หวัดดีค่ะ
เอาบุญมาฝากเพื่อนๆด้วยนะคะ เพิ่งกลับจากไปฝึกวิปัสสนามา 8 วันค่ะ ไปรอบที่ 5 แล้ว สำหรับหลักสูตรนี้ ส่วนหลักสูตรอื่นๆๆก็มีไปหลายครั้งอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยก้าวหน้าในทางธรรม สักเท่าไหร่ เนื่องด้วยเป็นคน ช่างคิด ช่างสงสัย และ ดื้อสุดๆ แต่ไม่เป็นไรค่ะ อาศัยพากเพียร หรือ เรียกอีกอย่างว่าหน้าด้าน คือ จะไปอีกเรื่อยๆ ไปบ่อยๆๆ
จริงๆๆก็ชอบอ่านหนังสือธรรมะ ชอบปฎิบัติธรรมนะคะ มันสงบดี มีเวลาก็หาโอกาสไปบ่อยๆ แต่ไปแต่ละครั้ง มันต้องใช้ความอดทนมากเหลือเกิน และ มีอุปสรรคขวากหนามตลอด ทุกข์เวทนาเยอะมาก
ครั้งล่าสุดนี้ ไปเข้ากรรมฐานแบบสะบักสะบอม เพราะ เดินทางต่อเนื่องมาตลอด มีกิจกรรมในเว็บแก้วตลอด ตั้งแต่ไปเชียงราย 1 อาทิตย์ กลับมาก็จัดสัมนาน้องเอชมือใหม่ ต่อจากนั้น สะพายเป้ไปตลุย ปายแม่ฮ่องสอน กลับมาถึงกรุงเทพ เที่ยงคืน พอตี 5 ครึ่ง ก็ออกจากบ้านอีก ไปเข้าวิปัสสนา
วันแรกนี่ ง่วงสุดๆ เหนื่อยมาก เพราะแทบไม่ได้นอนเลย ตอนเย็นๆๆค่ำๆ เริ่ม ปวดหัว มีไข้นิดๆ เจ็บตา คันตา ก็ไม่ได้คิดอะไร เข้านอนไป ตี 3 ก็ตื่นมาอาบน้ำ เตรียมไป เดินจงกรม ทำวัตรเช้า
ปรากฎว่า ............ เจ็บตามาก พอใส่คอนแทคเลนส์ แทบร้องจ๊ากส์ แสบตาสุดๆ แกะเลนส์ออกจากตาโดยด่วน ไปส่องกระจกดู ปรากฎว่า ตาแดงก่ำ 2 ข้างเลย คงใส่เลนส์ไม่ได้ ก็ใส่แว่นแทน เราสายตาสั้นพันกว่าอ่ะคะ แว่นตาหนาและ หนักมาก ขนาดทำเลนส์พิเศษแล้วก็ยังหนัก
กราบพระทีแว่นก็ตก จนต้องถอดแว่นไว้ก่อน ชุลมุนวุ่นวายดี ไม่ใส่คอนแทคเลนส์ แต่ตาก็ยังแสบๆ คันๆ อยู่ตลอด เจ็บตามาก ไม่มีสมาธิเลย กังวลว่า CMV ขึ้นตา รึเปล่านี่ เพระผู้ติดเชื้อ HIV ที่ภูมิคุ้มกันต่ำเตี้ยแบบเรา มีโอกาสที่เชื้อ CMV จะขึ้นตา แล้วทำให้ตาบอดได้
เวลาพักแต่ละทีก็พยายามนอนพักให้ตาหายเจ็บ แต่ก็ไม่ดีขึ้น เลยต้องกินยาแก้แพ้ช่วย เพราะอาการแบบนี้เคยเป็นหลายครั้งแล้ว หมอบอกว่า เป็นอาการภูมิแพ้ที่ตา เพราะภูมิคุ้มกันเราต่ำมาก กินยาแก้แพ้แล้วก็ดีขึ้น คันตาน้อยลง แต่............... ง่วงนอน
ลำพัง ไม่กินยาแก้แพ้ แต่ต้องตื่นตี 3 มาเดินจงกรม ไหว้พระ สวดมนต์ ฟังธรรม นั่งสมาธิ ทั้งวันก็ง่วงแทบตายแล้ว นี่มี ยาแก้แพ้มาอีก ก็แทบแย่ เดินจงกรมไป หลับไป เซไป กราบพระแต่ละที แทบไม่อยากยกหัวขึ้นจากพื้น ทรมานสุดๆๆ ก็พยายามคิดไปว่า นี่ก็คือ ความไม่เที่ยงงัย เราบังคับอะไรไม่ได้เลย
