ความคิดเห็นที่ 1 แล้วเมื่อก่อนเคยเป็นแบบนี้รึเปล่าคะ ? ส่วนตัวเป็นแบบนี้บ่อยๆ ยิ่งถ้าเดือนที่แล้วมาน้อย เดือนนี้จะมามาก+ปวดท้อง+เลือดเป็นลิ่มๆอ่ะค่ะ จากคุณ : sorry about that - [ 19 ต.ค. 51 10:50:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ฟังดูก็ปกติการมีประจำเดือนนี่คะ หรือถ้าไม่สบายใจไปหาหมอเลยก็ได้ จากคุณ : GetCha - [ 19 ต.ค. 51 11:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ก็ถ้ากลุ้มใจขนาดนี้ก็ไปหาหมอเถอะค่ะ ถ้าปกติจะได้สบายใจ ... แต่ถ้ามีปัญหาก็จะได้รีบรักษา จากคุณ : ซีอิ๊วขาวตราเด็กอ้วน - [ 19 ต.ค. 51 12:14:36 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่คุณบอกมาเป็นกลุ่มอาการที่ทางแพทย์เรียกว่า PMS  (Premenstrual syndrome)   เนื่องจากก่อนมีประจำเดือนจะมีสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย       เปลื่ยนแปลง ทำให้เกิดอาการป่วยทั้งทางร่า่งกายและจิตใจ แบ่งออกเป็น3กลุ่มอาการคือ 1.อาการป่วยทางอารมณ์ ได้แก่ หงุดหงิด ขี้โมโห เครียด คิดมาก กังวล ท้อแท้ หลงลืม บางคนเป็นมากถึงขั้น ซึมเศร้า เพ้อ คลุ้มคลั่ง 2.อาการป่วยทางร่างกาย เกิดอาการปวดเจ็บตามบริเวณต่างๆ เช่นเจ็บทรวงอก ต่อมน้ำนม หรือเจ็บหัวนม ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ บวม ท้องอืด วิงเวียนศรีษะ เป็นสิว อ่อนเพลีย 3.อาการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่นหน้าท้องขยาย ร่างกายสะสมน้ำมากขึ้นทำให้น้ำหนักเพิ่ม อาจเพิ่มได้ถึง1-2กิโลกรัม มีสารอาหารที่่ช่วยในการปรับสมดุลย์ของฮอร์โมน และมีข้อมูลบ่งชี้ว่าสามารถลดอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน คือกรดไขมันจำเป็นในกลุ่มของโอเมก้า6 ที่เรียกว่า GLA (gamma linolenic acid) กรดไขมันตัวนี้ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้มาจากการรับประทานเข้าไปเท่านั้น แต่กรดไขมันตัวนี้ไม่พบในพืชน้ำมันทั่วๆไปหรือถ้าพบก็มีน้อยมาก กรดไขมันกลุ่มนี้จะพบอยู่มากในเมล็ดอีฟนิ่ง พริมโรส และ โบราจ โดยจะพบในโบราจมากกว่าในอีฟนิ่ง พริมโรส แต่ในอีฟนิ่ง พริมโรสจะมีตำแหน่งการจับของGLAกับไตรกลีเซอไรด์ในตำแหน่งที่เหมาะสมกว่า เขาจึงนิยมนำน้ำำมันจากพืชทั้งสองชนิดมารวมกันเพื่อรวมข้อดีของทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน อีกตัวหนึ่งซึ่งตำราแพทย์แผนจีนกล่าวอ้างว่ามีบทบาทช่วยในการปรับสมดุลของระบบเลือดและสมดุลพลังงานคือรากของตังกุย และมีการใช้รากของตังกุยมาแก้ปัญหาทางด้านระบบอวัยวะสืบพันธ์ของสตรีอยู่บ่อยครั้ง เช่นในสตรีที่มีความผิดปกติขณะมีประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ โลหิตจาง ทางซีกโลกตะวันตกก็นำมาใช้ร่วมกับการรักษากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน ประจำเดือนมาช้า และอาการในวัยหมดประจำเดือนเช่นกัน สำหรับตัวที่มีในบ้านเราคือ ขิง ซึ่งมีสารที่ยับยั้งผลของซีโรโทนิน โดยซีโรโททินทำให้หลอดเลือดหดตัว ยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร และทำให้กล้ามเนื้อเรียบบีบตัว เนื่องจากในมดลูกมีกล้ามเนื้อเรียบอยู่ ถ้ามันบีบตัวมากไปก็จะเกิดอาการปวดท้อง การยับยั้งการบีบตัวของมดลูกจากการออกฤทธิของซีโรโทนิน จึงช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เนื่องจากGLA เป็นไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง(polyunsaturated fatty acid) และมีข้อมูลบ่งชี้ว่า การได้รับไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งมากเกินไป มันจะทำหน้าที่เป็นอนุมูลอิสระ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของเซลล์ ซึ่งเป็นผลเสียต่อร่างกาย จึงมีการเพิ่มสารเบต้าแคโรทีน(มีในมะละกอ) และสารไบโอฟลาโวนอยด์(มีในส้มและมะนาว)เข้าไปด้วย เพื่อป้องกันปฎิกิริยาออกซิเดชั่นจากการได้รับกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งมากเกินไป ที่กล่าวมาเป็นการดูแลตัวเองแบบธรรมชาติคือใช้คุณประโยขน์ที่มีในผักผลไม้ แต่ถ้าคุณต้องการการดูแลโดยการใช้ยา โดยมากแพทย์จะจ่ายยาลดการอักเสบในกลุ่มNSAID(nonstearoidal antiinflammatory drug) ตัวที่นิยมใช้กันคือ กลุ่มเมเฟนามิก แอซิด หรือที่รู้จักกันในชื่อการค้าว่า พอนสแตน แต่การใช้ยาซึ่งเป็นสารเคมีบ่อยครั้งอาจมีการสะสมของยาและเป็นอันตรายต่อตับและไตได้ และมีผลข้างเคียงคือการระคายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ค่าใช้จ่ายในการดูแลทั้งสองแบบไม่แตกต่างกันมากนัก แบบแรกมีการผลิตออกมาเป็นเม็ดแค็ปซูลราคาตกเม็ดละ6บาทเศษ(120เม็ด ราคา 800บาท) กินวันละครั้ง แบบที่สองใช้ยาถ้าไม่ใช่ออริจินอลคือเป็นยาโลคอลเมด ก็ตกเม็ดละ1-2บาท กินวันละ3 เม็ด แต่ถ้าเป็นออริจินอลราคาจะสูงกว่านี้ จะเลือกการดูแลแบบไหน ก็พิจารณากันเอาเองแล้วกัน จากคุณ : ลูนาติก - [ 19 ต.ค. 51 14:22:22 ]