Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    สะเก็ดเงิน...อยู่ที่เรียนรู้...อยู่ที่ยอมรับมัน…เหรอ??? (1)

    พฤหัส 17 เมษา 51 ตีสี่ครึ่ง...
    อีกแล้ว ตื่นอีกแล้วพร้อมกับความเจ็บปวดและทรมาน ผิวแห้งมากมาย เอื้อมมือไปคว้ากระปุกวาสลีนที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาโบกทับแผล ต้องใช้คำว่าโบกทับจริง ๆ เพราะคืนนี้ ชั้นโบกยา ครีมบำรุง ลิควิดพาราฟีนและวาสลีนไปแล้วอย่างละหลายรอบ ทรมานเหลือเกิน...เหมือนตัวเองกำลังลอกคราบยังไงก็ไม่รู้ แผลมันแดง ๆ แถมติดกันเป็นปื้นเดียวกันทั้งขาและแขน ยิ่งเป็นตรงข้อพับด้วยสิ สุดยอดของความเจ็บแล้วล่ะ จะลุกจะนั่งทีก็เหมือนคนแก่ ต้องยักแย่ยักยันลุกขึ้น...วูบหนึ่งอดคิดไปถึงงูไม่ได้...สัตว์ที่ชั้นทั้งเกลียดและกลัวซะเหลือเกิน...มันลอกคราบเพื่อที่จะเจริญเติบโตนี่นา...แล้วชั้นล่ะ...เกิดอะไรขึ้นในคืนนี้...คืนที่ทรมานและดูเหมือนวันเวลาจะผ่านไปช้าซะเหลือเกิน...มันเจ็บปวดจนนอนไม่หลับ ได้แต่หลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืนจนคิดว่าคงทนนอนต่อไปไม่ไหวแล้ว พยายามหาอะไรมาเบนความสนใจไปจากมันซะดีกว่า อ่านหนังสือก็แล้ว สวดมนต์ก็แล้วแต่ทำไมคืนนี้มันดูจะไม่ได้ผลเอาซะเลย...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ในเมื่อเบนความสนใจจากมันไปไม่ได้ ก็ลงลึกไปกับมันเลยดีกว่า ชั้นไม่เคยคิดย้อนกลับไปเลยนะถึงวันเวลาที่มี “มัน” เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของชั้น กี่ปีแล้วล่ะ...ตั้งแต่ชั้นอยู่ป.4 จนวันนี้ชั้นเรียนจบ ทำงานมาได้ปีกว่า ๆ แล้ว “มัน” ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตชั้นเสมอ...เป็นเหมือนดั่งแขกที่ไม่ได้รับเชิญ...ที่นึกอยากจะมาก็มา แถมไล่ยังไงก็ไม่ยอมไปซะด้วยสิ...

    ครั้งแรกที่มันเริ่มเข้ามาทักทาย...ชั้นจำได้ว่ากำลังนั่งพับผ้ากองโตที่มีทั้งเสื้อผ้าของพ่อ แม่ พี่และน้อง  จู่ ๆ ก็สังเกตเห็นที่ข้อมือด้านขวาว่ามีเม็ดตุ่มเล็ก ๆ ในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แค่ยื่นมือไปให้พี่สาวดู พี่สาวก็บอกว่าเป็นหิดน่ะสิ น้ำท่าไม่ค่อยจะอาบ ชั้นก็เลยขำ ๆ ไป ไม่ได้คิดอะไรมากมาย หลังจากนั้นก็จำได้คร่าวๆ  ว่า อยู่ดี ๆ “มัน”ก็ลุกลามใหญ่โต ลามไปทั้งตัว ขอย้ำว่าทั้งตัว ประมาณ 90% ของผิวหนังเหลือแต่ตาและก็เครื่องในละมั้งที่ไม่ได้เป็น ตอนนั้นก็เด็ก ๆ นะแต่ขอบอกว่า ชั้นรักสวยรักงามมาตั้งแต่เด็ก รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวจนเจ๊ขายของหน้าปากซอยยังชมชั้นเลยว่าชั้นแต่งตัวเก่ง ชั้นเลยปั่นจักรยานไปอุดหนุนมาม่าร้านเจ๊ประจำเลยล่ะ จนหลัง ๆ มาเจ๊เบี้ยวแชร์เค้าซะหลายล้าน เลยต้องชิ่งหนีไปไหนก็ไม่รู้ ชั้นเลยอดวัดเรตติ้งการแต่งตัวว่าวันนี้โอเครึเปล่า ตอนนั้น ชั้นได้รู้จักกับความทรมานเป็นครั้งแรกเมื่อตอนอายุ  10 ขวบ มันคันและคัน เนื้อตัวก็เป็นแผลอะไรก็ไม่รู้ สกปรกพิลึก  แต่ภาพที่จำติดตามาตลอดคือวันนั้น พ่อไปรับจากโรงเรียน ระหว่างทางกลับบ้าน จู่ ๆ พ่อก็หันมาบอกว่า “พ่อว่าเอ็งโกนหัวดีกว่า มันทายายาก” ชั้นได้แต่อึ้งและเงียบไปด้วยความที่ไม่เคยเถียงพ่อและเป็นน้องเล็กที่กินตำแหน่งลูกรักประจำบ้านเสมอมา ได้แต่หวังว่าถ้าชั้นใช้ลูกอ้อน พ่อคงยอมอ่อนให้เหมือนทุกครั้ง จนถึงบ้าน...ชั้นถึงได้รวบรวมความกล้าบอกพ่อว่า “น้องไม่โกนได้มั้ยนะพ่อนะ เดี๋ยวใส่หมวกปิดเอาก็ได้” ก็มันอายนี่นา ตรงอื่นมันเป็นก็พอเอาเสื้อผ้าปิด ๆ ไปได้ แต่บนหัวอ่ะ ถ้าไม่มีผมมันก็เห็นชัดน่ะสิ แต่พ่อก็ยืนกรานคำเดิมพร้อมทำหน้าตาบึ้งตึงที่ชั้นดื้อ ชั้นเลยต้องเดินไปนั่งบนเก้าอี้พร้อมเสียงฉับ ๆ บนหัว ตอนนั้นได้แต่โกรธพ่อ ก็พ่อไม่ได้หัวเหม่งเองนี่นาเลยไม่รู้ล่ะสิว่ามันอายแค่ไหน แต่วันนี้ เวลานี้ พอนึกย้อนกลับไป ชั้นกลับเห็นน้ำตาของชายคนหนึ่งไหลท่วมใจ เค้าคงทรมานกว่าชั้นไม่รู้กี่พันกี่ร้อยเท่าสินะ...ชั้นบอกได้เต็มปากเลยล่ะว่าชั้นรักผู้ชายคนนี้ซะเหลือเกิน...คนที่เฝ้าปลุกชั้นทุกเช้า คนที่ไม่ยอมนอนแม้ว่าจะไปส่งแม่ขายของที่ตลาดตอนเช้ามืดเสร็จแล้ว คนที่เฝ้าทายาให้ชั้นทุกตารางมิลลิเมตร (มีรึเปล่าเนี่ย มาตรวัดอันนี้) แต่ขอบอกว่าพ่อทำให้ชั้นจริง ๆ ตอนนั้นก็บอกแล้วไงว่ายังเด็ก...ถ้าให้ทายาเองน่ะเหรอ ไม่มีวันซะล่ะ ห่วงเล่นซะมากกว่า แม้ว่าจะเริ่มอายพ่อบ้างแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าคนมันรักสวยรักงาม...รู้มาตั้งแต่เด็กว่าร่างกายเรามันเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็สิบขวบแล้วนี่นา หรือว่าชั้นโตเร็วไปมั้ยเนี่ย อิอิ แต่พ่อก็ทำเฉย ๆ จนชั้นชินในที่สุด...ชั้นยังจำภาพพ่อนั่งถักแหตอนเช้ามืด รอปลุกชั้นมาทายาให้ได้อยู่เลย แล้วพ่อก็จะขับรถพาเรา สามใบเถาไปส่งที่โรงเรียน...ทุกวัน

