ผมได้เก็บและเขียนบทความ เกี่ยวกับสุขภาพไว้พอสมควร เพื่อทำเป็นเอกสารแจกให้กับผู้ป่วย และเผยแพร่ทางเนต ผ่านเวบ ผ่านกระทู้ ซึ่งหลาย ๆ ท่านอาจเคยเห็นเคยอ่านมาบ้างแล้ว ...
ผมเห็นว่า น่าจะนำมาลงไว้ในห้องนี้เผื่อใครผ่านไปมาก็จะได้เห็นได้อ่านกัน ก็จะทยอยลงมาเรื่อย ๆ นะครับ ... ถ้าใครอยากอ่านย้อนหลังหรืออ่านเรื่องอื่น ๆ ก็ตามไปอ่านใน bloggang ของผมก็ได้ครับ ...
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807
เกาต์
เกาต์ เป็นภาวะที่มีกรดยูริกในเลือดสูง และ มีการตกตะกอนของกรดยูริกในข้อ และ อวัยวะต่าง ๆ
ผู้ชายมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง 20 เท่า และมักจะพบในผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี ส่วนในผู้หญิงจะพบได้บ่อยเมื่ออายุมากกว่า 50 ปีหรือ ช่วงวัยหมดประจำเดือน
โรคเกาต์เป็นโรคเรื้อรัง แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็น หลีกเลี่ยงสาเหตุนำที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ และรับประทานยาติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ
อาการ และอาการแสดง
มีการอักเสบ ของ หลังเท้า ข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ หรือ ข้ออื่น
เกิดการอักเสบฉับพลัน โดยข้อที่อักเสบจะบวม แดง ร้อน และ ปวดมากชัดเจน หลังจากได้รับการกระตุ้นจากสาเหตุต่าง ๆ ข้อที่อักเสบจะบวมขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 2 - 3 ชั่วโมง และข้อมักจะอักเสบเต็มที่ภายใน 24 ช.ม ผิวหนังในบริเวณข้อที่มีการอักเสบจะมีลักษณะแห้ง และบวมแดงเป็นมัน บางคนอาจจะมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว อาการอาจค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง จนหายสนิท ระหว่างที่ไม่มีอาการ จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ ให้เห็น
ระยะแรกจะมีการอักเสบครั้งละ 1-2 วัน เป็นข้อเดียว ปีละ 1-2 ครั้ง (ร้อยละ 60 จะมีอาการอีกภายใน 1 ปี) ถ้าไม่ได้รับการรักษา การอักเสบจะเป็นถี่ขึ้น จำนวนวันที่อักเสบนานขึ้น เป็นหลายข้อพร้อมกัน และกลายเป็นข้ออักเสบเรื้อรัง มีก้อนผลึกกรดยูริก ทำให้ข้อผิดรูป และ ข้อเสียอย่างถาวรได้
ผู้ป่วยจะมีโอกาสเกิด นิ่วในไตได้ประมาณร้อยละ 20 และ มีโอกาสเกิด ไตวายได้ประมาณร้อยละ 10
ในผู้ที่เป็นมานานก็อาจมีก้อน ซึ่งเกิดจากการตกผลึกของกรดยูริกใต้ผิวหนัง ในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ข้อศอก ข้อเท้า ใบหู ซึ่งถ้าก้อนใหญ่ก็อาจจะแตก และมีสารคล้ายชอล์กสีขาวออกมา แต่ถ้าก้อนไม่แตกเอง ก็ไม่ควรไปผ่า
ผู้ที่มีลักษณะต่อไปนี้แสดงว่าเป็นโรคเกาต์แบบรุนแรง เช่น ปริมาณกรดยูริกในเลือดสูง มีก้อนผลึกกรดยูริก เริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อย มีอาการไตอักเสบ หรือ มีนิ่วในไต เป็นต้น
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคเกาต์
ประวัติความเจ็บป่วย อาการและอาการแสดงของการอักเสบ โดยเฉพาะถ้าอาการดีขึ้นจากยาโคชิซีน
เจาะน้ำในข้อเพื่อตรวจผลึกของกรดยูริก
ตรวจกรดยูริกในเลือด ปกติผู้ชายน้อยกว่า 7 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงน้อยกว่า 6 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
เอ๊กซเรย์กระดูกหรือข้อ ในระยะแรกจะปกติ แต่ในรายที่เป็นมาก เป็นมานาน จึงจะพบความผิดปกติ
การวินิจฉัยโรคเกาต์โดยอาศัย ประวัติ และลักษณะอาการแสดง ไม่ได้อาศัยการเจาะตรวจยูริกในเลือด
ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดทุกคน เพราะถึงแม้ว่าเจาะเลือดแล้วกรดยูริกสูงแต่ไม่มีอาการ ก็ไม่ได้เป็นโรคเกาต์ แต่ ถ้ามีประวัติ และอาการของโรคเกาต์ ถึงแม้ว่ากรดยูริกในเลือดไม่สูง ก็จะรักษาแบบโรคเกาต์ เนื่องจากมีการวิจัยแล้วพบว่า ร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบเฉียบพลันแบบโรคเกาต์ มีระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในระดับปกติ
แพทย์จะเจาะเลือด เมื่อจะให้ยาลดการสร้างกรดยูริกหรือยาเพิ่มการขับกรดยูริก เพื่อดูว่าตอบสนองต่อยาดีหรือไม่ หรือ เพื่อดูว่าจะหยุดการรักษาได้หรือยัง (จะหยุดยา เมื่อระดับกรดยูริกในเลือด ต่ำกว่า 5 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์)
สาเหตุที่กระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบ
 การบาดเจ็บ หรือ ข้อถูกกระทบกระแทก
 อาหารไม่ได้ทำให้เกิดโรคเกาต์ แต่จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้
เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก (ไก่ เป็ด ห่าน) น้ำต้มกระดูก กุ้งชีแฮ้ ปลาหมึก หอย ซุปก้อน น้ำซุปต่าง ๆ กะปิ ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ปลาอินทรีย์
พืชบางชนิด เช่น ถั่วต่าง ๆ เห็ด กระถิน ชะอม ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม หน่อไม้ ผักคะน้า แตงกวา
ของหมักดอง เหล้า เบียร์ หรือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อื่น ๆ
 อากาศเย็น หรือ ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ช่วงเช้า หรือ ก่อนฝนตก เป็นต้น
 ยา เช่น แอสไพริน ยารักษาวัณโรค ยาขับปัสสาวะ ( ซึ่งใช้เป็นยาที่ใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง )
แนวทางการรักษา
1.หลีกเลี่ยงสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
2.ลดการใช้งานของข้อที่อักเสบ ถ้าในช่วงที่มีอาการปวด อาการอักเสบมาก อาจจำเป็นต้องใส่เฝือกชั่วคราว
3.รับประทานยา ซึ่งจะแบ่งเป็น
3.1 ยาบรรเทาอาการปวดลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
ยากลุ่มนี้จะเป็นยาบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบเท่านั้นไม่ได้รักษาโรคโดยตรง จะใช้ในช่วงที่มีอาการปวด อาการอักเสบมาก เมื่ออาการอักเสบลดลงก็ไม่จำเป็นต้องกินยากลุ่มนี้อีก ผลข้างเคียงที่สำคัญของยาทุกตัวในกลุ่มนี้คือ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ แสบท้อง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร อาจพบอาการบวมบริเวณหน้า แขน ขา ได้
3.2 ยารักษาโรคเกาต์โดยเฉพาะ มีชื่อเรียกว่า " โคชิซีน " ในช่วงที่มีอาการอักเสบมากก็อาจจะต้องรับประทานในปริมาณมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยามากขึ้นด้วย ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังเป็นผื่นคัน ซึ่งถ้าเกิดมีอาการข้างเคียงมากก็จะต้องลดปริมาณยาลง หรือ หยุดยาไว้ก่อน
ยานี้ยังใช้เป็นยาป้องกันการอักเสบด้วย ซึ่งจะต้องรับประทานวันละ 1 - 2 เม็ด ติดต่อกันเป็นเวลานาน 1 - 2 ปี
3.3 ยาลดการสร้างกรดยูริก และ ยาเพิ่มการขับถ่ายกรดยูริก ซึ่งจะต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานอย่างน้อย 1-3 ปี ยากลุ่มนี้จะใช้เมื่ออาการอักเสบของข้อดีขึ้นแล้ว (ข้อไม่มีอาการบวมแดง ไม่มีอาการปวดข้อ ไม่มีไข้) เพราะ ถ้าใช้ยากลุ่มนี้ในขณะที่กำลังมีการอักเสบ จะทำให้การอักเสบเป็นมากขึ้น
ขณะที่ใช้ยากลุ่มนี้ จะต้องดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วในไต
ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงคือ ผื่นผิวหนัง คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย วิงเวียนศีรษะ ในผู้ป่วยที่รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ กิน ๆ หยุด ๆ จะเสี่ยงต่อการแพ้ยามากขึ้น จึงไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถกินยาอย่างสม่ำเสมอได้
ไม่ควรใช้ยานี้ในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี หญิงตั้งครรภ์หรือในช่วงให้นมบุตร ผู้ที่มีนิ่วในไตหรือนิ่วในถุงน้ำดี
4. ฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อที่อักเสบ จะใช้ในกรณีที่มีการอักเสบอย่างรุนแรง และผู้ป่วยไม่สามารถกินยาได้ เท่านั้น เพราะการฉีดยาเข้าข้อจะมีผลเสียค่อนข้างมาก เช่น มีโอกาสติดเชื้อในข้อ กระดูกอ่อนผิวข้อบางลง เกิดข้อเสื่อมเร็วขึ้น และกล้ามเนื้อที่อยู่รอบข้อจะลีบเล็กลง ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้าข้อ
จากคุณ :
หมอหมู
- [
4 มี.ค. 51 15:25:32
]