำ CL ทำไม เมื่อไทย ทำ CL ก็จะดูราคายาส่วนมากจากประเทศอินเดีย เทียบกับราคายาของ เจ้าของสิทธิบัตร ถ้าราคาของเจ้าของสิทธิบัตรแพงกว่ายาจากอินเดียเพียง 5% ไทยจะซื้อยาจากเจ้าของสิทธิบัตร แต่ถ้าแพงกว่า 5% ไทยก็จะซื้อยา มาจากอินเดีย อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า ยาที่ซื้อมาด้วยการทำ CL นั้น ต้องมีคุณภาพ ที่ผ่านมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับขององค์การอนามัยโลก จะเอายาพวกนี้ ไปเทียบกับยาที่ไทยลักลอบผลิตเองได้ยังไง จากคุณ : vivacious - [ 9 ก.พ. 51 16:23:16 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ต้องมองที่เจตนาของนายไชยาว่าต้องการอะไร หรือมีเจตนาอย่างไร ทำไม่มาเปิดนโยบายตอนนี้ ทำไม่ตอนหาเสียงไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย ชาวบ้านเค้าจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกคุณหรือคนอื่น การทำนโยบายเอาใจพ่อค้าแบบนี้แหละที่ทำให้ผมไม่เคยเลือกพรรคไทยรักไทยหรือพลังประชาชน เพราะไม่เคยสำเหนียกในความทุกข์อยากของประชาชนผู้ยากไร้อย่างแท้จริง CL นั้น แม้จะเป็นยาประเภทที่นำมาใช้น้อยหรือมาก หากประชาชนมีโอกาสเข้าถึง ก็เป็นสิ่งที่รัฐควรจะต้องทำมิใช่หรือ ไม่อยากคิดเลยว่านายไชยากำลังถอนทุนคืน กระทรวงสาธารณสุขเริ่มต้นได้โดนใจประชาชนมากกว่าทุกกระทรวงจริงๆ คำว่า ทบทวนนั้นมีนัยเดียวกันกับอยากยกเลิกนั่นแหละจ๊ะ ถ้าไม่อยากยกเลิกจะมาพูดหาสวรรค์วิมานอะไร จากคุณ : เท้าที่มองไม่เห็น - [ 9 ก.พ. 51 16:35:19 A:210.1.7.12 X: TicketID:156719 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอสั้นๆ .... เลว จากคุณ : Epinephrine - [ 9 ก.พ. 51 17:27:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เห้อชีวิตคนไทยกลายเป็นธุรกิจไปแล้ว จากคุณ : DraGo - [ 9 ก.พ. 51 18:19:32 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แล้วเมื่อไรประเทศไทยถึงจะเลิกจากการเป็นทาสทางยาของพวกต่างชาติละเนี่ย.... เมื่อไหร่ที่คนที่มีอำนาจ มีสมอง จะอยากลุกขึ้นมา ทำอะไรเพื่อประเทศชาติ  พัฒนาศักยภาพเพื่อส่วนรวมมากขึ้น แทนที่จะเดินตามตูดต่างชาติมันต้อยๆแบบนี้ .... แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 51 18:23:09 แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 51 18:22:44 จากคุณ : วัฌชา - [ 9 ก.พ. 51 18:21:56 ]

ความคิดเห็นที่ 19 1.ประเทศไทยถูกจับตามองว่าเป็นประเทศที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และมันก็คงไม่ต่างจากโจรดีๆนี่เอง รวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆที่เราใช้อยู่ด้วย [b]ถ้าคุณจะเห็นว่า หน้าตาของรัฐบาลในสายตาชาวโลกมันสำคัญกว่าชีวิตคนไทยด้วยกันละก็ ตามสบายครับ[/b] 2.การทำ CL ยานั้น เรายังต้องยืมจมูก ประเทศ อินเดีย หายใจอยู่ เนื่องจาก ตัวยาบางชนิดเรายังไม่สามารถผลิตเองได้ [b]แล้วจะให้ทำไงล่ะครับ ผลิตเองไม่ได้ แต่ซื้อยาทำให้คนรอดได้ ผมว่ามันคุ้มจะตายครับ ลองคิดดูนะ ถ้าญาติคุณต้องใช้ยานั้นแล้วคุณไม่มีเงินซื้อ คุณจะสนับสนุน CL มั้ย[/b] 3.เนื่องจากคุณภาพของยานั้น มีส่วนให้เกิดผลข้างเคียง (Side Effect) รวมถึงการดื้อยา จากการที่เราจะตายเพราะมะเร็ง เรากลับได้โรคอื่นแถมมาด้วย [b]นี่เคยอ่านเรื่องการผลิตยามั้ยครับ การซื้อยาโดยทำ CL นั้นต้องซื้อผ่านWHO ซึ่ง WHO ไม่ยอมให้ใช้ยาที่เอามาฆ่าคนหรอกครับ[/b] 4.หากเรายกเลิก CL แล้ว เราสามารถ ขอต่อรองราคายากับทางบริษัทยาต่างชาติได้ เช่นเดียวกับการขอต่อรองราคากับบริษัท Software ต่างๆ [b]ถ้าต่อรองกับบริษัทยาได้ ผมว่าไทยก็คงไม่ทำ CL ไปหรอกครับ[/b] 5.เกมส์การบีบบังคับจากอเมริกามาที่ประเทศไทย ยังคงไม่จบแค่ถูกส่งไป Black List หรอกนะครับ [b]โดน Black List กับคนในชาติตาย ผมยอมโดน Black List ครับ[/b] จากคุณ : อเมริกาไม่ใช่พ่อ - [ 9 ก.พ. 51 18:46:37 A:61.7.133.54 X: TicketID:161649 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอเอาใจช่วยกลุ่มแพทย์และเภสัชกร ต่อสู้ให้ถึงที่สุดค่ะ จากคุณ : น.ส.พังพอน - [ 9 ก.พ. 51 19:11:33 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เห็นด้วยกับการประกาศ ใช้ คนที่ไม่เห็นด้วยเป็นเซลล์บริษัทยารึเปล่าคะ เป็นคนไทยรึเปล่า จากคุณ : คนไทยเต็มขั้น (my beloved sunshine) - [ 9 ก.พ. 51 20:02:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ยืนยันอีกคนว่า LC ยา ไม่ใช่การละเมิดสิทธิบัตรครับ จากคุณ : กระเทืองแก่ (Mascagni) - [ 9 ก.พ. 51 21:03:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมไม่เถียงต่อแล้วกันนะครับ เพราะเราพูดประเด็นสำคัญๆกันไปหมดแล้วล่ะครับ มีคนเห็นด้วยก็มีคนไม่เห็นด้วยใครๆก็รักประเทศชาติตัวเองครับ ต่างความคิดแต่อย่าแตกแยกเลยครับ เรื่องกำลังแรงเอาว่าเราตามดูกันต่อไปแล้วกันครับ ถ้าได้ข้อสรุปแล้วเราค่อยหาวิธีแก้ไขกันต่อไปแล้วกันครับ จากคุณ : le dente - [ 9 ก.พ. 51 22:03:39 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ^^^ ^^^ คุณ le dente ความเห็นที่ 3 1) คนส่วนมากของประเทศไทยไม่ได้ใช้สิทธิ GSP ที่สหรัฐให้ประเทศไทยหรอกครับ ตอนนี้บริษัทที่ได้ใช้สิทธิ GSP ส่วนมากเป็นบริษัทที่มีบริษัทแม่อยู่ในอเมริกาเท่านั้น อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ถึงไม่มีเรื่อง CL สหรัฐก็ต้องตัดสิทธิ GSP ไทยอยู่ดี เพราะไทย มีฐานะเลยประเทศด้อยพัฒนาไปแล้ว และส่งสินค้าเข้าสหรัฐเกินโควต้าแล้วมาก และมี บริษัทเป็นจำนวนมากที่สามารถส่งสินค้าเข้าสหรัฐถึงกว่า 80% โดยไม่จำเป็นต้องง้อการ เว้นการเก็บภาษี GSP ราว 3% นี้เลย 2)ยอดขายของบริษัทยานั้นตลาดหลักกว่า 90% อยู่ประเทศพัฒนาแล้วที่มีกำลังซื้อยาราคา แพง ๆ ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกก็ซื้อยาเพียงแค่ 10% ที่เหลือเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนน้อย มากมันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับการวิจัยพัฒนาหรอก และงบการวิจัยพัฒนานั้นก็เป็นข้ออ้าง เท่านั้น เพราะบริษัทพวกนี้ไปเอางานวิจัยจากมหาวิทยาลัยซึ่งใช้งบประมาณของรัฐในการ ทำ บริษัทพวกนี้เอาไปทำต่อนิดหน่อย แล้วจดสิทธิบัตรเป็นของตัวเอง มีหนังสือเล่มหนึ่ง ซึงคนเขียนเป็นบรรณาธิการวารสารทางการแพทย์ชื่อดังของโลก เขาได้เขียนปอกเปลือกมา แล้ว คุณน่าจะไปหามาอ่านบ้างครับ     ตลาดยาในประเทศไทยมีประมาณ 50,000 ล้านบาท โดย 30% เป็นส่วนแบ่งของบริษัท ยาคนไทย ส่วนที่เหลือเป็นของบริษัทข้ามชาติ ทั้งเป็นยานำเข้าและตั้งโรงงานผลิตในไทย ยา ของบริษัทข้ามชาติแพงกว่ายาที่ผลิตโดยคนไทย 2-3 เท่า     ขนาดตลาดยาโดยรวมในไทยนั้นมีไม่ถึง 0.1% ของตลาดยาโลกรวมด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึง ยาที่เลือกมาทำ CL นั้นจำได้ว่ามีมูลค่าเพียง 200-300 ล้านบาทเองเท่านั้น มันไปกระทบ กับงบวิจัยพัฒนาของบริษัทใหญ่ตรงไหน เงินแค่นี้จ่ายเงินเดือนและโบนัสให้ผู้บริหารระดับ สูงของบริษัทยาหนึ่งแห่งต่อปีมันยังไม่พอเลย ......... แต่ว่ามันสามารถช่วยชีวิตคนยากคนจน ในประเทศกำลังพัฒนานับหมื่นนับแสนคนให้รอดได้ครับ 3)สิทธิบัตรซึ่งเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้คิดค้นนั้นสำคัญก็จริง แต่ชิวิตคนนั้นสำคัญกว่า ครับ การทำ CL นั้นเป็นการทำที่ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นไปตามข้อตกลงขององค์การค้าโลก ที่ประเทศมหาอำนาจก็ยอมรับ ที่ไทยทำมันไม่ถูกต้องตรงไหน ดังนั้นที่พวกมหาอำนาจมา โวยวายก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เสียผลประโยชน์ แต่อย่างที่บอกแล้วการตอบโต้ของประเทศ เหล่านี้ในด้านการค้า ก็ต้องอยู่ในกรอบขององค์กรการค้าโลก ไม่ใช่นึกจะทำอะไรได้ตามใจ ส่วนจะทำให้คนไทยส่วนใหญ่เดือดร้อนหรือไม่ ก็ไม่จริง ให้คุณกลับอ่านคำตอบข้อ 1 จากคุณ : vivacious - [ 9 ก.พ. 51 22:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่โดนกีดกันทางการค้า แล้วชีวิตชาวรากหญ้าที่เหลือล่ะค่ะ หรือเพราะเงินต่างกัน ค่าของชีวิตเลยต่างกัน แปรผกผันกับเงิน จากคุณ : ทาสรักลูกแยม - [ 10 ก.พ. 51 03:20:16 ]

ความคิดเห็นที่ 26 พวกขี้ขโมย  พวกขี้โกง ละเมิดลิขสิทธิ์ยา ขอประนาม  พวกขี้ขโมย จากคุณ : Sky - [ 10 ก.พ. 51 05:19:34 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอโทษนะอ่านมานานแล้วน่าเบื่อมาก ขอแสดงความคิดเห็นหน่อย  คุณอาจคิดว่าเรามีอคติ หรือตอบงี่เง่าก็ได้ ไม่ว่ากัน   เราไม่ใช่หมอ และไม่อยากเป็นหมอด้วย แม้จะเอนท์ติดได้ไม่ยากก็ตาม เนื่องจากชีวิตคลุกคลีกันคนวงการนี้มาในระดับหนึ่ง ทำให้รู้จักบุคลากรหลายคนในวงการนี้ที่ี้มีความคิดในกรอบแคบ(ในสายตาเรา) และเกิดความเอือมระอาในวิชาชีพ เมื่อตอนโครงการนี้เริ่มขึ้น แม่เราเป็นผู้ช่วยในโครงการนี้ด้วย (แม่เราไม่ใช่หมอ แต่สนับสนุนด้านงานวิจัยอยู่) เราได้อ่านงานวิจัยประกอบหลายส่วน และได้ถกปัญหากับแม่บ้าง  แน่นอนแม่เราเห็นด้วยอยู่แล้ว แม่บอกว่าโครงการของหมอมงคลโครงการนี้ดี  แม้ในเรื่องอื่นๆแกจะเฉื่อย และเป็นที่ไม่ถูกใจของใครหลายคน (ถ้าคุณเป็นคนในวงการนี้ ก็คงรู้ว่าเค้าแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันแค่ไหนละนะ) ถามว่าเปิด CLยานะดีไหม มันก็มีข้อดีนะ พวกคุณก็ได้ยกกันมาแล้ว  แต่ในข้อดีนั้นคุณคิดว่าจะไม่มีการเอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวกตนหรอ   ผิดซะล่ะ  มันก็มีพอๆกับที่เอื้อประโยชน์ให้บริษัทยาอ่ะแหละ (เราเคยแอบได้ยินพวกอาหมอหลายคนพูดกัน) รวมทั้งผลเสียหลายด้านที่ตามมาด้วย   พวกคุณอาจบอกว่าอย่าเอาเรื่องมนุษยธรรมไปเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ เราถามว่าทุกวันนี้คุณมองอะไรแยกส่วนได้หรอ ทุกเรื่องมันเชื่อมโยงกันไปหมด มนุษยธรรมที่คุณว่ามันก็ใช่ แม้มันเป็นมนุษยธรรมเฉพาะกลุ่มก็ไม่อาจละเลยได้  แต่คุณควรให้มนุษยธรรมของฝ่ายผู้ผลิตยา หรือประชาชนคนอื่นที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการเปิดCLด้วย ไม่ใช่มองแต่ตัวเรา กลุ่มของเรา เมื่อเปิดCLยาแล้ว ในขณะที่ยายังไม่ได้มาตรฐานที่ดีพอมีside effect มันถือว่าคุ้มแล้วหรอ วัตถุดิบขั้นกลางที่จะมาผลิต(มันก็เหมือนการย้ายแกนผลประโยชน์น่ะแหละ) เราก็ต้องไปซื้อเค้ามาแถมไม่ได้คุณภาพอีก นี่คือผลของการลงทุนถูกลง นอกจากนี้ประโยชน์ของคนไข้ หมอ และผู้เกี่ยวข้องเฉพาะกลุ่ม มันยังส่งผลถึงมวลรวมด้วย แล้วเลิกอ้างเถอะความชอบธรรมน่ะ ความชอบธรรมของแต่ละกลุ่มบุคคลมันไม่เหมือนกัน คนที่อ้างความชอบธรรม มันจะติดอยู่กับคำว่าอัตตา ตัวกู กลุ่มของกู หากทุกคนอ้างความชอบธรรมไที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีการประณีประนอม โลกมันจะวุ่นวายขนาดไหน   อีกอย่างWTO ให้โอกาสการเปิดCLได้ ในกรณีที่มีเหตุวิกฤตการณ์ใดๆ ถามว่าอะไรคือวิกฤตการณ์ในไทย ผู้ป่วยโรคเอดส์ในไทยมีโอกาสดีกว่า ผู้ป่วยกลุ่มเดียวกันในประเทศโลกที่สาม สถิติผู้ป่วยโรคเอดส์ในไทยก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น มีแต่ลดลงด้วย(ถ้ามองระยะยาว) อันนี้เรียกวิกฤติได้หรอ อย่าเอากฏหมายมาอ้างน่า เรื่องกฏหมายเนี่ยมันรู้ๆกันอยู่ หึๆ เจรจาตามกระบวนขั้นตอนแล้วไง กฏมันดิ้นได้ไหม แล้วผลกระทบมันมีไหม ส่วนผู้ป่วยโรคมะเร็ง ถือว่ามีไม่มากเลย ไม่ได้สูงกว่ามาตรฐานโลก แม้จะกล่าวว่าผู้ป่วยและญาติได้รับผลกระทบ หมดเนื้อหมดตัว ถามว่าคนที่เป็นโรคเดียวกันในประเทศอื่นเขาไม่พบสภาพเดียวกันหรอ ถ้าอ้างแค่นี้เดียวก็มีคนเปิดCLตามไทยอีกมากมาย ต่อไปใครจะวิจัยพัฒนายา  เชื้อโรคมันพัฒนาตลอดเวลานะ แต่อย่างนี้่คนพัฒนายาคงอยากทำหรอก ถ้าเค้าได้ผลประโยชน์คุ้มพอ (R&D ใช้เงินไม่น้อยนะพร้อมทั้งมีความเสี่ยงสูง ถ้าโครงการไม่สำเร็จเงินที่ลงไปก็เหลว///ปล.ถามว่ากำไรมากโอเวอร์ มันไม่โอเวอร์หรอกถ้าคุณศึกษาดีๆจะรู้ และก็นะ พวกคุณหมอทั้งหลายก็หัดทำตัวดีๆ ไม่เรียกเงินค่าคอมฯสุดเคี่ยวได้ไม๊ละ จะได้ลดต้นทุนของบริษัทยา เผื่อราคายามันจะถูกลงบ้าง เหอๆ) อีกประเด็น คุณไม่แคร์อเมริกาไม่ได้หรอก ไม่แคร์ประชาชาติอื่นไม่ได้หรอก แน่นอนอเมริกาไม่ใช่พ่อ แต่เป็นมหาอำนาจ(ใครก็ต้องง้อมัน มันถึงทำอะไรก็ได้ไง ถ้ามันจะเปิดCLยามันก็ทำง่ายๆ มันไม่รับปฏิญญาระหว่างประเทศ อย่างเร็วๆนี้ ปฏิญญาเกียวโต เรื่องสิ่งแวดล้อม แล้วใครทำไรมันได้ไม๊อ่ะ) อเมริกามีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ รัฐกิจ และการเมืองของเราไหม เมื่อโครงการนี้ส่งผลถึงการบอยคอรด์ ทางการค้าและความช่วยเหลืออื่นๆ ใช่แต่เฉพาะประเทศอเมริกา แต่ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ส่งผลถึงนโยบายการลงทุนระหว่างประเทศ และส่งผลถึงความกินดีอยู่ดีของคนไทยทั้งประเทศ ถามว่ามันจะยังเป็นสิ่งที่สมควรทำหรือไม่ (ให้ประเทศเรายืนได้โดยไม่ไหวตามสถานการณ์เเละปัจจัยภายนอกก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน) คุณทำอย่างมันก็กระทบอีกอย่าง ดังนั้นเราควรจะมองกันแบบองค์รวม สิ่งที่ทำมาแล้ว ถ้าเราเห็นว่าอาจมีข้อเสียที่ส่งผลกระทบมาถึงปัจจุบัน เราจะผ่านเลยไปหรือ แม้จะลงแรง และเสียเวลาไปแล้ว เราก็ต้องกลับมาแก้ไขถ้ามันไม่ถูกไม่ควร เราเห็นว่าสิ่งที่คุณไชยาทำ คือนำประเด็นนี้กลับมาทบทวนไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดตรงไหน ใช่ว่าอยู่ๆเค้ายกเลิกเลยที่ไหนล่ะ ส่วนผลการทบทวนว่าไงก็นำมาเปิดเผยอธิบายอย่างโปร่งใสแล้วกัน เราอยากให้คุณมองทั้งสองด้าน และเปิดรับความความคิดเห็นของทั้งสองฝ่ายดีกว่านะ ปล.เราขอตอบข้อสงสัยคนบางคนนะ ถ้าเรามีญาติที่เป็นมะเร็งเราจะสนับสนุนทำCLไม๊ ตอบ-ไม่รู้ แต่ถ้าCLยามันไม่ดีจริง ก็ไม่อยากหรอก แม้ญาติเราจะได้ประโยชน์ก็ตาม(เรามีญาติที่เป็นมะเร็งจริงๆ) แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 06:59:35 แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 06:54:57 จากคุณ : Sorokin - [ 10 ก.พ. 51 06:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ^ ยาเกือบทุกตัวก็มี side effect หมดล่ะครับ - - ถ้ามีแล้วไม่ได้มาตรฐานเหรอครับ เพิ่งรู้อ่ะ แต่ว่ามีมากมีน้อย แตกต่างกัน นั้นแหละ ถ้ามีผลที่ผู้ป่วยพอรับได้ก็โอเคแล้วครับ หมอก็แนะนำให้ใช้ได้ ถ้ามันรักษาได้ผล น่ะ ขนาด ยาคลายกล้ามเนื้อที่ขายทั่วไป ยังมี side effect กัดกระเพาะอาหารเลย - - จากคุณ : taecu - [ 10 ก.พ. 51 07:06:02 ]

ความคิดเห็นที่ 29 หาก เขาสามารถพัฒนาต่อ แล้ว ไม่มี Side Effect  จะดีกว่ายาที่มี Side Effect  ไหมครับ   ... จากคุณ : Sky - [ 10 ก.พ. 51 07:24:14 ]

ความคิดเห็นที่ 30 รายการถอนทุน อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ครับ ท่าน รมต..... จากคุณ : คุณดี. ซี. - [ 10 ก.พ. 51 07:59:22 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แล้วทำไมต้องเห็น บริษัทต่างประเทศดีกว่าชีวิตคนไทยล่ะครับ เค้าขายยุโรป อเมริกัน เค้าก็มีเงินทำวิจัยเยอะแยะ ยังไงนอกจากบริษัทเอกชน แล้ว ด้านมหาลัยวิทยาลัยต่างๆๆ ก็ทำการวิจัย แล้วมะเร็ง เหอๆๆ เนี้ย ทุกคนมีโอกาสเป็นนะครับ ที่เป็นแล้วตายคือ เป็นแล้วเป็นระยะที่สามแล้ว เพราะระยะที่หนึ่งและสองสามารถรักษาได้ แต่ว่า มันไม่แสดงอาการ แสดงแล้วก็อีกปีหนึ่งก็ตายแล้ว ผมว่าเวรกรรมสมัยนี้ติดจรวด นะครับ ------------------------------------ จากคุณ : taecu - [ 10 ก.พ. 51 08:16:06 ]

ความคิดเห็นที่ 32 งั้นหาก  คนต่างประเทศ  จดลิขสิทธิ์ ข้าวหอมมะลิ  ทั้งพันธิ์ข้าวและชื่อ หากใครจะปลูกข้าวหอมมะลิ หรือขายข้าวหอมมะลิ ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ข้าวนาไทยจะว่าอย่างไร   หรือจะให้พูดว่า  ทำไมต้องเห็นชาวนาไทยดีกว่าสหรัฐล่ะ โปรดอย่าเห็นแก่ตัว  อย่าหัดขี้ขโมย ขี้โกง มันไม่ดี  ครับ  พวกขี้โกง จากคุณ : Sky - [ 10 ก.พ. 51 08:25:56 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ยาไม่ใช่ขนมหรืออาหาร ต้องมีการค้นคว้าพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นตลอดเวลา ก็น่าเห็นใจผู้คิดค้นแต่มีคนอื่นมาชุบมือเปิบ คนป่วยก็น่าเห็นใจถ้าต้อง ซื้อยาราคาแพง  ผมว่าเป็นการดีที่รัฐบาลจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา เพื่อความเป็นธรรมและพิจารณาข้อดีข้อเสียซึ่งแน่นอนจะต้องมีทั้งสองด้าน แต่ถ้ารัฐบาลรับภาระค่ายาบ้างและเจรจาให้เขาลดราคายาลงมาบ้าง ผมว่าดีกว่าไปสนับสนุนอินเดียอย่างที่หมอบางคนชอบ จากคุณ : ดร.โน (Never knOw Till lovE) - [ 10 ก.พ. 51 08:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอปรบมือดังๆให้ คห27 Sorokin ถ้าคนไทย ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ก็โวยวายไม่น้อยกว่าเค้า ทั้งเรื่อง มวยไทย ข้าวหอมมะลิ น้ำเปลือกมังคุด นวดแผนโบราณ ถ้ามองทางด้านคุณธรรม มันก็สามารถกล่าวอ้างได้ทั้ง 2 ฝ่าย คิดไป ก็ปวดหัว ปัญหามันวนอยู่ในอ่าง เพราะต่างคนต่างคิดว่าตัวเองถูก จากคุณ : LAPD21 - [ 10 ก.พ. 51 08:46:01 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ Sorokin ความคิดเห็นที่ 27 น่าแปลกนะที่คุณมองว่า คนในวงการแพทย์เป็นคนที่มีความคิดในกรอบแคบ ทั้ง ๆ ที่ในประเทศไทยนั้นแพทย์ได้คัดคนที่มีสติปัญญาดี ๆ และมี EQ ดี ๆ ชั้นหนึ่งของประเทศไปเรียนทั้งนั้น แถมต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตต้องทำวิจัยตลอด ด้วย คนโง่ ๆ คิดแคบเขาทำอย่างนี้ได้อย่างไร โอเคว่าคนที่ฆ่าแฟนตัวเองอย่าง หมอเสริม หรือฆ่าเมียตัวเองมันก็มี แต่ว่ามันเป็นส่วนน้อยนิด คนส่วนใหญ่เขา ก็ดี ๆ ช่วยคนไม่รู้เท่าไหร่ ไม่วงการไหนก็มีการแบ่งฝักฝ่ายทั้งนั้น มันเป็นธรรมชาติของคนที่มี รัก โลภ โกรธ หลง ......... มันมีวงการไหนที่ไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายด้วยเหรอในโลก นี้หนะ ไม่เฉพาะประเทศไทยหรอก สังคมคนทั่วโลกไม่ว่าชาติไหน ๆ มันก็มี การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทั้งนั้น แต่ถ้าอยู่ในระดับเหมาะสมมันก็เป็นผลดี เพราะเป็นการ ถ่วงดุล แต่ถ้ามากเกินไปแบบมีอคติ ยึดเอาประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่างนี้ก็ เป็นผลเสีย คุณต้องแยกเรื่องการทำ CL และการทุจริต เป็นสองประเด็นออกจากกันครับ อย่าเอาเป็นเรื่องเดียวกัน คือว่าการทำ CL นั้นเป็นสิ่งดี และการทุจริตนั้นเป็น สิ่งไม่ดี ถ้าคุณไม่แยกสองเรื่องนี้ออกจากกัน อย่างนั้นประเทศไทยทำอะไรไม่ ได้ซักอย่างหรอกครับ มีโครงการอะไรโดนข้อกล่าวหาว่าทุจริตกันทั้งนั้น ไม่ ว่าจะเป็นโครงการระดับชาติและระดับท้องถิ่น จะทุจริตจริงหรือไม่จริงก็ไม่ ทราบ ส่วนผมก็เชื่อว่าโครงการของกระทรวงสาธารณสุขนั้นมันต้องเสียเบี้ย บ้ายรายทางอยู่แล้ว โดยเฉพาะโครงการที่ไม่ค่อยมีคนจับตามอง ไม่ค่อยมีคน สนใจไปตรวจสอบอย่างนี้ทุจริตง่าย แต่ว่าโครงการ CL นั้นเป็นโครงการที่ อยู่ในแสงสปอตไลท และเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก หากมีความไม่ชอบ มาพากล ต้องถูกนำมาแฉอย่างแน่นอน มันทุจริตยากกว่า โครงการที่แอบงุบงิบ ทำเยอะ คนทุกคนอ้างมนุษยธรรมกันได้แต่ว่าคนป่วย และกำลังจะตายนั้น ต้องยกให้ เป็นความสำคัญอันดับแรกครับ เรียกกันว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินเหมือนกัน กันรถพยาบาลที่นำผู้ป่วยหนักไปโรงพยาบาลนั้น สามารถผ่านเส้นทางตลอด ฝ่าไฟแดงได้ และคนอื่น ๆ ต้องหลีกให้หมดครับ คนอื่นกระทบมีไหม ก็มี แต่ ว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยครับ ทำไมบริษัทยาที่อาศัยการผูกขาดจากสิทธิบัตรถึง ไม่มีจิตสำนึกมีมนุษยธรรม ทำไมต้องขายยาแพง ๆ เอาชีวิตของคนมาหากำไร จนเกินเหตุ นี่มันหน้าเลือดชัด ๆ ถ้าพวกนี้ขายยาอย่างสมเหตุสมผล คนเค้าก็ ซื้อ ไม่ใช่ยาแพงแบบหน้าเลือดแบบนี้ ยาที่รักษาโรคร้ายแรงพวกนี้ ต่อให้เป็นยาแท้ ๆ เองก็เหอะ มันก็มีผลข้างเคียง ทั้งนั้น แต่การเอาชีวิตรอดนั้นมันสำคัญกว่าผลข้างเคียง คนไข้ที่จะตายนั้นมี อะไรที่มีหวังยืดชีวิตเขานั้น เขาก็คว้าไว้ก่อนทั้งนั้น ใครมัวที่กลัวผลข้างเคียง ก็ตายไปเท่านั้นเอง การทำ CL ไม่ใช่เป็นกับยาทั่วไป ๆ อย่างเช่นยาลดความ อ้วน หรือกระตุ้นเซ็กซ์ แต่ว่าทำกับยาที่เกี่ยวกับโรคร้ายแรง และช่วยยืดชีวิต อะไรที่สามารถแลกกับชีวิตตัวเองไว้ได้ มันคุ้มค่าทั้งนั้นแหละครับ อย่างที่พูด ในความเห็นอื่น ๆ แล้วว่า ยาที่ทำ CL นั้นไม่ได้ทำกันอย่างมั่ว ๆ ครับ คุณภาพ ต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ส่วนเรื่องทุจริตหรือไม่มัน เป็นอีกประเด็น แต่ที่แน่ ๆ ว่าคนไข้ใกล้ตายแล้วได้ยา นั้นเขารอดชีวิตยาวขึ้น แน่ ๆ ความชอบธรรมในสิทธิเรื่องการทำ CL นั้น มันไม่ใชเรื่องของอัตตา ตัวกู กลุ่มของกู ครับ  การต่อสุ้เรื่องการเข้าถึงยาราคาถูกนั้น มีการต่อสู้มานานเป็น สิบปีแล้วไม่ใช่มาเริ่มมาสมัยหมอมงคลหรือกลุ่มพวกหมอมงคล แต่เป็น การ ต่อสู้ที่ยาวนานของกลุ่มที่ด้อยโอกาสในสังคมทั่วโลกกับบริษัทยา จนในที่สุด สมาชิกขององค์การค้าส่วนใหญ่มีมติเห็นชอบว่า สิทธิการมีชิวิตรอดของคน นั้น มันความสำคัญกว่า สิทธิในการคิดค้น และให้สิทธิรัฐในการทำ CL เพื่อ ช่วยคนในประเทศได้ คุณเป็นคนปกติซิ คุณถึงไม่รูสึกว่าอะไรเป็นวิตกฤตการณ์ รอ ว่าซักวันหนึ่งถ้าคุณเป็นมะเร็ง หรือติดเอดส์ หรือเกิดอุบัติเหตุต้องเข้าโรง พยาบาลโดยด่วน เมื่อนั้นคุณถึงจะเข้าใจว่าวิกฤตการณ์คืออะไร เช่นเดียวกัน แม้ว่าคนติดเอดส์ของไทยจะมีโอกาสดีกว่าประเทศโลกที่สามอื่น ๆ แต่ก็ยัง ด้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วครับ ก็เพราะเรื่องการเข้าไม่ถึงยานี่แหละ คน ไทยติดเอดส์เป็นล้านคน เสียชีวิตแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง คนที่ยังมีชีวิตอยู่เขา ก็ต้องอาศัยยา นอกจากนั้นคนก็ติดเชื้อเพิ่มปีละกว่าหมื่นคนทุก ๆ ปี ทั้งที่ได้ รณรงค์ป้องกันแล้วก็ตาม โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการตายอันดับแรกของ ไทยในปัจจุบัน ....... ถ้าอย่างนี้ไม่เรียกว่าวิกฤต ประเทศไทยมันมีอะไรวิกฤต ไปกว่านี้หรือเปล่า คนที่ซื้อยานั้น เขาก็ยินดีซื้อครับ แต่ต้องให้สมเหตุสมผลในราคาของมัน ไม่ ใช่เอะอะ ก็อ้างว่าเป็นตุ้นทุนในการวิจัยพัฒนา แต่พอเขาให้แจกแจงว่าต้น ทุนนั้นมันมีอะไรบ้าง ไม่มีบริษัทอะไรกล้าแจกแจงมาให้ดูกันจะ ๆ เลยว่าใน นั้นมันมีอะไรเท่าไหร่ การวิจัยพัฒนาพื้นฐานนั้นเกิดในมหาวิทยาลัยเป็นหลัก ครับ บริษัทยานั้นเพียงเอาไปต่อยอดเท่านั้น ดังนั้นถึงบริษัทนี้ไม่เอาไปทำ ก็ คงมีบริษัทอื่นที่เห็นช่องทางเอาไปทำนั่นเอง แล้วตลาดยาในไทยและประเทศ กำลังพัฒนานั้น มันเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาตตลาดยาโลก บริษัทพวกนี้ถึง ไม่ได้เงินจากประเทศไทย ก็ยังได้เงินจากประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งประชาชน มีกำลังเงินมากพอที่จะซื้อยาพวกนี้ โดยไม่เดือดร้อนเท่าไหร่นัก ประเทศไทยไม่ใช่อาณานิคมของอเมริกา และไม่ใช่ไม่มีอเมริกา ไทยจะอยู่ ไม่ได้ คุณต้องไม่ลืมว่า ประเทศไทยนั้นก่อตั้งมากว่า 700 ปีแล้ว ก่อนที่จะมี ประเทศสหรัฐเกิดขึ้นตั้งหลายร้อยปี การทำ CL ของไทยนั้นมีความชอบ ธรรมตามกฎเกณฑ์ขององค์การค้าโลก ที่ชาวโลกส่วนใหญ่ให้การยอมรับ การที่อเมริกาหยิบเอาประเด็นนี้มาตอบโต้นั้น ถือได้ว่าเป็นการไม่ชอบธรรม ในสายตาชาวโลกแล้ว แล้วผมก็คิดว่าไทยเองก็คงไม่ต้องการพึงพาอะไรจาก ประเทศอเมริกาเท่าไหร่ ยิ่งพึงมากก็เป็นลุกไล่เขามากเท่านั้น หรือว่าคุณจะ ชอบเป็นลูกไล่สหรัฐ อยากให้อเมริกามีอิทธิพลต่อสังคม เศษฐกิจ การเมือง ของไทยยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งดีหรืออย่างไร ตอนนี้อเมริกาก็ไม่ใช่มหาอำนาจ หนึ่งเดียวในโลก ไทยค้าขายกับสหรัฐนั้นกว่า 80% ของมูลค่าทางการค้า ก็เป็นสิ่งที่ไทยค้าขายสู้กับคู่แข่งชาติอื่น ๆ โดยที่สหรัฐไม่ได้ช่วยเหลือ และ ผู้บริโภคชาวสหรัฐเห็นว่าสินค้าไทยดี ราคาย่อมเยา เขาถึงได้ซื้อ ส่วนสิน ค้าอีกไม่ถึง 20% ของมูลค่าส่งออกเท่านั้น ที่ได้รับสิทธิเรื่อง GSP ราว 3% ซึ่งก็ถือว่าน้อยมาก ....... การเมืองระหว่างชาตินั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ยังไงผมก็ยังมองว่าความสูญเสียของบริษัทยาเพียงเล็กน้อยนั้น เทียบไม่ได้ เลยกับการที่สหรัฐมีไทยเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ในเอเซียตะวันออก เฉียงใต้ เป็นการคบกันที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ มันมากกว่าความเสียหาย ของบริษัทยาของผู้หุ้นชาวสหรัฐเพียงไมกี่คนนัก การลงทุนจากต่างประเทศนั้น เอกชนผู้เป็นเจ้าของเงินลงทุนเป็นผู้รับผิด ชอบต่อความเสี่ยงของเงินตัวเอง ดังนั้นการที่เอกชนสหรัฐเลือกมาลงทุน ในไทยก็เพราะเห็นว่าไทยมีศักยภาพต่อการลงทุนและเห็นโอกาสในการลง ทุน แต่ถ้าเขาไม่เห็นศักยภาพในการสร้างกำไร ต่อให้รัฐบาลสหรัฐสั่งให้ เขามาลงทุนเอกชนสหรัฐก็ไม่มาหรอกครับ ปัจจุบันนี้เองเงินช่วยที่แบบรัฐ ของสหรัฐให้กับรัฐไทยก็มีน้อย ไม่ได้มีผลอะไรกับประชาชนหมู่มาก ไทยเอง ก็ไม่อยากได้รับเงินช่วยเหลือนี้ด้วย เพราะการรับช่วยเหลือนั้นมันพ่วงมากับ เงื่อนไขที่ไทยต้องเสียประโยชน์บางอย่างไป เขาไม่ได้ช่วยเหลือด้วยความ เมตตาธรรมไม่หวังประโยชน์ตอบแทนซะเมื่อไหร่ พูดถึงสนธิสัญญาเกียวโต นั่นไง มันแสดงถึงความเห็นแก่ตัวของสหรัฐตัว เองผลิตก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก แต่ไม่ยอมร่วมมือในการรักษาสภาพ แวดล้อมของโลก แต่อเมริกาไม่ใช่เป็นเพียงมหาอำนาจหนึ่งเดียวในโลกนี้เท่า นั้น ยังมีประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ในโลกนี้มาถ่วงดุลสหรัฐด้วย ประเทศไทย นั้นเป็นเพียงผู้เล่นตัวเล็ก ๆ เท่านั้น จากคุณ : vivacious - [ 10 ก.พ. 51 08:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คห.26 ข้อบังคับมันมีช่องให้ทำ ก็เหมือนกับการขายหุ้นแบบไม่เสียภาษีของนายกสมัยนึงนั่นแหละ มันมีช่องให้ลอด ถ้าหากคุณคิดว่าการกระทำครั้งนี้ผิด การกระทำครั้งนั้นก็ย่อมผิดเช่นกัน คห.29 มียาตัวไหนไหมครับ ที่ไม่มี Side Effect (แม้แต่ยา Original ของบริษัทยาทำเอง) ขอเชิญคุณวิศวะช่วยมา discuss หน่อย  แล้วถ้าหากยามี Side Effect มากๆ ขนาดที่รับไม่ได้ ใช้กับคนแล้วจะเป็นโทษ แล้วมันจะผ่าน WHO ได้ไงครับ แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 09:03:41 จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 10 ก.พ. 51 09:01:00 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณ Sky ความเห็น 32 คนต่างประเทศสามารถจดลิขสิทธิ์ข้าวหอมมะลิได้ครับ ถ้าเป็นพันธุ์ที่เขาเป็น คนเป็นคนคิดขึ้นมาใหม่ แล้วในประเทศไทยก็ไม่เคยมีข้าวพันธุ์นี้ ถูกจดลิขสิทธิ์ มาก่อน แต่ไทยก็มีข้าวหอมมะลิของไทยให้ปลูกกินอยู่แล้วมาช้านานไม่จำเป็น ต้องไปเอาพันธุ์ของสหรัฐมาใช้ ถ้าคนต่างประเทศขอจดพันธุ์ที่ไทยจดไว้แล้ว เขาไม่มีสิทธิที่จะทำครับ เรามี สิทธิ์ค้าน  แล้วเรื่องลิขสิทธิ์ข้าวมันต่างกับยาด้วย ข้าวมันมีตั้งหลายประเภท ไม่มีข้าวหอมมะลิก็ไปกินข้าวประเภทอื่นแทนกันได้ ........ คนไม่ตายหรอก คุณ Never knOw Till lovE ความเห็นที่ 33 ไทยไม่หยากไปสนับสนุนหมออินเดียครับ แต่นี่มันเป็น win - win เกมครับ ไทยได้ยาราคาถูกลง อินเดียก็ได้เงิน ส่วนบริษัทเจ้าของสิทธิบัตร นั้นถ้าหาก ให้คนซื้อก็ต้องลดราคายาลงมา ให้แจกแจงให้ชัดเจนว่าต้นทุนในการวิจัย พัฒนานั้นเป็นเท่าไหร่จริง ๆ ...........แต่ที่เห็น ๆ ก็คือไม่มีบริษัทไหนกล้าแจก แจงต้นทุนในการวิจัยมาให้เห็นเลย มีแต่อ้างเอา ๆ คุณ LAPD21 ความคิดเห็นที่ 34 ต่างชาติไม่ได้เล่นมวยไทย ตายไหม ..............ไม่ตาย ต่างชาติไม่ได้กินข้าวหอมมะลิแบบไทย .........ก็ไม่ตายเพราะกินข้าวแบบอื่นได้ ไม่นวดแผนโบราณของไทย ก็ไม่ตาย .. .. .. ดังนั้น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร พวกนี้ องค์การการค้าโลก ไม่ได้อนุญาตให้ประเทศ ใด ๆ ทำ CL ครับ มันเป็นคนละเรื่องกับยาที่จำเป็นต่อการมีชีวิตรอด จากคุณ : vivacious - [ 10 ก.พ. 51 09:16:12 ]

