สุจิณโณ
“นับตั้งแต่นี้ไป ฉันก็จะได้ขึ้นไปเรียนบนตึกสุจิณโณแล้ว ตึกที่ยิ่งใหญ่และสวยที่สุดของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ หรือ โรงพยาบาลสวนดอกแบบที่ใครๆเรียกกัน”
ฉันเริ่มต้นชีวิตของการเป็นนักศึกษาแพทย์ปีที่สี่วันแรกด้วยความตื่นเต้น
“อย่าลืม วันจันทร์หน้าทุกคนต้องมีงานมาส่ง เอาล่ะ เลิกได้” เสียงของอาจารย์ท่านหนึ่งในภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว มอบหมายให้พวกเราไปหาเคสผู้ป่วยที่ติดเชื้อในโรงพยาบาล(nosocomial infection) ฉันรับงานมาด้วยความรู้สึกที่ไม่เต็มใจเท่าไรนัก เก็บสมุด ปากกาที่วางเกลื่อนบนโต๊ะlectureลงกระเป๋า
“งานอื่นๆก็เยอะอยู่แล้ว ยังจะมามีงานเพิ่มอีก กะว่าวันนี้จะได้เลิกเร็วแล้วเชียว ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือชีวิตนศพ.ปี4 วันแรก”
ฉันนึกบ่นอยู่ในใจพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นหลัง เดินออกจากห้องlectureด้วยอารมณ์สุดเซ็ง ถึงจะเบื่อจะเซ็งแค่ไหนก็ต้องทำ เพราะว่าลงเอยมาเป็นนักศึกษาแพทย์แล้ว ยังไงก็ขอให้เรียนมันให้จบก่อนเป็นดีที่สุด ฉันจึงเริ่มโทรศัพท์หาเส้นสายจากเพื่อนๆบนวอร์ด ให้ช่วยหาเคสให้ สุดท้ายก็ลงเอยที่คนไข้คนหนึ่ง บนหอผู้ป่วยชั้น13 ตึกสุจิณโณ
คนไข้ของฉันคนนี้ชื่อลุงทองคำ ครั้งแรกที่รู้จักลุงทองคำ ฉันรู้จักลุงผ่านชาร์ตผู้ป่วยและSMI(ระบบสารสนเทศของโรงพยาบาล) ซึ่งเป็นแหล่งที่ฉันสามารถหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับตัวลุงโดยที่ไม่ต้องไปพูดคุย ซักประวัติถึงขอบเตียง แค่จดๆ มาว่าลุงเป็นโรคอะไร มานอนโรงพยาบาลด้วยสาเหตุอะไร ติดเชื้อวันไหน ดื้อยาอะไรบ้าง ข้อมูลเกี่ยวกับการซักประวัติและตรวจร่างกายก็มีให้หมดแล้ว ลอกๆส่งก็เสร็จ
ฉันเริ่มตั้งหน้าตั้งตาเปิดอ่านชาร์ต อีกมือหนึ่งก็จับปากกาจดข้อมูลอย่างรวดเร็ว ก็คนมันอยากจะกลับไปพักผ่อนแล้ว เรียนเหนื่อยมาทั้งวัน ระหว่างที่ลอกประวัติการเจ็บป่วยของลุงทองคำนั้น อ่านไปอ่านมาฉันก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดา
ลุงทองคำคนนี้มีประวัติโดนตัดขาต่ำกว่าเข่าทั้งสองข้างในระยะเวลาห่างกันเพียง 4 เดือนในปีพ.ศ.2548 ด้วยสาเหตุของโรคเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงขาอุดตัน (Acute arterial occlusion) ต่อมาในปี 2550 นี้ ลุงทองคำก็เริ่มปวดบริเวณต้นขาอีก คราวนี้ถูกตัดขาตั้งแต่บริเวณขาหนีบลงไปอีก 2 ข้างในเดือนเดียวกัน ด้วยสาเหตุของโรคเดิม
หัวใจฉันเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มือขวาที่ใช้จดข้อมูลด้วยความรวดเร็วก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่