    วันแรกหลังจากโกนหัวแล้วชั้นต้องไปโรงเรียน...มีแต่คนมอง ก็มันแปลกนี่นาที่อยู่ดี ๆ ก็ใส่หมวกไปเรียนแถมเข้าห้องเรียนแล้วยังไม่ยอมถอดอีกต่างหาก ไม่นับที่ก่อนหน้านั้น ชั้นใส่เสื้อแขนยาวคลุมตัวไว้ทั้งวัน ทั้ง ๆ ที่อากาศก็แสนจะร้อน แต่ถ้าวันไหนฝนตก ชั้นก็จะหลั่นล้าเป็นพิเศษ เพราะเพื่อนๆ  ก็จะพากันใส่เสื้อกันหนาวมา วันนั้นชั้นก็จะไม่ค่อยแปลกแยกเท่าไหร่นักถ้าไม่นับหมวกบนหัวชั้น จำความรู้สึกตอนนั้นได้รางเลือนแล้วล่ะ แต่ที่จำแม่นคือเพื่อนล้อ...ทุกวัน...ทุกครั้งที่มีโอกาส ตั้งแต่ป.4 ป.5 ป.6 เรื่อยมา อย่าให้เล่าเลยว่าเพื่อนล้อว่ายังไงบ้าง ก็ตามประสาเด็กนั่นแหละ มีตอบโต้บ้างจนกลายเป็นสถิติ แชมป์ด่าเร็ว ด่าทน ด่าสิบนาทีไม่มีซ้ำ กลายเป็นเด็กปากดีมาตั้งแต่นั้น แม้จะโต้ตอบด้วยความรุนแรง(ทางวาจา) แต่จิตใจชั้นมันกลับย่ำแย่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวลาที่ชั้นรับรู้ว่าชั้น “แตกต่าง” จากคนอื่น แต่ขอบอกว่าชั้นจำเหล่าผองเพื่อนตัวแสบพวกนั้นอยู่ในใจชั้นจนถึงทุกวันนี้เชียวล่ะ ชิ! รอก่อน สวยแล้วอย่ามาง้อนะยะ...ว่าแต่จะมีวันนั้นมั้ยนะ ชั้นจำแม่นเชียวล่ะ...ก็มันเป็นประสบการณ์เลวร้ายสำหรับเด็กสาววัยขบเผาะ อายุสิบขวบอย่างชั้นนี่นา อ้อ! หลังจากโกนหัวครั้งแรกผ่านไป ครั้งที่สองและสามก็ตามมาติด ๆ จนนับไม่ถ้วนว่าโกนไปกี่ครั้ง ผมร่วงหล่นคงหายไปพร้อมกับใจของชั้นที่พร่ำบอกตัวเองว่าเราไม่เหมือนคนอื่น เราน่ารังเกียจ...ตั้งแต่เด็กแล้วสินะ ที่ชั้นกลายเป็นคนเก็บตัว เงียบ เก็บความรู้สึกตัวเอง(แต่ไม่ใช่ตอนโกรธนะ) แผลตอนนั้นเหรอ...ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรคนี้มันมีชื่อด้วย ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะดูดี แต่มันก็แหม่ง ๆ นั่นแหละ...สะก่งสะเก็ดอะไรก็ไม่รู้...พ่อกับแม่ก็พาตระเวนหาหมอไปทั่วจังหวัด แต่ส่วนใหญ่จะไปกับพ่อซะมากกว่า บอกแล้วไงว่าเราซี้กัน เห็นพ่อก็ต้องเห็นชั้นอ่ะ  กับแม่จะไม่ค่อยสนิทมากนักเพราะแม่ต้องไปขายของในตลาดทุกวัน กว่าจะกลับก็เย็นย่ำค่ำมืด เวลาส่วนใหญ่ของชั้นเลยอยู่กับพ่อซะมากกว่า...จำได้ว่าครั้งนั้นไปหาหมอกับแม่ แล้วหมอก็เอานิ้วมาดัน ๆ ที่หัวชั้น ประมาณว่าอย่าเข้ามาใกล้มากเกิน ไม่ยอมให้ชั้นเข้าไปในห้องตรวจด้วยซ้ำ เค้ายอมมายืนตรวจชั้นหน้าร้านตรงเคาน์เตอร์จ่ายยา ดีนะที่ไม่ค่อยมีคนไข้ แล้วหมอก็บอกแม่ชั้นว่า เป็นเรื้อนนี่ เรื้อนอ่ะรู้จักมั้ย เรื้อนกวาง...ชั้นเหวอไปเลย ในความคิดเด็กสิบขวบตอนนั้น...เรื้อนมันเป็นอะไรที่ไกลตัวมาก แต่ก็พอรู้ว่ามันเป็นยังไงเพราะอ่านหนังสือเยอะ ขอบอกว่าชั้นอ่านนิยายตั้งแต่ป.3 นิยายเล่มบาง ๆ ของบัวต่างๆ  บัวแก้ว บัวไร บัวขาว...