ก็ใช้ความอดทนอย่างสูง ทั้งง่วง และ เจ็บตา แต่ก็อดทนปฎิบัติ ไม่หนีไปนอน ไม่เกเรแอบไปหลบในห้องน้ำ เหมือนครั้งแรกๆ ถึงเวลากินยาต้าน ก็ต้องเดินก้มหน้าก้มตาออกจากห้องปฎิบัติไปแอบๆกินยา กลัวโดนถามเหมือนกันว่า กินยาอะไรทุกวัน เพราะถ้าตอบว่า กินยาต้านไวรัส HIV ค่ะ ก็คงแตกตื่น ถ้าจะบอกว่า โรคอื่นก็ผิดศลี มุสา อีกแฮะ
ต้องกินยาแก้แพ้ทุกๆ 6 ชั่วโมง ตาถึงจะไม่ค่อยคัน กินมากๆๆ ก็มึนๆ ซึมๆ เซ็งๆ แอบบ่นในใจเหมือนเดิม ว่าอะไรกันนักกันหนา ชีวิตมีอุปสรรคเยอะจริง ทำงานแต่ละงานก็มีปัญหา มีเรื่องให้ต่อสู้ตลอด เรื่องส่วนตัวก็ไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ ต้องอดทน ต้องพยายามทุกอย่างเลย ทำไมพระเจ้าใจร้ายกะเราจังแฮะ
วันหลังๆ ของการปฎิบัติ คงเหนื่อยมาก บวกกับไม่ค่อยสบาย เลยซึมเศร้า แล้วประกอบกับเจอเรื่องเดิมๆที่วิทยากรจะพูดทุกครั้งที่ สอนเรื่องการรักษาศลีให้บริสุทธิ์ จริงๆฟังประโยคนี้มา 4 ครั้งแล้ว สะดุ้งจนชินแล้ว แต่ครั้งนี้มันฟังแล้ว จี๊ด เพราะกำลังเศร้าพอดี
ประโยคก็จะประมาณว่า ต้องรักษาศลี 5 ให้บริสุทธิ์ พวกที่เป็นโรคกรรมโรคเวร แบบโรคเอดส์ พวกนี้ทำกรรมมาหนัก ผิดศลีอย่างรุนแรง ทั้ง ปาณา และ กาเม อะไรทำนองนี้
ฟังแล้ว จิตตก คือ คนพูดก็คงไม่คิดว่า ไอ่คนเป็นเอดส์มันจะมาปฎิบัติธรรมด้วย
อยากบอกว่า เราก็ไม่อยากเป็นเอดส์หรอก เราก็จำไม่ได้แล้วว่า เราทำผิด ทำเลวมาตั้งแต่ชาติไหน รู้แต่ว่าชาตินี้ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยชั่ว ไม่มั่ว ไม่เลวเลย เราก็ยังเป็นเอดส์ได้ เลือกได้ก็ไม่มีใครอยากเป็นหรอกนะ
แต่คิดให้มันขำ มันก็ขำๆๆนะ เพราะ รอบนี้ ประโยคนี้ฟังตอนเข้ากลุ่มย่อย เค้าแบ่งเป็นกลุ่มละ 12-15 คน แล้วมีอาจารย์สอน 1 คน ก็นั่งล้อมวงกัน อาจารย์เค้านั่งเก้าอี้ ผู้ปฎิบัติธรรมนั่งกับพื้น
เราบังเอิญดันอยู่ใกล้ๆอาจารย์มากสุด ท่านก็อายุเยอะมากๆๆๆๆ แล้ว เป็นผู้หญิงก็ดูใจดีนะ เอามือมาลูบหัว ลูบไหล่ บอกว่า ขยับมานั่งใกล้ๆๆซิลูก เรียนอยู่ที่ไหนเนี่ย ...แอบงงเล็กน้อย สงสัย อาจารย์ลืมใส่แว่น หรือ ไม่ก็เห็นเราใส่แว่นหนามาก เลยนึกว่ายังเรียนอยู่ เลยตอบไปว่า เรียนจบนานแล้วค่ะ
