ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากแพทย์และโรงพยาบาลที่ผ่าตัดให้ผม แต่ความผิดพลาดเกิดจากผมล้วน ๆ ที่ไม่ฟังคำแนะนำจากแพทย์ เป็นเหตุให้เกือบเอาชีวิตไม่รอด
ผมมาตั้งกระทู้นี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้เพื่อน ๆ ทุกท่านตระหนักถึงคำเตือนและคำแนะนำจากแพทย์เป็นสำคัญ
ผมขอเล่าเหตุการณ์ตามลำดับวันเวลาที่เกิดเหตุนะครับ
14 มค.
เกิดอาการเจ็บริชชี่จนนั่งตรง ๆ ไม่ได้ จึงเข้าพบแพทย์ที่ รพ. ราษฎร์บูรณะ (ขอสงวนชื่อแพทย์นะครับ เพราะไม่ทราบว่าผิดกฏอะไรหรือเปล่า) ในช่วงเที่ยง
เมื่อแพทย์ดูอาการแล้วแนะนำให้ผ่าในวันนั้นเลย
15.00น.
เข้ารับการผ่าตัด โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นมานอนดูอาการในห้องดูอาการ ประมาณ 1 ชม. แล้วเข้าห้องพักคนไข้
นอนอยู่ 2 วัน แพทย์แนะนำให้กลับบ้านได้ พร้อมสั่งให้หยุดงาน 15 วัน และจัดยาแก้ปวด กับยาถ่ายมาให้
19 มค.
อาการปวดแผลลดลงมาก จึงไปทำงานตามปกติ (หลังจากผ่าเพียง 5 วัน ทั้ง ๆ ที่ หมอสั่งหยุด 15 วัน)
26 มค.
เริ่มหยุดทานยาถ่าย เพราะรู้สึกถ่ายเหลวจนเป็นน้ำ
28 มค.
ถ่ายแข็งจนต้องเบ่งออกมา มีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย (ผลจากการหยุดทานยาถ่าย) คืนนี้จึงทานยาถ่ายตามปกติ
30 มค.
9.00 น.
ถ่านเหลวเป็นน้ำ เหมือนตอนทานยาถ่ายปกติ
11.30 น.
ปวดถ่ายหนักจึงเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายปรากฏว่าถ่ายออกมาเป็นเลือดสด ๆ ตอนแรกกะว่าเลิกงาน 5 โมงจะไปหาหมอ
12.00 น.
ไปทานข้าวเที่ยง
13.15
ถ่ายเป็นเลือดเป็นครั้งที่ 2
13.30
ถ่ายเป็นเลือดครั้งที่ 3 จึงเคลียร์งานที่มีแล้วขับรถออกไป รพ. เมื่อเวลา 14.00 น.
14.30 น.
ถึงรพ. แจ้งเคาเตอร์ทะเบียนว่าถ่ายเป็นเลือด 3 ครั้งแล้ว หลังจากแจ้งเสร็จเกิดอาการหน้ามืดเนื่องจากเสียเลือดมาก
พยาบาลที่เคาเตอร์เรียกรถเข็นมารับเข้าห้องฉุกเฉิน (ER) โดยทันที เมื่อเข้า ER รีบปีนขึ้นเตียงขนไข้ แจ้งอาการแก่พยาบาลที่เข้ามาดูอาการว่าถ่ายเป็นเลือด 3 ครั้งแล้ว
พยาบาลเริ่มวันความดัน ฯลฯ ตามขั้นตอน แล้วเริ่มให้น้ำเกลือสายที่ 1
อาการเริ่มทรุดลงเรื่อย ๆ ดูที่มอนิเตอร์วัดการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 50 และกำลังลดลง พยาบาลกำลังพยายามต่อสายน้ำเกลือสายที่ 2 (ภาพสุดท้ายที่มองเห็น) เริ่มหน้ามืดขึ้นเรื่อย ๆ จนวูบดับสนิท แต่สมองยังคิดสิ่งต่าง ๆ ได้อยู่
หายใจติดขัด จนเกือบหายใจไม่ออก พยายามสูดหายใจเข้าปอดแรง ๆ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ อาการหายใจติดขัดหมดไป รู้สึกเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่รู้สึกแม้กระทั่งว่าตัวเองหายใจอยู่หรือปล่า ในใจคิดว่าเราตายแล้วหรือ เราไม่รอดหรือนี่
สักพักสติเริ่มกลับคืนมา จากที่มืดสนิทเริ่มมีแสงสว่างเกิดขึ้น จนภาพต่าง ๆ กลับมาชัดเจน
หลังอาการทรงตัวหมอเจ้าไข้มาดูและสั่งให้เข้าห้องผ่าตัดทันที
--- ช่วงนี้ไม่ทราบเวลาที่แน่ชัด น่าจะประมาณ บ่าย 3 เศษๆ ---
หมอผ่าตัดเข้ามาอธิบายว่าจะส่องกล้องเข้าปในลำไส้ ยังพอรู้ตัวและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้
หมอเริ่มฉีดยาชาเข้าที่เอวเมื่อยาออกฤทธิ์หมอก็ลงมือเย็บแผลและ ส่องกล้อง
อาการหน้ามืดเริ่มกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับหนาวจตัวสั่น และเริ่มไม่รู้สึกตัว
ผ่านไปสักพักกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อพยาบาลนำผ้าห่มมาคลุมเพิ่ม การส่องกล้องยังดำเนินต่อไป
ราว ๆ 17.00 น. ออกจากห้องผ่าตัดแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ถูกย้ายมาห้อง ICU แบบงงๆ อยู่
นอนห้อง ICU อยู่ 2 คืน
2 กพ.
ออกจากห้อง ICU มาห้องธรรมดา
4 กพ. แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ พร้อมทั้งกำชับให้หยุด 15 วัน ห้ามไปทำงาน
สาเหตุที่ถ่ายเป้นเลือดเนื่องจากแผลที่ผ่าในครั้งแรกฉีก สันนิษฐานว่าเกิดจากไม่ได้พักตามที่หมอสั่งทำให้แผลไม่หายสนิท รวมทั้งหยุดยาถ่ายเอง ทำให้ถ่ายแข็งจนต้องเบ่ง เป็นเหตุให้แผลเริ่มแตก
*************************************************
จึงอยากให้เป็นอุทาหรณ์แก่ทุกท่านให้ความสำคัญกับคำสั่งแพทย์ อย่าหยุดยาเอง หมอจัดยาให้เท่าไหร่ให้ทานให้ครบ อย่าคิดเอาเองว่าเราไหว ไม่เป็นไรแล้ว แต่บางที มีบางสิ่งที่เราไม่เห็น ไม่รู้สึกอยู่ และยังต้องการเวลาในการพักรักษา
*************************************************
ขอบคุณ แพทย์ และคณะพยาบาล รพ. ราษฎร์บูรณะทุกท่านที่ให้การดูแลรักษาอย่างดี ให้การช่วยเหลือผมอย่างเต็มที่ ถึงแม้ผมจะใช้สิทธิประกันสังคม ที่เคยได้ยินข่าวมาบ่อย ๆ ว่ารพ. ต่าง ๆ มักไม่สนใจคนไข้เหล่านี้ แต่จากการเข้าใช้บริการครั้งนี้ ทางแพทย์ และพยาบาลทุกท่านให้การดูแลผมอย่างดี เหมือนคนไข้ทั่ว ๆ ไป
เหนืออื่นใด ขอบคุณพระเจ้าที่ดูแลผมอยู่ในพระหัทของพระองค์
ขอพระคุณความรักของพระเจ้าประทานพรให้ทุกท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงครับ
แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 52 18:35:08
จากคุณ :
บุรุษแห่งดาวดวงที่3
- [
9 ก.พ. 52 18:32:41
]