เยอะแยะมากมาย แฟนพันธุ์แท้นิยายไทยต้องไม่พลาด เลยแอบโตเร็วทางความคิดแม้ว่าตัวจะกะเปี๊ยกเดียวเท่าเด็กป.2 ได้มั้ง อิอิ...วูบนั้นที่ได้ยินหมอบอก ชั้นเลยหันไปมองหน้าแม่ แอบเห็นแม่ทำหน้าตกใจและน้ำตาคลอ นี่ไม่ได้โม้นะ ก็มันเป็นความรู้สึกที่เราสะเทือนใจมั้ง ตอนนั้นก็เรียกไม่ถูกหรอกอารมณ์นี้อ่ะ แต่พอโตขึ้นมาเลยรู้ว่าการที่เราช็อคหรือว่ามีสภาพจิตใจที่สามารถ “ร่วม” กับคนที่มีความรู้สึกเดียวกัน ณ เวลานั้นได้ เราจะสามารถจดจำเหตุการณ์นั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี อันนี้คิดเองนะ ไม่ได้ลอกทฤษฎีของใครมา แค่เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงเท่านั้นเอง...ตอนนั้นสงสารแม่ สงสารพ่อ ไม่ได้สงสารตัวเองหรอก ก็บอกแล้วไงว่ายังเด็ก แม้จะพร่ำบอกทุกคนว่าหนูเป็นสาวแล้วนะ แต่วัน ๆ ก็ยังเล่นเรื่อยเปื่อย ไม่คิดอะไรมากมาย ใครให้กินยาหรือทายาอะไรก็เอา จะพาไปหาหมอที่ไหนก็ได้ สนุกด้วยซ้ำที่ไม่ต้องอยู่บ้านให้น่าเบื่อ ได้นั่งรถเที่ยวสบายใจ...แผลตอนนั้นน่ะเหรอ อาการเริ่มแรกที่เป็นไงล่ะ...เป็นตุ่มแดง แต่แผลของชั้นมันจะลามเร็วมาก แม้ว่าไม่เกามันก็จะสามารถกระจายไปทั่วร่างกายได้ภายในเวลาคืนเดียว...คืนเดียวเท่านั้น ตื่นมาอีกเช้านึง ตัวชั้นก็จะเต็มไปด้วยรอยเลือด...ก็มันเกาตอนหลับนี่นา ไม่รู้ตัวหรอก ชั้นเลยชินที่จะนอนกับพ่อ เพราะพ่อจะคอยจับมือชั้นไม่ให้เกาและตื่นมาทายาให้ชั้นเสมอ...
    ตอนนั้นจำได้ว่าไปหาหมอที่คลินิกในต่างจังหวัด คลินิกอะไรอย่ารู้เลย เดี๋ยวจะเสียชื่อเค้าซะเปล่า ๆ แต่ขอบอกว่าไปทีไร หมอฉีดยาทุกที พอฉีดเสร็จปุ๊บ ระหว่างทางกลับบ้านสะเก็ดจะเริ่มร่วง ทั้งคืนนั้นมันก็จะร่วงตลอดเวลา จนครอบครัวชั้นคิดว่าอาการคงดีขึ้น แต่พอรุ่งเช้า มันก็กลับเป็นเหมือนเดิม  เหมือนไม่ได้รักษามาเลยซักนิด จนชั้นชินไปแล้ว ไปหาหมอแต่ละครั้งก็ได้ยาเป็นตลับเล็ก ๆ มาประมาณเกือบห้าสิบตลับได้มั้ง ใช้ได้ประมาณอาทิตย์เดียวเท่านั้น ชั้นเลยมีของเล่นสะสมอีกอย่างเป็นตลับยาและซองยาไว้เล่นเป็นนางพยาบาล ไม่ต้องพูดถึงค่ารักษาพยาบาลเลยนะ เพราะถ้ารวมตั้งแต่วันที่ชั้นเริ่มเป็นจนถึงวันนี้ คงหมดไปหลายแสนแล้วล่ะ เผลอ ๆ อาจจะเหยียบล้านแล้วก็ได้...ก็เล่นรักษามันซะทุกทางนี่นา ใครว่ายาดีที่ไหนก็ไปตลอด จนระยะหลังมานี่แหละที่เริ่มหยุด อาจเป็นเพราะชั้นโตขึ้นด้วยมั้ง เลยเริ่มค้นคว้าและเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าอะไรดีและไม่ดีต่อโรคนี้ แต่ขอบอกว่าตอนที่รักษากับหมอที่คลินิกนี้แล้วหมอฉีดยาชั้นทุกครั้ง...