ก็นั่งอยู่ข้างๆเก้าอี้อาจารย์เลย แล้วพวก ป้าๆ อาม่า คุณย่า คุณยาย ก็นั่งล้อมวงกันอยู่ใกล้ๆ อาจารย์ก็เริ่มด้วยการชวนคุยว่า โชคดีกันนะที่มีโอกาสมาปฎิบัติธรรม อย่างงั้นอย่างงี้ แล้ววกมาที่เราอีก ว่า หนูนี่เก่งน๊า มาปฎิบัติธรรมตั้งแต่อายุน้อยๆ หน้าตาก็น่าเอ็นดู (ต้องน่าเอ็นดูแน่ๆ เพราะนอกจากเราแล้วในกลุ่มก็ 50-60 Up อ่ะนะ)
ต่อจากนั้นก็เริ่มเรื่องที่เล่ามา เรื่องการรักษาศลี นั่นหล่ะ พอเจอประโยคเรื่องโรคกรรมโรคเวร นี่ แอบก้มหน้านิ่งๆ แลบลิ้นแผล๊บในใจ คำรามเบาๆนิดหน่อย เดี๋ยวงับเลยนี่ เมื่อกี้ยังชมหนูว่าหน้าตาน่าเอ็นดู เก่งนะมาปฎิบัติธรรม อาจารย์จะรู้ไม่นะ ว่าหนูนี่หล่ะคะ คนที่ผิดศลีมาอย่างรุนแรงที่อาจารย์พูดถึง คนนี้หล่ะที่มันเป็นโรคกรรมโรคเวร นี่อ่ะ
น้อยใจ เนอะ ................. เราไม่ได้อยากเป็นเอดส์นะคะ
แต่ก็ไม่เป็นไร มันก็คงจริงอ่ะคะ เพราะทุกชีวิต มี "กรรม" เป็นเครื่องกำหนด ก็คงทำผิด ทำเลว มาเยอะ ถึงเจอเรื่องหนักๆ ขนาดนี้ ก็ไม่โกรธหรอก เข้าใจว่าต้องยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ คนจะได้กลัว จะได้ตั้งใจรักษาศลีให้บริสุทธิ์ ... ไม่โกรธ แต่ น้อยใจ และ เจ็บจี๊ดๆๆ ชอบกลๆๆ ก็ถือซะว่า ได้ฝึกดูจิตตัวเอง รู้สึกน้อยใจ ก็จะได้รู้ว่าน้อยใจเป็นอย่างไร มันก็น้อยใจไม่นานหรอก แป๊บเดียวก็หาย เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรมาก
แต่วันนั้น จิตตกมาก เลยแอบเปิดโทรศัพท์มือถือ คือ จริงๆเค้าห้ามใช้อ่ะนะ ก็แอบโทรกลับบ้าน ทำเป็นถามเรื่องหมา เรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็คุยสั้นๆ จริงๆ แค่อยากได้ยินเสียงคุณอา เรียกความมั่นใจกลับมาว่า แม้เราจะเป็นเอดส์ ครอบครัวก็รักเรา หมาก็รักเรา ต่อจากนั้นแอบส่ง SMS หาผองเพื่อน บอกเพื่อนว่า คิดถึงมาก และ อยากกลับบ้าน เหลือเกิน .... แล้วก็ปิดเครื่อง กลับไปก้มหน้าเดินจงกรมต่อ
เรื่องน่าน้อยใจต่อไปก็คือ มีคนเป็น มะเร็งไปปฎิบัติธรรมเยอะเหมือนกัน ข้อแตกต่างระหว่าง คนเป็นเอดส์ และ คนเป็นมะเร็ง คือ เป็นมะเร็งนี่บอกคนอื่นได้เลย บอกแล้วจะได้รับแววตาที่ เมตตา สงสาร เอื้ออาทร เป็นห่วงเป็นใย ลูบหลัง ลูบไหล่ ให้กำลังใจ
แต่ถ้าเป็นเอดส์หล่ะ............... กล้าบอกใครมั้ย ว่าเป็นอะไร บอกไปแล้ว จะมีคนให้กำลังใจ ลูบหัว ลูบหาง มั้ยนะ เพราะส่วนใหญ่ พอได้ยินว่าใครเป็นเอดส์ ถ้าเป็นคนหัวเก่าๆหน่อย มักจะมีแววตาประมาณว่า ไปทำอะไรมาหล่ะ ชั่ว มั่ว เลว รึเปล่า
จริงๆ ถ้าให้ตอบว่าไปทำอะไรมา ก็คงตอบได้ว่า ก็ทำเหมือนคนอื่นๆๆเค้าทำหล่ะค่ะ แต่บังเอิญโชคร้ายกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
ถึงแม้จะมีเรื่องน้อยใจเรื่อยๆในการปฎิบัติธรรม แต่ก็ไม่ท้อค่ะ จะพากเพียรปฎิบัติเรื่อยๆ ให้รู้กันว่า คนที่เคยทำผิดศลีมาไม่รู้แต่ภพชาติไหน แต่ชาตินี้เค้าเป็นคนดี ไม่เคยทำผิด และหมั่นปฎิบัติธรรม ถ้าเทียบกับคนที่ ไม่มีโรคภัยอะไร คงไม่เคยทำผิดศลีมา แต่ชาตินี้เค้าเป็นคนไม่ดี ไม่ปฎิบัติธรรม ไม่ทำประโยชน์ใดๆๆเลยหล่ะ ผลมันจะต่างกันอย่างไร
กลับมาแล้วก็สมัครต่ออีกนะคะ ปีนี้คงไปอีกหลายรอบ คงได้ฟังประโยคเดิมๆอีกหลายครั้ง จริงๆอยากชวนเพื่อนๆในเว็บแก้วไป แต่ก็สงสารเพื่อน เพราะเพื่อนส่วนใหญ่ นอกจากจะติดเชื้อแล้ว ยังเป็นเกย์อีก เพราะถ้าเป็นเกย์ จะโดนประโยคเด็ดอีก 1 ชุด คือเค้าเรียกพวก ผิดเพศ คือพวก เกย์ ไบ กะเทย ทอม ดี้ รวมหมด เนื่องด้วย ผิดศลีกาเม มาเหมือนกัน
ฟังทีไรก็สงสารเพื่อน ไม่มีใครอยากเกิดมาเป็นแบบนี้เหมือนกันนะคะ แอบคิดขำๆว่า เราน่าจะแลกเปลี่ยนกันจัด หลักสูตรนะคะ ให้อาจารย์ทั้งหลาย มาสอนเพื่อนๆเว็บแก้วปฎิบัติธรรม แล้ว เว็บแก้วจะจัดหลักสูตร ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ HIV ให้ จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ และ จะได้ยอมรับความแตกต่างในรสนิยมทางเพศแบบต่างๆได้อ่ะคะ ไม่ว่าจะเป็นอะไร เราก็มีความเป็นคน เท่าเทียมกันนะคะ เป็นคนดีของสังคมได้เท่าเทียมกัน
กลับมาบ้าน ได้นอนพักเยอะๆ ตาก็ค่อยยังชั่ว ไม่ค่อยคันแล้ว จริงๆจะไปหาหมอตรวจตา แต่หมอดันไปเมืองนอก แล้วจริงๆวันนี้มีคลีนิคโรคตา ตอนเย็น ที่ รพ.บำราศ แต่หมอประชุม ให้ไปวันอังคารหน้าแทน ........... อืมมม มันคงไม่ใช่ CMV หรอกเนอะ เพราะถ้า CMV รอถึงอังคารน่า สงสัยตาจะบอด
เล่าให้ฟังแค่นี้หล่ะ ขอตัวไปนอนพักสายตาก่อน นะคะ
จากคุณ :
++MooKaew++
- [
11 มี.ค. 51 15:30:00
]