วันนั้นฉันอยู่เวรเด็ก...
นางสาวเอคนไข้หญิงสาววัย 24 ปี ตั้งท้อง 6 เดือนเศษ
มีประวัติเหน็บยาเร่งคลอดเข้าที่ปากมดลูกด้วยตนเอง(หรือสามี?) ก่อนมาโรงพยาบาลไม่กี่ชั่วโมง
ตอนมาถึง ER เธอปวดท้องจวนเจียนจะคลอดแล้ว ปากมดลูกเปิดเกือบสุด ถุงน้ำแตก
เธอเบ่งพรวดเดียวหลุดแทบไม่ต้องใช้แรง...แทบไม่มีบาดแผลที่ปากช่องคลอด แทบไม่เสียเลือด
เพราะเด็กตัวเล็กมากๆ
เด็กคนนั้นหนักแค่ครึ่งกิโล
เล็กกว่าขวดน้ำปลา
เล็กเหมือนลูกแมว
เล็กจนวางบนมือข้างเดียวได้
ซึ่งหากเกิดมาตาย...เรื่องนี้ก็จบด้วยดี
แต่ทว่า...ทารกหญิงตัวน้อยยังไม่ตาย
หนูร้องแอ๊วๆ เบาๆสองสามทีเหมือนแมวคราง ก่อนที่จะหายใจพะงาบๆ เพราะปอดขาดสาร surfactant ทำให้ไม่สามารถทำงานแลกเปลี่ยนก๊าซได้เต็มที่ เหมือนลูกโป่งที่เป่ายังไงก็ไม่พอง
หนูกำลังตัวเขียว ซี่โครงบุ๋มเพราะปอดที่แฟ่บไม่อาจขยายได้
ดญ.(ที่ไม่มีวันได้มีชื่อกับเค้า)ยังคงพยายามสูดลมหายใจด้วยกำลังทั้งหมดที่มี...แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก
เหนื่อย...เหนื่อย...เหนื่อย
ฉันซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์เวรเด็ก...ถูกตามมารอรับตัวอีหนูที่แม่ไม่ต้องการ
เราและพยาบาลช่วยกันสอดท่อช่วยหายใจ ดูดเมือกในปาก สอดสายน้ำเกลือเข้าทางสะดือ ฉีดยากระตุ้นสารขยายปอด(ซึ่งถึงฉีดไปก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่หรอก) ต่อเครื่องช่วยหายใจ และให้นอนตู้อบเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
หนูนอนหลับตา ตัวนิดเดียว มีตา หู จมูก มือเล็กๆ เท้าเล็กๆ
ไม่รู้ว่าเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่
เธอมีนิ้วที่เล็กมาก และกำแน่น
เธอเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรานี่แหละ ไม่ใช่ก้อนเนื้อ ก้อนเลือด อะไร
ฉันในฐานะนักศึกษาแพทย์ปี 6 ที่(เจือก)วิ่งวุ่นช่วยชีวิตเด็กที่สมควรตาย(มั้ง)อยู่ 3 ชั่วโมงจนคืนนั้นไม่ได้นอน(เพราะเด็กเตียงอื่นก็มีธุระให้รักษานะจ๊ะ ไม่ใช่มีคนไข้แค่คนเดียว)
...ก็เพราะแค่อยากให้หนูได้มีชีวิตจนได้ลืมตาเห็นโลกเท่านั้น
เผื่อถ้าฟลุก หนูรอดตายและได้ออกจากโรงพยาบาล...แม้ว่าจะมีอันต้องไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็หวังว่าคงมีซักวันที่หนูคิดว่า "โชคดีที่ยังได้เกิดมา"
(พูดเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นไปได้)
ตอนบ่ายวันรุ่งขึ้น เด็กเริ่มระดับอ๊อกซิเจนตก ตัวเขียวมาก ความดันลดต่ำลง...พี่หมอเด็กบอกว่าหมดหวังแน่ๆ
อื้อ..