ตัวชั้นเริ่มอ้วนขึ้น ตอนนั้นใช้คำว่าอ้วนนะ ก็ยังเด็กอ่ะเลยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร รู้แค่ว่าตัวเองแก้มป่อง ตัวพองได้ เนื้อแตกเป็นเส้น ๆ แต่ยังกินข้าวได้ทัพพีเดียวเหมือนเดิม  ผื่นก็ไม่เห็นจะดีขึ้น รักษาที่นี่ก็หลายเดือนอยู่ จนพ่อเริ่มไม่สบายใจแล้วที่เห็นชั้นเปลี่ยนแปลงไปขนาดนั้น พ่อเลยย้ายชั้นไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ประจำจังหวัดนั้น ตอนรอเรียกเข้าตรวจ ชั้นก็เดินไปนั่งที่ม้านั่งยาว บังเอิญว่ามันเหลือที่พอให้เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างชั้นนั่งได้สักคน แต่พอชั้นเดินไปถึงปุ๊บ ก็มีคุณป้าทอมอ้วนที่นั่งอยู่ก่อนเอาด้ามร่มมาตีชั้นแล้วดันไว้ไม่ให้ชั้นนั่ง พร้อมกับถามว่าชั้นเป็นอะไร ชั้นได้แต่งง ทำไมเค้าไม่ให้ชั้นนั่งล่ะ ชั้นเลยเดินกลับไปหาพ่อ บอกพ่อว่าเค้าตีน้อง เค้าไม่ให้น้องนั่ง พ่อได้แต่ยืนอุ้มชั้นไว้พร้อมกันลูบหัวชั้นไปมา ชั้นไม่เข้าใจทั้งความรู้สึกของพ่อและของชั้นเองตอนนั้นหรอกนะ...ชั้นแค่คิดว่าชั้นไม่ได้ทำอะไรผิด ชั้นไม่ได้อยากเป็นแบบนี้...ตอนนั้นชั้นทำได้แค่ซุกหน้าลงกับซอกคอของพ่อ เพราะมันเป็นอ้อมกอดเดียวที่ทำให้ชั้นอบอุ่นได้เสมอมา และมันเป็นอ้อมกอดเดียวที่ไม่เคยรังเกียจชั้นเลย...ที่ชั้นเปลี่ยนที่รักษาก็กะว่าจะหนีหมอคนนี้ไป เผื่อจะเจอหมอคนใหม่บ้างซึ่งอาจจะช่วยให้อาการของชั้นดีขึ้น แต่...ชั้นและพ่อกลับไปเจอหมอคนนี้เหมือนเดิมคับทั่น! เพราะเค้าเป็นอาจารย์หมอไงล่ะ เลยรักษาที่โรงพยาบาลนี้ด้วย พอเห็นหน้าชั้นเท่านั้นแหละ เค้าก็เรียกแพทย์ฝึกหัดมามุงดูชั้นซะยกใหญ่ พี่ ๆ พวกนั้นก็เอานิ้วมาจิ้ม ๆ ตัวชั้น เอานิ้วมาเลิกหมวกชั้นดูซึ่งชั้นจะเกลียดมากหากใครทำอย่างนี้กับชั้น ถ้าขอดูดี ๆ ชั้นจะไม่ว่าเลย เค้าทำประหนึ่งว่าชั้นเป็นคิงคองในพาต้ายังไงยังงั้นแหละ โอ้แม่เจ้า! ความรู้สึกเลวร้าย วันนั้นเลยอาละวาดซะโรงพยาบาลแทบแตก จนมีน้าข้างบ้านที่เป็นพยาบาลมาบอกว่ามีหมออีกคนนึงเพิ่งจะย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่ชั้นอยู่ ให้ชั้นลองไปรักษากับหมอคนนี้ดูดีกว่านะ.....

    ง่วงแล้ว... หกโมงสิบเจ็ดนาที เออเนอะ พอไม่สนใจมัน มันก็ไม่เจ็บ แต่ยังคันอยู่ดี  ของีบก่อนละกัน เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อนะ...วันนี้ไปทำงานสายได้...

    จากคุณ : Rain n' My Tears - [ 22 เม.ย. 51 17:09:23 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom