สวัสดีครับ ทุกๆ ท่าน
วันนี้ผมมีเรื่องประสบการณ์ตรงส่วนตัวที่ต้องทำหน้าที่พาพี่สาวแท้ๆ ของตัวเองที่ป่วยเป็นโรค ลูคีเมีย หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งขอระบุให้ชัดเจนอีกนิดว่าเป็นชนิด "เฉียบพลัน" ไปพบคุณหมอที่โรงพยาบาล ซึ่งก็ขอระบุให้ชัดเจนอีกเหมือนกันว่าเป็น "โรงพยาบาลจุฬา"
ผลการวินิจฉัยโดยคุณหมอจากโรงพยาบาลจุฬา เมื่อช่วงปลายมีนาคมที่ผ่านมาคุณหมอบอกว่าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องพี่สาวของผมคงมีชีวิตรอดอยู่ได้ราวๆ 6 เดือน ทางรักษาสำหรับมะเร็งในระยะนี้มีอยู่ 2 ลักษณะ ซึ่งผมขอสรุปเอาง่ายๆ ด้วยสำนวนของตัวเองว่ามันคือโปรโมชั่นรับลมร้อนสุดคุ้ม 2 แพคเกจ คือ
(1) แพคเกจ "ยื้อสุดชีวิต" : เลือกที่จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ซึ่งต้องมีช่วงเวลาที่ร่างกายจะโทรมสุดๆ จากการผ่าตัดอยู่ประมาณ 1.5-2 เดือนแรก ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล และหลังจากนั้นต้องประคับประคองให้ปลอดภัยต่อไปในช่วง 1-2 ปี หลังการผ่าตัด ระหว่างนั้นร่างกายจะอ่อนแอและไวต่อการติดเชื้อ ต้องดูแลสภาพความเป็นอยู่ อาหารการกิน ฯลฯ ถ้ารอดไปได้ บางรายก็อาจจะหายขาด และบางรายก็อาจจะกลับมาเป็นซ้ำ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ข้อมูลที่ควรทราบก่อนตัดสินใจทำการผ่าตัดคือ คุณหมอระบุว่า โอกาสของพี่สาวผมที่จะรอดตายจากการผ่าตัดมีอยู่ประมาณ 30% หรือน้อยกว่า (ขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งด้วยว่าเป็นมะเร็งระยะไหน) และไม่ใช่ว่านึกจะผ่าก็ผ่าได้ ต้องไปกะเกณฑ์น้องๆ ร่วมสายโลหิตมาตรวจ "สเต็มเซลล์" หรือเซลล์ต้นกำเนิดไขกระดูกว่าตรงกันหรือเปล่า ถ้าไม่ตรงก็ใช้กันไม่ได้
(2) แพคเกจ "สุขสงบในบั้นปลาย" : เลือกไม่ทำการผ่าตัด แต่รักษาไปตามอาการ นัยว่าเพื่อให้ "ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบในช่วงบั้นปลายชีวิต" แปลง่ายๆ คือ เจ็บคอก็กินยาแก้เจ็บคอ ปวดหัวก็กินยาแก้ปวดหัว เป็นไข้ก็กินยาแก้ไข เพลียก็ให้เลือด บางคราวอาจให้เคมีบำบัดอย่างอ่อนๆ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย การรักษาด้วยวิธีนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่การรักษาโรคมะเร็ง แต่เป็นการประคับประคอง ผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ประมาณ 6-12 เดือน คุณหมอระบุว่าจากประสบการณ์ของคุณหมอไม่เคยพบว่ามีผู้ป่วยรายใดสามารถประคองชีวิตได้ถึง 2 ปี
ด้วยความที่ครอบครัวของเราค่อนข้างเป็นครอบครัวนักปฏิบัติธรรม (กรุณาอย่ามองผมด้วยสายตาคลางแคลง) ประกอบกับพี่สาวไม่อยากให้น้องๆ ต้องเป็นภาระดูแลตัวแกเองในระหว่างที่สภาพร่างกายย่ำแย่ (ซึ่งก็ไม่มีใครการันตีได้ว่าพี่สาวจะรอดจากการผ่าตัด) ทั้งๆ ที่ไม่มีน้องๆ ของพี่คนใดที่ไม่เต็มใจจะช่วยเหลือ พี่สาวของผมตัดสินใจเลือกรับแพคเกจสุดคุ้มชุดที่ 2 "สุขสงบในบั้นปลาย" เพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่ฝึกปฏิบัติธรรม ทำใจให้ผ่องแผ้ว เป็นวาระสุดท้ายของชีวิตที่จะได้ไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิต พี่สาวเคยเปรยว่าแกไม่กลัวตาย และไม่กลัวว่าตายแล้วจะ "ไป" ไม่ดี เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่เคยทำความชั่วร้าย ไม่เคยทำอะไรผิดศีลธรรม และในสายตาของผม แกเป็นพี่สาวที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเป็นพี่สาวของน้องๆ และเป็นลูกสาวของแม่และพ่อได้
อย่าพึ่งมาซึ้งอะไรตอนนี้นะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจมาเขียนนิยายสุดซึ้งอะไรตรงนี้
ควรทราบว่า แพคเกจนี้อาจไม่เหมาะสำหรับตาสีตาสาชาวบ้านตาดำๆ ที่ไม่มีสวัสดิการรักษาพยาบาลใดๆ ดูแลอยู่ เพราะในระหว่างนี้ต้องกินยาเทวดาชนิดหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิดมันมีชื่อเรียกว่า "กลิวิค" หรือ "กลิเว็ค" อะไรนี่หละครับ มีขนาดเท่าเม็ดแคปซูลเล็กๆ ธรรมดา ทำหน้าที่ในการควบคุมปริมาณเม็ดเลือดขาว สนนราคาตกเม็ดละ 3,700 บาท ต้องกินวันละ 2 เม็ด ตกเป็นเงินเดือนละ 222,000 บาท (ครอบครัวของผมไม่ได้ร่ำรวยนะครับ พี่สาวเป็นข้าราชการกองคลังของ กทม.ที่ปฏิบัติหน้าทีอย่างดีมาเกือบ 25 ปี จึงสามารถใช้สิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งยาเทวดานี่ได้)
เอาหละครับ ... แต่น แตน แต๊นนนนน ... ผมจบ "อารัมภบท" หรือ "introduction" สำหรับสิ่งที่ผมอยากจะเล่าแล้ว ... ต่อไปนี้คือประสบการณ์ "เกิดเป็นคนไทย (จนๆ) ต้องอดทน" ที่ผมอยากเล่าจริงๆ
แต่บังเอิญมันยาวมาก ... ผมเขียนไว้ถึง 22 หน้ากระดาษ A4 หากท่านเห็นว่าอาจพอจะเป็นประโยชน์ก็โปรดคลิ้กตามลิงค์ด้านล่างไปอ่านต่อ แต่ถ้าเห็นว่ายาวเกินไป ไม่น่าสนใจ ก็โปรดปล่อยผ่านไป
ผมเพียงอยากระบายสิ่งที่ได้พบกับตัวเองมาบ้าง อาจเป็นอุทาหรณ์สำหรับท่านที่มีปัญหาคล้ายๆ กัน
http://www.ie.eng.chula.ac.th/~pramual/blog/chula/chula-hospital.pdf
จากคุณ :
นายชนะศูนย์หนึ่ง
- [
19 เม.ย. 51 23:12:07
]