ความคิดเห็นที่ 38 นี้แหละน๊า สิ่ง ดี ที่ทำ หาว่าเราเป็นโจรไปปล้นเค้า ที่นักการเมืองบางคนโกงภาษี ไม่โวยวายกันบ้างว่า ประชาชนชาวไทยที่เสียภาษีถูกต้องโดนปล้น  ฮ่วย มันเป็นการเข้าถึงยา ไม่ใช่การปล้น แล้วที่คุณ Vivacious พูดมาก็ถูก บริษัท แค่เอาไปต่อยอด จากงานวิจัยของ มหาวิทยาลัย แล้วไปจดสิทธิบัตรเท่านั้นเอง จากคุณ : my beloved sunshine - [ 10 ก.พ. 51 09:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ทำไมต้องอ้างคุณธรรม แล้วไปปล้นคนอื่นอย่างนี้ ในความรู้สึกผม รู้สึกว่ารัฐบาลนี้คิดถูก แล้วที่จะทบทวนเรื่องนี้  ควรจะหาทางออกอย่างอื่น ดีกว่าปล่อยให้ประเทศเราเป็นประเทศหน้าด้าน ปล้นเขา ปล้นคนอื่นแบบนี้ เห็นพวกหมอที่ออกมาให้ความเห็นแล้วรู้สึกว่า การจะรักษาคนไม่มีปัญหาคิดอย่างอื่นวิธีอื่น นอกจากการปล้น จะบ้าตาย หมอไทย จากคุณ : เอกท่าน้ำนนท์ (kawop) - [ 10 ก.พ. 51 09:55:47 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณ คุณvivacious ที่สละเวลาอธิบายให้ผมเข้าใจครับ แต่ขอโทษที่ผมจนใจไม่สามารถไปหา หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งคนเขียนเป็นบรรณาธิการวารสารทางการแพทย์ชื่อดังของโลก ซึ่งผมยังไม่ทราบว่าเป็นหนังสืออะไรมาอ่านได้ ด้วยความเคารพครับ จากคุณ : le dente - [ 10 ก.พ. 51 10:05:46 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ต้องทบทวนอ่ะถูกแล้ว ดูว่าเราอาจจะเสียมูลค่าส่งออกไปเท่าไร ภาษีส่วนที่รัฐจะเสียคือเท่าไร แล้วส่วนต่างราคาระหว่างยาถูกลิขสิทธิ์กับยาCLคือเท่าไร ถ้ามันไม่คุ้มกัน ทำไมต้องทำอ่ะ ส่วนผู้ป่วยไม่น่าจะต้องห่วงเพราะรัฐมีหน้าที่หายามาให้อยู่แล้ว ส่วยยาจะถูกหรือจะแพงมันก็เกี่ยวกับรัฐไม่ได้เกี่ยวกับผู้ป่วยเลย เค้าไม่ได้บอกจะยกเลิกซะหน่อย ด่ากันจัง นี่หรอสมองระดับหมอ อิอิ จากคุณ : NegiSpringfield - [ 10 ก.พ. 51 10:13:13 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คุณ เอกท่าน้ำนนท์ (kawop) ความคิดเห็นที่ 40 ศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้อยู่ได้ ก็เพราะว่าคุณธรรมนี่แหละ ถ้าไม่อ้างคุณธรรม ก็ไม่ควรจะมีศาสนาทุกศาสนาอยู่ในโลกนี้ คนที่จะปล้นคนอื่นได้นั้น ต้องมีอาวุธใช่ไหมครับ มีอำนาจเหนือผู้อื่นใช่ไหม ถ้าคุณไม่มีอาวุธไม่มีอำนาจเหนือคนอื่น คนอื่นจะให้ปล้นหรือครับ เค้าก็ต่อสู้ ซิ แล้วไทยเป็นประเทศเล็กนิดเดียวมีอาวุธอะไรไปบังคับประเทศมหาอำนาจให้ ทำอย่างที่เราต้องการได้บ้าง นอกจากนั้นผู้ที่รับประโยชน์จากโครงการนี้ก็เป็น ผู้ป่วยที่อ่อนแอใกล้ตาย ไม่มีอำนาจไม่มีอาวุธไปสู้กับใครได้ทั้งนั้น แล้วจะเรียก สิ่งเหล่านี้ว่าเป็นปล้นได้อย่างไร ........... ในเมื่อผู้ที่ปล้นนั้นอ่อนแอมากขนาดนี้ แต่ที่ประเทศไทยทำได้ ไม่ใช่การปล้นแบบหน้าด้าน ๆ เพราะว่าเราไม่มีอาวุธ กำลังหรืออำนาจจะไปทำแบบนั้นกับประเทศมหาอำนาจได้อยู่แล้ว แต่ที่เราทำ ได้ เพราะมีความชอบธรรมจากมติส่วนใหญ่ชาวโลกที่เป็นสมาชิกขององค์ การค้าโลกให้ทำได้ครับ ........... ไม่มีเรื่องอะไรให้น่าอายตรงไหน ทำถูกต้อง ตามช่องทางที่เขาเปิดให้ไว้ทุกประการ และโดยการเปิดเผย ไม่ใช่ลักลอบทำ ============================================= คุณ le dente ความคิดเห็นที่ 41 หนังสือชื่อ “กระชากหน้ากากธุรกิจยาข้ามชาติ” แปลเป็นไทยแล้วครับ ผู้เขียน คือ พ.ญ.มาร์เซีย แอนเจลล์อดีตบรรณาธิการ วารสารการแพทย์ นิวอิงแลนด์ที่ นิตยสารไทม์ เคยยกย่องให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลของสหรัฐฯ ในเรื่องสุขภาพ ปัจจุบันเป็นอาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์สังคม คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ============================================= คุณ NegiSpringfield ความคิดเห็นที่ 42 ผมว่ารัฐมนตรีที่จะมาทำเรื่องนี้ ถ้าคิดมาก่อนอย่างรอบคอบแล้ว คงจะประเมิน ได้แล้วว่า ไทยจะเสียอะไรบ้าง เพราะไทยก็ทำ CL มาแล้ว ก็น่าจะรู้แล้วว่ามัน เสียอะไรไปบ้าง แต่นี่เข้ามา......... เหมือนฐานะเป็นลุกจ้างของบริษัทยา รู้ความ เสียหายของบริษัทยา แต่ไม่เคยรับรู้ความเดือดร้อน และความเสียหายของคน ไทยเลย ....... ผู้ป่วยไม่น่าห่วงหรือครับ สมัยไทยรักไทยเป็นรัฐบาลนั้น เรื่องยาราคาแพงนี้ ไทยรักไทยก็ไม่กล้าทำ เพราะว่ากลัวสหรัฐ แล้วก็ปล่อยผู้ป่วยตายไปตามยถากรรม ไปมากเท่าไหร่แล้ว เพราะรัฐนั่นแหละไม่มีงบประมาณมาสนับสนุนในค่าใช้จ่าย เหล่านี้ เรื่องขาดงบประมาณนี่แหละเป็นเรื่องของรัฐโดยตรง เรื่อง CL ถ้านักการเมืองมีผลประโยชน์ มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่กับสหรัฐมาก ก็ไม่ กล้ากระทำอะไรให้เขากระเทือนหรอก ผมไม่แน่ใจว่านี่ คือผลประโยชน์ ต่างตอบ แทนที่สหรัฐพยายามกดดันรัฐบาลทหารให้ออกไป เพื่อให้ทักษิณกลับเข้ามาอีกเปล่า ...... ผมอาจจะคิดในแง่ร้าย แต่มันน่าคิดจริง ๆ เพราะสิ่งที่รัฐมนตรีคิดจะทำ นั้น มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับคนไทยเลย ผู้ได้รับประโยชน์ตรง ๆ  คือบริษัท ยาและสหรัฐเท่านั้น จากคุณ : vivacious - [ 10 ก.พ. 51 10:49:28 ]

ความคิดเห็นที่ 44 มีเพื่อนชวนให้มาดูที่นี่ ผมก็ขอชวนกลับ ว่าที่ลิงค์นี้ก็มีคนคุยเรื่องนี้มากเช่นกัน ... ห้องใกล้ๆนี่เอง มีหลายคนไปเปิดประเด็น แล้วหนีกลับไปไหนไม่รู้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6315769/P6315769.html#4 http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6317800/P6317800.html http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6312420/P6312420.html http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6313674/P6313674.html http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6316913/P6316913.html จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 10:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ไทยประหยัดค่ายาจาก CL ไปได้แค่ปีละ 1700 ล้านบาทเท่านั้น ไทยเองก็ไม่สามารถผลิตสารเคมีตั้งต้นได้  ต้องไปซื้อของอินเดีย ที่คุณภาพต่ำกว่า จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 10:59:45 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ในโลกนี้มันไม่ได้มีแต่ CL ทำไมไม่ทำ VL หรือ Volintary Licencing ซึ่งก็คือการตกลงกันดีๆ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ไปปล้นเขา จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 11:01:03 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ความคิดเห็นที่ 76   คุณม้ามังกร ครับ มันเจรจากันได้ ฟรั่งเขาก็ยินดี  มติชนรายงานว่าเขาจะลดให้เป็นอน่างนี้ครับ Companies Said that They Will Reduce their Drug Prices MSD : Efavirenz 100 mg From 1,400 B. to 726 B. per one bottle About 48 % Abbot: Kaletra From 5,938 B. to 3,488 B. per month About 41.5 % Sanofi: Clopidrogel From 73 B. to 6-12 B. per tab (83.6%) In Generic form with different packaging (Matichon 17 April 2007) ผมเอามาจากในเวบของ http://www.ftawatch.org/download/files/Kunnikar_Ottawa_Access_to_Medicin_and_IP_April_18[1].pdf จากคุณ : X-CU   - [ 10 ก.พ. 51 00:10:43 A:58.9.51.131 X: ] จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 11:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ความคิดเห็นที่ 50   ความคิดเห็นที่ 71   ปัญหา CL ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องความอยากดังของคนบางกลุ่มเท่านั้น มีการทำให้ผู้ป่วยเข้าใจเสมือนว่าการทำ CLแล้วจะก๊อปยาทุกยาในโลกนี้ได้  จะละเมิดยาตัวไหนก็ได้ ที่จริงไม่ใช่เลย ต้องระบุและทำข้อตกลงเป็นรายการๆไป  บริษัทิยาก็ต้องยอมด้วย ไม่ใช่ของง่าย กรณียาเอดส์เหมือนใช้ให้คน  มาเรียกร้องในสิ่งที่เขาได้อยู่แล้ว และดีกว่าสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องจะเอาด้วย พูดถึงความจำเป็นทางการแพทย์  เท่าไรมันก็ไม่พอ  ในมุมของผู้ป่วยย่อมอยากได้ยาหรือเทคโนโลยีทุกอย่างในโลกอยู่แล้ว โดยเฉพาะยามะเร็งแม้ทุกวันคนไข้ที่มีปัญญาซื้อใช้เอง เข็มละเป็นหมื่นเป็นแสน ก็ยังมีคำถามคุ้มค่าหรือไม่ ช่วยยืดชีวิตไปอีกปีแล้วคุณภาพชีวิตมีหรือเปล่า เห็นอาจารย์หลายท่านยังทำวิจัยอยู่เลย คำถามคือความพอดีของรัฐสวัสดิการด้านการรักษามันอยู่ตรงไหนต่างหาก   ทุกวันนี้ที่จริงก็ดีกว่าหลายๆประเทศ แต่ถูกของหมอมันก็มีด้านอื่นๆ ให้ต้องปรับปรุงเพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการ เช่นปรับปรุงบัญชียาหลักให้เหมาะสมกว่านี้ การแก้ปัญหาบุคคลากรที่ขาดแคลน   แต่การเปิดประเด็นการทำ CL โดยอ้างเพื่อให้ยาถูกลง ให้คนไข้สามารถซื้อใช้เองได้ สำหรับยาที่นอกเหนือรัฐสวัสดิการ เป็นเรื่องน่าอายและไม่คุ้มค่า   เพราะยังไงเราก็ไม่สามารถทำกับยาทุกรายการที่เราต้องการใช้ ให้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการและความคาดหวังที่ไม่มีวันจบสิ้นของคนที่ป่วยอยู่ในทุกๆโรค การที่ยาถูกลง อาจทำให้มีคนเข้าถึงยาได้มากขึ้นจริง  แต่ก็จะมีอีกกลุ่มใหญ่ๆที่เข้าไม่ถึงอีกอยู่ดี การเรียกร้องแบบนี้คุ้มค่าหรือไม่  คนป่วยก็ใช่จะได้ในสิ่งที่สมกับความคาดหวัง ในขณะเดียวกันกลับส่งผลกระทบกับคนอีกกลุ่มใหญ่ๆ   ที่เป็นคนไม่ป่วย  คนทำงานที่อาจต้องตกงานหากถูกมาตราการตอบโต้ ส่งผลกระทบถึงหลายชีวิตที่เกี่ยวข้องตามมา ทางแก้ที่ถูกต้อง รัฐควรเพิ่มรัฐสวัสดิการด้านการแพทย์ให้ครอบคลุมถึงทุกโรคที่จำเป็น ให้เหมาะกับฐานะของประเทศ ให้คนไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามสมควรและให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงบริการดังกล่าวอย่างเท่าเทียม ส่วนนอกเหนือจากนี้ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไก ตามกำลัง และทางเลือกของแต่ละคน ไม่ว่าเมื่อไหร่ ...เราคงทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 51 13:18:42 จากคุณ : Everythings gonna be all right จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 11:02:38 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ความคิดเห็นที่ 36   ความคิดเห็นที่ 29   ปล้นเขามา จะอ้างยังไงก็คือปล้น  จะอ้างว่าแม่พ่อแม่จะป่วยตาย ถึงศาลจะเมตตายังไงก็ผิด กฏหมาย เรื่องแบบนี้มันก็พูดมาเป็นพันปีแล้ว โจรปล้นคนรวยมาให้คนจน ขืนยอมรับกติกานี้ว่าชอบธรรม สังคมก็คงมีแต่โจรเต็มไปหมด   ตอนแรกยังไม่อ่านรายละเอียดก็จะนึกเข้าข้างคนป่วยอยู่หลอก  แต่เหตุผลมันยอมรับไม่ได้   คนที่รับได้มีแต่พวกสันดานโจร เท่านั้น  สูตรยานั้นเป็นของเขา   ขืนดำเนินนโยบายผิด  โรคไวรัส ไม่นานมันก็ ดื้อยา หากถึงจุดนั้นบริษัทยาที่เขาผลิด เอามาขายโดยตรง ไม่แจกสูตร  ไม่นำมาขายประเทศเรา มิซิบหายกันไปมากกว่านี้หรือ   วันดีคืนดี บางประเทศ เอาข้าวหอมมะลิไทยไปปลูก  เราจะไปเรียกร้องอะไรเขาได้หรือ เพราะเราก็ชอบขโมยเขามาหน้าด้านๆ นิ   อยากได้ยาถูก ต้องไปคุยเจรจา กับเจ้าของเขาถ้าเขาตกลงก็ดีไปถ้าไม่ก็ต้องยอมรับ จากคุณ : ดาวจรดฟ้า  - [ 9 ก.พ. 51 03:12:10 A:192.168.1.19 X:58.136.48.227 ] จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 11:05:36 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตามมาจากราชดำเนิน คุณ : megasawa  ไปแปะ link ไว้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6318760/P6318760.html ขอร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยครับ 1. วัตถุประสงค์ของการ CL ยาที่ถูกนำมาอ้าง คือการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดูแลประชาชน  อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ถ้ารัฐบาลดูแลไม่ได้  ต้องโดนตำหนิ  และลงโทษจากประชาชน 2. การทำ CL ยา  ประเทศไทยต้องได้รับผลกระทบในด้านอื่น ๆ ตามมาแน่นอน อันนี้เพื่อนสมาชิกน่าเข้าใจได้  คงไม่ปฏิเสธว่าเราจะไม่ถูกตอบโต้ จากประเทศที่เราไปทำ CL ยากับเขา เพียงแต่เพื่อนสมาชิกบางคน ชั่งน้ำหนักแล้ว   ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ CL ยา  ว่าจะได้มากกว่า ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะเสียไปเนื่องจากการทำ CL ยา 3. แต่ถ้า...รัฐบาลสามารถแก้ปัญหายาราคาแพงให้กับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องยาเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องไปทำ CL ยา จะดีกว่าไม๊ ผู้ป่วยก็สามารถได้ใช้ยาในราคาที่ไม่แพง ด้วยคุณภาพการผลิตในมาตราฐานเดียวกันกับเจ้าชองลิขสิทธิ์ และประเทศไทยก็ไม่โดนตอบโต้ทางการค้า  จากการที่ไปทำ CL ยาของเขา แถมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ไม่เสีย 4. ค่อนข้างแปลกใจกับการกดดันรัฐบาลของกลุ่ม NGO ว่าทำไมต้องกดดันให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการทำ CL ยาอย่างเดียว สวัสดิการด้านสาธารณะสุขของประชาชน  รัฐบาลต้องดูแลอยู่แล้ว ขืนไม่ทำ  เลือกตั้งครั้งต่อไป  ประชาชนที่ไหนจะมาลงคะแนนเสียงให้อีก แต่การแก้ปัญหาเรื่องนี้ของรัฐบาล  ไม่จำเป็นต้องจำกัดวิธีการ น่าจะยังมีวิธีการอีกหลายทางเลือก  ที่สามารถทำได้ โดยประเทศไทยไม่เสี่ยงกับการโดนตอบโต้ทางการค้า - อาจจะใช้วิธีเจรจากับเจ้าของยา  เพื่อขอลดราคาลงมาเพื่อมนุษยธรรม - รัฐอาจให้เงินสนับสนุนในการซื้อยาเหล่านี้  มาขายให้ผู้ป่วยในราคาที่ถูกลง - ฯลฯ แทนที่ NGO เหล่านี้จะกดดันแค่เพียง  ให้รัฐบาลต้องช่วยเหลือผู้ป่วยเหล่านี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตามที่รัฐบาลจะช่วยได้ เพียงแค่ให้ผู้ป่วยเหล่านี้ได้ใช้ยาที่มีราคาถูก NGO เหล่านี้กลับพุ่งเป้าการแก้ปัญหาหาไปที่การทำ CL ยาอย่างเดียว ว่าจะแปะ link จากห้องราชดำเนินมาให้อ่าน ถึงผลดี ผลเสียจากการทำ CL ยา ที่สมาชิกในห้องราชดำเนินถกกัน แต่คิดแล้ว  ไม่แปะดีกว่า เอาเป็นว่าขอเชิญสมาชิกห้องสวนลุม  ไปเยี่ยมเยียนห้องราชดำเนิน เพื่อพูดคุยกันในประเด็นนี้เพิ่มก็แล้วกัน อยากจะบอกว่า การเมืองคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะชอบ  หรือไม่ชอบ แต่การเมืองมีผลต่อการดำรงชีวิตของพวกเราแน่ อย่ารังเกียจการเมือง  แล้วปฏิเสธที่จะรับรู้เลยครับ ไม่งั้นวันนึงเราอาจได้รับผลกระทบของการเมือง แล้วไม่รู้เลยว่า  ที่เราโดนอยู่นั้นมันมีสาเหตุมาจากอะไร แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 11:21:53 จากคุณ : คือ.........ฉันเอง - [ 10 ก.พ. 51 11:08:10 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ความคิดเห็นที่ 62   บอกตรง นะคิดได้ไงว่าอินเดียรวย คนอินเดียมีจนเหมือนกัน ประมาณ ร้อย80ของประเทศนะครับ บอกมาได้อินเดีย รวย ไปถามอาบังขายโรตีดูซิว่าทำไมมาขายในเมืองไทย จริงนะ ผมว่าไร้สาระ โอเคนะครับเราต้องชั่งน้ำหนักให้ดีนะครับ ว่าทำไม ทำไมชาติอื่นเมืองเขาถึงไม่กล้าทำซีแอล บราซิลมีคนป่วยโรคเอดส์มากว่าเราสิบเท่า แอฟริกามีคนป๋วยมากว่าเราร้อยเท่า ทำไมเขาจึงไม่ทำ อย่าภูมิกับการเป็นโจรปล้นเขาเลย ผมนะได้กับตัวเอง ไปรักษาโรคผิวหนัง เชี้อตรงง่ามขา หมอให้ยา ของบริษัทไบเออร์ เอามาทาก็ดีขึ้นตามลำดับแต่หมอบอกต้องไปรับยา ตลอดประมาณสองเดือนน่าจะหาย สองอาทิตย์ผ่านไป เชื่อราเกือบจะหายหมด ผมไปขอรับยาเพื่อเอามาทาต่อ เผอิญเจอหมอคนละคน แกก็ให้ยาของยีห้ออื่นมา ผลปรากฎคือผมทาแล้วไม่เห็นดีขึ้นเหมือนอันแรกเลย ผมเลยกลับไปขอเปลี่ยนยาตัวเดิม  เผอิญผมนี่ นอกจากจะมีบัตรประกันสังคมแล้วผมยังมีบัตรประกันสุขภาพ ของเอกชนอีกหนึ่งใบ คุณหมอทีรพเอกชนก็เปลี่ยนให้  สุดท้ายก็หายจากเชื่อราอันนี้ ผมว่าเราอย่าแก้ปัญหาโดยวิธีเห็นแก่ตัว เลยครับ  ผู้ป๋วยต้องการยาทีดี เป็นหน้าทีของรัฐบาลต้องจัดหาให้ครับ ระบบหลักประกันถ้วนหน้า ต้องปรับปรุง ให้ดีขึ้น สมมติถ้าตอบโต้ด้วยการ แซงชันสินค้าจากเราพี่น้องประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องมารับเคราะห์กรรมจากการทีผลประโยชน์คนกลุ่มหนึ่งผมไม่เห็นด้วย เพราะนโยบายสามสิบบาท รักษาทุกโรค ก็เกิดรัฐบาลทรท เพราะฉะนั้นให้ระวังว่าจะมีสือพยายามเสี้ยมให้พี่น้องผู้ป๋วยเอดส์ หรือมะเร็งเข้าใจอะไรผิดๆๆ ผมเห็นมีอ้ายสือชั่วตนกำลังเล่นอยู่ จากคุณ : ขุนหลวงใจดี  - [ 9 ก.พ. 51 23:12:03 A:124.120.165.156 X: ] จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 11:08:46 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ตรรกะแบบป้ายสี และทึกทักเอาเอง .... เป็นยุมธวิธีของพวกหลอกเด็ก คนที่เขาใช่เหตุผล เขาไม่ทำกัน แต่ถ้าจะทำแบบเดียวกัน ... ผมก็ทำให้ดูได้ ฟรั่งต่างตอบแทนโดยการช่วยทักษิณกลับมา (คิดเอาเอง) พวกเชียร CL ต่างตอบแทนกับพวกอิมพอร์ตเคมีอินเดียกินส่วนแบ่ง  (คิดเอาเองเช่นกัน) พวกต่อต้านกินเงินบริษัทยาฟรั่ง ไม่สนใจประโยชน์คนไทย (คิดเอาเอง) พวกเชียร CL กินเงินบริษัทท้องถิ่นโดยเปิดช่องทางทำยานอกกฎหมาย (คิดเอาเองเช่นกัน) ฯลฯ การเลือกนโยบายระดับประเทศ มันมีส่วนได้เสียเกิดทั้งนั้น มีคนได้คนเสีย ทุกทางเลือกสามารถเอามาป้ายสีกันได้ทั้งนั้น จึงไม่ควรใช้วิธีให้ร้ายกันในการตัดสินใจ อย่าพูดหลอกลวงคนในที่อับ  เพราะเมื่อมีคนแย้งเปิดแจ้งขึ้นมา ... ความจริงจะยั่งยืนกว่า เมื่อวานก็มีพวกหลอกพงพอนกัดงูเห่าข้ามไปราชดำเนินมาแล้ว ควรชั่งน้ำหนักข้อเท็จจริง ว่าผลได้โดยรวมที่สูงสุดของประเทศและสังคมอยู่ตรงไหน อย่ามองมุมแคบๆ ของตนฝ่ายเดียว จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 11:33:07 ]

ความคิดเห็นที่ 53 นี่เป็นบทความดีอีกบทความหนึ่ง อาจยาว ... แต่ถ้าจะคุยเรื่องของปัญญาชน ก็ต้องอ่านอะไรที่ยาวๆ ได้ ไม่อย่างนั้น ก็อย่าคุยเรื่องซับๆ ซ้อนๆ แบบ CL เลย ขอบคุณที่ตามไปนะครับ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6319165/P6319165.html จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 12:01:43 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ว่าจะไม่ตอบเกินคำว่า เลว พอดีนั่งประชุมเรื่องพรบ. ยา อาจารย์ภาวิช ทองโรจน์ นายกสภาเภสัชกรรมกำลังพูดพอดี เลยขอเสียหน่อยเถอะ 1. ถ้าคิดจะพูดเรื่องนี้ รับรู้ไว้ด้วยว่า..... มันเรียก สิทธิบัตร ไม่ใช่ลิขสิทธิ์ 2. ข้อกำหนดของ WTO มีอยู่แล้ว ดังนั้นการทำ CL ไม่ได้ผิดกฎหมายหรือละเมิดใดๆ และ ประเทศต่างก็ได้ยอมรับข้อตกลงนี้แล้วว่า... การที่ผู้ถือสิทธิบัตรยา ไม่ยอมใช้สิทธิบัตร หรือใช้ประโยชน์จากสิทธิบัตรเกินควร ประเทศสมาชิก WTO สามารถประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรได้ ตามสมควร เข้าใจยากตรงไหน ถ้าจะอวดฉลาดมาด่าว่า มันเป็นโจร งั้นการเลี่ยงภาษีก็โจรหละครับ โจรกว่าด้วย 3. สิ่งที่อ้างๆ กันมาแบบฉลาดๆ ว่าไทยโดนตัดสิทธิบ้าบอคอแตกสารพัด มันมีค่าสำหรับคนจะตายขนาดนั้นหรือ??? ในฐานะเภสัชกรที่สนับสนุนเรื่องนี้อย่างที่สุด ขออธิบายแล้วกันว่า - การผลิตยา Original กับ Local หลายๆ ชนิด ต่างกันแค่ "ราคา" จริงๆ หลายๆ ครั้งที่ตำรับยาเราดีกว่าของนอกนะครับ ที่เหลือถ้าผ่านมาตรฐานก็เสมอตัวครับ การผลิตยามีมาตรฐานควบคุมทุกอย่างอยู่แล้วครับ ไม่ได้อยากตอกก็ตอก อยากปั๊มก็ปั๊ม คุณต้องควบคุมปริมาณยา (Content) คุณต้องควบคุมรูปร่างหน้าตา (Weight Variation) คุณต้องควบคุมการแตกตัว (Disintegration) คุณต้องควบคุมการละลาย (Dissolution) คุณต้องควบคุมการดูดซึม (Bioequivalent) ฯลฯ ถ้าคิดคิดว่าทำยาเองมันง่ายๆ เหมือนเล่นขายของก็คิดผิดหละครับ ผมกล้ายืนยันว่ายาที่ผลิตในไทย จากบริษัทที่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่ ดีใกล้เคียงกับยา Original ส่วนที่คุณอะไรข้างบนบอกว่าได้ยาจาก Bayer ดีกว่ายาไทย คุณแน่ใจไหมหละครับ ว่ายาที่คุณได้มาจากบริษัทที่ดี แต่ในการทำ CL นั้น เราต้องคัดเลือกยาที่เหมาะสม บริษัทที่เหมาะสมครับ ซึ่งแนวโน้มที่จะให้องค์การเภสัชกรรมมีมากกว่า เช่น GPO-VIR เป็นต้น - หลังจากที่ประกาศ CL ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องซื้อยาอินเดียครับ แต่เป็นการสั่ง Chemical มาจากแหล่งที่สามารถซื้อได้ อาจจะซื้อจาก Original เลยก็ได้ แล้วจึงเอายาที่ผลิตมาตอกเม็ดเอง อย่างที่บอกไว้ข้างบน - ยาที่ใช้ทุกชนิดในโลกมี Side Effect หมดครับ ยาแพง ยาใหม่ ใครคิดว่าดีก็คิดผิดหละครับ ยาใหม่ๆ แพงๆ จำนวนมาก ถูกถอนในระยะสองสามปีมานี้ จากผลข้างเคียง ทั้งตับอักเสบเฉียบพลัน หัวใจล้มเหลว ฯลฯ แล้วไงหละครับ??? ยังคิดว่าดีไหม - ยังมีคนคิดว่าการ CL คือจะปล้นอย่างเดียว ถ้าปล้นจริง ทำไมบริษัทต้องวิ่งๆๆๆๆๆ เพื่อยัดเงินให้ล้ม CL ด้วยครับ ก็เพราะว่ามันเป็นการทำที่ถูกกฎหมาย ทั้งระดับประเทศและระดับสากล แต่เป็นการขวางการหาผลประโยชน์บนชีวิตคน สำหรับบริษัทยาไงครับ ดังนั้นการทำ CL ไม่ใช่การปล้น แต่เป็นการใช้สิทธิอันชอบธรรม อย่างมีมนุษยธรรม ดังนั้น การทำ CL มันคือการขู่ด้วยครับ จากเดิม เราประกาศ CL 3 ตัว ผลคือได้ลดราคายามา 2 ตัวจากบริษัท อเมริกา 1 (Efavirenz - MSD) และ ฝรั่งเศส อีก 1 (Plavix - Sanofi - Aventis) จนกระทั่ง บ. อเมริกาอีกบ. นึงทนไม่ไหว จึงยอมลดราคาด้วย (Kalettra - Abbott) มันคือการต่อรองครับ การให้ใครที่ไหนที่ไม่ได้อยู่ในวงการสาธารณสุข มานั่งในกระทรวงที่ต้องใช้ความรู้ด้านนี้ เพียงเพื่อผลประโยชน์ คิดได้ยังไง (วะ) - การหาทางออกอื่น... หาอยู่ครับ การเจรจาใช้ว่าเราไม่ทำครับ ทำแล้ว แต่ทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้ที่ทำได้คือการใช้ CL ครับ เพื่อขู่ เพื่อเป็นการต่อรอง และอีกวิธีที่เรากำลังพยายามก็คือ การให้ชี้แจงต้นทุนการวิจัยจริง เพื่อใช้ในการขึ้นทะเบียน และเจ้าพนักงาน สามารถยับยั้งการขึ้นทะเบียนยา หากโครงสร้างราคาไม่สมจริง วิธีนี้่จะป้องกันการขูดรีดจากบริษัทยาได้ครับ ซึ่งพยายามผลักดันให้บรรจุในพรบ. ยาฉบับใหม่ครับ ที่โดนฝ่ายการเมืองทำให้มันไม่ไปไหนนั่นแหละ ---------------------------------------------------------------- มีประเด็นไหนไม่เคลียร์ หรืออยากแย้ง เชิญครับ ยินดี จากคุณ : Epinephrine - [ 10 ก.พ. 51 12:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อ้อ ย้ำอีกครั้งว่ายาอินเดียไม่ใช่ไม่ดี เพราะเราสามารถซื้อแค่วัตถุดิบ (Raw Material) แล้วมาตอกเอง ซึ่งมีการควบคุมคุณภาพมากมายครับ เพราะกว่าที่คุณจะผลิตได้ คุณต้องมีใบวิเคราะห์ Raw Material คุณต้องมีการยืนยันสูตรตำรับ คุณต้องมีการวิเคราะห์ในทุกขั้นตอน ย้ำอีกครั้ง การที่บริษัทยาต้องวิ่งเต้น มันก็เป็นการแสดงที่ชัดเจนอยู่แล้วครับ ว่าสิ่งที่เราทำ ขวางผลประโยชน์ของบริษัทยา โดยที่ไม่ผิดกฎหมาย คนละประเด็นกับการจดลิขสิทธิ์ชื่อข้าว ชื่อมวยไทย หรืออะไรพวกนั้น จากคุณ : Epinephrine - [ 10 ก.พ. 51 12:34:45 ]

ความคิดเห็นที่ 56 การใช้กฎหมายฝ่ายเดียวและตีความข้างเดียว โดยเจ้าของทรัพย์สินไม่ยินยอม ภาษาชาวบ้านเรียกปล้นบ้างขโมยบ้าง ... เพราะไปถือเอาของที่ไม่ใช่ของๆตัวมา การทำ CL มันไม่ใช่จู่ๆ ประกาศเอาเอง ถ้าอ้าง Emergency ก็ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินก่อน ถ้าอ้างผูกขาด ก็ต้องมีการเจรจาและอาจมีการไต่สวนก่อน แม้แต่การประกาศไปแล้ว เขาก็แนะนำให้ควรจ่ายเงินให้เจ้าของ ไทยทำอย่างนั้นแล้วรึ ? ตรรกะแปลกๆ ว่าบริษัทยาที่โดน CL "ทำไมบริษัทต้องวิ่งๆๆๆๆๆ เพื่อยัดเงินให้ล้ม CL ด้วยครับ" พวกพ่อค้าที่โดนขู่กรรโชก เขาก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น ทางจิตวิทยาและเสรษฐศาสตร์ คนเราก็วิ่งหาทางที่เจ็บน้อยที่สุดเสียน้อยที่สุด และนั่น ไม่ได้หมายความว่าการขู่กรรโชกมันดีขึ้นมา ว่าแต่ว่าที่เขาวิ่งๆๆๆ เพื่อยัดเงินแล้วมีใครรับไปเปล่าครับ คือ ... คือ .... อ่า... แบบเอาเข้ากองทุนสวัสดิการแบบหมอแกเคยทำตอนอยู่ อย. น่ะ จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 12:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 57 Abbott พิจารณาขู่ฟ้องอยู่ครับ การที่เจ้าทุกข์ยังไม่ฟ้อง มิได้หมายความว่าจะไม่ฟ้องหรือทำให้การปล้นถูกต้องขึ้นมา พวกโจรก็มักอ้างว่าที่ทำไปถูกกฎหมายหรือไม่ผิดกฎหมาย แต่นั่นมันคนกระทำพูดเอาเอง เจ้าทรัพย์เขาไม่ได้คิดแบบนั้นด้วย สามัญสำนึก ... ไปเอาของๆ คนอื่นที่เขาไม่อนุญาต นั่นเป็นพฤติกรรมโจรแล้ว แม้จะอ้างความเจ็บความตายของคนก็พฤติกรรมโจร เป็นการกระทำเยี่ยงโจร อย่าเอาความป่วยไข้ของคนมาเร่ขายเลยครับ จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 12:44:58 ]

ความคิดเห็นที่ 58 นี่คือที่เขาคิดจะฟ้อง ตามไปอ่านบ้างนะครับ ... ออกโลกกว้างบ้าง Thailand Issues Three Compulsory Licenses on Drug Patents - Abbott Retaliates http://www.wcl.american.edu/pijip/thai_comp_licenses.cfm ที่ลิงค์นี้ยังมีบทความที่เกี่ยวข้องให้อ่านเพียบ ใครที่ภาษากล้าแข็งพอจะออกจากครึ่งวงกลมแคบๆ ได้ จะไปศึกษาไว้เป็นความรู้บ้างก็จะดีกับประเทศไทยครับ วันนี้ผมคงมีเวลาคุยด้วยแค่นี้ จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 12:48:33 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ใครที่อยู่วงใน ช่วยปฏิเสธหน่อยได้ไหม ? ว่ายาที่ไปปล้นไปขโมยมารักษาคนน่ะ มีมูลค่ามากกว่า 1700 ล้านต่อปี ? (ผมเห็นคุณเอื้องฯ ในกระทู้แนะนำที่ให้ไว้ใน คคห. 53 บอกว่าคำนวนผลได้จริงแค่ 500 กว่าล้านเอง) ผมอยู่ รดน. ไปคุยที่โน่นบ้างก็ได้นะครับ ... ขอบคุณและสวัสดีนะครับ จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 12:51:46 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ความเห็นที่คุณ X-CU นำความเห็นของคนอื่นมาโพสตั้ง คห. 45 , 46 , 47, 48, 49, 51 นั้น ผมจับประเด็นหลัก ๆ ได้ดังนี้คือ 1)นี่เป็นการปล้นแบบหน้าด้าน ๆ 2) ทำไม ถึงไม่ใช้วิธีอื่นที่ไม่ใช่ CL มันเจรจากันได้นี่  ถึงจะไม่ใช่การปล้น 3)ไทยต้องซื้อจากอินเดีย ที่มีคุณภาพต่ำกว่า 4)เป็นความหยากดังของคนบางกลุ่ม แต่เป็นเรื่องน่าอายและไม่คุ้มค่า เพราะทำไม่ได้กับยาทุกกลุ่ม บางคนก็เข้าไม่ถึงยา และอาจทำให้คนที่ไม่ป่วยต้องเดือดร้อนจากการถูกตอบโต้ 5 )กลัวว่าไม่มีบริษัทไม่ทำวิจัย ขอตอบแต่ละประเด็นดังนี้คือ 1) เรื่องนี้ไม่ใช่การปล้น เพราะ คนที่จะปล้นคนอื่นได้นั้น ต้องมีอาวุธใช่ไหม ครับ มีอำนาจเหนือผู้อื่นใช่ไหม ถ้าคุณไม่มีอาวุธไม่มีอำนาจเหนือคนอื่น คนอื่น จะให้ปล้นหรือครับ เค้าก็ต่อสู้ซิ แล้วไทยเป็นประเทศเล็กนิดเดียวมีอาวุธอะไรไปบังคับประเทศมหาอำนาจให้ ทำอย่างที่เราต้องการได้บ้าง นอกจากนั้นผู้ที่รับประโยชน์จากโครงการนี้ก็เป็น ผู้ป่วยที่อ่อนแอใกล้ตาย ไม่มีอำนาจไม่มีอาวุธไปสู้กับใครได้ทั้งนั้น แล้วจะเรียก สิ่งเหล่านี้ว่าเป็นปล้นได้อย่างไร ........... ในเมื่อผู้ที่ปล้นนั้นอ่อนแอมากขนาดนี้ แต่ที่ประเทศไทยทำได้ ไม่ใช่การปล้นแบบหน้าด้าน ๆ เพราะว่าเราไม่มีอาวุธ กำลังหรืออำนาจจะไปทำแบบนั้นกับประเทศมหาอำนาจได้อยู่แล้ว แต่ที่เราทำ ได้ เพราะมีความชอบธรรมจากมติส่วนใหญ่ชาวโลกที่เป็นสมาชิกขององค์ การค้าโลกให้ทำได้ครับ ........... ไม่มีเรื่องอะไรให้น่าอายตรงไหน ทำถูกต้อง ตามช่องทางที่เขาเปิดให้ไว้ทุกประการ และโดยการเปิดเผย ไม่ใช่ลักลอบทำ 2)ทำไมไม่ใช่การเจรจาต่อรอง แทนทำ CL ก็เพราะไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ ไม่มีอำนาจต่อรองนะซิครับ การต่อสู้เรื่องการ เข้าถึงยาราคาถูกนั้นมีมาเป็นสิบปีแล้ว การเจรจาก็มีมาเป็นสิบปีแล้วเช่นกัน แต่ บริษัทยาไม่สนใจที่จะเจรจาต่อรอง เพราะเขาถือไพ่เหนือกว่า ยังไง ๆ เราก็ต้อง ไปง้อพวกเขา แต่มีอำนาจในการทำ CL นี่แหละ เป็นอำนาจต่อรองที่สำคัญที่ ให้บริษัทต้องกลับมาเจรจาด้วย ถ้าไม่มี CL ฝันเป็นสิบ ๆ ปี หรือถึงชาติหน้า พวกบริษัทยาก็ไม่มาเจรจากับพวกคุณหรอก แล้วทำไมเมื่อบริษัทยามาเจรจาต้าอวยด้วย ทำไมเราถึงไม่ยอม ก็เพราะบริษัท ที่เข้ามาเจรานั้นมอบขนมหวานให้กับเราในเบื้องต้น แต่แฝงเงื่อนไขให้เราเป็น ทาสมันไปจนวันตายนะซิ เขาถึงไม่เจรจา...... มีบางประเทศที่ยอมเจรจากับ ยาบางตัวอย่างบราซิล ในที่สุด ก็ถูกบริษัทยา ... "มัดมือชก" นิ่ม ๆ สรุปก็คือ ถ้าคุณไม่กล้าทำ CL ไม่มีบริษัทยาหน้าไหนมาเจรจากับคุณให้โง่และ เสียเวลาหรอก 3) ไทยต้องซื้อยาจากอินเดียที่มีคุณภาพต่ำกว่า บางคนอาจไม่ทราบว่าอินเดียผลิตยาสามัญส่งออกใหญ่เป็นลำดับต้น ๆ ของโลก เทคโนโลยี วิศวกรรมย้อนกลับ ของอินเดียก้าวหน้าเนื่องจากไม่ถูกจำกัดด้วยกฎ หมายลิขสิทธิ์ ที่บอนไซอุตสาหกรรมยาของไทย ยาที่ไทยจะซื้อจากที่ผลิตอินเดียนั้น ไม่ได้ซื้อมาแบบมักง่าย แต่มันต้องผ่านมาตร ฐานการตรวจขององค์การอมามัยโลก ไม่ใช่เป็นการไปยาหมอตี๋ที่ไหน หมอไทย ก็ไม่โง่ไปซื้อยาพวกนี้มาหรอก 4) เป็นเรื่องความหยากดังของบางกลุ่ม แต่เป็นเรื่องน่าอายและไม่คุ้มค่า และใช้ไม่ ได้กับยาทุกกลุ่ม     การเคลื่อนไหวการเข้าถึงยาราคาถุกนั้น มันเคลื่อนไหวมาเป็นสิบปีแล้ว บางช่วง ก็เงียบ บางช่วงก็ดัง แต่ความเคลื่อนนั้นก็ยังคงมีอยู่เพราะว่าความเดือดร้อนมันไม่ ได้หายไปไหน คนที่เคลื่อนไหวเหล่านี้พวกเขาไม่ได้อยากดัง .. แต่เขาเดือดร้อนครับ     ในเมื่อการทำของไทยนั้นถูกต้องตามระเบียบขององค์การค้าโลกทุกประการ แล้ว มันเป็นเรื่องน่าอายตรงไหน ไทยมีความชอบธรรมในการทำทุกประการ และทำนั้น คุ้มสุด ๆ เพราะช่วยชีวิตคนไทยไว้ได้เป็นจำนวนมากอย่างประเมินค่าไม่ได้ ไม่ต้อง พูดถึงตัวเงินที่ประหยัดได้จากการซื้อยา     การทำ CL นั้นจุดประสงค์เขาก็ไม่ได้ต้องการทำกับยาทุกกลุ่มอยู่แล้ว ความเข้า ใจผิดก็ต้องไปแก้ความเข้าใจผิดของคน อย่ามาบอกว่าการทำ CL นั้นไม่ดี 5)กลัวว่าบริษัทยาจะไม่ทำการวิจัย    ก็ได้บอกแล้วว่า การวิจัยพื้นฐานนั้นมหาวิทยาลัยเป็นผู้รับเงินวิจัยจากรัฐ เพื่อมาทำ การวิจัย ส่วนผู้ผลิตยาก็ก็เอาตัวนี้ไปต่อยอดและจดสิทธิบัตรอีกที ทำให้แม้บริษัทยาจะ อ้างว่ายาราคาแพงเพราะการวิจัย แต่ก็ไม่กล้าแจกแจงต้นทุนให้เห็นกันจะ ๆ ซักทีว่า มันไปแพงตรงไหน     นอกจากนั้นตลาดยาไทยนั้นมีขนาดเล็กมากไม่ถึง 1% ของตลาดยาโลก ส่วนประเทศ กำลังพัฒนาทั้งโลกนั้นบริโภคยาแค่ 10% ของมูลค่าตลาดยาโลกเท่านั้น ไม่ใช่ว่าคน ในประเทศเหล่านี้ไม่ป่วยไข้เป็นโรค แต่เขาไม่มีเงินซื้อยาจนต้องยอมตายไปต่างหาก ส่วนตลาดยาอีก 90% อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีกำลังซื้อมากพอ เพราะเขารายได้ สูงกว่าคนจน ๆ บ้านเราไม่รูกี่เท่า    ถ้าความต้องการตรงไหนมีช่องทางให้บริษัทยามาแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้า ได้ มันต้องมีบริษัทหนึ่งกล้าเสี่ยงมาลงทุนต่อ เพราะเมื่อหักประเทศที่ทำ CL ออกไป แล้ว ตลาดยาก็ยังเหลืออีกเยอะให้ถอนทุนและกำไร   สุดท้าย ทำไมคนไทย ถึงได้ไปเดือดร้อนแทนบริษัทยา ซึ่งเป็นของต่างชาติมากมาย นัก ตัวเองก็อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย จะเกิดหรือตายก็อยู่ในไทยนี่แหละ ทำไมมันถึงไป ห่วงต่างชาติที่รวย ๆ มากกว่าคนไทยที่จน ๆ และด้อยโอกาส จริง ๆ แล้วพวกนี้เป็นคน ไทยหรือเปล่า หรือเป็นไทยแต่ตัวส่วนใจเป็นต่างชาติ จากคุณ : vivacious - [ 10 ก.พ. 51 13:19:34 ]

ความคิดเห็นที่ 61 คุณ X-CU ความคิดเห็นที่ 52 ,56 ผมมีสิทธิในการคิดใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะมองไปในแง่ดีหรือแง่ร้าย ถ้าหากสถานการณ์ มันส่อไปในทางนั้นโดย .... บังเอิญ .......... ผมว่าเรื่องนี้มันบังเอิญอย่างน่าคิด แต่ผมว่าคนที่เข้ามากระทุ้นี้ ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ๆ ยิ่งคนที่สนใจเรื่อง CL นับไม่ ใช่เด็กเลย ดังนั้น คนเหล่านี้เขาคิดเองได้ เขามีวุฒิภาวะเพียงพอที่แยกอะไรว่าเป็นอะไร การกล่าวหาที่ไม่ค่อยมีสภาพแวดล้อมสนับสนุนนั้น มันก็ไม่มีน้ำหนักไปเอง คุณอย่าไป ดุถูกพวกเขาว่าเป็นเด็ก ๆ ซิ การใช้ตรรถและการใช้เหตุผลนั้น มันเริ่มมาจากการมีความจริงบางอย่าง ใครก็สามารถ คิดอะไรก็ได้ ถ้าหากว่ามันดูสมเหตุสมผล ไม่ว่าการคิดนั้นจะทำให้มองใครไปในทางแง่ แง่ดีหรือร้ายก็ตาม ตำรวจก็จับโจรมาด้วยการคิดแบบตรรภเหตุผลทั้งนั้น ดังนั้นคุณก็สามารถคิดอย่างที่คุณคิดมาก็ได้ เพียงแต่มันเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนัก เนื่องจาก ว่ามันไม่ได้มีข้อเท็จอะไรมารองรับนั่นเอง คุณมีหลักฐานอะไรมาบอกว่าพวกเชียร์ CL นั้นกินส่วนแบ่ง ผมว่าการคิดเอาเอง หรือการสมติฐาน ทฤษฎี นั้น เป็นกระบวนการหนึ่งในการหาความ จริง หมอเองก็ต้องเดาว่าคนไข้เป็นโรคอะไรจากอาการที่บอก การคิดเอามัน มันก็เป็นเพียง จุดเริ่ม เท่านั้น แต่หลักฐานต่างหาก ที่มาสนับสนุนว่าสิ่งที่คิดเป็นจริงแค่ไหน ไอสไตน์ เอง ก็คิด ๆ ได้สูตรแห่งจักรวาลขึ้นมา โดยที่ในชีวิตแทบจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องสมุด การเลือกนโยบายระดับประเทศนั้นมันมีทั้งผลดีและผลเสียก็จริง แต่มันน่าแปลกและ บังเอิญเกินไป ที่รัฐมนตรีซึ่งเป็นนักการเมืองที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงสาธารณสุขเลย กลับมา ให้ความสำคัญเรื่องการทำ CL ตั้งแต่เข้ารับงานวันแรก และรู้เรื่องความเสียหายของ บริษัทยาเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าไม่ได้รู้เรื่องความเดือดร้อนและเสียหายของคนไทยเลย อย่างนี้มันไม่ชอบมาพากล ห้ามไม่ให้คนคิดไปในทางร้ายไม่ได้ ถ้าหากมาเริ่มแรกเลย นั้น มันต้องมีข้อมูลทั้งสองด้าน มามากพอแล้ว ไม่ใช่ไม่รู้อะไรของไทย แล้วบอกให้ คนเป็นเอดส์ไปกินดอกไม้จันท์ ... ... ... ... คุณ X-CU  แล้วที่อเมริกาส่งกองทัพไปยึดอัฟกานิสถาน หรืออิรัค นี่มันได้รับควาน ยินยอมจากคนอิรัก หรืออัฟกานิสถานหรือปล่าว นี่เป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของผู้ ที่มีกำลังอำนาจอาวุธเหนือกว่าคนอื่น โดยที่ไม่สนใจว่าประเทศนั้นจะมีคนล้มตายและ ทรัพย์สินเสียหายเพียงใดก็ตาม.............อเมริกามันก็ยึดผลประโยชน์ของประเทศ ตัวเองเป็นที่ตั้งทั้งนั้น คุณ X-CU น่าจะไปเรียกร้องสามัญสำนึกจากอเมริกามาก ๆ การทำ CL นั้นสามารถทำข้างเดียวได้ครับ เพราะถ้ารอเจรจา มันก็ไม่ได้ทำหรอกครับ รอชาติหน้าบริษัทยามันก็ไม่ยอม การทำ CL ของไทยนั้นก็ไม่ได้กระทบกับพวกนี้อะไร มากมาย เพราะเราไม่ใช่ตลาดใหญ่ของเขา นอกจากนั้นไทยก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้แอบบอท ฟ้องครับ แอบบอทนี่ดีนะยังมีศาลให้ฟ้อง แต่ประชาชนอิรัคนั้นมัไม่มีที่พึ่งเอาซะเลย จากคุณ : vivacious - [ 10 ก.พ. 51 13:22:01 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขอขอบคุณ vivacious มากๆๆๆเลยะครับ กับ พี่ Epinephrine ด้วยครับ ได้ความรู้มากๆๆๆครับ lol สุดยอด จากคุณ : taecu - [ 10 ก.พ. 51 13:57:51 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เอาง่ายๆเลยนะครับว่าทำไมต้องพิจารณาก่อน ถ้าสหรัฐตัดGSPไทยบางส่วนทำให้รายได้ส่งออกหายไปสมมติซัก5000ล้าน แต่ยาCLสมมติว่า ซื้อได้ถูกกว่าซัก1000ล้าน เป็นคุณ คุณจะเปิดCLหรือเปล่าล่ะ แต่ถ้าไม่เสียหายอะไรรัฐมนตรีเค้าก็ทำต่ออยู่แล้วอ่ะครับ ไม่เห็นน่าห่วงไรเลย แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 14:18:00 จากคุณ : NegiSpringfield - [ 10 ก.พ. 51 14:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คุณ NegiSpringfield คคห. 63 สหรัฐก็พิจารณาตัด GSP ไทยทุกปีนั่นแหละ ไม่ว่าจะมีเรื่อง CL หรือไม่มีก็ตาม เพราะว่า GSP นั่นมันเป็นสิทธิพิเศษที่ให้กับประเทศด้อยพัฒนาของสหรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว ไทยก็ ได้ใช้สิทธินี้มาร่วม 30 ปี จากตั้งแต่ยังเป็นอุตสาหกรรมแบเบาะจนเดี๋ยวใหญ่โตขึ้นจนช่วย ตัวเองได้แล้ว การที่ไทยส่งสินค้าออกไปสหรัฐจนถึงจำนวนขนาดหนึ่ง จะถูกตัด GSP โดยอัตโนมัติ เพราะเขาคิดว่าเราโตแล้ว ประเทศที่เห็นแก่ตัวอย่างสหรัฐนั้น ยากที่ให้อะไรแก่ใครโดยไม่หวังตอบแทน เช่นเดียวกัน GSP นั้น ก็พ่วงมากับเงื่อนไขที่สหรัฐใช้อำนาจคุกคามรัฐไทยตลอด 30 ปี ที่ผ่านมาเช่น เดียวกัน ไทยต้องเป็นเบี้ยล่างให้สหรัฐหยิบเอาเรื่องนี้มาคุกคามโดยตลอด แต่ปัจจุบันนี้ มี สินค้าไทยมูลค่าไม่ถึง 20% ของตลาดส่งออกสหรัฐที่ยังได้ใช้สิทธิ GSP แต่ว่าเป็นการ ใช้สิทธิที่เหมือนแขวนบนเส้นด้าย ต้องลุ้นปีต่อปีว่าจะถูกตัดหรือไม่ ไม่ว่าไทยจะทำ CL หรือไม่ก็ตาม ดังนั้นปัจจุบันบริษัทที่ยังได้ใช้สิทธิ GSP ของสหรัฐนั้นมักจะเป็นบริษัท ข้ามชาติขนาดยักษ์ หรือบริษัทที่มีบริษัทแม่อยู่ในอเมริกาที่มีเงินหนาในการจ้างล๊อบบี้ยิสต์ ให้ล๊อบบี้กระทราวงพาณิชย์สหรัฐ ส่วนบริษัทเล็ก ๆ นั้นได้อานิสงฆ์จากพวกนี้น้อย แต่ถ้าคิดให้เลวร้ายที่สุด ถ้าสหรัฐตัด GSP ซึ่งมีภาระภาษีเฉลี่ยประมาณ 3% นั้นออกไป ผู้ส่งสินค้าไทยก็ไม่ได้เดือดร้อนเท่ากับการที่เงินบาทแข็งตัวหรอกครับ การที่เงินบาทแข็ง ตัวมันสร้างความลำบากกว่ามาก เงินภาษีแค่นี้มันไม่ช่วยอะไรหรอก แล้วผมก็อยากให้ธุรกิจอุตสาหกรรมไทยเลิกเพิ่ง GSP ของสหรัฐซักที เพราะมันพึ่งมานาน เป็นเวลาร่วม 30 ปีแล้ว ที่คนกลุ่มนี้ได้กอบโกยผลประโยชน์ ในขณะที่คนอื่น ๆ ของสังคมอยาก ได้อะไรบ้าง แต่ก็ต้องยอมเสียสละเพื่อประโยชน์แก่กลุ่มที่พึ่ง GSP อยากให้ธุรกิจเหล่านี้พึ่ง ตัวเองได้ซักที อย่าทำตัวเป็น "เฒ่าทารก" ไปจนตายเลย จากคุณ : vivacious - [ 10 ก.พ. 51 14:46:39 ]

ความคิดเห็นที่ 65 คุณvivacious คนที่ไม่ใช่เด็กแต่ความคิดเป็นเด็กนั้นมีนะคุณ  แม้ความรู้จะเป็นผู้ใหญ่ก็เถอะ ก็บอกไปแล้วให้มองแบบองค์รวม  คุณยังมาพูดให้เเยะเรื่องทุจริตกับการทำCLออกจากกันอยู่เลย ถามว่ามันแยกจากกันได้ที่ไหน   แล้วที่บอกว่าพวกหมอความคิดอยู่ในกรอบแคบ มันก็เพราะได้สัมผัสและได้รับรู้มาไง คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเก่ง เลยไม่มองความคิดของผู้อื่น ดูถูกผู้อื่น และก็ชอบใช้ความเก่งมาเอาเปรียบผู้อื่น  หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตนรู้มันก็แค่ในสาขาวิชาเฉพาะสาขาหนึ่ง การเรียนสาขาแพทย์เน้นการเรียนแบบdeductive เรียนลึกและแคบลงเรื่อยๆ เค้าคิดว่าเค้าเก่งแต่คนพวกนี้ไม่รู้เลยว่า โลกมันมีเรื่องอื่นที่สำคัญไม่แพ้กันกับเรื่องที่เค้าทำ แล้วชอบมาพูดว่าเป็นอาชีพผู้เสียสละ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แต่ไม่คิดว่าคนเก่งๆอื่นที่ไม่ใช่หมอแล้ว ช่วยเหลือชาวบ้านคนอื่นก็มีอีกมากมาย ค่านิยมที่ว่าคนเก่งต้องเรียนแพทย์ทำให้พวกนี้เหลิง  ดูจากคำพูดของคุณก็ได้ ์ "ทั้ง ๆ ที่ในประเทศไทยนั้นแพทย์ได้คัดคนที่มีสติปัญญาดี ๆ และมี EQ ดี ๆ ชั้นหนึ่งของประเทศไปเรียนทั้งนั้น แถมต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตต้องทำวิจัยตลอด ด้วย คนโง่ ๆ คิดแคบเขาทำอย่างนี้ได้อย่างไร โอเคว่าคนที่ฆ่าแฟนตัวเองอย่าง หมอเสริม หรือฆ่าเมียตัวเองมันก็มี แต่ว่ามันเป็นส่วนน้อยนิด คนส่วนใหญ่เขา ก็ดี ๆ ช่วยคนไม่รู้เท่าไหร่"่ ใช่ก็จริง คนในทุกสังคมมีทั้งดีและเลว แล้วการที่ความคิดอยู่ในกรอบแคบไม่ใช่สิ่งเลว   แต่เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าแพทย์ส่วนใหญ่เป็นกัน  ความคิดของเราเราบอกแล้วจะแย้งก็ได้ แต่เมื่อคุณเห็นว่ามันแปลกก็ไม่อยากปล่อยเลยไป เรารู้เพราะเรามีญาติเป็นหมอ และมีเพื่อนแม่ที่เป็นหมอหลายคน เราสัมผัสกับหมอบ่อยๆอีกตอนที่ป้า เราที่ป่วยเป็นโรคไตต้องไปฟอกเลือดทุกสองวันต่ออาทิตย์ พอโตมาหน่อย(ประมาณไม่เกินสิบขวบ) ปิดเทอมเราไปช่วยแม่ที่ทำงาน เวลามีหมอมาติดต่อราชการ พวกนี้จะกร่างมาก บางครั้งไปอยู่กับป้าอีกคนที่เป็นหมอ ก็ได้เห็นนิสัยหมอด้วย เค้าพูดคุยกันได้เพราะคิดว่าเราเป็นเด็กไม่รู้ไร แต่ขอโทษเราเริ่มซึบซับตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ด้วยความคิดเด็กที่ไม่มีอคติมาเจือปนว่าความคิดของคนกลุ่มนี้มันเเปลกๆ ตอนนั้นเราก็แค่งงๆว่าทำไมพวกอาหมอป้าหมอคิดกันแบบนี้ พอขึ้นมัธยมเราได้ทำงานกับหมอมากขึ้นในช่วงปิดเทอมเราไปอยู่กับแม่มากขึ้น   ป้ากับแม่เราพยายามทุกวิถีทางให้เราอยากเป็นหมอ พูดแต่สิ่งดีๆและให้เราสัมผัสกับคนกลุ่มนี้ แต่นั่นยิ่งทำให้เราเห็นอะไรมากขึ้น  เราไม่เถียงว่าคนเป็นหมอที่คิดกว้างก็มี  แต่คนความคิดแคบมันเยอะกว่า ช่วงปิดเทอมใหญ่จะมีงานปฐมนิเทศน์แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัช แม่ให้เราไปช่วยด้วย เรา(ซึ่งตอนนั้นดูโตแล้ว)จะนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียนช่วยพวกน้าๆ พอเค้าเข้าห้องประชุมกันหมดเราจะสแตนท์บายอยู่ด้านหลัง เราบอกจริงๆว่าทั้งกริยามารยาทที่ทำกับเจ้าหน้าที่อื่น  ทั้งเรื่องที่พี่ๆพวกนี้คุยกัน มันทำให้เราไม่อยากเรียนแพทย์เลย   เราไม่ได้ยกว่าเราเก่งนะ  แต่ก็คงเก่งระดับหนึ่งเพราะไม่งั้นพวกครูคงไม่เชียร์ให้เราเอนท์หมอ ให้เป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนหรอก  แต่เราไม่เอนท์ วิชาชีวฯเป็นวิชาที่เราไม่คิดจะสอบ ถึงแม้เราท๊อปชีวฯของชั้นปีทุกปี แต่ไม่รู้จะสอบทำไมเมื่อไม่เลือกเรียนทางนี้อยู่แล้ว รวมทั้งไม่ได้ไปฝึกงานทางนี้ด้วย(รุ่นเราเด็กที่จะเอนท์แพทย์ต้องไปช่วยงานที่รพ.ก่อน) แต่คะแนนเราถ้าเราสอบชีวะได้สี่สิบกว่าจากร้อยคะแนน เราจะเอนท์ติดแพทย์จุฬาฯ  อย่างนี้คุณจะหาว่าเราโง่กว่าหมอไหม ขอโทษที่เรามาเล่าเรื่องส่วนตัวมากไป  แต่อยากให้คุณทราบไว้ถ้าคุณสงสัย ส่วนเรื่องCLเราจะไม่พูดอีก เพราะดูแล้วป่วยการ เมื่อผู้ตอบหลายๆคนยังยึดกับอัตตา ติดกับความคิดตัวเองอยู่ เราก็คงถือคติเดิม อ่านอย่างเดียว พูดไปสองไพรเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ปล.ข้อมูลที่คุณvivacious นำมาให้อ่าน ส่วนใหญ่เราทราบแล้ว แต่บางเรื่องอยากให้พิจารณาลึกกว่านั้น และอย่ามองแยกส่วน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเค้าถึงต้องกลับมาทบทวน เรื่องนี้มันใช้คนมองคนเดียวหรือเฉพาะกลุ่มไม่ได้ การมองผิวเผินแล้วตัดสินใจมันไม่เกิดผลดี ปล.2 จะเห็นว่าประเด็นนี้โดนเบี่ยงแล้ว ให้กลับไปเริ่มที่การทบทวน  แต่บางคนเขียนเหมือนคัดค้านที่เค้าจะยกเลิกซะเร็วๆนี้งั้นแหละ อย่าทึกทักเอง และอย่าหลงประเด็น จากคุณ : Sorokin - [ 10 ก.พ. 51 15:02:20 ]

ความคิดเห็นที่ 66 คุณ Sorokin คคห. 65 อ้าวที่คุณบอกว่าพวกหมอมองในวงแคบนั้น ผมว่าคุณก็ได้ยกในสิ่งที่คิดว่า เป็นการมองในวงกว้างมองในองค์รวมอย่างที่คุณเข้าใจมาแล้วใน คคห. 27 ผมก็ได้ตอบคุณไปแต่ละประเด็นแล้ว ผมไม่เห็นว่าคุณจะนำเอาข้อเท็จจริงใหม่ ขึ้นมาโต้แย้งผมเลย ...... คุณอย่าบอกนะการมองแค่นั้นี่คือการมองแบบองค์ รวมแล้ว คุณมีข้อเท็จอะไรที่กว้างไปกว่านั้นอีกไหม ผมว่าความคิดแบบองค์รวมนั้น คนที่นำมาใช้เป็นคนแรก ๆ ของเมืองไทยเลย คือหมอประเวส วะสี นะครับ ......... นี่คุณหมอที่คุณบอกว่าเป็นคนมองอะไร แคบนั่นแหละ  แต่เป็นเจ้าตำรับคำพูดที่ว่าคิดแบบองค์รวมเลย ผมไม่ทราบว่า คนที่พูดบ่อย ๆ ถึงการคิดแบบองค์รวมนั้นรุ้หรือเปล่าว่าใครเป็นตำหรับ ไม่แน่ บางทีมีคนชอบเอาคำพูดนี้มาพูดเท่ ๆ เพื่อให้ดูเองดีก็ได้ก็มีเยอะ ถ้าคุณย้อนกลับ ไปดูในประวัติศาสตร์ของคำ ๆ นี้ มันฮิตในวงการแพทย์ของไทยในยุคสิบปี ที่ผ่านมาก่อนเข้าสู่วงการองค์กรพัฒนาเอกชน แล้วก็วงการอื่นครับ แนวความ คิดนี้เป็นแนวคิดที่นำมาต่อสู้กับแนวความคิดแบบแยกส่วนที่พวกหมอเรียนนั่น แหละ และคุณหมอประเวสนี่แหละพูดกรอกหูให้ชาวบ้านและหมอฟังบ่อย ๆ จากคุณ : vivacious - [ 10 ก.พ. 51 15:42:17 ]

ความคิดเห็นที่ 67 อ้อ ที่ผมบอกว่าการทำ CL กับการทุจริตเป็นคนละประเด็นกันนั้น ไม่ได้หมาย ความว่าผมมองแยกส่วน เพราะผมคิดถึงทั้งคู่ ไม่ได้เพิกเฉยกับการทุจริตแต่อย่าง ใด แต่ถ้าผมมองแต่ CL อย่างเดียวโดยไม่มองทุจริต ก็คิดว่าเป็นมองแยกส่วน ได้ การจับประเด็นคือการนำเอาเรื่องที่อยู่กลุ่มเดียวกันรวมกัน และแยกแยะให้ เป็นสัดส่วน จัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ แต่ว่าเวลาจัดการ มันนั้นไม่ได้คิดเรื่องนี้เรื่องเดียวแบบโดด ๆ หากแต่คิดเกี่ยวข้องกันส่วนอื่นที่มัน เกี่ยวพันกันด้วย หน่วยงานทั้ง หลายต่างก็มีแผนผังองค์กรทั้งนั้นแต่องคาพยพ ทั้งหมดต้องทำงานสอดคล้องไปด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ จากคุณ : vivacious - [ 10 ก.พ. 51 16:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 68 แค่คิด ว่าวิจัยยา มาเพื่อผลประโยชน์ เข้ากระเป๋า ก็ผิดแต่แรกแล้วอ่ะค่ะ ยา  เอาไว้รักษา คนป่วยให้หาย...  ถ้าจะเอาผลกำไร มากมาย เนี่ย....   ไม่คิดถึงชีวิตคนกันหรือไง เน่อ... ถ้าเป็นพวกโปรแกรม คอมพิวเตอร์  มันทำให้รอยหยักสมอง เราดีขึ้น  ได้เงินเดือนกลับมา อันนี้พอเข้าใจ ... แต่เรื่องของคนป่วย  จะต้องรอให้มีเงิน มากๆ เหมือนประเทศมหาอำนาจ ถึงจะอยู่รอดกันได้หรือไงกัน.... เห็นชีวิตคน เป็นแค่เรื่องของธุรกิจ ก็ผิดมากแล้วนะ ไม่เกิดกับตัวเองหรือคนใกล้ตัว นี่คงไม่รู้สึกกันหรอก จากคุณ : คนจะสวยที่ 30 (คนจะสวยที่ 30) - [ 10 ก.พ. 51 16:28:21 ]

ความคิดเห็นที่ 69 #68 ลองคิดมุมกลับนะครับ ถ้านาย ก. สร้างโปรแกรมคอม ได้กำไร 1000 ล้าน กับนาย ข. ผลิตยาตัวใหม่ขึ้นมาได้กำไร 10 ล้าน คุณคิดว่าคนอยากไปทำอันไหนมากกว่าครับ? แล้วนาย ข.จะไม่มองว่า "เราคิดค้ายามาช่วยชีวิตคนทำไมได้ค่าตอบแทนน้อยกว่าคนสร้างโปรแกรมคอมที่คนไม่มีก็ไม่ตายอีก" หรือไร การมองว่ายาเป็นเรื่องของชีวิตดังนั้นต้องไม่เอากำไร มันก็ถูกในแง่มนุษยธรรม แต่ถ้ามองอีกมุม เพราะเป็นเรื่องของชีวิต เราจึงต้องทุ่มเทเงินให้กับตรงนั้นให้มากมิใช่หรือ ไม่งั้นถ้าผู้ผลิตยาได้กำไรน้อย เพราะถูกกั้นด้วยคำว่าคุณธรรม มนุษยธรรม แล้วอนาคตใครจะมาทำ ใครจะมาผลิตยาใหม่ๆออกมาอีก??? อนึ่ง ความเห็นนี้เป็นความเห็นเปรียบเทียบระดับบริษัทของบริษัทยากับบริษัทที่ทำโปรแกรมคอมเท่านั้น เป็นคนละเรื่องกับการเข้าถึงยาของผู้ป่วยระดับบุคคล ไม่ได้บอกว่าบุคคลากรวงการนี้จำเป็นดังนั้นยาต้องแพง ซึ่งเรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องทำให้ราคายามันถูกพอกับความสามารถในทางการเงินของประชาชน จากคุณ : Number 31 - [ 10 ก.พ. 51 17:42:28 ]

ความคิดเห็นที่ 70 การเจ็บป่วย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ คนเราทุกคนต้องป่วย ต้องตายกันอยู่แล้ว คนที่เป็นโรคเรื้อรัง หลายโรคเป็นแล้วไม่หาย ยาพวกนี้ถึงใช้ไปก็ไม่ได้ทำให้หายป่วย แต่อาจช่วยให้บางคนฝืนอยู่ได้นานขึ้นเป็นเดือน บางคนอาจอยู่ได้นานขึ้นเป็นปี เรามีเงินซื้ออาวุธได้ งบทหารปีนึงกี่แสนล้าน แค่ค่ายาแค่นี้ทำไมจะไม่มีจ่าย ถึงกับต้องไปปล้นเขาเชียวหรือ จากคุณ : ผลึกความคิด - [ 10 ก.พ. 51 17:58:33 ]

ความคิดเห็นที่ 71 มีเงินไปซื้ออาวุธ  เครื่องบินรบราคา  เป็นหมื่นล้าน แต่มาบอกว่าเป็นประเทศยากจน ไม่มีเงินซื้อยามารักษาประชาชนในประเทศ ทั้งที่ ราคายาประมาณ 2,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับฝูงเครื่องบินรบ บ้าหรือเมา...ครับ จากคุณ : Sky - [ 10 ก.พ. 51 18:14:59 ]

ความคิดเห็นที่ 72 คุณ Number 31 คคห. 69 ไม่มีใครห้ามไม่ให้บริษัทที่ผลิตยาอยู่แล้ว เข้าไปทำธุรกิจสร้างโปรแกรม คอมพิวเตอร์นี่ครับ ถ้าพวกคุณเห็นว่ามันกำไรดีไม่มีการแข่งขันจากแผ่น copy คุณก็กระโจนเข้าไปทำซิครับ ไม่ต้องบอกเขาหรอก ธรรมชาติของ ทุนนิยมอะไรที่กำไรมากกว่าแล้ว ความเสี่ยงไม่สูง ก็มีคนเสี่ยงเข้าไปลงทุน เองนั่นแหละ แต่ว่าบริษัทยาพวกนี้มีความรู้ความสามารถที่จะแข่งขันกับ ผู้ผลิตเจ้าอื่น ๆ ได้หรือเปล่า ........ ไม่ใช่เข้าไปทำก็เจ๊ง ถ้ายาเป็นเรื่องของชีวิต แล้วผู้ผลิตยาเอากำไรมาก ๆ จนกระทั่งคนจน ๆ ไม่มีปัญญาซื้อมาใช้แล้วมันจะวิจัยพัฒนาหายามาทำพระแสงอะไร เพราะ คนไม่มีปัญญาเข้าถึงได้ .......  คนอยากใช้ก็ไม่มีปัญญา เหมือนหมามอง เครื่องบิน สิ่งที่ผู้ป่วยต้องการคือต้องการราคายาที่เป็นธรรม เอากำไรแต่พอสมควร ไม่ใช่ตั้งราคาไว้สูงลิบลิ่ว เอะอะอะไรก็บอกว่าเป็นต้นทุนในการวิจัยพัฒนา แต่พอให้แจกแจงออกมาว่ามันเป็นต้นทุนอะไรบ้าง กลับไม่ยอมแจกแจง คนซื้อก็คงไม่ใจร้ายถึงขนาดให้คนผลิตยานั้นขายขาดทุนหรอก แต่ว่ามัน น่าเจ็บปวดจริง ที่ยาคุณภาพเกือบเท่ากัน ที่ผลิตมาจากแห่งหนึ่งถูกกว่าเจ้า ของสิทธิบัตรถึง 4-5 เท่า ============================================= คุณ ผลึกความคิด คห.70 ถ้าคิดแบบคุณนี่ ยุบกระทรวงสาธารสุขเลยดีกว่า มีวัดเอาไว้เผาศพอย่างเดียว ก็พอมั๊ง ไม่ต้องเปลืองงบประมาณรัฐ มีรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขให้ เปลืองงบประมาณทำไม แพทย์พยาบาลไม่ต้องผลิตมาหรอกมันเปลืองงบ ในเมื่อทุกคนมันก็ต้องป่วย และในที่สุดก็ตายอยู่แล้ว ......จะไปทุ่มเทรักษา กันทำไม ถ้ารัฐมีปัญญาหาเงินมาสนับสนุนในการซื้อยาราคาแพง ๆ ได้ก็ดีซิ แต่ที่เห็น ในอดีตที่ผ่านมานั้น  รัฐก็เห็นเรื่องอื่น ๆ สำคัญกว่าชีวิตผู้ป่วย แล้วก็ปล่อย ให้ผู้ป่วยจะตายหรือรอดเป็นไปถามยถากรรม บางทีในมุมมองของนักการ เมืองนั้น สู้เอาเงินพวกนี้ไปทำโครงการต่าง ๆ ที่พวกเขานั้นมีเอี่ยวด้วยนั้น มันน่าใช้เงินเยอะมากกว่า เอาเงินมาซื้อยาให้ผู้ป่วยเยอะ การทำ CL นั้นเป็น การดิ้นรนของผู้ป่วยเอง เพราะว่ามันพี่งงบรัฐไม่ได้แล้ว แล้วขออีกครั้งเถอะ การทำ CL ไม่ใช่การปล้น แต่ว่าเป็นการทำตามข้อตกลง ขององค์การการค้าโลกครับ ประเทศไทยไม่มีอำนาจอะไรไปบังคับ ประเทศ มหาอำนาจได้หรอก ============================================= คุณ Sky  ความเห็นที่ 71 ความจำเป็นในการักษาเอกราชของประเทศนั้น มันเป็นความสำคัญอันดับแรก เลยสำหรับชาติ ถ้าหากไม่มีชาติและเสียเอกราชไปแล้ว คนไทยทุกคนก็ต้อง ได้รับผลกระทบ ความมั่นคงของชาตินั้นมันสำคัญกว่าชีวิตผู้ป่วยเยอะ ในเมื่อ ทหารเองก็ตายไปกับการรักษาความมั่นคงเยอะแยะ การตายไม่ใช่เรื่องแปลก การตายของผู้ป่วยทุกคน มีความสำคัญเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับการคงอยู่ ของเอกราชของชาติ เงินที่เอาไปซื้อยาให้ผู้ป่วยนั้นคิดดูมันน้อยก็จริง แต่ก็ไม่เคยมีรัฐบาลไหนยอม ทุ่มมากับเรื่องนี้ ไม่งั้นผู้ป่วยจะไปเรียกร้องการทำ CL ทำไม ถ้าเขาสามารถ เข้าถึงยาราคาถุกได้ และเรื่องนี้คุยมาเป็นเวลาสิบ ๆ ปีแล้ว เหม็นขี้ปากนักการ เมืองที่มารับปากว่าจะให้อย่างโน้นอย่างนี้ แต่ในที่สุดแล้วก็นำเงินเข้าไปทำ ในโครงการที่ตัวเองได้ประโยชน์ทั้งนั้น อีกอย่างเงินพวกนี้ไม่ใช่ให้ครั้งเดียวแล้วจบ ในบางโรคคุณต้องสนับสนุนเงิน ให้กับเขาตลอดชีวิต ซึ่งคิดไปแล้ว มันเป็นเงินถึง สี่ห้าสิบเท่าของเงินแต่ละปี ซึ่งนักการเมืองไม่มีทางให้ตลอดไปแน่นอน ซักวันหนึ่งเขาก็ต้องตัดออก แล้ว ปล่อยให้ผู้ป่วยดิ้นรนหาทางออกเอาเอง .. มันเป็นซะแบบนี้ มันเป็นการแก้ ปัญหาที่ไม่ยั่งยืนเพราะผู้ป่วยพี่งตัวเองไม่ได้ ในขณะที่การเมืองนั้นมันเปลี่ยน แปลงตลอดเวลา นักการเมืองคนต่อไปนโยบายก็เปลี่ยน ผู้รับกรรมคือคนป่วย อ้อ แล้วอีกอย่าง คนที่ใช้เงินอย่างฉลาดนั้น เขาคงไม่ใช้เงินไปเปล่าประโยชน์ กับสิ่งของอย่างเดียวกัน แต่อีกแหล่งแพงกว่าาตั้งหลายเท่าหรอก อย่าง นี้เรียกว่า เป็นการไม่ฉลาดและไม่ประหยัด แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 19:31:51 แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 19:13:26 จากคุณ : vivacious - [ 10 ก.พ. 51 19:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 73 #72 หากคุณไม่คิดว่าการทำ CL เป็นเรื่องของการไปละเมิดเอกชนอเมริกาก็ไม่เป็นไร ขอให้คิดอย่างนักต่อรอง คิดในทางที่ประเทศได้ประโยชน์สูงสุดจริง คุณเอาเหตุผลอะไรมาอธิบาย การประหยัดค่ายา 2000 ล้าน แต่อาจเสียประโยชน์จากการถุกตัด GSP เป็นหมื่นเป็นแสนล้าน คุณจะอธิบายการทำ CLยา efravirenz และ kaletra ว่าเป็นประโยชน์ของคนไข้ได้อย่างไร ในเมื่อคนไข้เข้าถึงยาสองตัวนี้ซึ่งเป็นยา original ได้ฟรีอยู่แล้ว พอทำ CL คนไข้กลับได้ยา local made มันเป็นประโยชน์สำหรัยคนไข้หรือไม่ หากคุณไม่เห็นข้อแตกต่างถึงคุณภาพของยา original และ  local made แล้วเหตุยาแบรนด์เนม ที่มี local made แล้วจึงยังมีขายมากมายในตลาดเมืองไทย เหตุเพราะว่าแม้ผ่านมาตราฐานการตรวจสอบทางห้องปฎบัติการเหมือนกัน  แต่บางตรั้งกลับพบยาให้ผลทางคลินิคที่ต่างกันใช่หรือไม่ หากคุณเป็นเอดส์ชนิดที่ดื้อยาแล้ว   และกินยาสูตรสุดท้ายแล้วคุณจะใช้ยาของอินเดียหรือของอเมริกา  ในเมื่อเอดส์เป็นโรคที่ต้อง absolute  right drugs , right dose, rigth time  สูตรสุดท้ายในชีวิตแล้วคุณกล้าหรือไม่ ต่อให้คุณเชื่อถือยาจากอินเดียมันก็มีปัญหาในทางปฎิบัติมากมาย เพราะอินเดียไม่มีผู้แทนจำหน่ายในไทย  ต้องซื้อยาผ่านบริษัทิหนึ่งในยุโรป  ต้องซื้อที่ละล๊อตใหญ่  ยาเหล่านี้มีอายุสั้นอยู่แล้ว กว่าจะเดินทางมาถึงหน่วยให้บริการจะเหลืออายุยานิดเดียว  ไม่มีบริการหลังการขาย ไม่มีการรับแลกเปลี่ยนใกล้ยาหมดอายุ  ซึ่งไม่เหมาะเลยกับโรคที่มีความแปรปรวนในการประมาณการเช่นเอดส์ การที่ผู้ป่วยเอดส์ออกมาเรียกร้องเพราะอะไร  เขาออกมาเรียกร้องขอ CL ยาที่เขาได้ฟรีและเป็นแบรนด์อยู่แล้วอย่าง efravirenz หรือ kaletra  เพื่อจะเอายาจากอินเดียแทนหรือ ไม่แน่นอน มีกระบวนการทำให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าการทำ CL คือการที่ต่อไปเราจะก๊อปยาตัวไหนก็ได้ที่ต้องการใช่หรือไม่  แล้วความจริงมันทำเช่นนั้นได้หรือเปล่า  การทำCL ต้องตกลงเป็นรายการๆ และชดเชยความเสียหายให้บริษัทิยาด้วย   ไม่ได้ทำได้ตามใจชอบ  ถ้าทำเช่นนั้นไม่ใช่แค่อเมริกาจะไม่คบเรา  คนทั้งโลกก็ไม่คบเรา แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 21:23:12 แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 20:53:30 แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 20:11:55 จากคุณ : Everythings gonna be all right - [ 10 ก.พ. 51 20:11:04 ]

ความคิดเห็นที่ 74 การที่คุณต่างยืนยันว่ายา original และ  local made มีมาตราฐานเดียวกัน ควรไปดูเสียก่อน ยาที่ผลิตในไทยส่วนใหญ่จะเป็นแค่มาตราฐาน GPM ตัวองค์การเภสัชเองก็ใช้มาตราฐานนี้ผลิตยามาโดยตลอด เพิ่งจะมาปิดปรับปรุง เพื่อรอรับการตรวจสอบว่าจะได้มาตราฐาน WHO GMP หรือไม่  ทราบข่าวมาเลาๆ(ไม่ยืนยัน)อาจจะได้แค่ มาตรฐานของอาเซียน  ASIAN GPM เท่านั้น http://www.pharmacafe.com/board/index.php?topic=18580.0;wap2 ในขณะที่โรงงานผลิตยาของอเมริกา ต้องได้มาตราฐาน WHO GMP จากคุณ : Everythings gonna be all right - [ 10 ก.พ. 51 20:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 75 #72 ที่ผมจะสื่อคือจาก #68 เขาพุดทำนองเปรียบเทียบบริษัทยากับโปรแกรม ทำนองว่าไม่ควรเอากำไรเหมือนกับบริษัที่ทำโปรแกรม แต่ผมมองตรงข้าม ผมมองว่าในเมื่อสิ่งที่บริษัทเขาทำมันสำคัญกว่า ทำไมเขาถึงจะเอากำไรสูงกว่าบริษัทที่ทำโปรแกรมไม่ได้ ถ้าทำโปรแกรมมันกำไรกว่า ผลิตยามันกำไรน้อย แถมยังถูกค่อนคอดเยอะ อย่างนั้นบุคลากรในอนาคตจะเดินไปทางไหน น่าจะรู้อยู่ ในเมื่อยามันสำคัญ ดังนั้นผู้ผลิตของสำคัญ จะเรียกราคาสินค้าสูงก็เป็นเรื่องธรรมดา แน่นอน มันสวนทางกับหลักศีลธรรม แต่นี่ก็เป็นเรื่องปรกติในยุคทุนนิยม ส่วนที่คุณบอกว่าผู้ป่วยเรียกร้องยาในราคายุติธรรม ไม่ใจร้ายให้บริษัทล้ม ผมมองว่าคนละเรื่องครับ ไม่ว่ายาราคาถูกหรือแพงมันก็เป็นหน้าที่รัฐที่ต้องหามาให้ผู้ป่วย ประเด็นที่ผมจะพูดคือเกี่ยวกับการเอากำไรระหว่างบริษัทยากับบริษัทโปรแกรมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับผู้ป่วยรายบุคคล แต่ในคห.นั้น อีกเรื่องที่ผมไม่เห็นด้วย คือเรื่องงบความมั่นคง (จริงๆพิมพ์ไว้ยาว แต่มันออกกลิ่นรดน.เกินไป เดี๋ยวกระทู้จะกลายพันธ์หมด เลยลบพิมพ์ใหม่ดีกว่า) ขิงแก่เข้ามาเพิ่มงบความมั่นคงจากเดิมไม่รู้กี่เท่า ซึ่งก็ไม่เห็นจะได้อะไรมาเลย แล้วมาบอกว่ายามันแพง เงินไม่มี ขอทำ CL ถ้าผมเป็นต่างชาติ ผมก็คงต้องจวกกลับว่า แล้วลื้อเอาเงินจากไปลงความมั่นคง(วะ) จากคุณ : Number 31 - [ 10 ก.พ. 51 21:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เห็นด้วยกับ รมต. กระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ที่ประกาศยกเลิก CL ยา\\\ ไปโพสข้อความนี้ในกระทู้คุณเอื้องอัยราวัณ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6319165/P6319165.html คิดไปคิดมาตั้งกระทู้ใหม่เลยดีกว่า ขออนุญาตทบทวนในสิ่งที่หลายคนรู้แล้วอีกรอบ   หากประเทศไทยตัดสินใจ "บังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" หรือ CL "ซีแอล (Compulsory licensing)" ก็จะได้ประโยชน์ต่างๆดังนี้คือ ข้อดี 1. ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้นและค่าใช้จ่ายถูกลง 2. โอกาสในการพัฒนาทำประดิษฐ์คิดค้นด้านยาเพิ่ม 3. ลดการผูกขาดสินค้าในตลาด ประเทศนี้ที่นำร่องไทยประกาศตัวเองใช้ CL ไปล่วงหน้าแล้วมีประมาณ 10 ประเทศ ขอ ยกตัวอย่างรายชื่อให้ทราบพอสังเขปได้แก่ บราซิล อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น ในประเทศอินเดียซึ่งทราบกันดีว่าเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นลำดับๆต้นๆของโลก หลังจากประกาศเป็นเป็นเทศ CL แล้วทำให้อินเดียประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีไปได้ 30 – 50 % (คิดเป็นมูลค่าระดับหมื่นล้านเหรียญ $) *** หากประเทศไทยตัดสินใจประกาศใช้ CL จะทำให้ประหยัดเงินด้านยานำเข้าไปได้ประมาณ 2, 000 – 3,000 ล้านบาท/ปี *** ข้อมูลตัวเลขอ้างอิง : ในพารากราฟ " ชีวิตในอุ้งมือเอฟทีเอ ไทย-สหรัฐ"http://www.localtalk2004.com/V2005/detail.php?file=1&code=a1_02022007_05   เห็นได้ดังนี้การที่ไทยจะกระโดดเข้าร่วมเป็นประเทศ CL เลยคงเป็นการกระทำที่ดูตื้นเขินมากไป เพราะประเทศไทยไม่ใช่อินเดีย ไม่ใช่บราซิล เพราะไทยก็มีปัจจัยข้อจำกัดในหลายประการแตกต่างไป อีกทั้งประเด็นค่ารักษาพยาบาลจากการนำเข้ายาจากต่างประเทศจริงๆแล้วเป็นสัดส่วนมากมายคุ้มค่ากับการลงทุนทำหรือไม่ ถ้าไปลดการซื้องบอาวุธลับจะทำได้ง่ายและลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าหรือป่าว คิดได้แล้วจึงค่อยน่าเสี่ยงกับการลงทุนละเมิดสิทธิทางปัญญาของประเทศอื่นเค้า อย่าทำนิสัยเยี่ยงโจร ทุกวันนี้เรายังต้องอยู่ในสังคมโลก ไม่ใช่ 1 ปีที่ผ่านมาโดนปล้นประชาธิปไตยแล้วก็เลยติดนิสัยโจร อยากได้อะไรก็ไปปล้นเค้ามา โดยไม่นึกถึงด้านจริยธรรมกฎกติกา  ถ้าทุกประเทศในโลกเห็นข้อดีอย่างนี้แล้วก็คงประกาศตัวเองทำ CL กันหมด เราจะไปเลียนแบบทำตามประเทศอินเดียทุกอย่างคงไม่ได้ เราคงต้องมาดูผลกระทบให้รอบมิติ นอกจากนี้ความเป็นไปได้กับศักยภาพของไทยมีพอหรือไม่ รวมทั้งผลกระทบที่จะตามมาหลังจากประกาศใช้ CL ต้องนี้ไทยต้องคิดให้มาก ถ่วงผลดี ผลเสียว่าอย่างไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน ข้อเสียและผลกระทบหากไทยประกาศใช้ CL 1.การตอบโต้จากประเทศผู้ผลิตยาต้นแบบผ่านกลไกทาง WTO โดยการตัดสิทธิ GSP ของสินค้าหลายประเภทของไทย (ตรงนี้ต้องศึกษาข้อมูลทางสถิติเปรียบเทียบมูลค่าความเสียหากับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการประหยัดการซื้อยานำเข้าประมาณปีละ 2,000 – 4,000 ล้านบาท ว่าอะไรมากกว่ากัน) อ้างอิง : http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=2474&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai 2.ประเทศไทยมีความพร้อมและศักยภาพมากแค่ไหนในการพัฒนา + ผลิตยา ??? ปัจจัยแรก : วัตถุดิบการผลิตยา ( Raw material ) ข้อนี้ที่เราแตกต่างจากอินเดียและบราซิล เพราะทั้งสองประเทศมีบริษัทผลิตวัตถุดิบภายในประเทศหลายบริษัท หากไทยจะผลิตยาแต่ยังไม่พัฒนาบริษัทผลิตวัตถุดิบแล้วและยังพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเราก็จะไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้ สรุปแล้วราคาสุทธิจะประหยัดได้ตลอดไปหรือไม่ แล้วถ้าเกิดวัตถุดิบต้องนำเข้าจากประเทศผู้เป็นต้นแบบ เค้าไม่ขายให้เราจะทำอะไรต่อไปได้ (นี่เลยทำให้เราสามารถผลิตรายการยาได้จำกัดน้อยลงไปอีก เพราะผลิตได้เฉพาะรายการที่สามารถหาวัตถุดิบได้ แล้วถ้าเกิดในอนาคตยาเอดส์สูตรใหม่ ตัววัตถุดิบต้องนำเข้าจากอเมริกา จะทำอย่างไรฝากให้คิด) ปัจจัยที่สอง : บุคลากร เครื่องมือ และเทคโนโลยี เรามีความพร้อมทันสมัย ??? มีระบบการตรวจสอบให้ได้มาตรฐานของอุปกรณ์เครื่องมือในการผลิตให้มีประสิทธิภาพน่าเชื่อถือได้รึยัง ?? ยาเป็นปัจจัย 4 ไม่ใช่สักแต่ผลิตแล้วดูที่ปริมาณอย่างเดียว ถ้ากินแล้วไม่มีผลในการรักษาต่อให้ผลิตได้มากมายหลายล้านกระสอบก็ไม่มีค่า ยาที่ผลิตได้ก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากเม็ดแป้ง  อย่างที่ทราบกันดี โรงงานที่ได้มาตรฐานผลิตยาในประเทศไทยยังมีจำนวนน้อย แค่องค์การเภสัชกรรมแห่งเดียวกำลังการผลิตยังไม่เพียงพอ (ขอบ่นองค์การฯหน่อย ตอนนี้หันไปผลิตยาเอดส์จนลืมและยกเลิกรายการยาบางตัวที่สำคัญและจำเป็นไปก็หลายรายการทำให้ผู้ป่วยหลายโรคได้รับผลกระทบ ประเทศไทยไม่ได้มีผู้ป่วยเอดส์ หรือ มะเร็งแค่สองโรคที่ไหน) ยานั่นจะมองที่ราคาคือแค่ได้ยาถูกลงแล้วจะดี ตัวชี้วัดว่ายาดี ไม่ใช่ที่ราคายาถูก แต่ต้องดูว่ายาที่ได้มีประสิทธิภาพผลในการรักษามีมากแค่ไหน กินไปแล้ว หายจากโรคที่เป็นอยู่หรือเปล่า กินไปแล้วในระยะยาวปลอดภัยมีผลแทรกซ้อนหรือไม่ ไม่ใช่กินยาแก้โรคเอดส์ แต่อีก 3 ปีต่อมาตับพัง อะไรทำนองนั้น ??? หากยาที่ผลิตเองถูกลง แต่ระบบการผลิต และการควบคุมคุณภาพยังไม่ดีพอ ยารักษาโรค ก็จะกลายเป็นยาพิษดีๆนี่เอง จึงไม่แปลกใจที่ยาแต่ละตัวบริษัทต้นแบบต้องลงทุนค้นคว้าวิจัยด้วยต้นทุนที่สูงมาก หลังจากคิดค้นเสร็จก็ยังต้องทดลองในสัตว์ หรือบางครั้งในคนเพื่อดูผลข้างเคียงของยาที่จะเกิดในระยะยาวหลายปีกว่าจะประกาศออกใช้ขายในท้องตลาด จากข้อนี้จะเห็นได้ว่ายาเป็นสินค้าพิเศษ และมีความเสี่ยงสูง เราจึงเห็นยาในท้องตลาด ยาตัวเดียวกันแต่มีหลายเกรดหลายราคา นั่นเพราะผู้บริโภคบางส่วนให้ความสำคัญในปัจจัยผู้ผลิต คือยอมเสียเงินสูงกว่าซื้อยาจากต้นฉบับแทนที่จะใช้ยาเลียนแบบ ถามว่าหาไทยประกาศ CL ทำยาเลียนแบบแล้ว ก็ยังมีผู้ป่วยจำนวนนึงที่ยอมเสียเงินซื้อยาต้นฉบับอยู่ดี 3. การตอบโต้โดยตรงจากบริษัทยาต้นแบบ    3.1 ความสามารถของไทยในการรับการตอบโต้โดยตรงจากบริษัทยาต้นแบบ ในปัจจุบันไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าผลกระทบในหัวข้อนี้เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่ส่วนตัวคิดว่าได้รับแล้วไม่มากก็น้อย อย่าลืมว่าบริษัทยาต้นแบบส่วนใหญ่มีศักยภาพในการผลิตค้นคว้าวิจัยค่อนข้างสูง หากรายการยาตัวใดที่อยู่ในอำนาจควบคุมได้ของบริษัทยาดังกล่าวและดังบังเอิญเป็นบริษัทรายเดียวที่ผลิตยาตัวนี้ได้เกิดไม่ขายยาให้ไทย โดยอ้างโน้นนั่นนี่ ถามว่าเกิดเป็นยาสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้หลังจากผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจขึ้นมา ผู้ป่วยพวกนี้ไม่ต้องดิ้นรนไปซื้อยากินที่ ฮ่องกงหรือ แคนาดารึไร ซึ่งในปัจจุบันมีรายการยาหลายตัวที่บริษัทตัวแทนต้นแบบยกเลิกการนำเข้ามาขายในไทยก็หลายรายการโดนไม่เกี่ยวกับการถอนทะเบียน ซึ่งไม่แน่อาจเป็นการตอบโต้ทางอ้อมที่ค่อยคืบคลานทำที่ละเล็กละน้อยก็เป็นได้ ดังนั้นอย่ามองแค่ว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยเอดส์หรือมะเร็ง เยอะ เรายังมีโรคอีกหลายๆๆๆๆๆๆๆ โรคที่เรายังทำยาเองไม่ได้และต้องนำเข้า ชีวิตคน 1 คน มีค่าเท่ากัน ต้องคิดถึงผลกระทบในส่วนนี้ของผู้ป่วยโรคอื่นๆด้วย    3.2   บริษัทยาต้นแบบอาจใช้วิธีตอบโต้โดยการผลักภาระขึ้นราคารายการยารักษาโรคอื่นที่ไม่ใช่ยาเอดส์หรือยามะเร็งเพื่อหักลบกลบหนี้กันไป เหมือนกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวา  ถ้าได้ราคายาเอดส์กะยามะเร็งราคาลดลงแต่ราคายาเบาหวาน ความดัน วัคซีนฯลฯ ราคาขึ้น หากบวกลบกลบหนี้ สรุปแล้วไทยลดค่าใช้จ่ายจริงหรือ ??? 4.พิจารณาทางเลือกอืนที่ไม่ใช่การทำ CL เรามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าและหลีกเลี่ยงความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากผลกระทบที่จะตามมาหลังการทำ CL หรือไม่ ?? ทางเลือกที่ 1 : “สร้างดีกว่าซ่อม” อย่างที่นโยบายสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขที่มักกล่าวเสมอว่า “ สร้างดีกว่าซ่อม” ขยายความคือ สุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บการป้องกันที่ต้นเหตุย่อมดีการรักษาที่ปลายเหตุ ฉันใดฉันนั้นการรณงค์ให้ประชาชนรู้จักดูแลสุขภาพตนเองไม่ให้ป่วยเป็นโรคย่อมดีกว่ามารักษาเมื่อปรากฏอาการป่วยของโรคแล้ว ถึงลงทุนซ่อม (รักษา)อย่างไรก็ไม่เต็ม 100 %เหมือนเดิม เพียงแค่ชะลอและลดความสูญเสียลงเท่านั้น เมื่อจะมองในกรณีโรค 2 โรคคือเอดส์กับมะเร็งที่หัวข้อของไทยที่ตัดสินใจทำ CL  ในรัฐบาลขิงแก่ที่ผ่านมา    ส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลควรจะใช้เงินงบประมาณมาใช้ในการให้ความรู้เรื่องโรควิธีการติดต่อและการป้องกันก่อนเกิดโรค เช่นใช้ถุงยาง น่าจะวิธีประหยัดกว่า แต่ที่ทำมาไม่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะเหตุใดก็ไปศึกษาเพิ่มเติม ต้องยอมรับว่าโรคเอดส์เป็นโรคที่ปัจจุบันยังไม่ค้นพบวิธีการรักษาให้หายขาด ยาที่ใช้เพียงแค่ชะลออาการพัฒนาของโรคและยืดอายุของผู้ป่วยให้นานขึ้น ในปัจจุบันยารักษาเอดส์มีอยู่ไม่กี่สูตร แต่ละสูตรโดยปกติ ผู้ป่วยกินแล้วก็ต้องดื้อยา (ส่วนใหญ่ จะเกิดการดื้อยาภายใน 10 ปีก็จะดื้อยาต้องเปลี่ยนสูตรยาใหม่) หรือไม่ผู้ป่วยบางรายก็แพ้ยา ยังไงเราก็ต้องละเมิดสิทธิบัตรยาคนอื่นทุกๆ 10 ปีต่อไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด ทางเลือกที่ 2 : ขอเจรจาต่อรองราคากับบริษัทยาต้นแบบ ก็บอกไป จน ด้อยด้านใดก็บอกเค้าไปตรงๆของซื้อถูกหน่อยได้ป่าว ไม่งั้นฉันเลียนแบบนะ ?? คาดว่าคงไม่ใจไม้สอยระกำไม่ลดให้หรอกนะ ทางเลือกที่ 3 : ไม่ต้องทำเองซื้อจากประเทศที่ทำซีแอล เช่นอินเดีย ฯลฯ แต่ถ้าหากคิดว่าทำไมไม่ทำเองก็ไปอ่านข้อต้นๆข้างบนแล้วถ่วงวัดน้ำหนักได้เสียเอาเอง 5. ผลกระทบอื่นๆ - ด้านจริยธรรม : มุมมองจากสายตาชาวโลก ก็คงไม่ต้องขยายความอะไรมาก CL ก็คือพฤติกรรมไม่ต่างอะไรไปจากโจรนั่นหล่ะ ถามว่าคุณยากจนไม่มีข้าวจะกิน แต่คุณมีสิทธิไปปล้นฆ่าชาวบ้านเพื่อเอาเงินคนอื่นมาซื้อข้าวกินถูกต้องไหม ? ทนๆกัดฟันเอาหน่อย อดทนรอ 20 ปี  (ตาม FTA ) รอปลดล๊อคก็สามารถทำยาเลียนแบบได้เหมือนกัน  ซึ่งทาง WTO ก็ไม่ได้ใจดำได้เปิดช่องทางให้ประเทศด้อยพัฒนาสามารถ ทำ CL ยาได้ เพราะมีเหตุจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุข หรือโรคระบาดร้ายแรงภายในประเทศ สามารถใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเพื่อทำการผลิตยา หรือนำเข้าซ้อนในช่วงที่ยานั้นมีสิทธิบัตรคุ้มครองอยู่ในประเทศได้ เป็นมาตรการของรัฐบาลที่อนุญาตให้เพิกถอนสิทธิบัตรได้ เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่ง (รัฐหรือเอกชน) สามารถใช้สิทธิบัตรนั้นได้ โดยจ่ายค่าชดเชยตามสมควรให้แก่ผู้ทรงสิทธิ อ้างอิง : พารากราฟสุดท้าย http://www.localtalk2004.com/V2005/detail.php?file=1&code=a1_02022007_05 - ด้านสังคม : การเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้นไม่ใช่มีแต่ข้องดีอย่างเดียว อย่าลืมว่าอะไรที่ได้มาง่ายๆ ความตระหนักในคุณค่าชีวิตและการดูแลรักษาสุขภาพตนเองจะลดลง ต่อไปความคิด หรือความตระหนักในการป้องกันตนเองไม่ให้เกิดโรคก็จะน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น ในโรคเอดส์ ความสำคัญในการใช้ถุงยาง พฤติกรรมสำส่อนทางเพศ การแพร่เชื้อให้ผู้อื่นก็จะตระหนักลดลง เป็นต้น -. การถูกละเมิดลิขสิทธิ์ของไทย จากประเทศอื่นก็จะเกิดตามมา อย่างพวกสินค้าเกษตร พันธ์ข้าว กล้วยไม้ ฯลฯ - ปัญหาอื่นๆ เช่นปัญหาดื้อยา , พฤติกรรม shopping ยาของผู้ป่วย ได้ยามาถูกได้ง่ายก็ไม่ตระหนักในการกินยา ,มลภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ จากโรงงานยา ฯลฯ อื่นๆ ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ใครคิดออกเพิ่มเติมได้ สรุป : อ่านมาจนจบแล้ว มองให้รอบด้านลองถ่วงน้ำหนักดูผลได้ผลเสีย ปัจจัยของจำกัด ของประเทศไทย ทำ CL แล้วไทยได้มากว่าเสียจริงหรือ ???? จากคุณ : Pin_Ph  - [ 10 ก.พ. 51 19:39:06 A:125.25.169.75 X: ] http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6320237/P6320237.html ========================================== เพิ่งขโมย คคห. มาจากโต๊ะราชดำเนิน  ไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของด้วยอ่ะ  อิอิ จากคุณ : อายนะเนี๊ยะ คิก คิก (Sky) - [ 10 ก.พ. 51 21:57:01 ]