ไม่หวังก็ได้
ฉันตัดสินใจเดินไปวอร์ดสูติ ซึ่งอยู่ห่างห้องicuเด็กทารก ไปแค่ไม่กี่เมตร
หญิงชายหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังนั่งตระคองกอดกันอยู่บนเตียงแบบไม่อายสายตาคนไข้รวมอีก 20 กว่าเตียงในห้องเดียวกัน
คุณสามีหยิบผลไม้มาป้อนให้คุณภริยาด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเหลือจะกล่าว
คุณภริยาสะท้านน้อยๆด้วยความดื่มด่ำในความห่วงใยและความรักของคนรัก เธอกุมมือสามี มองลึกเข้าไปในดวงตาของเค้า...ก่อนที่จะอ้าปากกินส้มกลีบนั้น
"คุณเอที่แท้งมาเมื่อคืนใช่ไหมคะ"
"ใช่ค่ะ"
"ลูกของคุณกำลังจะตายแล้วนะคะ"
"อ้าว ยัง...ไม่ตายเหรอ" (ประโยคหลังพึมพำเบาๆ)
"ยังค่ะ ยังไม่ตาย เมื่อคืนเธอร้องและพยายามหายใจ หมอใส่ท่อช่วยหายใจไปแล้ว แต่ปอดยังไม่แข็งแรง คิดว่าบ่ายนี้อาจจะไม่รอด ..."
"ตกลงยังไงก็ไม่รอด?" ท่าทางทั้งคู่โล่งอก
"ค่ะ แล้วตกลงจะไม่ไปดูหน้าลูกหน่อยเหรอคะ" พอมองดีๆแล้วเด็กคนนี้หน้าคล้ายแม่หน่อยๆแฮะ
"ไม่ต้องหรอก"
"ลูกคุณนะคะ"
"หมอก็จัดการไปสิ!"
คราวนี้คู่สามีภรรยาดังกล่าวหันมาถลึงตามองฉันที่บังอาจเป็นนางมารมารบกวนเวลาปลอบประโลมชื่นมื่น(และสมหวัง?)ของพวกเค้า
บ่ายสามโมงวันนั้น ความดันเธอเริ่มตกลงเรื่อยๆ ชีพจรเต้นรัวเร็วมากๆๆ
และในที่สุดหัวใจก็หยุดเต้น
หน้าอกยังคงกระเพื่อมเพราะเครื่องช่วยหายใจ
เราตัดสินใจถอดท่อช่วยหายใจออก
มือเล็กๆกำอยู่หลวมๆ แขนเล็กๆลีบๆวางตกอยู่ข้างลำตัว ตาสองชั้นเล็กๆที่ไม่มีขนตายังคงปิดอยู่เหมือนเดิม
แต่หน้าอกไม่กระเพื่อมแล้ว
เด็กหญิงที่ไร้ชื่อตายอย่างเดียวดาย
ไม่ปรากฏญาติมาเยี่ยม
ไม่มีผู้มารับศพ
ไม่มีงานศพ
ไม่มีโลง
ไม่เผา ไม่ฝัง
แค่ถูกฉีดยากันเน่าก่อนที่จะลำเลียงไปยังห้องดับจิตของโรงพยาบาล
เด็กตัวเล็กกว่าขวดน้ำปลาที่ไม่มีคนร้องไห้ให้
ฉันก็ไม่ได้ร้องไห้ มันร้องไม่ออก
แค่ปาดน้ำตาไปทีนึง...
พวกเค้าไม่ใช่คนยากจนหาเช้ากินค่ำที่ยังไม่มีเงินเลี้ยงลูก ไม่ใช่วัยรุ่นอ่อนหัดที่ไม่รู้จักวิธีคุมกำเนิด ไม่ใช่นักเรียนใจแตกที่ท้องก่อนเรียนจบ ไม่ได้ติดเชื้อหัดเยอรมันหรือมีโครโมโซมผิดปกติที่จะทำให้เด็กพิการเมื่อเกิดมา ไม่ได้มีโรคประจำตัวที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อแม่หากต้องตั้งครรภ์
พวกเค้าเป็นชายหญิงทำงานบริษัท เรียนจบแล้ว อายุไม่น้อย การศึกษาก็ดี(ปวส.และปริญญาตรี)
พวกเค้าแต่งกายดี พูดจาภาษากลางไม่ติดสำเนียงเหน่อ มีโทรศัพท์มือถือใช้ ผิวพรรณสะอาดสะอ้านแบบคนที่ไม่ต้องทำงานหนัก ผมตัดเข้าทรงไม่รุงรัง
พวกเค้ามีเหตุผลอะไรกันนะที่สำคัญมากจนไม่สามารถเก็บเด็กคนนี้ไว้ได้
เพราะเค้ายังไม่พร้อม...งั้นเหรอ?
edit เรื่องนี้เป็นประโยคบอกเล่าเท่านั้นนะคะ
กรุณาอย่ามาจุดประเด็นว่ายาเหน็บทำแท้งที่ว่าชื่ออะไร
ไม่บอกและไม่อยากบอกค่ะ
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 51 21:38:46
จากคุณ :
...Minoru...
- [
7 พ.ย. 51 21:16:15
]