“คนที่ต้องมาโดนตัดขาไปถึงสี่ครั้งแบบนี้ จะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ”
ฉันนึกสงสัยขึ้นมา จึงวางปากกาลงแล้วตัดสินใจเดินไปดูที่เตียงของลุงทองคำอยู่ห่างๆ ภาพที่ฉันได้เห็นคือ ชายวัย 67 ปี รูปร่างผอมเกร็ง ขาวซีด แก้มตอบ มีร่างกายแค่ท่อนบน กำลังพยายามใช้มือขวาอันเรียวเล็กที่แทบจะไม่มีกล้ามเนื้อเกาะขอบเตียงดึงตัวตะแคงหันหน้ามาทางที่ฉันยืนอยู่
ลุงทองคำเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉัน ในขณะนั้นฉันทำได้เพียงยิ้มให้ลุงแกไป แต่ฉันเดาได้เลยว่า ลุงทองคำแกคงมองเห็นว่าแววตาของฉันมันไม่ได้ยิ้มด้วย แต่มันเป็นแววตาที่บ่งบอกถึงความสะเทือนใจอย่างรุนแรง
ฉันไม่ทันได้รอดูว่าลุงทองคำจะยิ้มตอบหรือไม่ เพราะกว่าลุงแกจะยิ้มตอบ ฉันก็หันหลังกลับมายังโต๊ะที่จดประวัติผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว
“ฉันเพิ่งจะเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสี่วันนี้วันแรกนะ ฉันยังไม่เคยได้เห็นคนไข้แบบนี้มาก่อนเลย” ในใจจึงมีแต่ความสับสนและสงสัยในบทบาทหน้าที่ของตนเอง
“ฉันควรจะทำอย่างไรดี ในขณะนี้ ฉันควรเข้าไปคุยกับคุณลุงแกดีไหม แล้วถ้าเข้าไปคุยฉันจะเข้าไปคุยอย่างไรดี ถ้าคุยไปคุยมายิ่งทำให้ลุงแกรู้สึกแย่กับโรคที่ตัวเองเป็น ฉันไม่แย่หรือ”
มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในใจของฉัน ในที่สุดวันนั้นฉันก็ตัดสินใจจะทำเพียงแค่ลอกๆประวัติให้เสร็จไป จึงตัดใจเลิกคิด แล้วจับปากกามาบันทึกประวัติต่อ
“แกเป็นอะไรวะ” เพื่อนที่ปฏิบัติงานอยู่วอร์ดศัลยกรรม ซึ่งกำลังจดประวัติคนไข้อีกคนอยู่ข้างๆคงจะสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆของฉัน จึงได้ถามขึ้นมา
“ลุงที่อยู่ห้องแรกไงแก เขาเหลือแค่ร่างกายท่อนบน ฉันก็เลยอึ้งๆไป” ฉันหันไปมองหน้าเพื่อนที่ถาม มือขวาก็ยังใช้จดประวัติยิกๆ
“อย่าไปคิดอะไรมากเลยแก คนที่ severe กว่านี้มีอีกเยอะ เดี๋ยวแกขึ้นมาอยู่วอร์ดนี้แกก็จะรู้เอง” เพื่อนคนนั้นตอบคำถามฉัน โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง เพราะกำลังให้สายตาอยู่กับประวัติคนไข้อันยาวเหยียดตรงหน้า
คำพูดประโยคนั้นมันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่า เพื่อนต้องการให้ฉันเห็นว่า การที่เรามาเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นหมอรักษาคนไข้ มันทำให้เราต้องเห็นเรื่องความเจ็บป่วยเป็นเพียงเรื่องธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปบนโรงพยาบาลเช่นนั้นหรือ
จากคุณ :
หมอหมู
- [
8 พ.ย. 51 19:44:46
]