ความคิดเห็นที่ 77 คิดหรอ 30 บาท หรือประกันสังคม จะให้ยาดีดี ได้ .... คนไทยกี่เปอเซนต์กัน ที่ มีเงิน พอที่จะเข้าถึง ยา  มีกี่ % ที่ ได้รับการศึกษา ... ประเทศ ที่มีคนป่วยมากมาย  ญาติคนป่วยที่มัวแต่พะวง คนในครอบครัวไม่สบาย เครียด ( หรือถ้า คนในสังคม มันเห็นแก่เรื่องของตัวเอง อันนี้ คงไม่ต้องไปนับหรอก ) ประเทศเรา จะมีคุณภาพ ได้ไง  อนาคตของชาติ  อยู่ที่ไหน อย่าลืมว่า เรื่อง สุขภาพ + การศึกษา มันสำคัญกว่า เศรษฐกิจ อีกนะคะ.... เศรษฐกิจ ก็ใช่ว่า  เราจะได้ดีกะนายทุน ด้วยซะหน่อย .... คนรวยน่ะไม่ใช่เรา .... คนไทย จนๆ ตาดำๆ คงได้ตายกันเป็นเบืออ่ะล่ะ ตอนแรก เคยเชื่อเหมือนกันว่า การทำ CL เป็นสิ่งผิด แต่หลังจากเห็นผลงาน รมว ที่แล้ว   เค้าพยายาม ช่วยให้ ราคายาลด ก็ไม่รู้เหมือนกัน รมว คนใหม่  จะเจรจาได้อย่างเค้าป่าว...   คิดถึง คุณภาพมนุษย์ ก่อน เงินที่จะได้เถอะ   ถึงรวย  ก็ใช่ว่าจะมีความสุข .... บางคนรวยเป็นร้อยล้าน  เป็นอัมพาต เป็นมะเร็ง  ต้องมาจ่ายค่ายา ไม่ได้ไปท่องเที่ยวทั่วโลก ครอบครัวไม่มีความสุข ... ชีวิตอย่างงี้หรอ ที่ ต้องการจริงๆ ส่วน หมอ พยาบาล ของไทย  ไม่ได้ผลิตบุคลากร มาให้รักษา  คนต่างประเทศนะ ... ไม่ใช่ เอากำไร จากการ เป็น hub ทาง รพ. เอาเงินจาก คนต่างชาติ แค่อย่างเดียว...   คนไทยจะตายกันหมด ถ้าคิดแค่เศรษฐิกจดี๊ดี  แต่ไม่มีหมอ มารักษา คนไทยด้วยกันเอง แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 22:32:41 จากคุณ : คนจะสวยที่ 30 (คนจะสวยที่ 30) - [ 10 ก.พ. 51 22:26:49 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ผมเห็นเหมือนของคุณ Sky อันนี้อะ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6320367/P6320367.html ไม่รู้รายละเอียดเท่าไหร่ เรื่อง CL ยา แต่เข้าใจว่า ผมว่าทางออกมันน่าจะมีทางที่ดีกว่านี้ ถ้าปัญหามันคือเรื่องที่รัฐไม่สามารถทำราคายาให้ถูกได้... จากคุณ : RotoTheHERO - [ 10 ก.พ. 51 22:39:52 ]

ความคิดเห็นที่ 79 #77 คุณคิดจะทำCL ซักกี่รายการกันจ๊ะ  ทำแค่ 3 รายการก็รากเลือดแล้ว ไม่ใช่สักจะทำก็ทำได้ตามอำเภอใจ จนคนไทยจะสามารถได้ยาถูกอย่างทั่วถึงเสียเมื่อไหร่ แล้วมีการมองความเสียหายเป็นภาพรวมอีก หาว่าตลาดยาในไทยคิดเป็น 1 % ของตลาดสหรัฐ คงไม่สะเทือนเขา มองอย่างนั้นได้ไง เราละเมิดต่อบริษัทิอะไรต้องมองความเสียหายที่บริษัทินั้นเป็นรายๆไปซิ  ซึ่งถ้ามองในมุมจากความเสียหายของเขาต้องถือว่าเยอะเอาการ ไม่ได้ห่วงบริษัทิยานะ  แต่คิดเหรอว่าสหรัฐจะไม่ตอบโต้  เขาอาจจะไม่ยกเรื่อง CL มาตอบโต้เหตุเพราะข้อตกลงทริปส์ทีเขียนไว้ว่า (TRIPs agreement) ได้อนุญาตให้ประเทศที่เป็นสมาชิกประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาได้โดยมีเงื่อนไขว่า “ประเทศต้องอยู่ในภาวะอันตราย (national emergency) หรือมีความจำเป็นเร่งด่วน (extreme urgency)  หรือนำไปใช้เป็นประโยชน์สาธารณะที่ไม่ใช่ในเชิงพาณิชย์” เท่านั้นและข้อตกลงยังระบุด้วยว่า ”ให้มีการจ่ายค่าชดเชยในจำนวนที่เหมาะสมให้กับเจ้าของสิทธิบัตร” ด้วย เป็นข้อตกลงที่ไม่มีการตีความไว้ภาวะอันตรายและความจำเป็นเร่งด่วนมีรายละเอียดครอบคลุมเหตุการณ์ใด และไม่กำหนดให้ฝ่ายใดเป็นผู้ตีความ  จึงมีแต่คนตีความเข้าข้างตัวเอง แล้วอ้างเป็นความชอบธรรมตามกฏหมายทั้งสิ้น ส่วนตัวจึงเชื่อว่าเขาจะยกเหตุผลการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างอื่นมาบังหน้า  ไม่เชื่อลองขยันล่อเป้าดู เค้าไม่ปล่อยให้เราลอยนวลแน่ อย่าฝันหวาน  ไม่มีหมูมาให้เคี้ยวๆง่ายหรอก ถ้ามันง่ายขนาดนั้น คงไม่ทิ้งระเบิดอีก 4 ลูกให้รัฐบาลนี้กู้หรอก แค่ 3ลูกใครบ้างคนก็ะถึงกับจุกเงียบไปเลย ############################################# ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในหนังสือสมุดปกขาวการทำซีแอลยามะเร็ง 4 รายการนั้น นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐ(ซีแอล) ได้ชี้แจงถึงขั้นตอนการทำซีแอล ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีขอให้มีการปรึกษาหารือระหว่าง 3 กระทรวง โดยมอบให้นายโฆษิตเป็นประธาน คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศนั้น โดยระบุว่า ตามที่มีการกำหนดประชุมร่วมกัน 3 หน่วยงาน ในวันที่ 3 มกราคม 2551 นั้น ตนในฐานะที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และคณะทำงาน ได้รับมอบอำนาจเต็มที่ จากนพ.มงคล และได้มีการประชุมเตรียมการ และพร้อมเข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าวแล้ว แต่กลับมีการเลื่อนไปโดยไม่มีกำหนดว่าจะมีการประชุมเมื่อไหร่อีก http://www.bangkokbiznews.com/2008/02/08/WW10_WW10_news.php?newsid=228182 หมายเหตุ  ขอขอบคุณนิยามข้อตกลงทริปส์ จากกระทู้คุณเอื้องอัยราวัณค่ะ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6319165/P6319165.html จากคุณ : Everythings gonna be all right - [ 10 ก.พ. 51 23:19:14 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ไปเอาของมีเจ้าของเขามา ... โดยเจ้าของเขาไม่ยอม จริงเปล่าครับ ?  ปฏิเสถใหมครับ ถ้าไม่ปฏิเสธ นั่นแหละคือไปปล้นไปขโมยเขามา จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 23:47:29 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ทรัพย์ของกลางที่ได้มารักษาคนนั่นน่ะ มันมีมูลค่าแค่ปีละ 1700 ล้าน น้อยกว่าทำทีวีเล่นๆ เสียอีก จำนวนแค่นั้นไม่ใช่ไม่มีจ่ายหรอก ไปลักไปขโมยด้วยเจตนาแฝงอื่นๆ แน่นอน จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 23:49:50 ]

ความคิดเห็นที่ 82 Declar emergency หรือเปล่า .... ถ้าเปล่า ก็ไม่มีเหตุอ้างไปหนึ่งแล้วนะ ไปเจรจา เขาให้ลดราคาหรือยัง ... เท่าที่ทราบก็เอาโรงพยาบาลไปคุยกับเขา โอ ... WTO ให้ประเทศไปคุย  ไม่ใช่เที่ยวส่งโรงพยาบาลโน้น รพ. นี้ไป นั่นไม่ใช่ประเทศ ถ้าจะว่าเขาผูกขาด ... มันก็ต้องมีการฟ้องหรือการไต่สวนหรือคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าสั่ง มีไหมล่ะ นั่นน่ะ ถ้าไม่มีก็ถือว่าไปทำทรัพย์เขาเคลื่อนโดยพละการนะ ... ขโมยเขาก็เรียกนะนั่น โกหกตกนรกนะ ... ตกหมดแหละ หมอก็ไม่เว้น! จากคุณ : X-CU - [ 10 ก.พ. 51 23:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 83 คุณ Everythings gonna be all right สวัสดีนะครับ... มาเจอกันในกระทู้เก่าๆ อีกละ วันนี้ผมไปกินข้าวชายทะเลมา  กลับมาช้า แถมเมื่อครู่หลงไปคุยเรื่องวิทยุทีวีอีก เรื่องเจรจากับต่างประเทศนี่น่ะนะ คุณ Everythings gonna be all right จุ๊ส์...จุ๊ส์... จุ๊ส์  ท่ามันจะเป็นเรื่องพกลมนะนั่น คุณทราบไหม ... ว่าตอนนั้นรัฐบาลเราเป็นพวกปล้นประชาธิปไตย ฟรั่งมันรังเกียจ มันไม่รับรองว่าเป็นรัฐบาล สถานะเหมือนโจรเข้ามาปล้นตำแหน่ง ... ซึ่งธรรมดาฟรั่งเขาถือธรรมเนียมทูตว่าไม่คุยกับโจร แล้วตอนนั้น คนของเราที่อ้างว่าไปคุยกับฟรั่งน่ะ ... จะไปคุยกับใครกัน มันคงคล้ายๆ เรื่องอินเดียนแดงขายเกาะแมนฮัตตั้นในราคา 1 เหรียนน่ะแหละ อินเดียนแดงดีใจ ว่าหลอกเงินฟรั่งมาได้ 1 เหรียญ ฟรั่งก็ดีใจ ว่าหลอกซื้อเกาะใหญ่โตมาได้ในราคาเหรียญเดียว ต่างคนต่างกลับบ้านดีใจกันใหญ่ เรื่องมันท่าจะโอละพ่อประมาณนั้นแหละคุณ Everythings gonna be all right จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 00:02:08 ]

ความคิดเห็นที่ 84 สวัสดีค่ะคุณ X-CU เสียดายจังมาตอนกระทู้เค้าวายไปแล้ว   ไม่ทันเห็น เฮ้อ...ตามฟอร์มค่ะ พวกมีจริยธรรมฉาบหน้าแต่ข้างหลังหมกเม็ดแม้แต่ความจริงยังยอมรับตรงไปตรงมากับคนไทยด้วยกันไม่ได้ ว่าแล้วเอา คห 9 ของคุณเอื้องอัยราวัณมาย้ำๆๆๆให้คนแถวนี้ดูดีกว่า...เอิ๊กกก  มาจิค๊า มาดูคนหน้าแตกกานนน... ##################################### ความคิดเห็นที่ 9   สวัสดีค่ะคุณ X-CU ขอบคุณมากค่ะที่คิดถึงกัน ตอนนี้เอื้องมีความรู้สึกว่า กลุ่ม NGO และสื่อที่เป็นปากกระบอกเสียงให้กับเผด็จการทหารที่ผ่านมากำลังปลุกกระแสความคลั่งชาติ(ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับชาตินิยม) ให้ต่อต้านมาตรการทบทวนของ รัฐมนตรีไชยยา ว่าให้ความสำคัญกับการค้า เอาใจบริษัทยาข้ามชาติเหนือชีวิตคน ฟังหรืออ่านแล้วเหมือนพวกหัวคอมฯสมัยเก่า เหมือนพวกที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของโลกเลยค่ะ การประกาศบังคับใช้ CL ของกระทรวงสาธารณสุขที่ผ่านมานั้นมีข้อโต้แย้งที่อาจทำให้ไทยตอบคำถามเขาลำบากเพราะ 1. การที่นายแพทย์มงคล อดีต รมว. สาธารณสุขอ้างว่าได้มีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตยามาโดยตลอดเพื่อขอลดราคายาที่มีความจำเป็น เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้มากขึ้นนั้น ทางพรีม่าได้ปฏิเสธเรื่องนี้ว่า  ก่อนที่จะมีการบังคับใช้สิทธิไม่เคยมีการเจรจาในระดับภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรมยาเกิดขึ้นเลย หรือไม่เคยมีการติดต่อกับทางบริษัทยาก่อน การเจรจาที่บอกว่า นพ. มงคลบอกว่ามีขึ้นเป็นเพียงการเจรจาระหว่างโรงพยาบาลกับบริษัทยาแล้วตกลงกันไม่ได้ แต่ไม่ใช่การเจรจาระดับภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรมยา ซึ่งหากมีการเจรจาระดับภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรมยาเกิดขึ้นจริงที่ทางรัฐต้องการให้ลดราคายาหรือมีการร้องเรียนเรื่องราคายาไปที่กรมการค้าภายในแล้วบริษัทยาไม่เห็นด้วย เรื่องก็จะมาถึงพรีมาและจะเกิดการเจรจากันขึ้น 2. มีการประกาศบังคับใช้ CL โดยที่ยังไม่ได้ตกลงจ่ายค่าชดเชยให้กับเจ้าของสิทธิบัตร ที่ถูกระบุไว้ในความตกลงทริปส์ (TRIPs agreement) ภายใต้กรอบ WTO 3. กระทรวงสาธารณสุขไทยจะอธิบายให้เขาเข้าใจอย่างไรถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเข้าถึงยาของผู้ป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบังคับใช้สิทธิในยา Plavix (ยารักษาโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันจากภาวะลิ่มเลือด) ซึ่งจริงๆแล้ว เอกอัครราชทูตประเทศสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยก็เคยเสนอที่จะประสานงานให้ ทางการไทยได้พูดคุยกับชมรมผู้ผลิตยา และสอบถามถึงความจำเป็นต่างๆของประเทศไทย ในการทำซีแอล เจ้าของสิทธิบัตรเขาก็ "ยินดี" ที่จะเจรจาเพื่อแสวงหาทางออกที่ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถยอมรับร่วมกันได้ในที่สุด แต่ตัวแทนระดับสูงของไทยที่ไปประชุมองค์การอนามัยโลกกลับไปพูดเล่นว่า "หากมีโรคระบาดในไทยอาจต้องจับตัวฝรั่งสองชาติเรียกค่าไถ่เพื่อจะได้เงินไปซื้อยา" ซึ่งการพูดเล่นเช่นนี้โดยไม่ดูความเหมาะสมของสถานการณ์ไม่ได้เป็นผลดีกับประเทศไทยเลย จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ   - [ 10 ก.พ. 51 13:49:26 A:71.7.214.219 X: ] จากคุณ : Everythings gonna be all right - [ 11 ก.พ. 51 00:19:13 ]

ความคิดเห็นที่ 85 อันนี้ก็น่าสนใจใช่หยอก มาดูต่อกันค่ะ ############################# ย้อนกลับไปที่เมื่อครั้งรัฐบาลสุรยุทธ์บอกผ่านสื่อว่าได้ส่ง นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข บินด่วนไปชี้แจงกับรัฐสภาสหรัฐฯเพราะเกรงจะถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) นั้น นพ. มงคลในฐานะรมว.สาธารณสุข ก็ไม่ได้เดินทางไปชี้แจงกับรัฐสภาสหรัฐฯแต่อย่างใด แต่กลับไปลงนามความร่วมมือกับมูลนิธิคลินตัน(Clinton Foundation) ของนายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแทนซึ่งมูลนิธิคลินตันเป็นองค์กรเอกชนไม่ใช่เป็นองค์กรภาครัฐและนายบิล คลินตันเองก็เป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐไปแล้ว ไม่ใช่ประธานาธิบดีสหรัฐปัจจุบัน ในเมื่อไม่เคยมีการเจรจากันในระดับภาครัฐเกิดขึ้น ในเมื่อไม่เคยมีการเจรจาในระดับภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรมยาเลย การสร้างความเข้าใจ การเจรจาระหว่างสองฝ่ายย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ก็พอเข้าใจได้ไม่ยากค่ะว่าเหตุใดการเจรจาระดับรัฐจึงไม่เคยเกิดขึ้นเพราะรัฐบาลสุรยุทธ์เป็นรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร การเจรจาใดๆจึงต้องถูกระงับไว้ก่อน สรุปได้อย่างสั้นๆก็คือนพ.มงคลหาได้เดินทางไปชี้แจงกับรัฐสภาสหรัฐฯอย่างอดีตนายกสุรยุทธ์บอกผ่านสื่อไม่ แต่นพ.มงคลเดินทางไปหา “พรรคพวก” ซึ่งมีอยู่ 2 สิ่งที่นพ.มงคลได้มาเป็นพวกติดไม้ติดมือกลับมาเมืองไทยก็คือ 1.มูลนิธิคลินตัน และ 2.คำพูดของนายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่บอกว่า "ผมสนับสนุนอย่างยิ่งต่อท่าทีและการตัดสินใจของรัฐบาลไทย(รัฐบาลสุรยุทธ์) และบราซิล หลังจากที่ได้มีการเจรจาต่อรองเพื่อระงับการใช้สิทธิบัตรยานี้มาพอสมควรแล้ว"  ซึ่งถูกนำไปอ้างในทุกเว็บที่สนับสนุนการขโมยสิทธิบัตรยา ด้วยหวังว่าจะใช้มูลนิธิคลินตันมากดดันบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่และไม่ต้องการให้ตนโดดเดี่ยวในเวทีระหว่างประเทศในที่ประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกที่ผ่านมา แต่ผู้เขียนคิดว่าตราบใดที่มาตรการ CL ที่กระทรวงสาธารณสุขออกมาสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ไม่ได้รับการทบทวนแล้วจะส่งผลเสียต่อประเทศไทยในระยะยาวอย่างแน่นอนโดยเฉพาะในเรื่องการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่เกิดวิกฤติการเมืองไทยตามมาด้วยรัฐประหารในปี 2548-2549 นั้น FDI ในประเทศไทยลดลงจาก 64.6% มาอยู่ที่ 24.5% ตามลำดับ และคนที่เสียผลประโยชน์มากที่สุดก็คือ ประชาชนไทยนั่นเอง เครดิตคุณเอื้องอัยราวัณค่ะ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6319165/P6319165.html จากคุณ : Everythings gonna be all right - [ 11 ก.พ. 51 00:27:10 ]

ความคิดเห็นที่ 86 คุณ Everythings gonna be all right ความเห็นที่ 73 เรื่องการตัด GSP นั้น ถึงแม้ไทยจะทำหรือไม่ทำ CL ไทยก็ต้องถูกตัดอย่แล้วเนื่อง จากว่าไทยนั้นมีระดับการพัฒนาเลยประเทศด้อยพัฒนาที่ต้องพี่ง GSP แล้ว ทุกปี ก็ต้องมีการทบทวนทุกปี มีสินค้าไทยประมาณ ไม่ถึง 20% ของมูลค่าการส่งออกไปอเมริกาเท่านั้นที่ต้องพี่ง GSP ที่สหรัฐยกเว้นภาษีให้ประมาณ 3% โดยผู้ได้ประโยชน์จากสิทธิเหล่านี้ก็คือ บริษัทข้ามชาติ หรือบริษัทที่มีบริษัทแม่อยู่ในสหรัฐมี่มีเงินจ้างล๊อบบี้ยิสต์ การตัด GSP จากภาษีเฉลี่ยประมาณ 3% นั้น มันไม่ทำให้ไทยต้องสูญเสียมูลค่าการ ส่งออกเป็นหมื่นเป็นแสนล้านหรอกครับ เพราะเรื่องการตัด GSP นั้น เขาบอกว่าล่วง หน้าให้เตรียมมาเป็นเวลา 10-20 ปีแล้วว่ามันพึ่งพาตลอดไม่ได้หรอก ในที่สุดแล้ว สหรัฐก็ต้องเอาสิทธินี้ไปยกให้แก่ประเทศที่ด้อยพัฒนาอื่นต่อไปแทนไทยในที่สุด ไม่ว่า คุณจะทำ CL หรือไม่ ผลกระทบต่อการตัด GSP นั้นมันมีผลกระทบน้อยกว่าการแข็งค่าของเงินบาทมาก เพราะการแข็งค่าของเงินบาทมันกระทบสินต้าส่งออกทั้ง 100% อีกอย่างหนึ่ง พวกที่ได้สิทธิ GSP นั้น ใช้สิทธิมาร่วม 20 -30 ปีแล้ว และเสมือนให้ ตัวเองเป็นตัวประกันให้สหรัฐเอาข่มขู่ไทยตลอดเวลาที่ผ่านมา มันถึงเวลาที่เขาต้อง ยืนด้วยขาของตัวเอง และไม่ต้องให้คนอื่นของสังคมต้องเสียสละเพื่อตัวเองอีกต่อไป .. .. ยา efravirenz และ kaletra ของแท้เนี่ยมันแพงมหาศาลเลยครับ แม้ว่าคนไข้จะ ได้ยาฟรี แต่เงินที่รัฐเอาไปซื้อนั้น มันก็เป็นเงินภาษีประชาชนนะครับ มันเป็นคำอธิบาย ในตัวเองอยู่แล้ว ส่วนการที่ทำ CL ได้ยา local made ก็ไม่เห็นแปลก ในเมื่อมัน สามารถใช้ทดแทนกันได้ แถมราคาถูกกว่า ยาที่เลือกมาทำ CL นั้น มันต้องได้รับการตรวจสอบมาอย่างยิ่งยวดแล้วครับว่าปลอดภัย และมีคุณภาพที่ยอมรับได้ เขาถึงจะซื้อมา การได้ยาที่อาจจะมีคุณภาพที่แตกต่างกันบ้าง สำหรับผู้ป่วยแล้ว มันดีกว่าที่ไม่มีเงินมาซื้อยากิน แล้วต้องตายเยอะครับ ถ้าหากว่าคุณมีวินัยในการกินยานั้น การดื้อยามันก็เป็นไปได้ช้า คุณสามารถมีชีวิตไปอีก นำสิบปี จนกระทั่งไม่มียากินแล้วนั่นแหละ แม้แต่ในปัจจุบันเองในประเทศที่ยาต้นตำ หรับแท้ มันก็เรื่องการดื้อยาออกมาเรื่อย ๆ ไม่เห็นจะมีบริษัทยาไหนทำตัวสุดท้ายได้ซัก ที เรืองการส่งยาจากอินเดียไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เพราะเดี๋ยวนี้เขาส่งด้วยเครื่องบิน ไม่ใช่ ส่งด้วยเกวียนซะทีไหน ยาฟรีที่มีแบรนด์ แต่ไทยก็ต้องเอาเงินภาษีประชาชนไปซื้อครับและกำลังซื้อของแพง ๆ นั้นมันมีจำกัดครับ หรือถ้าหากว่าบริษัทยาใจดีเอามาแจกให้ เขาก็ไม่แจกให้คุณได้กิน ตลอดไปหรอกครับ เรื่องการทำ CL นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำกับยาทุกรายการนั้น เป็นเรื่องที่ทางรัฐต้องชี้แจง ประชาชนเองครับ จากคุณ : vivacious - [ 11 ก.พ. 51 01:05:14 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ตอบความคิดเห็นที่ 76 การทำ CL นั้นมันผิดเพราะมีคนกล้าทำในยุคของรัฐบาลที่มาจาก คมช. นั่นเอง คนถึงได้โยงเอาเรื่องดี ๆ เหล่านี้ไปผุกเข้าการซื้ออาวุธเพื่อติสเครดิต คมช. ผมว่ารัฐบาลชุดนี้เสียหน้า ที่ไม่กล้าทำเรื่องนี้ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสทำ อตีตนายกก็เคย บอกว่าสหรัฐอเมริกาไม่ใช่พ่อ ...... แต่ในที่สุดก็ไม่กล้าทำเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้มัน ใหญ่เป็นวาระระดับโลก แต่ถ้าหากเรื่องดี ๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำในยุค คมช. .รับรองได้ว่าน้อยคนนักที่จะเอา เรื่องนี้ ไปโยงเกี่ยวกับการซื้ออาวุธ  นี่แหละคือเรื่องการเมือง .เพราะถ้ามองในแง่ประโยชน์ของชาติไทยนั้น คนป่วยชาวไทยที่ยากไร้ซึ่งไม่ได้ เข้าถึงยามาก่อนทั้งที่มีการเรียกร้องอย่างต่อเนื่องนานนับสิบปีนั้น เขาก็สามารถ เข้าถึงยาได้ ผมไม่เคยได้ยินวาระเรื่องการตัดงบอาวุธแล้วนำมาซื้อยาให้ คนป่วย จากรัฐบาลชุดก่อนหน้านั้น มีแต่ไปเจรจาต่อรองกับบริษัทยาแล้วหน้าหงายกลับ มาเพราะเขาไม่เอาด้วยแล้วก็เงียบไป รัฐเองก็ไม่ได้สนใจเห็นเป็นวาระสำคัญว่า จะต้องหางบประมาณมาซื้อยาให้กับคนป่วย ไม่ต้องพูดว่าไปตัดงบของกองทัพ เลย ผมมองดูประเด็นของฝ่ายคัดค้านการทำ CL นั้น ผมเห็นแต่การคัดค้านเพื่อผล ประโยชน์ตกเป็นของต่างชาติเท่านั้น ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่ตกเป็นของคนไทย เลย ........ จนผมแปลกใจว่าคนเหล่านี้เป็นคนไทยหรือเปล่าทำไมถึงได้ปกป้อง ผลประโยชน์ของต่างชาติมากกว่าคนไทย ...... คุณเป็นคนไทยแล้วคุณไปปก ป้องผลประโยชน์ของต่างชาติทำไม การเรียกร้องการ CL นั้นทำมาเป็นเวลา สิบปีแล้ว สิทธิในการทำ CL ก็มีมาก่อนรัฐบาลยุค คมช. แต่ไม่มีใครกล้าทำและ ไม่เคยมีแมวตัวไหนหาทางออกด้วยการบอกว่าไปตัดงบกองทัพเพื่อมาซื้อยานี้ เลย ในยุคที่ประชาธิปไตยแบ่งบาน ฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นปฎิปักษ์กับทหารได้ครองอำนาจ พวกนี้ก็เรียกร้องให้ตัดงบทหาร ตัดงบลับ อันนี้ได้ยินเป็นเรื่องปกติ สำนวนการเขียนที่นำมาโพสในความเห็น 76 นั้นเป็นสำนวนการเขียนของผู้ที่เคย อยู่กับพวกฝ่ายซ้ายมาก่อน เช่น คำว่า "ปล้น" นี่เป็นคำที่พวกนี้ใช้ปลุกมวลชนซึ่ง เป็นคำทีใช้ภาคบังคับ กลิ่นอายของข้อเขียนของคนกลุ่มนี้มักจะออกมาในแนว เดียวกัน อ่านแป๊บเดียวก็แทบจะรู้เนื้อเรื่องทั้งหมดมาจะมาในแนวไหน ข้อเสียที่เขาได้ยกมานั้นขอตอบเป็นอย่างนี้ 1) สหรัฐไม่สามารถตอบโต้ไทยผ่านทาง WTO ได้ครับ เพราะว่าไทยไม่ได้ไป ปล้นอะไรเขา ไทยสามารถทำเรื่องนี้อย่างชอบธรรมผ่านตามข้อตกลงของ WTO เรื่องสิทธิ GSP นั้นเป็นสิทธิที่สหรัฐให้แต่เพียงฝ่ายเดียวกับไทยมาก่อนตั้งแต่ ยังไม่มี WTO  และสหรัฐสามารถจะตัดเลิกหรือทำอะไรก็ได้ ตามใจชอบของ สหรัฐ และในปัจจุบันนี้นั้นสินค้าไทยกว่า 80% ของมูลค่าที่ส่งเข้าตลาดสหรัฐ นั้นไม่ได้ใช้สิทธิ GSP ส่วนอีกไม่ถึง 20% นั้นยังใช้อยู่ได้รับการยกเว้นภาษี เฉลี่ยประมาณ 3%  เรื่องนี้ผมพูดในความเห็นอื่น ๆ เยอะแล้ว ไม่ขอพูดซ้ำ 2)ความพร้อมและความสามารถในการผลิต พัฒนายาของไทย เริ่มแรกนั้น ไทยคงไม่สามารถผลิตยาได้ตั้งแต่ต้นน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำได้หรอก มันก็ต้องซื้อวัตถุดิบมาบ้างมันจำเป็นอยู่แล้วที่ต้องพี่งพึงการนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ว่า มันก็ประหยัดกว่านำเข้ายาราคาแพงสำเร็จรูปจากเจ้าของสิทธิบัตรอยู่เป็น จำนวนมาก และคนไทยก็ไม่ได้มีความรู้อะไรในการทำยาเลย ต่างจากหากเรานำ วัตถุดิบเข้ามา อย่างน้อยเราก็รู้กระบวนการทำวัตถุดิบให้เป็นยาได้ ถ้าหากผู้ขาย วัตถุดิบไม่ขายให้กับเรา จนผลิตยาไม่ได้ ............ มันก็ยังดีกว่าไม่มีเงินมาซื้อยาที่ มีราคาแพง ๆ เยอะ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่คนไทยไม่มีเงิน มาซื้อยาราคาแพงนั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และเกิตขึ้นเป็นสิบ ๆ ปีแล้วด้วย ทำให้คนตายไปจำนวนมากมายมหาศาล   สำหรับผมเแล้ว ผมคิดว่าถ้าหากเรานำวัตถุเข้ามาผลิตจนถึงจุดหนึ่งแล้วเภสัชกร ก็ต้องสามารถผลิตวัตถุดิบนั้นได้เองไม่ยากเท่าไหร่ เพราะว่ามันต้องมีความรู้เยอะ แล้วมันถึงได้ทำยาได้ เรื่องกลัวว่ายาจะถุกแล้วไม่ดีนั้น ผมคิดว่าต้านเอดส์ที่ผลิตจากองค์การเภสัชกรรม นั้น มีคุณภาพไม่ต่ำกว่าของต่างประเทศหรอกครับ ทั้งที่ราคานั้นต่างกันหลายเท่า เรื่องการมีพิษต่อตับนั้นมันมีทั้งของไทยและของต่างชาตินั่นแหละ ถ้าหากว่าเป็น สูตรยาเดียวกัน เรื่องนี้มันก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า ไทยนั้นมี บุคลากร เครื่องมือ และเทคโนโลยี เพียงพอที่จะผลิตยาได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าบางส่วนอาจมีความจำเป็นต้องเพิ่มก็ตาม ในกรณีที่คนไม่พอใจยาราคาถูกที่ผลิตจากองค์การเภสัชกรรมนั้น ก็สามารถซื้อยา ตำหรับได้ถ้าหากมีเงินมากพอ แต่การทำ CL นั้น เป็นการทำให้คนยากจนเข้าถึง เพื่อให้มีชีวิตรอด .....ไม่ใช่ว่ากลัวผลข้างเคียงจนไม่กล้ากินยาจนกระทั่ง ตัวต้อง ตายไป 3) เรื่องการตอบโต้จากบริษัทยาต้นแบบ 3.1)เรื่องการไม่ยอมขึ้นทะเบียนยานั้น มันก็ต้องดูกันไปว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ถ้าหากเขาไม่ขายให้ไทย แต่ผมก็คิดว่าโดยส่วนมากนั้นยาแต่ละกลุ่มมันก็มีคู่แข่ง หลายบริษัททำแข่งกันอยู่แล้ว มันก็สามารถหามาใช้ทดแทนกันได้ ถ้าหากว่ามัน มีคุณภาพไม่ดีพอ คนที่มีเงินนั้นเขาก็สามารถเดินทางไปรักษาในต่างประเทศได้ ส่วนคนไม่มีเงิน เป็นโรคที่ต้องใช้ยาแพง ๆ พวกนี้ เขายอมตายดีกว่าครับ นอก จากนั้นยังไม่มีแนวโน้มของโรคอะไรที่เป็นวิกฤตการณ์ในอนาคตอันใกล้นี้ แต่วิกฤต ที่เราเจออย่างหนักในทุกวันนี้นั้น เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ก่อน คนเป็น โรคอื่นก็มี แต่มันไม่ได้เป็นสาเหตุของการตายมากมายเท่ากับโรคที่ไทยต้องการ ทำ CL อย่างเร่งด่วน 3.2) หากจะผลักการขึ้นราคายาไปที่ราคายาตัวอื่น ๆ นั้น มันทำได้ยาก เพราะ ปกติมันก็มีคู่แข่งทั้งนั้นในยาประเภทพวก เบาหวาน ความดัน อะไรพวกนี้ และ โรคเหล่านี้ ยาปัจจุบันมันก็มีความสามารถในการควบคุมหรือรักษาได้แล้วใน ระดับหนึ่งแล้ว 4.พิจารณาทางเลือกอืนที่ไม่ใช่การทำ CL เรื่องการสร้างดีกว่าซ่อมนั้นเห็นด้วย เรื่องการเจรจาต่อรองกับบริษัทผลิตยานั้น มันเจรจามาเป็นสิบปีแล้ว ไม่เห็นเขาจะ สนใจเจรจาหรือลดราคาให้แต่อย่างใด จนกระทั่งมี CL นี่แหละ พวกนี้ถึงได้ จำยอมเข้ามาเจรจาแบบไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มี CL พวกนี้ก็ไม่สนใจหรอก 5. ผลกระทบอื่นๆ ด้านจริยธรรมนั้น ไม่มีอะไรเสียหายครับ สิ่งที่ไทยทำนั้น ไทยทำตามช่องทางที่ องค์การค้าโลกเปิดช่องให้ไว้ ซึ่งมวลหมู่สมาชิกส่วนมากของโลกให้การยอมรับ ครับ ไม่ได้เป็นโจรแต่อย่างใดทั้งสิ้น ไทยไม่ได้เอาอาวุธไปข่มขู่บังคับใครเพื่อนำ เอาของสิ่งใดมา เหมือนโจรปล้นเพราะไม่มีข้าวกิน มุมมองด้านจริยธรรมมันน่า จะตั้งคำถามกับบริษัทยามากกว่า ว่า ทำไมถึงใจดำปล่อยให้คนตายเป็นจำนวน มากมายมหาศาลโดยไม่เหลียวแลบ้าง ส่วนเรื่องการตระหนักในการป้องกันตัวเองนั้นเห็นด้วยสำหรับผุ้ที่ยังไม่เป็น แต่ ผู้ที่เป็นแล้ว มันต้องหาทางรักษาครับ ไม่ใช่ปล่อยให้ตายไป การถูกละเมิดลิขสิทธิ์ของไทยจากตัวอย่างที่กล่าว ๆ มานั้น ประเทศอื่นไม่มีสิทธิ ที่จะทำได้ เพราะ WTO ไม่ให้คุณทำเรื่องเหล่านี้ เพราะมันไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็น ต่อการมีชีวิต หรือถ้าจำเป็นก็สามารถหาอย่างอื่นมาแทนได้ ปัญหาการดื้อยานั้น ต่อให้ยาแท้ ๆ มันก็ดื้อ ถ้าหากผู้ป่วยไม่มีวินัยในการกินยา มัน ก็ดื้อทั้งนั้นแหละไม่มีข้อยกเว้นหรอก เรืองยานั้นไม่มีใครอยากช๊อปปิ้งเอายามากิน เล่นหรอกครับ ยาพวกนี้กินมากไปหรือนานไปมันก็มีโทษทั้งนั้นแหละไม่ว่าจะเป็น ยาต้นตำหรับก็ตาม จากคุณ : vivacious - [ 11 ก.พ. 51 01:09:56 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ตกลงที่ไปขโมยเขานี่ แค่ปีละ 1700 ล้านรึเปล่าครับ 1700 ล้านนี้นิดเดียว ตอบหน่อยเถิด มันแค่นี้ใช่หรือไม่ใช่ อย่าไปลักกินขโมยกินเลย จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 01:31:16 ]

ความคิดเห็นที่ 89 คนอยู่บ้านเดียวกัน ห้ามไม่ให้ไปขโมยของคนอื่น ... จะหาว่าไปรักษาผลประโยชน์ของคนอื่นเสียละ ตอยหน่อยก่อนเถิด ไปถือเอาของของคนอื่นที่เจ้าของเขาไม่ยอมนี่น่ะ ปล้นกินขโมยกินหรือเปล่า จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 01:32:48 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ถ้ารัฐจ่ายส่วนต่างไม่กี่ตังค์นี่ให้ แล้วยังจะไปลักไปขโมยเขาอีกหรือเปล่า ? อันนนี้พอตอบได้ใหม ? หรือถึงแม้ว่าหลวงจะจ่ายให้  ... ยังจะคิดไปปล้นชิงเขาอีก จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 01:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ข้างบนเห็นบอกว่าอเมริกันเลวยังงั้นเลวยังงี้ ตกลงนี่ตรรกะเป็นว่าถ้าเขาเลวแล้วเราทำเลวได้หรือ ? คนเราถ้าจะห้ามใจไม่ทำเลวนี่มันอยู่ที่ตัวเอง คนอื่นจะเลวอย่างไร จะดียังไง ก็ช่าง ถ้าเราจะดีเราก็ดีด้วยตัวเราเอง .... ใช่ว่าคนอื่นเลวแล้วเราเลยเลวได้ ไม่ผิด เติบโตทางความคิดเถิดครับ จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 01:37:38 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เรื่อง GSP คนเขาก็เตือน  ว่าประเทศจะถูกคู่ค้าตัด GSP ที่เขาเตือนมันก็มีเหตุ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็มาเตือนกันเอง USTR น่ะ รู้จักไหม ... มันเริ่มกระบวนการแล้ว รู้มั่งใหม ? ฮี่โธ่ ... บอกว่ายังไงมันก็ตัด ... ตัวเองเป็น USTR กับ Congress หรือ ถ้ายังไงๆ มันก็ตัดคงไม่มีกลุ่มที่ไปเรียกร้องให้ทางการเขาตัดหรอก คิดว่าคนบ้านเขาไม่รู้หรือ ว่ารัฐบาลเขาจะตัดอยู่ดี ... ไปรู้ดีกว่าคนของเขาได้ไง รู้กระบวนการเขาหรือเปล่า ... ถ้ายังไงๆ ก็ตัดอยู่ดีพวกไปร้องนั่นมันวิปลาศหรือ ไปร้องในเรื่องที่เขาจะตัดอยู่ดี หรอกพังพอนกัดงูเห่ามังครับ จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 01:44:21 ]

ความคิดเห็นที่ 93 EMBASSY OF THE UNITED STATES OF AMERICA BANGKOK THE AMBASSADOR July 20, 2007 Your Excellency: When we spoke in late March, before my trip to the United States, I welcomed your assurance that no new compulsory licenses on pharmaceuticals would be issued.  I reported this news to my Government and to U.S. industry on my subsequent travels back to Washington, which greatly eased the tension.  I now fear that the compulsory licensing issue will soon reemerge. A number of U.S. pharmaceutical manufacturers are closely following the deliberations of the Ministry of Public Health ad hoc committee formed to consider pharmaceutical compulsory licenses.  The Ministry of Public Health has confirmed that it is actively considering a list of additional drugs for compulsory licensing.  My staff has consulted with officials from the Ministry of Foreign Affairs and Ministry of Commerce, who have not been able to reassure that no additional compulsory licenses are forthcoming. My Government thinks it is important for all countries, including Thailand, to play a role in, and benefit fully from, the development of new and more advanced medical treatments.  Strong protection of intellectual property rights, including through patents, remain a vital part of that process.  While all WTO members have the ability to make appropriate use of flexibilities to address urgent situations, these decisions should not be made lightly and only as a last resort. We strongly urge the Ministry of Public Health to engage openly and transparently with the companies that developed the drugs that are at issue.  I look forward to your continued leadership on this issue. Sincerely, Ralph L. Boyce แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 51 01:50:41 จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 01:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 94 http://www.ustr.gov/assets/Document_Library/Reports_Publications/2007/2007_= Special_301_Review/asset_upload_file980_11122.pdf Thailand [snip] ...In addition to these longstanding concerns with deficient IPR protection in Thailand, in late 2006 and early 2007, there were further indications of a weakening of respect for patents, as the Thai Government announced decisions to issue compulsory licenses for several patented pharmaceutical products. While the United States acknowledges a country=92s ability to issue such licenses in accordance with WTO rules, the lack of transparency and due process exhibited in Thailand represents a serious concern. These actions have compounded previously expressed concerns such as delay in the granting of patents and weak protection against unfair commercial use for data generated to obtain marketing approval. [snip] Mike Palmedo Research Coordinator จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 01:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 95 พูดเองเออเอง พูดอะไรก็ได้ ฟรั่งเขาไม่ได้เออด้วย จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 02:03:10 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ความคิดเห็นที่ 86 คุณvivacious คุณจะเอาไงแน่ทำ CL เพราะอยากได้ยาราคาถูก เพราะอยากให้คนเข้าถึงยากันเยอะๆไปฉกของเขาเพื่อเห็นแก่มนุษยธรรมย่อมไม่ผิดไม่ใช่หรือ  แต่พอรัฐsupportยาดีๆให้ประชาชนกลับมาเสียดายภาษีตัวเองอีก  ตกลงจะเอาไงเอ่ย เอาของเขาอ้างมนุษยธรรม  เอาของตัวเองจ่ายเกิดเสียดายภาษี ทีรัฐเอาไปจ่ายค่าทีวีสาธารณะ อันนั้นก็สองพันล้านเหมือนกันไม่ยักบ่นเสียดายภาษี คุณทำอาชีพแพทย์หรือเปล่า  ถ้าทำจริงคุณคงเข้าใจโรคเอดส์ดีคำว่า absolute  right drugs , right dose, rigth time  ต่อให้กินตามนี้แป๊ะๆ แต่ถ้ายาไม่มีคุณภาพก็เท่ากับคุณไม่ได้ทำตามกฏแห่งการชลอการดิ้อยา ยกตัวอย่าง efravirenz  ระดับ steady state ของยาต้องอยู่ได้ 24 ชั่วโมง แต่ถ้ายาคุณถีง steady state ได้แค่ 23 ชั่วโมง มันก็เท่ากับคุณกินยาไม่ตรงเวลา ระดับยาในเลือดตุณต่ำไปแค่ 1ชั่วโมงทุกๆวัน คุณก็มีโอกาสดื้อยามากมายแล้วเป็นอันตรายมากสำหรับตนไข้โดยเฉพาะคนที่ใช้สูตรดื้อยาแล้ว  ยา local made บ่อยครั้งที่เราสุ่มตรวจแม้กระทั่งแค่มาตราฐานในห้องทดลองยังเจอตกมาตราฐานบ่อยๆ นับประสาอะไรกับฤทธิ์ทาง pharmacokinetic pharmacodynamic  ที่เราไม่มีทางสุ่มตรวจได้ นั่นแสดงให้ถึงนิสัยคนเอเชียทีบริบทนี้ฝรั่งอาจจะไม่เข้าใจ  ตอนไปตรวจก็ผ่าน GMP กัน แต่สุ่มตรวจกับพบ %ตัวยาสำคัญไม่ได้มาตราฐานมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร  ซึ่งตรงนี้ดิฉันก็พลอยห่วงถึงมาตราฐาน WHO GMP ของบริษัทิอินเดียที่ว่าตอนตรวจผ่านเสมอ  แต่ตอนที่ไม่ครวจจะมีละเลยหรือเปล่า เหมือนเหตุการณ์ที่เราเจอยาตกมาตราฐานแบบที่ไม่ควรเกิดในไทย ถ้า CL มันไม่เกี่ยวทำไมนายกสุรยุทธจะให้หมอมงคลบินไปชี้แจงทำไม แล้วทำไมมาปรับระดับเอาอิตอนทีมีเรื่อง CL ดูยา 4 ตัวนี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วกันหากไม่ทำ CL จะช่วยทำให้การจัดลำดับของไทยดีขึ้นหรือไม่ อยากให้คุณเข้าไปอ่านกระทู้คนเอื้องอัยราวัณนะคะ ส่วนตัวเลขที่คุณอ้างมามันเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้ไม่ต้องห่วง หากคุณไชยายกเลิก CLจริงท่านต้องชี้แจงได้ ว่ามันเท่าไหร่ คุ้มกับที่รัฐจะต้องชดเชยค่ายาให้ประชาชนหรือไม่ ฝากอ่านที่ คห 77 ของดิฉันด้วยนะคะ มันมีทัศนะส่วนตัวที่แสดงถึงเหตุผลว่าทำไมอเมริกาไม่อ้างเรื่อง CL แต่เฉไปอ้างอย่างอิ่นเพื่อหาทางตอบโต้เรา จากคุณ : Everythings gonna be all right - [ 11 ก.พ. 51 03:21:56 ]

ความคิดเห็นที่ 97 สู้แบบ ราชดำเนิน เหมือนเดิมๆ ตัดแบบ คำว่าปล้นเค้านะครับ ถ้าคุณ ไม่เคยใช้ของละเมิดลิขสิทธิ ไม่เคยใช้ soft แวร์ ปลอม เพลงก๊อป โหลดจากเนต เสื้อผ้า เครื่องหนัง หนัง คุณใช้ของแท้ตลอด ถ้าคุณมาพูดแบบนี้ผมจะไม่คุณสักครับ ขนาดสิ่งบันเทิง คุณก็ยังใช้ของปลอม กล้าพูดนะครับ เรื่องเกี่ยวกับชีวิต อย่างยา สำคัญกว่าเยอะ อีกอย่างอ่านให้เค้าใจด้วย ก็เพราะว่ามันเป็นการทำที่ถูกกฎหมาย ทั้งระดับประเทศและระดับสากล แต่เป็นการขวางการหาผลประโยชน์บนชีวิตคน สำหรับบริษัทยาไงครับ อ่านคำนี้ให้หลายๆๆรอบนะครับ จากคุณ : taecu - [ 11 ก.พ. 51 04:12:57 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เรื่องตัด GSP นั้นมันตัดมาก่อนหน้าทำCL แล้วตั้งเยอะ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการทำCLยาเลย ยังไงมันก็ตัดอยู่ดี แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 51 05:08:55 จากคุณ : GABLIEL - [ 11 ก.พ. 51 05:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 99 vivacious ตอบได้ครบถ้วนดีครับ ผมขอเสริมให้ มีการอ้างว่า ไม่มีการเจรจาในระดับภาครัฐกับอุตสาหกรรมยาเลย --- อันนี้ บิดเบือนครับ ความจริง-- มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อต่อรองราคายา ตั้งแต่เดือน เมษา ปี48 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาในปี 48-49 กรมควบคุมโรคได้พยายามเชิญบริษัทยามาอีกครั้ง บางบริษัทยอมราคายาให้บ้างเพียงเล็กน้อย เอกสารมีชัดเจน ให้สังเกตว่า ตัวคณะทำงานตรงนี้มีมาตั้งแต่สมัยทักษิณแล้ว คณะอนุกรรมการดำเนินการใช้สิทธิฯ ก็ตั้งแต่ต้นปี 49 คนที่ต่อต้าน CL ขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามายุ่ง เพราะเห็นว่าเป็นผลงานของรัฐบาลขิงแก่ แต่แท้จริง คือ มีการดำิเนินงานมานานแล้ว ถ้าเป็นทักษิณประกาศ CL คุณๆที่มาจากราชดำิเนิน จะยืนยันตามเดิมรึเปล่า ว่าเป็นการปล้น การทำ CL ของไทย ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาครองเกรสที่ลงนามเป็นลายลักษณ์อักษร 22 คน รวมทั้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับมูลนิธิคลินตันและพรรคเดโมแครต - คุณเอี้ยงอัยราวัณมองว่าไม่ประสบความสำเร็จ --- แต่อย่าลืมว่า ยุคสมัยการเมืองสหรัฐเปลี่ยนไปแล้ว รัฐบาลหน้ามาจากเดโมแครตแน่นอน ตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับไทยมาก ยาทั้งสามตัวต่างก็มีความจำเป็นจริงๆ ปัจจุบันงบประมาณ 2800 ล้าน มีความสามารถจ่ายยาพวกนี้ให้ผู้ป่วยเอดส์แค่ไม่ถึง 20% ของผู้จำเป็นต้องใช้ยา ส่วนยาลิ่มเลือดนั้นอยู่ในบัญชียาหลักก็จริง แต่ผู้ใช้สิทธิบัตรทองไม่ได้รับยาชนิดนี้ แต่ได้รับแอสไพรินแทน ซึ่งได้ผลน้อย มีผลข้างเคียงมาก กะคร่าวๆ ถ้าต้องการให้บริการประชาชนอย่างเท่าเทียมถั่วหน้า น่าจะต้องมีเงินมาโปะตรงนี้ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาทต่อปี -- ซึ่งเงินตรงนี้เข้าบริษัทยาต่างชาติทั้งหมด ถ้าคุณ ไชยา สามารถหาเงินมาโปะความต้องการตรงนี้ได้ และประกันได้ว่ามีงบตรงนี้ทุกปีๆ จะยกเลิก CL ไปก็คงมีคนต่อต้านไม่มาก แต่ถ้ายกเลิก CL โดยไม่ทำอะไรเลย --- นั่นคือ ปล่อยประชาชนให้ตาย โดยไม่รับผิดชอบ จากคุณ : L - [ 11 ก.พ. 51 06:28:34 A:84.92.227.48 X: TicketID:000582 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เข้ามาสนับสนุนหมอกาเบรียลครับ ใครเคยดูหนังเรื่องนี้บ้าง จากคุณ : endophine - [ 11 ก.พ. 51 08:53:13 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ขอสนับสนุนกลุ่มหมอที่คัดค้านการยกเลิก CL ครับ ผลงานที่ดีที่สุดของรัฐบาลที่แล้ว ก็คืองานของหมอมงคลนี่ละครับ เรื่องจีเอสพี ถามว่าใครได้ประโยชน์กันแน่ ประชาชนไทยส่วนใหญ่ได้ประโยชน์จริงหรือ ? จีเอสพีเค้าให้แก่ประเทศด้อยพัฒนานี่นะ ประเทศเราก็ไปสวมสิทธิ์ของประเทศเพื่อนบ้านบ่อยๆ ..........เพราะของเราน่ะมันหดลงมาตลอด....โดนตัดมาเรื่อยๆ เนื่องจากประเทศเรารวยขึ้นนับตั้งแต่ปี 1987 ถ้ายกเลิก CL แล้วเราจะได้สิทธิ์จีเอสพีเพิ่มขึ้นจริงหรือ ? ปีที่แล้วช่วงที่เราทำ CL จนมีข่าวดังไปทั่วโลกน่ะ ............ประเทศต่างๆทั่วโลกสนับสนุนการทำ CL ของเรานะครับ แม้กระทั่งในสหรัฐฯ ก็มีกลุ่มคนที่สนับสนุนเรามากมาย บริษัทยาใหญ่ๆ ทั้งหลายน่ะผูกขาดมานานแล้ว เพราะการทำวิจัยด้านนี้ลงทุนมหาศาล (แต่คุ้มทุนภายในไม่กี่ปี) .......แถมยังชอบออกยาชื่อใหม่ๆ แต่เป็น minor change ของยาเดิมที่สิทธิบัตรกำลังจะหมดอายุ เพื่อยืดอายุสิทธิบัตรยาตัวเองออกไปเรื่อยๆ โดยไม่จำกัดเวลา และประหยัดค่าวิจัยพัฒนา แถมยังให้เงินหมอบางกลุ่มทำงานวิจัยออกมาเพื่อสนับสนุนยา minor change เหล่านี้ด้วย บางครั้งยา minor change เหล่านี้.......ออกมาหลังจากยารุ่นก่อนหน้าเพียงไม่ กี่ปี ..........เพียงเพราะบริษัทอยากจะขึ้นราคา บริษัทจะอัดโฆษณาเยอะๆ จ่ายเงินให้หมอ(โดยเฉพาะในสหรัฐฯ)เยอะๆ เพื่อให้ออกใบสั่งยา .....ให้คนไข้ซื้อและบริโภคยา(ราคาแพง)ที่ดูเหมือนใหม่ตัวนี้ ไอ้ยาใหม่ๆ ทุนต่ำๆผลิตโดยบริษัท biotech เล็กๆ น่ะมีเยอะ .........แต่กว่ายาจะออกสู่ตลาด บริษัทใหญ่ๆ ก็เอาเงินทุ่มซื้อบริษัทเล็กๆ เพื่อเอาสิทธิยาซะก่อน หลังจากนั้นก็ประแป้งแต่งตัว จ้างทำวิจัย หลังจากนั้นก็ตีพิมพ์ผลงานในวารสารทางการแพทย์ ..........เพื่อทำผลสนับสนุนให้ผ่านการรับรองของ อ.ย. (FDA) พร้อมทั้งตั้งชื่อใหม่ซะ พอวางตลาดก็ทำโฆษณา+แจกเงินหมอเยอะๆ ตามสูตรเดิมๆ พวกที่หลับหูหลับตาตะแบง หัดลืมตาดูข้อมูลซะบ้าง.......อย่ามัวแต่หลับหูหลับตาเห่าไปเรื่อย ใครที่ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ขอให้มีแต่ความเจริญครับ จากคุณ : academician - [ 11 ก.พ. 51 09:02:27 A:130.18.158.49 X: TicketID:075095 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เอ๋อคุณ X-CU เพลาๆหน่อยก็ได้ครับ ที่นี่ไม่ใช่ราชดำเนินนะครับ ถกกันด้วยเหตุผล ผมก็เริ่มจะเห็นกลายๆแล้วครับ เอาแบบสร้าง สรรค์ได้ความรู้ดีกว่าครับ จบกระทู้แล้วรู้สึกดีๆต่อกันดีกว่ามั้ยครับ ปล.ผมไม่ใช่หน้าม้า คุณvivacious นะครับ สองคนยลตามช่องครับ จากคุณ : le dente - [ 11 ก.พ. 51 09:34:55 ]

ความคิดเห็นที่ 103 เพื่อนผมเป็นมะเร็งเต้านม ใช้ Novartis ครั้งละ 3หมื่นบาท ถ้าจ่ายตามราคาจริงครั้งละล้าน คนไข้ทั้งประเทศ3หมื่นคนก็สามหมื่นล้าน มิน่า ไชยา สะสมทรัพย์ให้ตัวเองและบริษัทส่งออกบางบริษัท ถึงไม่ยอมช่วยส่วนนี้ แม้จะคุยว่ารวยกว่าบริษัทยา (รวยกว่า Novartis กับ Abbot Lab นี่นะ) จากคุณ : Mollusk - [ 11 ก.พ. 51 10:06:14 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เห็นด้วยกับ CL ครับ ผลงานดีที่สุดของ รัฐบาล นายกสุรยุทธ์ คือ เรื่องนี้แหละครับ จากคุณ : ปะป๋าน้องมุก - [ 11 ก.พ. 51 10:18:53 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ขอบคุณคุณ le dente  ครับ จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 10:35:05 ]

ความคิดเห็นที่ 106 คุณ le dente ... เพื่อการคุยกันอย่างผู้ใหญ่ครับ มีการอ้างว่า ไม่มีการเจรจาในระดับภาครัฐกับอุตสาหกรรมยาเลย --- อันนี้ บิดเบือนครับ - ความคิดเห็นที่ 99 "the lack of transparency and due process exhibited in Thailand represents a serious concern." - ความคิดเห็นที่ 94 จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 10:47:32 ]

ความคิดเห็นที่ 107 คุณ le dente ... เพื่อการคุยกันอย่างผู้ใหญ่ครับ ดูนี่ครับ ........ "เรื่องการตัด GSP นั้น ถึงแม้ไทยจะทำหรือไม่ทำ CL ไทยก็ต้องถูกตัดอย่แล้วเนื่อง จากว่าไทยนั้นมีระดับการพัฒนาเลยประเทศด้อยพัฒนาที่ต้องพี่ง GSP แล้ว" - ความคิดเห็นที่ 86 ดูนี่ใน USTR กรณี 301 (มาตรา 301 คือการตอบโต้ทางการค้า) "as the Thai Government announced decisions to issue compulsory licenses for several patented pharmaceutical products." -ความคิดเห็นที่ 94 จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 10:54:25 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ความคิดเห็นที่ 97   "สู้แบบ ราชดำเนิน .... .... ขนาดสิ่งบันเทิง คุณก็ยังใช้ของปลอม กล้าพูดนะครับ...." ที่ราชดำเนิน จึงมีคนเหน็บพวกไม่มีเหตุผลไม่มีหลักฐานไง ที่จริงผมคุยนี่ไม่เกี่ยวกับเพื่อนๆ ราชดำเนินเลย ... เราต่างเป็นMem. พันทิบ ใช้ความคิดของตนไปคะเนคนอื่นว่าใช้ของปลอม นั่นคนราชดำเนินที่ใช้เหตุผลติมารยาท และในการอภิปราย ... อีกฝ่ายจะใช้สินค้าอะไรยังไงมันไม่เกี่ยวเลย การโต้แย้งในการอภิปราย มันอยู่ที่การทำ CL ของรัฐเรา ชอบด้วยเหตุผล และชอบด้วยหลักการไม่ละเมิดทรัพย์สินหรือไม่ ปกติกระทู้แบบนี้ผมจะไม่ค่อยคุยด้วยนะครับ ...แม้ในราชดำเนินก็คุยเมื่อมีอารมณ์ดีเท่านัน นี่ยกมาพูดก็เพราะไปพาดพิง รชด. ก็เลยชี้ให้เห็นว่าคนที่ไปว่าคนอื่นนั้น ไม่น่าจะอยู่ในฐานะที่จะกล่าวแบบนี้ได้ จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 11:10:27 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ฝากให้คุณ X-CU เมื่อกลางปี 2549 สมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐบางคนได้กล่าวหาประเทศ กำลังพัฒนาเป็นต้นเหตุให้การเจรจาการค้าโลกประสบความล้มเหลว เนื่อง จากประเทศกำลังพัฒนาไม่ยอมเปิตตลาดให้กับสินค้าต่างประเทศ นอกจากนั้น สมาชิกสภาคองเกรสยังกังวลว่าการใช้สิทธิ GSP กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มประเทศ เพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น แต่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนมากไม่ได้ค้าขายภายใต้ โปรแกรมนี้ ทำให้สหรัฐคิดทบทวนที่จะถอนสิทธิพิเศษทางการค้า GSP จาก ประเทศกำลังพัฒนาก้าวหน้าจำนวน 13 ประเทศรวมทั้งไทยด้วย การทบทวน นั้นหมายถึงการจำกัด/แขวน หรือถอน สิทธิ GSP ในประเทศเหล่านี้ ที่ส่ง สินค้าเข้าสหรัฐภายใต้โปรแกรมจีเอสพีจำนวนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในปี 2005 หรือ สินค้าส่งออกมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเกินกว่า 0.25% ตามข้อมูล ของ WTO ไทยจัดเป็นประเทศผู้ใช้สิทธิพิเศษ GSP เข้าสหรัฐสูงสุดเป็นอันดับ 3 จาก 13 ประเทศ มีการใช้สิทธิในปี 2005 ก่อนหน้านี้การตัดสิทธิ GSP สหรัฐจะดูว่าสินค้าตัวไหนส่งออกเกินเพดานที่ สหรัฐกำหนด แต่ก็อาจผ่อนผันได้เพื่อแลกอะไรมาซักอย่าง ถ้าไม่มีอะไรมาแลก เปลี่ยนก็ถูกตัด กรณีนี้จึงทำให้สินค้าไทยถูกตัด GSP ไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าไม่มี มีเงินจ้างล๊อบบี้ยิสต์ชาวสหรัฐให้วิ่งเต้นให้ ... .. .. เมื่อปลายปี 2549 สมัยรัฐบาลทักษิณนั้น สหรัฐก็หยิบเรื่องการต่ออายุ GSP มาเป็นข้อต่อรองเพื่อเร่งให้ไทยตกลงการค้า FTA กับสหรัฐในแบบที่สหรัฐ ต้องการ .......... สมัยนี้ไทยยังไม่กล้าทำ CL นะ เนื่องจาก GSP เป็นการต่ออายุแบบปีต่อปี กระทรวงพาณิชย์จึงมักจะยกเอา เรื่องเกี่ยวกับไทยให้ความร่วมมือกับสหรัฐในหลายๆ ด้าน เช่น การต่อต้านการ ก่อการร้าย, กรณีสงครามในอิรัก, การค้าการลงทุน และการให้ความคุ้มครอง ทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อชักจุงให้สหรัฐต่ออายุ GSP ให้กับไทย .. .. .. เรื่องผลกระทบต่อ GSP มีการพูดถึงกันมากในภาคเอกชนในช่วงที่หมอมงคล ประกาศการทำ CL ขึ้น ภาคเอกชนทั้งสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมได้ ออกมาให้ความเห็นเหล่านี้ ผมก็เอามาจากพวกเขาแหละครับ คุณสามารถกลับ ไปข่าวเก่า ๆ ในช่วงนั้นมาอ่านได้เลย มันมีเยอะครับ .. ... ... มาดูประเทศเพื่อนบ้านใกล้ ๆ ของไทยอย่างมาเลเซียนั้น เป็นประเทศที่ส่งออก สินค้าไปสหรัฐโดยไม่ต้องใช้สิทธิ GSP แล้ว ทำให้มาเลยเซียมีความคิดที่ เป็นจุดยืนของตัวเองชัดเจนต่อสหรัฐมาก สหรัฐไม่สามารถเอาเรื่อง GSP มา สั่งให้มาเลย์ซ้ายหันขวาหันได้ นี่ไม่ต้องพูดถึงประเทศอย่างสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ไต้หวัน นั้น หมดสิทธิใช้ GSP ไปตั้งนานแล้ว จีเอสพีไม่ใช่สิทธิได้มาถาวรยั่งยืน ถ้าเรามีฐานะเข้มแข็งก็จะถูกตัด  เหมือน คนเรียนหนังสือต้องจบการศึกษา สหรัฐเรียกประเทศที่หมดสิทธิใช้จีเอสพี นี้ว่า graduation จากคุณ : vivacious - [ 11 ก.พ. 51 11:17:10 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ความคิดเห็นที่ 45   "ไทยประหยัดค่ายาจาก CL ไปได้แค่ปีละ 1700 ล้านบาทเท่านั้น" -  ความคิดเห็นที่ 45   ตรงนี้ผมพูดหลายที่ ท้าทายให้หักล้างก็หลายที แต่ก็ยังไม่เห็นมีคุณคนไหนเข้ามาบอกว่ามันไม่ใช่แค่ 1700 ล้าน มีแต่เอา argument เรื่องคนตาย คนจน คนป่วยมาโน้มน้าว ... จนบางคนอดไม่ได้บอกว่าขายคนจนคนป่วย เงิน 1700 ล้านน้อยกว่า สสส. หรือ TPBS เอาไปมาก นี่เป็นตัวอย่างของการคิดแบบทางเลือก  ไม่ถึงกับจริงจังนะครับ จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 11:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 111 เงินขนาด 1700 ล้าน  บ้านเราดูแลกันเองได้ครับ และถ้ามันไม่ได้ก็ไปสู้กันในสภาบ้านเรา ไม่ต้องเอาประเทศไปกระทบกับคนอื่นเพราะไปละเมิดเขา ไอ้ที่บอกว่าเขาตอบโต้ไม่ได้นั้น ถ้าจะตามต่อ ... จะทราบว่าเขามาร์คอุตสาหกรรมเครื่องประดับและอัญญมณีของเรา นั่นมูลค่าเยอะนะครับ และคนทำงานเป็นช่างฝีมือที่โยกย้ายไปอุตสาหกรรมอื่นไม่ได้ด้วย มองในเชิงแข่งขันของประเทศ  เราจะเห็นว่าอุตสาหกรรมพวกนี้ ถ้ามันเสียสถานะการแข่งขันแล้วฟื้นคืนยาก ถ้าพวกเพชร พลอย เครื่องประดับ มันไปเวียตนามแล้ว   เวียตนามก็จะพัฒนาฝีมือและความแข็งแกร่งไปมากขึ้นๆ เสียแล้วเสียเลย เอาคืนไม่ได้นะครับ และถ้าจะใช้ตรรกะโน้มน้าวอารมณ์กัน ผมเชื่อว่าในคนตกงานมากมาย ก็ต้องมีคนกำลังใช้เงินได้นั้น ดูแลคนป่วยคนใกล้ตาย จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 11:58:57 ]

ความคิดเห็นที่ 112 เรื่อง GSP ทราบครับ แต่ที่พูดมามันเป็นหลัก ในความเป็นจริงคือเราได้ GSP และได้ใช้ประโยชน์ และในความเป็นจริง เขาก็ดำเนินมาตรการที่จะมุ่งไปสู่การตัด GSP บางอย่างของเรา อเมริกัน เป็นสังคมเปิดและสังคมประชาธิปไตย เขาไม่ได้กีดกันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการรักษาสิทธิประโยชน์ของตัว และอย่างที่ผมบอกไว้ข้างต้น ว่าเรื่องนโยบายมันมีคนได้คนเสียในทุกเรื่อง แล้วเราจะไปทำให้คนที่จ้องจะหาเรื่องตัด GSP ของเรามีอาวุธทำไม อีกอย่างหนึ่ง เรื่อง GSP เป็นเพียงมาตรการหนึ่งในการตอบโต้ทางการค้า มันมีมาตรการอื่นๆ อีกที่เขาอาจนำมาใช้กับเราได้ วิธีที่ดีคือการเจรจา ไม่ใช่การใช้มาตรการบังคับเอาข้างเดียว จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 12:04:26 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ผมถามว่า ไอ้ที่บอกว่าขโมยนี่ http://www.cptech.org/ip/health/cl/recent-examples.html ตามไปดูกันเองครับ มีขโมยกี่ครั้ง ประเทศอื่นเรียก CL ประเทศไทยเรียกขโมย เหรอ 1700 ล้านอะไร ไม่เท่า เมื่อไหร่ก็ตามคุณมีคนรู้จักเป็นมะเร็งเต้านม ก็ไปถามเอาเองค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ จะใช้ 30 บาทของนายใหญ่เหรอ ถ้าใช้ได้ทุกคนก็ดีสิ จากคุณ : Mollusk - [ 11 ก.พ. 51 12:14:13 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ไปถือเอาของที่มีเจ้าของมาใช้สอยครอบครอง โดยเจ้าของเขาไม่ยินยอม ชาวบ้านเขาก็เรียกกันอย่างนี้ ปลาร้าแม้จะใส่ในภาชนะแก้วหีบห่องดงาน จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ ... หาได้เปลี่ยนสาระความเป็นจริงไม่ จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 13:10:47 ]

ความคิดเห็นที่ 115 CL เป็นเรื่องของ Emergency กรณีมะเร็งทรวงอก มัน emergency เฉพาะในสายตาญาตมิตรเท่านั้นกระมัง ? จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 13:18:31 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ผมว่าคุณ X-CU ไปจัดระเบียบความคิดมาให้ดีก่อนโพสได้หรือเปล่า เพราะแม้ว่าคุณโพสมาหลายความเห็นก็ตาม แต่คุณก็ยัง "พายเรือวน อยู่ในอ่าง" นั่นแหละ ประเด็นหลัก ๆ ของคุณก็อยู่ที่คุณเชื่อเหมือนถูก สะกิดจิต ว่า "คนไทยไปปล้นเขา ทำไมไม่เจรจากับเขา เงินแค่นี้ก็มีจ่าย ทีเอาไปทำ TV ยังทำได้" .....โดยที่คุณไม่ได้ซึมซับเอาความเห็นอื่น ที่ได้ตอบชี้แจงไปแล้วเลย ..... ลักษณะแบบนี้มักเป็น กับคนที่เลื่อมใสศรัทธากับอะไรมาก ๆ ไม่ว่า จะศรัทธาลัทธิศาสนา หรือว่าลัทธิการเมือง หรือนักการเมือง ...... คน เล่นห้องราชดำเนินมักจะเป็นโรคนี้มากเป็นพิเศษ จากประสบการณ์ของ ผม บอกว่าอย่าไปคุยกับคนพวกนี้ครับ เพราะความมีอคติจะทำให้คน มองไม่เห็นมุมอื่นๆ มักจะปิดหูปิดตา เอาหูทวนลม แถไปเรื่อย ๆ ดูได้จาก ความเห็นที่ 80, 81, 82, 88, 89, 90, 91,110, 111,114 ในความเห็น อื่นมักเป็นความเห็นที่สนับสนุนประเด็นนี้ ผมว่าคุณทำง่าย ๆ แค่เลิกปิดหู ปิดตา อะไรก็ง่ายขึ้นครับ แม้ว่าผมจะ เข้าว่า นี่เป็นลักษณะของพวกที่บ้าการเมืองมาก ๆ ก็ตาม อะไร ๆ ก็เป็น การเมืองไปหมด จากคุณ : vivacious - [ 11 ก.พ. 51 13:22:34 ]

ความคิดเห็นที่ 117 สู้ๆ ท่านเลขา x ใหม่! จากคุณ : คนจะสวยที่ 30 (คนจะสวยที่ 30) - [ 11 ก.พ. 51 14:17:58 ]

ความคิดเห็นที่ 118 X-CU ใช้เทคนิคขั้นเทพ แบบในราชดำเนินครับ คือ จงใจฟลัดกระทู้ด้วยความเห็นด้านเดียว แตกประเด็นเยอะๆ แล้ววนไปวนมา ถ้าเป็นที่ราชดำิเนิน จะ่มีคนมาช่วยฟลัด ทั้งๆที่ข้อสงสัยเกือบทั้งหมด มีคนตอบไปหมดแล้ว ก็ยังเทคนิคลบความเห็น ลบกระทู้เข้ามาเสริมอีกด้วย บางครั้ง เราคงต้องวางอุเบกขาบ้าง -- เค้าเจตนามาเอาชนะ ไม่ได้เจตนาที่จะมาถกเถียงเพื่อสร้างความเข้าใจ จากคุณ : L - [ 11 ก.พ. 51 15:44:53 A:84.92.227.48 X: TicketID:000582 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ในความเห็นผมนะ พวกบริษัทยาค้ากำไรเกินควรมันก็ปล้นกันชัดๆ อเมริกา๖และประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ) เอาทรัพย์สิน หรือสิทธิโดยชอบธรรมของประเทศที่ยังพัฒนาน้อยกว่า ไปจดเป็นของตัวเองหน้าตาเฉย ก็มากมาย ยกตัวอย่างข้าวหอมมะลิไทยก็อันนึง อเมริกาเอาพันธุข้าวหอมมะลิจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติไป แล้วเอาไปเล่นแร่แปรธาตุเล็กน้อยแล้วไปจดสิทธิบัตร ข้าวหอมมะลิ ทำให้ไทยที่เป็นเจ้าของข้าวหอมมะลิที่แท้จริงจะไม่สามารถใช้คำว่าว่า จัสมินไร้ท์ได้ อันนี้มันโกงเห็นๆ อีกอย่างการทำซีแอลยาก็ทำในยาไม่กี่ตัวเท่านั้นเองเท่าที่จำเป็นคือราคาแพงเวอร์ๆเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำในยาทุกชนิดซะหน่อย ถ้าประเทศไทยทำซีแอลยาแล้วเอาไปผลิตขายแข่งกะยาต้นแบบให้ได้กำรี้กำไรเป็นล่ำเป็นสันอันนั้นต่างห่างถึงจะไม่ถูกต้อง ยาที่ทำซีแอลมาก็เพื่อให้คนไข้ที่เดิมไม่มีปัญญาจะเข้าถึงยาได้มีโอกาสในการเข้าถึงยา ที่จะต้องตายแหงๆจะได้รอด สำหรับคนมีตังค์เหลือกินเหลือใช้แล้วคิดว่ายาที่ทำซีแอลเป็นการปล้นมา ก็ไปใช้ยาราคาเต็มได้ไม่มีใครว่ากระไรหรอก เรื่องสิทธิพิเศษอะไรจากการค้า แม้ว่าจะเอาใจ (คำหยาบที่ถูกนำมาใช้อย่างไร้สามัญสำนึก)อเมริกามากมายเพียงใดก็เปล่าประโยชน์ พอทำดีเรื่องนึง พี่ท่านก็ยกอีกเรื่องนึงมากีดกันอยู่ดี ก็อย่างว่าอเมริกามันอันธพาลชัดๆ การจะจัดให้ประเทศไทยเข้าแบล็คลิสต์ได้อย่างน้อยมันต้องมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลด้วย การที่ไทยทำซีแอลยาแค่3-4ตัวไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะทำได้อยู่แล้วเพราะอย่างน้อยการทำซีแอลก็ทำได้อยู่แล้วภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ จากคุณ : TenSaru - [ 11 ก.พ. 51 16:36:59 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ความคิดเห็นที่ 99  คุณ L มีการอ้างว่า ไม่มีการเจรจาในระดับภาครัฐกับอุตสาหกรรมยาเลย --- อันนี้ บิดเบือนครับ ความจริง-- มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อต่อรองราคายา ตั้งแต่เดือน เมษา ปี48 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาในปี 48-49 กรมควบคุมโรคได้พยายามเชิญบริษัทยามาอีกครั้ง บางบริษัทยอมราคายาให้บ้างเพียงเล็กน้อย เอกสารมีชัดเจน ให้สังเกตว่า ตัวคณะทำงานตรงนี้มีมาตั้งแต่สมัยทักษิณแล้ว คณะอนุกรรมการดำเนินการใช้สิทธิฯ ก็ตั้งแต่ต้นปี 49 คนที่ต่อต้าน CL ขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามายุ่ง เพราะเห็นว่าเป็นผลงานของรัฐบาลขิงแก่ แต่แท้จริง คือ มีการดำิเนินงานมานานแล้ว ถ้าเป็นทักษิณประกาศ CL คุณๆที่มาจากราชดำิเนิน จะยืนยันตามเดิมรึเปล่า ว่าเป็นการปล้น ################################# คุณอ่าน คห คุณเอื้องอัยราวัณไม่เข้าใจ  เขาหมายถึงการทำ CL ยารัฐต้องเจรจายริษัทิผู้เสียหายเพื่อตกลงค่าชดเชย  แต่หมอมงคลประกาศ CL โดยไม่เจรจาและชดเชยค่าเสียหายให้เขา ซึ่งอันนี้ไม่เป็นไปตามข้อตกลงทริปส์ คุณเอามาปนกับเรื่องขอต่อรองราคา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ต้องทำอยู่แล้วในสมัยคุณทักษิณได้อย่างไร ดิฉันเชื่อว่าคุณทักษิณไม่ทำ CL ยาแน่นอน  ท่านตั้งใจจะทำ FTA กับอเมริกาซึ่งถ้าต่อรองสำเร็จเราคงได้ข้อตกลงทางการค้าที่ชัดเจน  ความกังวลเรื่องGSP น่าจะลดลงด้วยซ้ำ ดิฉันยังจำได้ช่วงต้นปี 49 ยังมีพวก NGO เอาคนไข้เอดส์นั่งรถไฟไปประท้วงไม่ให้ทำ FTA กับอเมริกาถึงเชียงใหม่ ---------------------------------------------------------------------- การทำ CL ของไทย ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาครองเกรสที่ลงนามเป็นลายลักษณ์อักษร 22 คน รวมทั้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับมูลนิธิคลินตันและพรรคเดโมแครต - คุณเอี้ยงอัยราวัณมองว่าไม่ประสบความสำเร็จ --- แต่อย่าลืมว่า ยุคสมัยการเมืองสหรัฐเปลี่ยนไปแล้ว รัฐบาลหน้ามาจากเดโมแครตแน่นอน ตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับไทยมาก ############################################# คุณเอาตัวเองไปเลือกข้างแม้แต่กระทั่งกับการเมืองของสหรัฐเหรอค่ะ ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นรัฐบาล เค้าไม่เห็นคนอื่นดีกว่า ความเสียหายของธุระกิจของคนในชาติเค้าหรอก ที่คุณเอื้องต้องการชี้ให้เห็นคือ หมอมงคล ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ ไม่ทำในสิ่งที่รัฐบาลให้ไปทำ ไม่ทำในสิ่งที่บอกประชาชนว่าไปทำ ----------------------------------------------------------------------- ยาทั้งสามตัวต่างก็มีความจำเป็นจริงๆ ปัจจุบันงบประมาณ 2800 ล้าน มีความสามารถจ่ายยาพวกนี้ให้ผู้ป่วยเอดส์แค่ไม่ถึง 20% ของผู้จำเป็นต้องใช้ยา ส่วนยาลิ่มเลือดนั้นอยู่ในบัญชียาหลักก็จริง แต่ผู้ใช้สิทธิบัตรทองไม่ได้รับยาชนิดนี้ แต่ได้รับแอสไพรินแทน ซึ่งได้ผลน้อย มีผลข้างเคียงมาก กะคร่าวๆ ถ้าต้องการให้บริการประชาชนอย่างเท่าเทียมถั่วหน้า น่าจะต้องมีเงินมาโปะตรงนี้ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาทต่อปี -- ซึ่งเงินตรงนี้เข้าบริษัทยาต่างชาติทั้งหมด ######################################### ยาเอดส์ที่ทำ CL มีแค่สองตัวนะคะ  คือ efravirenz และ keletra ซึ่งใช้เมื่อแพ้ยาหรือดื้อยา GPO-vir GPO-vir-z ซึ่งเป็นสูตรหลักและคนไข้ส่วนใหญ่ใช้อยู่  ดังนั้นเข้าใจใหม่นะคะ คนที่ใช้ efravirenz และ keletra ไม่ใช่คนไข้ส่วนใหญ่  ปัจจุปันมียาสนับสนุนให้อย่างพอเพียงให้คนไข้ทุกคนไม่ได้มีปัญหาอะไร ทั้งจากรัฐ จากโครงการช่วยเหลือวิจัยของอเมริกา จาก Global Fund   ส่วนยา plavix อาจจะเป็นยาจำเป็นในบางโรคมันจะมีปริมาณการใช้มากแค่ไหนเชียว  ในเมื่อโรงพยาบาลจังหวัดหลายๆแห่งยังไม่เอาเข้าบัญชีเลย ก็ใช้ aspirin warfarin กันตามปกติขณะนี้ไม่เห็นมีแพทย์คนไหนมีความต้องการใช้ และที่คุณผิดอีกอย่าง aspirin ขนาดต่ำแค่ วันละ 120 mg มีผลข้างเคียงอะไร เข้าใช้ยับยั้งการแข็งตัวของเลือดเพื่อป้องกันโรค CVS กันทั้งโลก เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่จำเป็นต้องใช้ plavixจริงๆจะมีซักเท่าไรกันเชียว ตัวเลขรัฐมนตรีเค้าก็แจ้งมาแล้วว่า 1700 ล้าน   คุณเอาตัวเลขที่ต่างออกไปมาช่วยอ้างอิงแหล่งข้อมูลด้วย ------------------------------------------------------------------------- ถ้าคุณ ไชยา สามารถหาเงินมาโปะความต้องการตรงนี้ได้ และประกันได้ว่ามีงบตรงนี้ทุกปีๆ จะยกเลิก CL ไปก็คงมีคนต่อต้านไม่มาก แต่ถ้ายกเลิก CL โดยไม่ทำอะไรเลย --- นั่นคือ ปล่อยประชาชนให้ตาย โดยไม่รับผิดชอบ ################################### ก็เค้าก็จ่ายอยู่ทุกวันอยู่แล้วในคนไข้เอดส์  สำหรับคนไข้มะเร็งเขาก็รับปากว่าจะดูแลไม่ทอดทิ้ง  ไม่ฟังเขาก่อน ให้เขาทำดูก่อน แล้วค่อยโวยวายไม่ดีกว่าหรือคู๊ณ ไปอ่านซิว่าคุณไชยาว่าไง http://www.bangkokbiznews.com/2008/02/08/WW10_WW10_news.php?newsid=228182 แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 51 21:35:17 จากคุณ : Everythings gonna be all right - [ 11 ก.พ. 51 21:28:55 ]

ความคิดเห็นที่ 121 คุณ : vivacious ******************************************* อยากทราบ สถิติ การใช้ยา ที่ขอทำ CL ว่ามูลค่าเท่าไรต่อปี แนะนำด้วย เราผลิตเองจะเป็นจำนวนเท่าไร  มูลค่าเท่าไร ประหยัดเงินได้เท่าไร ตอบได้ ไหม? จากคุณ : montecatini - [ 11 ก.พ. 51 21:30:50 ]

ความคิดเห็นที่ 122 เหตุผลขอทำ CL น่ะ ฟังกันทั้งปี ก้มีเหตุผลใหม่ออกมาตลอด ไม่เป็รไ อยากทราบสถิติการใช้ยา ที่ขอทำ CL ว่ามีตัวไหนบ้าง ปีหนึ่งเราใช้เท่าไร จากคุณ : montecatini - [ 11 ก.พ. 51 21:33:47 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ผมว่าบริษัทยาเขาก็ต้องมีต้นทุน ถึงบางท่านบอกว่ามหาวิทยาลัยคิดมา แล้วบริษัทยามาต่อยอด แล้วเอามาขาย ลองคิดว่ามหาวิทยาลัยที่คิดยาจะไม่ใด้ค่าคิดหรือ ทุกกิจการมีต้นทุนทั้งนั้น หมอเองก็มีต้นทุน งานที่ต้องคิดใช้สมองกว่าจะใด้มามันยากนะ ของหลายๆอย่างในโลกนี้ถ้าไม่มีคนเริ่มคิดจะมีใด้ใหม บางคนก็มักง่ายเอาของคนอื่นมา แล้วไม่อยากจ่ายเขา ค่ายาถ้ามันแพงแล้วต่อรองไม่ใด้ ก็หาวิธีเอาเงินจากงบอื่นมาใช้ก่อนไม่ใด้หรือ เห็นบอกว่าปชช.เดือดร้อนรอไม่ใด้ เอางบtv .สาธารณะมาใช้ก่อนก็ใด้ มันยังไม่ถึงกับคอขาดบาทตาย ถ้าไม่มี tv. การเป็นผู้บริหาร ต้องมองหลายมิติทำตรงนี้ แต่เสียหายตรงอื่นดูซิว่าอันใหนมันคุ้มกว่ากัน จากคุณ : พ่อพูห์ (พ่อพูห์) - [ 11 ก.พ. 51 21:37:25 ]

ความคิดเห็นที่ 124 #110 บริษัทยาใหญ่ๆ ทั้งหลายน่ะผูกขาดมานานแล้ว เพราะการทำวิจัยด้านนี้ลงทุนมหาศาล (แต่คุ้มทุนภายในไม่กี่ปี) .......แถมยังชอบออกยาชื่อใหม่ๆ แต่เป็น minor change ของยาเดิมที่สิทธิบัตรกำลังจะหมดอายุ เพื่อยืดอายุสิทธิบัตรยาตัวเองออกไปเรื่อยๆ โดยไม่จำกัดเวลา และประหยัดค่าวิจัยพัฒนา แถมยังให้เงินหมอบางกลุ่มทำงานวิจัยออกมาเพื่อสนับสนุนยา minor change เหล่านี้ด้วย บางครั้งยา minor change เหล่านี้.......ออกมาหลังจากยารุ่นก่อนหน้าเพียงไม่ กี่ปี ##################################### เช่น cetirizine  กับ levocetirizine ใช่หรือเปล่า ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร cetirizine หมดอายุสิทธิบัตรเมื่อไหร่ ก็ก๊อปเลย ส่วนlevocetirizine ก็รอไปก่อนจนกว่าจะหมดสิทธิบัตรของมันเหมือนกัน  ต่างจากยาอื่นอย่างไร การออก levocetirizine ไม่ช่วยให้อายุสิทธิบัตร cetirizine  ยาวขึ้นได้นะคะ แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 51 21:59:41 จากคุณ : Everythings gonna be all right - [ 11 ก.พ. 51 21:47:05 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ที่สุด  ก็ทาสีว่าผมบ้าการเมือง เอาชนะ ยึดลัทธิ แต่ ไม่สามารถเอาเหตุผลมายันได้ ว่าที่ผมพูดผิดตรงไหน ผมจะไปเอาชนะพวกคุณทำไม  มันไม่ได้มีค่าอะไรกับผมเลย ผมเพียงแต่เอาเหตุผลอีกด้านให้ดูเท่านั้น ในเรื่องการเมือง ผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ว่าใครจะแพ้จะชนะ ผมมองว่าอะไรเป็นผลประโยชน์ที่สุดกับประเทศ เหตุผลสู้ไม่ได้ ทำลายบุคคล ... นั่นคือความอ่อนแอ .. ขาดสติ และมิใช่ผู้ใช้ปัญญา ผมยังไม่ได้แตะผู้เห็นแย้งเลย ว่าคุณเป็นคนอย่าไร มีเหตุจูงใจอะไร แค่ตรงนี้ เราต่างกันมากแล้วครับ ผมไม่ประเมินคุณ แล้วคุณจะเอาอะไรประเมินผม จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 22:17:09 ]

ความคิดเห็นที่ 126 เสียดายว่าผมเองก็ติดประชุม ผมทำมาหากินของผมเหมือนกัน ราชดำเนินเป็นอะไรหรือ เพื่อนๆ ที่ราชดำเนินผมก็มีนานาแบบ แต่ที่สุด ผมว่าราชดำเนินมีคนที่พร้อมจะคุยด้วยเหตุด้วยผล ดีพอหรือเปล่าล่ะครับ วิธีการนำเสนอของผม ก็คือสไตล์ของผม ผมไม่นิยมเขียนอะไรยาวๆ เป็นบล็อค ผมก็แยกประเด็นย่อยเป็นกระทู้เล็กๆ นั่นน่ะหรือ Flush กระทู้ ... ? สำหรับผมก็คือพวก Point to another irelevant wrong? ไม่รู้จะตอบสาระอย่างไรหรือครับ ? คนราชดำเนิน ... ที่ผมสัมผัส ... ส่วนใหญ่มีชั่วโมงบินพอตัวจนถึงมาก คุณมีเหตุผล เขาพร้อมคุยด้วยเหตุผล คุณถามในประเด็น ... มีคนตอบในประเด็นแน่นอน คนราชดำเนิน ... ถ้าจะถ้าจะเบี่ยงประเด็น เขาก็ไม่ได้กลัวหรอกครับ จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 22:28:47 ]

ความคิดเห็นที่ 127 เรื่อง CL ที่ รดน. นั่นมีคนดีพอจะคุยด้วยหรอก ผมมาที่นี่ ก็ด้วยมีคนแปะบอกให้มา คนที่ดูภูมิใจตัวเอง เรื่อง CL มีคนคุยมาแล้วหลายกระทู้ใน รดน. และมีหลายมุมมอง ราชดำเนิน เปิดให้มีการถกเถียงหาความจริง เราดีเบท รดน. ไม่ได้แอบพูดอยู่ข้างเดียว พอมีคนมาส่องสว่าง ก็พากันโมโหโทโส ผมมีอ้างอิง ... ที่กล่าวหาผมมีอ้างอิง หรือ คิดเองเออเอง ... พิจารณาเอาเอง แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 51 22:35:15 จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 22:33:38 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ผมดูพูดวกวน ... จริงหรือ หรือว่าผมย้ำวนเพราะตอบผมไม่ได้ ไปทำ CL เพื่อเงินแค่ 1700 ล้าน ... จริงหรือเปล่าไม่กล้าตอบ จนร้อยกว่ากระทู้ ก็ยังไม่กล้าคุยประเด็นนี้ .... ใครขี่ม้าเลียบค่ายกันแน่? เงิน 1700 ล้าน .... เอาเกียรติภูมิของประเทศชาติไปแลกหรือ ? เอาธุรกิจพี่น้องและแรงงานอื่นๆ ไปเสี่ยงหรือ ? อ้างว่าทำถูกกฎหมาย ผมก็บอกว่าพูดเองเออเอง ... จริงหรือเปล่าล่ะ บอกได้ใหม ว่าฝ่ายตรงข้ามเขาก็ยินดี เจ้าของยาเขาสรรเสริญ ? ไม่ชอบที่ผมบอกว่าขโมย .... ผมก็บอกว่าไปเอาของๆ คนอื่นเขาที่เจ้าของเขาไม่ยินยอม ชาวบ้านเขาเรียกว่าขโมย จริงหรือเปล่าเล่า โรบินฮู๊ดช่วยคนจน ... แต่นั่นไม่ได้ทำให้การปล้นกลายเป็นไม่ใช่การปล้น จะคุยประเด็น ก็ต้องรู้ประเด็น ไม่ใช่เอามาปนเปกันเหมือนหลอกดเด็กจับฉลาก และนี่จึงเป็นที่มาที่ผมบอกว่า หลอกพังพอนกัดงูเห่า ที่ราชดำเนินเราอาจมีสีสัน ... แต่ถ้าคุณดีพอและแยกแยะเป็น จะเห็นเราเอาข้อเท็จจริงเผชิญกัน จากคุณ : X-CU - [ 11 ก.พ. 51 22:47:39 ]

ความคิดเห็นที่ 129 เสริมนิดนึง  ถ้าทำ CL ไปแล้วเราไม่มีอะไรจะเสีย หมายถึง GSP ก้จะโดนตัดอยู่แล้ว น่าจะช่างมัน แล้วทำไม ต้องบินไปชี้แจง ตอนเค้าจี้ล่ะ กลัวจะเกิดอะไรกับประเทศหรือ? ชีแจงไปก็ไม่มีผลอะไร แล้วไปทำไม เปลืองค่าเครื่องบินจังเนอะ จากคุณ : Afinitak - [ 11 ก.พ. 51 23:54:03 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ลองคิดเล่น ๆ นะครับ ถ้ารัฐบาลไทยปล้นลิขสิทธิ์ Software ของ Microsoft Adobe เอาแค่ 2 ค่ายนี้พอ เอามาจำหน่ายในราคาถูก หรือแจกฟรี รัฐบาลไทย จะโดนอะไรบ้าง เทียบกับการ CL ยา ซึ่งคำตอบ ก็คงจะทำให้รู้นะครับว่า ปล้น หรือเปล่า อีกกรณี สมมุติว่า เกิดโรคติดต่อขึ้นทั่วโลก การติดเชื้อรวดเร็วมาก แต่เชื้อนี้มีผลอีก 10 ให้หลัง (คล้าย ๆ เอดส์ที่ไม่แสดงอาการเร็ว) ผมคิดค้นยาแก้โรคนี้ได้ จดสิทธิบัตรไว้ ตั้งแต่ปีแรกที่เจอโรคนี้ แต่ผมขายให้ประชากรสหรัฐฯ ในราคาต่อคน คนล่ะ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(ประมาณว่าอยากเอาคืน) ถ้าคุณเป็นรัฐบาล สหรัฐฯ คุณจะ CL เลยหรือจะคิดค้นสูตรยาใหม่ให้ทันใน 10 ปี  โดยให้ประชาชนเครียดกันเล่น ๆ ว่าจะมีทางหายาสูตรอื่นทันหรือเปล่า จากคุณ : MAX - [ 12 ก.พ. 51 00:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 131 ปัญหาการเข้าไม่ถึงยานั้น เป็นปัญหาสะสมมานานนับสิบปีแล้ว คณะรัฐมนตรี ก็ผ่านมาหลายชุด รัฐมนตรีสาธารณสุข ก็ผ่านมาหลายคน มีการระดมสมอง ทั้งหมอ และบุคคลากรทางการแพทย์ พวกองค์การพัฒนาเอกชนทั้งในระดับ ประเทศ และระดับโลกมากมาย เพราะว่าปัญหานี้เป็นปัญหาในประเทศยากจน ทุกประเทศทั่วโลก ไทยเองซึ่งเป็นการร่วมกันทั้งของฝ่ายรัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน ได้ต่อสู้เพื่อ การเข้าถึงยา ผ่านทางการเจรจาการค้ากรอบ WTO ต้องระดมบรรดาประเทศ ยากจนทั้งหลายทั่วโลกที่มีปัญหาเหมือนกันเพื่อกดดันให้ประเทศที่บริษัทยา ตั้งสำนักงานอยู่ ยินยอมที่จะให้มีการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร หรือ CL ได้ ซึ่ง เป็นการต่อสู้ที่ยาวนานพอสมควร ..แต่ทำไมคนจำนวนมากมายซึ่งได้ใช้ความพยายามวิริยะอุตสาหะในการแก้ ปัญหานี้นั้นแต่ละคนก็ฉลาด ๆ ทั้งนั้น ทำไมถึงโง่ขนาดคิดไม่ออกว่า แค่เอา เงินไปโป๊ะ ....... มันก็แก้ปัญหานี้ได้แล้ว ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายมากเพราะคนทุกคน ก็ใช้เงินเป็นกันทั้งนั้น ทำไมเมืองไทยถึงต้องรอให้นายไชยา สะสมทรัพย์ ซึ่งเป็นนักการเมืองที่แม้ เคยมีอำนาจบริหารประเทศ แต่ก็เป็นประเภทพวกที่ความชั่วไม่มีความดีไม่ เคยปรากฎให้ชาวบ้านเห็นนั้น ได้กลายมาเป็นเสนาบดีกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ที่มาบอกว่า........ แค่เอาเงินไปโป๊ะ ก็แก้ปัญหานี้ได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่นาย ไชยา เองก็ไม่ได้เป็นหมอหรือคนในวงการสาธารณสุขใดๆ ... รมต. หรือ ครม. ก่อนหน้านี้มันโง่หมดหรือไง ทำไมเรื่องง่าย ๆ แบบนี้ถึงคิดไม่ออก ทั้ง ที่ก็ใช้เงินไปเพื่อการอย่างอื่นมากมาย แต่ทำไมเรื่องนี้คิดไม่ออก นายไชยา เองก็เคยเป็นรัฐมนตรี ใน ครม. ก่อน ๆ นั้นทำไมไม่เคยแสดงความคิดความ เห็นใน ครม เพื่อหาทางออกบ้าง .. .. .. เหตุที่พวกนี้คิดไม่ออก ก็เพราะว่า พวกนี้มองไปที่การแก้ปัญหานี้ที่เป็นการแก้ ระยะยาว และยั่งยืน ไม่ใช่แก้แบบสุกเอาเผากิน ฉาบฉวยเอาหน้ารอดไปวัน ๆ หวังผลทางการเมืองในระยะสั้น ๆ และสำคัญที่สุดคือคนเหล่านี้ไม่มีแรงจูง เป็นวาระซ่อนเร้น เหมือนที่รัฐบาลชุดนี้มีคือ...... การล้างแค้น ดิสเครดิต คมช. และรัฐบาลขิงแก่ ซึ่งเป็นปฎิปักษ์ของทักษิณ ต้องยอมรับว่า การกล้าทำ CL ของหมอมงคลในสมัยรัฐบาลขิงแก่นั้น ถือว่า เป็นผลงานอันโดดเด่นของรัฐบาลขิงแก่ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีใครหาญ กล้าทำมาก่อน สร้างความหวังให้กับผู้ป่วยทั่วทุกถ้วนหน้า อย่างที่ไม่เคย เป็นมาก่อน รวมไปถึงการที่เลิกโครงการ 30 บาทเพื่อให้รักษาโดยไม่ต้อง เสียเงินเลยแทน .......ซึ่งเรื่องนี้นั้นเป็นเรื่องรัฐบาลชุดใหม่ของสมัคร ต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อกลบความเด่นของรัฐบาลขิงแก่ให้ได้........ และการใช้เงินเฉพาะหน้า เพื่อหวังผลทางการเมืองทั้งจากประชาชน รวมไปถึงสหรัฐนั้น ก็เป็นสิ่งที่ รัฐบาลประชานิยม ชอบนำมาใช้ในการแก้ปัญหาทุก ๆ อย่างอยู่แล้ว  แต่ว่า จะเป็นการแก้ปัญหาได้ยั่งยืน แค่ไหนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปคิด สิ่งที่ต้องคิดคือ ความนิยมทางการเมืองในระยะสั้น อันเนื่องมาจากการอัด ฉีดเงินเข้าไป ส่วนเมื่อหมดแรงอัดของเงินไปแล้วจะเป็นยังไง ไม่ใช่เรื่องที่ พวกนี้ ต้องนำมาขบคิด ปัญหาพวกนี้นั้นเป็นเรื่องที่ผู้บริหารชุดต่อไปต้อง ทำการแก้ปัญหาแทน จากคุณ : vivacious - [ 12 ก.พ. 51 02:18:24 ]

ความคิดเห็นที่ 132 คุณ montecatini คคห. 122 คุณไชยา สะสมทรัพย์บอกว่า การทำ CL ยาเอดส์ ทำให้ประหยัดงบได้ 500 ล้านบาท แต่ในช่วงที่หมอมงคลเริ่มทำ CL มีตัวเลขของสำนักงานประกันสังคมบอกว่า ประหยัดได้ราว 300 ล้านบาท ตอนนี้เมืองไทยยังมีคนใช้ยาต้านเอดส์สูตรดื้อยาที่ทำ CL นั้นน้อยอยู่มาก จากจำนวนผู้ที่ดื้อยาแล้ว ประมาณ 8,000 คน ไม่ทราบว่าพวกนี้ได้กินยา ทั้งหมดหรือเปล่า เมื่อดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังมีชิวีตอยู่ราว 5 แสนคน ก็มีดื้อยาราว 1.6 % จึงเป็นเงินไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ในอนาคตอันใกล้ นี้ มันต้องมีการดื้อยาจากสูตรพื้นฐานแน่นอนอีกเยอะ มันแน่นอนอยู่แล้ว รัฐ จะเอาเงินที่ไหนมาสนับสนุนเงินจำนวน 60 เท่าของ จำนวนเงินที่ต้องจ่าย เพื่อการซื้อยาสูตรดื้อยาในปัจจุบันนี้ .......หากคิดจะทำ CL ตอนนั้นมันก็ อาจจะสายไปเสียแล้วก็ได้ ผมไม่มีตัวเลขของมูลค่ายาต้านสูตรดื้อยา แต่ถ้าประเมินจากประหยัดถึง 500 ล้านบาทให้การทำ CL แสดงว่าราคายาต้นตำหรับนั้นมันต้อง 1,000 ล้านขึ้นไปแน่ ๆ ในอนาคตอันใกล้จะมีคนดื้อยาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ก็เอา 60 คูณ 1,000 ก็จะ ได้เป็นเงิน 60,000 ล้าน ต่อปี ............. ทีนี้รัฐบาลจะไปเอาเงินจากไหน มาอุดละ จริง ๆ แล้วแผนการทำ CL ของหมอมงคล คงเตรียมรองรับการเพิ่ม ขึ้นของคนดื้อยาจากยาสูตรพื้นฐานซึ่งทำจากยาที่หมดสิทธิบัตรแล้วนั่น เอง คุณไชยา สะสมทรัพย์คิดเพียงแค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้พ้น ๆ ตัวไป เท่านั้นเอง แต่หมอมงคลมองล่วงหน้าไปในอนาคต ไกลกว่าคุณไชยา เยอะ แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 51 04:19:06 จากคุณ : vivacious - [ 12 ก.พ. 51 04:00:13 ]

ความคิดเห็นที่ 133 จริงๆแล้ว กระทรวงสามารถประกาศ CL โดยไม่จำเป็นต้องตกลงกับเจ้าของสิทธิบัตรก่อน เพราะไม่มีข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่กระทรวงสาธารณสุข ก็มีความพยายามเจรจากับบริษัทยาแล้ว ก่อนประกาศ CL อย่างที่ชี้แจงไป โดยตั้งคณะอนุกรรมการฯ ต่างๆ มากมาย ตั้งแต่สมัยทักษิณแล้ว สำหรับ ค่าตอบแทนเจ้าของสิทธิบัตร มีการเสนอให้ 0.5% ของมูลค่าการจำหน่ายยา ซึ่งเป็นอัตราตอบแทนปกติ สำหรับประเทศกำลังพัฒนา กรณียาเอดส์นี่ ยกตัวอย่าง Kaletra จากข้อมูลมีผู้ป่วยแพ้ยาสูตรธรรมดา (GPO VIR) ประมาณ 10% แปลว่า จากคนไข้เอดส์ทั้งหมด 5 แสนคน จะมีคนแพ้ยา 50000 คน ถ้าต้องจัดสรรงบตรงนี้ทั้งหมดจะเป็นเงิน 3600 ล้านบาท มากกว่างบประมาณยาเอดส์รวมซะอีก นี่ยาตัวเดียวนะครับ ยังไม่รวมยาอีกสองตัวที่ทำ CL ไปแล้ว คำถามที่คุณสงสัยกัน ลองไปหาคำตอบดูเอาครับ เอกสารหลักฐานพร้อม http://www.tncathai.org/cmsdd/fileupload/tncathai/White%20Paper%20final%5B1%5D.pdf จากคุณ : L - [ 12 ก.พ. 51 04:07:16 A:84.92.227.48 X: TicketID:000582 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ตัวเลขความประหยัดในปี 2549 สำหรับ กรณีของประเทศไทยที่ตกเป็นข่าวโด่งดังและทั่วโลกให้การสนับสนุนนั้น นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผลด้านค่าใช้จ่ายของประเทศไทย หลังจากทำ CL ในยา 3 รายการ คือ ยาเอฟาไวเรนซ์ ยาคาเลตรา สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และยาพลาวิกส์ ในคนไข้โรคหัวใจ คาดว่าจะประหยัดเงินในการให้บริการผู้ถือบัตรทองได้ปีละ 1,035 ล้านบาท ถึง 1,665 ล้านบาท โดยยาเอฟาไวเรนซ์ บังคับใช้สิทธิ์เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 ตลอดทั้งปีงบประมาณ 2549 มีผู้ใช้ยานี้ภายใต้งบกองทุนเอดส์แห่งชาติ ประมาณ 25,000 ราย ปีงบประมาณ 2550 คาดว่าจะมีผู้ใช้ยานี้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ราย ต้องใช้ยานี้ 360,000 ขวด เมื่อบังคับใช้สิทธิ์แล้ว ประหยัดได้ขวดละ 700 บาท ดังนั้นการประมาณการขั้นต่ำของความประหยัดคือ 252 ล้านบาท ส่วนยาคาเลตรา ในปีงบประมาณ 2549 สปสช.ซื้อยานี้ด้วยงบรัฐบาลทั้งหมด 12,000 ขวด ราคาขวดละ 8,900 บาท สำหรับเป้าหมายผู้ป่วยดื้อยาสูตรพื้นฐาน 1,600 ราย ปีงบประมาณ 2550 ตั้งเป้าหมายจัดหายาให้ผู้ป่วยดื้อยาสูตรพื้นฐาน 8,000 ราย ซึ่งประมาณผู้ป่วยดื้อยาสูตรพื้นฐานไว้ร้อยละ 12-17 จำนวนสูงสุดน่าจะเป็น 17,000 ราย ต้องใช้ยานี้ 96,000 ขวด เมื่อบังคับใช้สิทธิ์แล้ว ประหยัดได้ประมาณขวดละ 1,900 บาท ดังนั้น การประมาณการขั้นต่ำของความประหยัดคือ 183 ล้านบาท สำหรับยาพลาวิกส์ ในปี 2548 มีคนไข้โรคหัวใจใช้ยานี้ประมาณ 705 ล้านบาท ซึ่งผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยานี้ ยังเข้าถึงยาไม่ได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จากยอดเงินนี้ หลังการบังคับใช้สิทธิ์แล้ว จะซื้อยาได้ถูกลง เม็ดละ 60 บาท ดังนั้น จะประหยัดได้ 600 ล้านบาท โดยสมาคมโรคหัวใจ ประมาณการว่า เฉพาะคนไข้ในระบบหลักประกันสุขภาพระบบเดียว ซึ่งใช้ฐานข้อมูลการขึ้นทะเบียนบัตรทอง 45 ล้านคน จำเป็นต้องใช้ยานี้ 20.5 ล้านเม็ดต่อปี ดังนั้น ภายหลังการบังคับใช้สิทธิ์แล้ว สามารถซื้อยาได้ถูกลง ทำให้ประหยัดงบประมาณได้ 1,230 ล้านบาท จากคุณ : L - [ 12 ก.พ. 51 04:19:18 A:84.92.227.48 X: TicketID:000582 ]

ความคิดเห็นที่ 135 ตัวเลข 1700 ล้านบาท จากยาสำคัญเพียงแค่ 3 ชนิด ในปีเดียว ดูเหมือนน้อย-- ซึ่งความต้องการตรงนี้คงไม่หยุดแค่นี้แน่ๆ เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์แท้จริงมีถึง 500,000 คน อย่างที่ว่าไว้ การเอาเงินภาษีมาโปะตรงนี้ ก็เป็นทางแก้นึงที่ดูง่าย แต่ทำแล้วหยุดไม่ได้ และตื้นเขินเกินไป - -- ปัญหาแท้จริงคือ การผูกขาดของบริษัทยา ถ้าเกิดบริษัทยาขึ้นราคายา เปลี่ยนสูตรยา ไม่ขายยาตัวนี้แล้ว หรือใช้เทคนิคประวิงเวลาต่อสิทธิบ้ตรให้ยาวนานขึ้น ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับบริษัทยาทั้งหมด เราไม่มีอำนาจต่อรองอะไรเลย ที่ทำได้ก็คือโปะเงินเข้าไปเรื่อยๆ -- คนในกระทรวงเค้าก็มองเห็นช่องทางแก้ไขตรงนี้ ก็เลยผลักดันให้ทำ CL หลักการ CL แท้จริง คือ การสร้างอำนาจต่อรอง เพื่อให้หันมาเจรจากันมากกว่า ไม่ใช่การไม่ให้เกียรติผู้ถือสิทธิบัตร หรือ การจี้การปล้น หลายครั้งที่บราซิลจะประกาศทำ CL แต่พอมีการเจรจาลดราคายาลงมาให้ระดับที่ยอมรับได้ ก็ไม่ได้ทำ CL จริงๆ --- แต่กรณีของไทย การเจรจาไม่เป็นไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะกับแอ็บบอต ซึ่งมีการตอบโต้โดยการถอดทะเบียนยาจำเป็นบางประการที่ไม่สามารถซื้อหาที่อื่นได้ เช่น อลูเวีย นั่นคือ การเอาชีวิตผู้ป่วยมาเป็นตัวประกันอย่างเลือดเย็น ซึ่งจริงๆแล้ว น่าจะหาทางออกได้ดีกว่านี้ ทั้งสองฝ่าย ส่วนเรื่องตัด GSP นี่ โดยหลักแล้ว สหรัฐใช้เหตุ CL มาอ้างไม่ได้ เพราะจะผิดข้อตกลง ฟ้อง WTO ได้ การทำ CL ไม่มีความผิดใดๆทั้งสิ้น ในกรณีของไทย เข้าข่าย cases for public non-commercial uses คือ ใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่ว่า จำเป็นต้องมีสงคราม หรือภาวะฉุกเฉินเท่านั้น อย่างที่หลายคนพยายามเน้น ที่ผ่านมา การทำ CL ได้รับการสนับสนุนมากมายจากองค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะจาก ผู้อำนวยการ WHO ที่ออกมายืนยันว่า ไทยทำถูกต้องทุกประการ และไม่จำเป็นต้องมีการเจรจากับผู้ถือสิทธิบัตรก่อนประกาศ CL จดหมายหลักฐานต่างๆ ที่ว่าไว้ โปรดดาวน์โหลดมาอ่านได้จากลิ๊งค์ข้างบน จากคุณ : L - [ 12 ก.พ. 51 05:47:14 A:84.92.227.48 X: TicketID:000582 ]

ความคิดเห็นที่ 136 #132 คุณใช้วิธีคำนวณผิดครับ 1. คุณไม่สามารถใช้การที่มีคนดื้อยาเพิ่มขึ้น 1.6% มาคิดว่าประหยัดขึ้น 60 เท่าได้ เพราะต่อให้คนไข้ใช้ยาต้านโรคอย่างไรก็ตาม ย่อมต้องมีคนไข้ตายในปีนั้น ๆ แน่นอน ดังนั้นตัวแปรนี้ตกไป 2. ที่บอกว่ามีผู้ป่วย 500000 คน แต่ในความเป็นจริง แนวโน้มผู้ป่วยในประเทศลดลงทุกปี ดังนั้นปีหน้าอาจจะมียอดผู้ป่วยน้อยลง ทำให้ไม่จริงที่ว่าจะประหยัดเพิ่มขึ้นได้ มูลค่าการประหยัดมีแต่จะน้อยลงเรื่อย ๆ 3. ประเทศไทยมีรายได้หลักจากการส่งออก เกือบ 70% ของรายได้ของประเทศมาจากสิ่งนี้ แล้วคุณคิดว่าใครคือคู่ค้าสำคัญที่ไทยได้ดุลย์การค้า 4. การที่คุณอ้างว่า ยังไง USA ก็ตัด GSP อยู่แล้ว มันผิด ยกตัวอย่างถ้าเราไม่ CL อาจจะโดนตัดซัก 10% แต่ถ้าเรา CL อาจโดนมากถึง 30% ดังนั้นข้ออ้างนี้ ใช้ไม่ได้ ดังนั้น ผมคิดว่าแนวคิดของหมอมงคลนั้นตื้นเขินครับ ไม่มองถึงอนาคต เป็นการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าแบบโง่เขลา ปัญหานี้เป็นโจทย์ใหญ่ มีตัวแปรมากมายกว่าแค่ชีวิตคน ดังนั้นจะทำเป็นเล่น ๆ แล้วสุกเอาเผากินไม่ได้ การทบทวนถือว่าถูกต้องแล้วครับ ไม่ใช่ว่าชีวิตคนไม่สำคัญ แต่ศักดิ์ศรีของประเทศก็สำคัญเช่นกัน ไม่อย่างนั้น เราก็ยอมเป็นเมืองขึ้นอเมริกาซะ ไม่ง่ายกว่าเหรอ ช่วยชีวิตคนได้ทั้งประเทศนี้เลยเหมือนกัน จากคุณ : WarHammer - [ 12 ก.พ. 51 06:30:54 ]

ความคิดเห็นที่ 137 When they develop new classes of drugs, companies typically price them far higher than the older medicines used for the same conditions--even if the extra benefits are small. Expensive drugs called calcium channel blockers, for example, are routinely prescribed for patients with high blood pressure, even though studies show that cheaper beta-blocker and diuretic drugs can work as well or better. What's more, drugmakers market many medicines directly to consumers, spending billions on ads that critics say are often misleading. "Pharmaceutical companies are coming out with these very expensive new drugs to replace existing drugs, sometimes in the absence of good evidence that their value is worth the extra costs," charges Dr. Sharon Levine, associate director of Kaiser Permanente's physician unit. For instance, the heavily advertised painkillers Celebrex and Vioxx, with combined worldwide sales of $5.6 billion, "are not more effective than Motrin, but they cost up to 60 times as much," Levine says. The new drugs do offer an important benefit for some patients: less stomach bleeding. But most people have no problem taking the older drugs. Big Pharma's prices are higher than needed to cover R&D costs and risks. But that's not surprising, because the price set for a drug typically has little to do with its development cost. Instead, pharmaceuticals are just like any other product: The producers charge what the market will bear. The usual price calculation includes an assessment of the medical benefits the drug brings and how much competition it faces. If a new drug offers a lifesaving treatment where none existed before, or if it helps avoid costly hospital procedures, the price can be astronomical. An example is Genzyme's (GENZ ) drug Cerezyme for the rare Gaucher disease, which has an average price tag of $170,000 a year. The alternative, after all, is severe disability or death. "In reality, if a drug is going to save a life, we will find a way to afford it," says C. Daniel Mullins, associate director of the Center on Drugs & Public Policy at the University of Maryland School of Pharmacy. Source: Business Week หมายเหตุ ยังหาไม่เจอเลย บทความเรื่องที่บริษัทยาต่างๆ ชอบออกยาชื่อใหม่ในสูตรที่ใกล้เคียงกับของเดิมๆ เพื่อผลทางการค้ามากกว่าผลด้านการรักษา ไว้เจอแล้วจะเอามาฝากครับ จากคุณ : academician - [ 12 ก.พ. 51 06:48:34 A:130.18.158.49 X: TicketID:075095 ]

ความคิดเห็นที่ 138 คุณ WarHammer คคห. 136 1) และ 2) ปีหนึ่ง ๆ มีคนไข้รายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น 17,000 รายครับ ส่วนที่อัตราการตายของคนติดเชื้อเดี๋ยวนี้หลังจากได้รับยาต้านน้อย ลงมาก 3)ไทยส่งสินค้าไปสหรัฐคิดเป็นหนึ่งในสี่ของการส่งออกทั้งหมด แต่มีสินค้าที่ใช้ GSP มีเพียง 20% ของมูลค่าเท่านั้น และพวกนี้ มันได้ประโยชน์มานานแล้วกว่า 30 ปี คนที่อยู่ในอุตสาหรรมนี้รวม ทั้งหมดยังน้อยกว่าผู้ป่วยที่เดือดร้อน สินค้าอีก 80% ทำไมเขาส่ง ออกไป สหรัฐโดยไม่พึ่ง GSP แล้วเขาอยู่ได้ และ GSP ที่สหรัฐ ให้เฉลี่ยภาษีแค่เพียง 3% เท่านั้น การแข็งค่าของเงินบาทมันให้ คุณเดือดร้อนกว่าเยอะ นอกจากนั้นทำไมส่วนของสังคมอื่น ๆ เขา ต้องเสียสละให้เพื่อคุณมากถึงกว่า 30 ปีขนาดนั้น ทำไมพวกคุณ ไม่สามารถพี่งตัวเองได้ 4)มันต้องดูว่าการทำ CL นั้น มันได้สร้างความเสียหายให้กับเขา มากขนาดไหน สหรัฐก็จะตอบโต้อย่างจำกัดตามความเสียหายที่ เกิดขึ้นเท่านั้นครับ นี่เป็นหลักปกติที่สหรัฐทำ คือตอบโต้เท่า ๆ กับ ความเสียหายที่ตัวเองได้รับ สหรัฐเป็นประเทศใหญ่การตอบโต้ เกินความจำเป็น มันทำให้สหรัฐดูไม่น่านับถือในสายชาวโลกครับ ไม่ใช่ว่าเขาเอาไม้จิ้มฟันไปแทงตัวเอง แล้วตัวเองเอาระเบิดนิว เคลียร์ไปทิ้งที่บ้านเค้า อย่างนี้ถูกประนามทั้งโลก ชาวโลกมองว่า เป็นอันธพาล 5) จากความเห็นด้านบนนั้น หมอมงคลมีความกล้าหาญและมอง การณ์ไกลกว่า รมต.คนก่อน ๆ มากนัก นายไชยา เคยคิดเตรียม แผนการว่าจะจัดการเรื่องการดื้อไว้ไว้แล้วหรือยัง ไม่ใช่คิดกลัว ว่าสหรัฐจะตอบโต้การค้าก็ง้อแล้ว ........... อย่างนี้เอาแมวที่ไหน มันก็เป็น รมต. ได้ โถคุณ ที่ยอมเดินตามแรงกดดันเขาต้อย ๆ เขาว่าอะไรมาเนี่ย ก็ รีบสนองตอบเนี่ยมันเมืองขึ้นชัด ๆ มันมีศักดิ์ศรีตรงไหน แต่การ ทำ CL ของไทยนั้น ไทยใช้ช่องทางขององค์การการค้าโลกให้ ครับ จากคุณ : vivacious - [ 12 ก.พ. 51 08:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 139 le dente  กับ thdamn เป็นมนุษย์ รักษาผลประโยชน์ (นักการเมือง) จากคุณ : 555 (Buree) - [ 12 ก.พ. 51 09:44:18 ]

ความคิดเห็นที่ 140 เหมือนอยู่ราชดำเนิน ....................... เราว่า ถ้าเอากำไร จากผลประโยชน์ GSP มาสมทบทุน 30 บาท จะดีกว่ามั๊ย ให้โรคมะเร็งอยู่ในโรคที่ใช้ 30 บาทได้น่ะค่ะ (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ใช้ได้รึเปล่า) ซื่งมันก็น่าจะไม่เสียผลประโยชน์ ทั้งผู้ป่วย แล้วก็ประเทศชาตินะ แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 51 10:50:55 แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 51 10:50:30 จากคุณ : หมูน้อยห้อยหัว - [ 12 ก.พ. 51 10:43:25 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ขอบคุณหลายๆท่านที่ให้ความกระจ่าง ได้ความรู้มากๆ....... เห็นบางท่านเถียงกันไปมาแล้วเหนื่อยแทน อยากให้ ignore ความเห็นขาประจำ รดน. ไปเถอะเพราะเถียงไปไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเป็นนโยบาย พปช. ทรท. ละ พวกนี้เค้าจะเถียงหัวชนฝาตลอด ราวกับเป็นหน่วยงานข่าวสารหรือPR ที่ทำงานในตึกพรรค จากคุณ : Jeoy - [ 12 ก.พ. 51 11:10:46 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 12 ก.พ. 51 12:37:36 ]

ความคิดเห็นที่ 143 เรียน คุณBuree กรุณากลับไปอ่านดีๆนะครับ เข้าใจประเด็นอะไรผิดไปหรือเปล่าผมไปเข้าข้างนักการเมืองตรงไหน ผมไม่เคยเล่นในห้อง รชด. ไปหากระทู้เก่าๆดูก็ได้ครับ เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาผมเลือกประชาธิปัตย์ครับ คนเราย่อมมีจุดยืนความคิดเป็นของตนเองครับ ผมแค่เข้ามาหาความรู้เท่านั้นเอง ถ้าคิดไม่เหมือนกันก็เป็นลิ่วล้อนักการเมืองเหรอครับ แบบนี้มันนิสัยเด็ก ป.4นะครับ สงสัยจะอ่านแค่ 5 ความเห็นแรก กลับไปอ่านให้ครบทำความเข้าใจใหม่แล้วค่อยมาโพสดีกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 51 14:42:19 จากคุณ : le dente - [ 12 ก.พ. 51 13:44:17 ]

ความคิดเห็นที่ 144 อันนี้เป็นกระทู้เก่าสมัยกระปู้นโน้นแล้ว ผมเอาตัวอย่างมาให้ดูแล้วกัน http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/05/X5378451/X5378451.html ลองมาดูตัวเลขจริงๆกัน ลองดูตารางข้างล่างได้เลยนะครับดูตรงคอลัมน์ Industry ก็ได้ จะเห็นว่าต้นทุนการผลิตเฉลี่ยย้อนหลังห้าปีนั้นอยู่ที่ 26.5% เมื่อดูที่ EBIDT ที่รวมค่าบริหารจัดการและค่าโสหุ้ยต่างๆเอาไว้แล้วจะเห็นว่าค่าใช้จ่ายส่วนนั้นเท่ากับ 43.97% ซึ่งตรงนี้ผมไม่ทราบว่าเป็นค่าการตลาด ค่าวิจัย ค่าบริหารกี่ % เลยลงมาตรง Net Profit margin เลยแล้วกัน ถึงจะหักโน่นหักนี่ไปแล้วก็ยังเหลือกำไรสุทธิถึง 18.4% ซึ่งยังมากกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทใน S&P 500 Index ถึง 5.66% ลองมาดูกันเป็นจำนวนเงินดีกว่าครับ Pfizer มีรายได้ปี 2006 เท่ากับ 48,371 ล้าน US$ (1,644,614 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิ 21.17% เท่ากับ 10,240.14 ล้าน US$ (337,924.64 ล้านบาท) ถ้า Pfizer ยอมลดกำไรลงมานิดหน่อยเหลือซักเท่าๆกับบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน ประเทศยากจนคงได้ใช้ยาที่ราคาถูกลงอีกพอสมควรเลยทีเดียว เครดิต: ข้อมูลจาก Reuters ครับ http://www.investor.reuters.wallst.com/stocks/Ratios.asp?rpc=66&ticker=PFE จากคุณ : Nexus - [ 12 ก.พ. 51 15:01:50 ]

ความคิดเห็นที่ 145 ขอบคุณหลายๆท่านที่ให้ความกระจ่าง ได้ความรู้มากๆ....... เห็นบางท่านเถียงกันไปมาแล้วเหนื่อยแทน อยากให้ ignore ความเห็นขาประจำ รดน. ไปเถอะเพราะเถียงไปไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเป็นนโยบาย พปช. ทรท. ละ พวกนี้เค้าจะเถียงหัวชนฝาตลอด ราวกับเป็นหน่วยงานข่าวสารหรือPR ที่ทำงานในตึกพรรค จากคุณ : Jeoy คือ ถ้าคุณไม่คิดจะ อ่านข้อความแย้งของคนอื่นไปตั้ง Blog เองดีกว่าไหมครับ ความเห้นแย้งของคนอื่นถ้ามีเหตุมีผลก็ควรเจียดเวลาอ่านบ้างนะครับ จะมาจากไหน ห้องอะไร ก็ member เหมือนกัน ส่วนตัวผมเป็นนักกฎหมายมิใช่หมอ เข้าห้องนี้ก็เฉพาะตาม link มา แต่ถามหมอกลับบ้าง ว่าอ้างคุณธรรม อ้างเพื่อคนไข้ แต่ทำไมโรงพยาบาลเอกชนถึงเฏ้บค่ายา ค่ารักษาพยาบาลแพงลิบ เป็นไข้ตัวร้อนโดนไป 1000 บาท ยาที่ให้มาก็ไทลินอล แผงละ 10 บาท ถามว่าทำไมไม่ทำเพื่อคนไข้อย่างที่อ้างกันดีนัก ถามคนสนับสนุน CL ว่า ตอนนี้ประเทศไทยยากจนนักหรือ ไม่มีปัญญาจะดูแลประชาชนของตนเองหรือครับ เงินภาษีที่ต้องจ่ายเป็นงบทหารในยุคที่ผ่านมากี่หมื่นกี่แสนล้าน เจียดมาซักครึ่งทำสถาบันวิจัยยาเพื่อผลิต และ สร้างสูตรยาเพื่ออนาคตของคนไทย จะดีกว่าไหมครับ วานตอบ จากคุณ : Natelo - [ 12 ก.พ. 51 16:14:03 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ผมอ่านข้อมูลของผู้สนับสนุน CL นี่ครบถ้วนทุกประการ มีแต่พวกดื้อตาใส พูดอยู่นั่นว่าปล้น ไม่รู้ได้อ่านข้อเขียนอย่างละเอียดหรือยังว่า การทำ CL นั้นทำตามกฎของ WTO ทุกประการ ถ้าเมื่อทำตาม WTO ยังถูกหาว่าปล้น แล้วไอ้ประเทศทั้งหลายมันไปเซ็นข้อตกลงใน WTO ทำไมเล่า เห็นกฎ WTO ผิด ไม่ยอมรับ ก็ถอนออกจากประเทศสมาชิกซะสิ แปลกนะประเทศที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรเองกลับไม่เถียงกันด้วยว่า ปล้น ไม่ปล้น เขาก็ตอบโต้ทางอื่นเอา ไม่เหมือนพวกใจทาสคิดอะไรไม่เป็น คิดว่า ปล้น ลูกเดียว จากคุณ : ผ่านมา - [ 12 ก.พ. 51 17:49:27 A:58.9.153.161 X: TicketID:143084 ]

ความคิดเห็นที่ 147 แล้วพวกที่ต้าน CL นี่มันความคิดมันสั้นนัก การขุ่ทำ CL มันเป็นเทคนิคหนึ่งในการต่อรอง พวกนี้ไม่เคยคิดจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์ให้กับประเทศ ยอมเสียเปรียบเขาไปตลอดชาติ อย่างที่ว่า บลาซิลเขาก็ใช้เทคนิคเกทับด้วย CL ได้เจรจาต่อรองราคาที่เป็นธรรมมานักต่อนัก แต่มีพวกคนไทยบางพวกไม่เท่าไหรก็ใจปลาซิวซะแล้ว จากคุณ : ผ่านมา - [ 12 ก.พ. 51 17:51:55 A:58.9.153.161 X: TicketID:143084 ]

ความคิดเห็นที่ 148 รดน.บุก -_-" สวนลุม มีส่งลิงค์ตามกันมาด้วยแฮะ จากคุณ : Dek[N]a[R]o[K] - [ 12 ก.พ. 51 21:55:50 ]

ความคิดเห็นที่ 149 เรื่อง CL นี่น่าจะมีประโยชน์ในการป้องกันการค้ากำไรเกินควรของบริษัทยา ถ้ามันจำเป็นจริงๆ และมันยา original มันแพงเวอร์จริงๆ ก็ทำ CL ไปเถอะ ถ้ายา CL มันก็ยังแพงเหมือนกันเพียงแค่ถูกกว่ากันไม่กี่บาท อย่างนั้นผมไม่ถือว่าผู้ผลิตยา original ค้ากำไรเกินควร กรณีนี้ผมว่าไม่ควรทำ CL เงินส่วนต่าง 1700 ล้านเนี่ยรัฐบาลน่าจะสามารถจ่ายได้  แต่ถ้าหากว่าจริงๆ แล้วราคายามันไม่ได้ต่างกันแค่นั้น แต่มากกว่านั้นมากๆ หลายๆ เท่าก็อาจจะเป็นภาระมากเกินไป ที่รัฐจะออกเงินซื้อยาให้ผู้ป่วยทุกราย เดี๋ยวรอดูซิว่า ทีมงานของนายไชยาจะพิจารณาเรื่องนี้ออกมาว่าอย่างไร จะชี้แจงเหตุผลได้ดีหรือเปล่า ถ้าได้ข้อสรุปออกมาโดยอ้างเหตุผลมั่วๆ ก็คงโดนด่าเยอะหน่อย จากคุณ : ผลึกความคิด - [ 12 ก.พ. 51 23:57:35 ]

ความคิดเห็นที่ 150 หมายเหตุ ยังหาไม่เจอเลย บทความเรื่องที่บริษัทยาต่างๆ ชอบออกยาชื่อใหม่ในสูตรที่ใกล้เคียงกับของเดิมๆ เพื่อผลทางการค้ามากกว่าผลด้านการรักษา ไว้เจอแล้วจะเอามาฝากครับ จากคุณ : academician - [ 12 ก.พ. 51 06:48:34 A:130.18.158.49 X: TicketID:075095 ] ##################################### ไม่ต้องหาแล้วค่ะ ที่ยกตัวอย่างcetirizine  กับ levocetirizine  มาให้ดู  เพราะการพัฒนาอนุพันธุ์ยาที่มีประสิทธิภาพขึ้น ต้องจดทะเบียนเป็นอีกแบรนด์  ถือเป็นยาใหม่อีกตัว  ไม่ได้เกี่ยวกับการไปทำให้สิทธิบัตรยาเดิมยาวขึ้น และขณะนี้ดูเหมือนยาต้นแบบเดิม cetirizine ก็คงหมดสิทธิบัตรไปแล้ว เห็นเริ่มมียาก็อปออกสู่ตลาดเมืองไทยแล้วค่ะ จากคุณ : Everythings gonna be all right - [ 13 ก.พ. 51 01:35:30 ]