Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าผมเป็นมะเร็ง

    สวัสดีทุกคนที่เข้ามาอ่านบทของผมครับ ผมแค่อยากถ่ายเรื่องราวที่ไม่ได้เกิดกับคนหลายๆคนที่เข้ามาอ่าน และหลายๆคนที่เข้ามาอ่านก็คงไม่อยากพบเจอเช่นกัน
    แต่มันดันเกิดขึ้นกับผม ผมทราบว่าผมเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อสิงหาคมปีก่อน

    ผมก็เป็นผู้ชายคนนึง อายุ 23 ปี เรียนจบและทำงานได้ประมาณ 2 ปีครับ มีความสุขกับชีวิต งานที่ทำ และคนรัก แต่เมื่อผมทราบว่า ผมเป็นมะเร็งลำไส้
    ผมรู้สึกว่า ชีวิตมันสะดุด ถ้าจะพูดเป็นคำง่ายๆ ก็คงประมาณว่า "งานเข้าแล้วกรู" ซึ่งมันคงเป็นงานหนัก งานที่ยากที่สุด ที่ผมไม่เคยเจอ แต่ยังไง ผมก็ต้องจบงานนี้ให้ได้

    การใช้ชีวิตของผม ผมคิดว่า มันไม่ได้โลดโผนเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้เลยซักนิด ผมไม่ดื่มเหล้า(ก็ไม่เชิงว่าไม่ดืมอะครับ ทานบ้าง บางโอกาส ปีนึงก็สามสี่ครั้ง)
    ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกาย หมูกระทะก็นานๆทานที  หมูปิ้งก็ทานไม่บ่อย ลูกชิ้นปิ้งลูกชิ้นทอดบางคนทานเยอะกว่าผมอีก แต่ผมไม่ค่อยชอบทานผลไม้กินข้าวอิ่มแล้วก้อิ่มเลย
    ระบบขับถ่ายก็ไม่ได้ถ่ายทุกวัน ก็คงเพราะผมไม่ชอบทานผักผลไม้ด้วยมั้งครับ ส่วนเครียดเรื่องงานก็มีบ้างแต่มันก็ไม่หนักหนาสาหัสอะไร
    (วันไหนคิดงานออกก็มีความสุข วันไหน ตื่นมาแล้วรู้สึกโง่ๆ ก็ซวยไป แต่ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ หรือชินแล้วก็ไม่รู้) ยิ่งปัญหาเรื่องเงิน ครอบครัว ความรักตัดไปได้เลย
    อย่างที่บอกครับว่าผมรู้สึกสะดุด ก็ชีวิตที่ผมเป็นมา มันไม่เห็นจะมีอะไรที่เสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่เลยนี่

    อาการก่อนที่ผมจะทราบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ 1 เดือนนะครับ
    1 ผมเคยปวดท้องมากครับ ด้านซ้าย ตรงลำไส้ใหญ่พอดีเลย เดินก็ปวด กระเทือนก็ปวด เป็นอยู่สองครั้งครับ ครั้งแรกๆ มันปวดมาก อิตอนที่ผมนั่ง สาย8 จากเสารีย์ ไปโชคชัย4
          อย่างที่รู้ครับว่า สาย8 ไม่เคยปราณีใคร และมันก็ไม่ปราณีผมด้วย จนผมต้องลงตรง จตุจักร ละนั่งแท๊กซี่กลับ ขนาดแท๊กซี่ใหม่ๆช่วงล่างดีๆ ผมยังทรมาณเลยครับ
           มันปวดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ต้องนอนเฉยๆ ก็เลยลางานไปวันนึง แต่ผมก็ไม่ได้ไปหาหมอนะ (คนส่วนใหญ่มักละเลยโอกาสครับ ผมก็เช่นกัน มักคิดว่าผมคงไม่เป็นอะไรมาก น่าตีให้ตาย-*-)

    2 ถ่ายเป็นเลือด ถ่ายกระปิดกระปอย มารู้ตอนหลัง หมอบอกว่า ไอ้ก้อนเนื้อเนี่ย มันจะปิดลำไส้ผมอยู่แล้ว มันเลยถ่ายได้ทีละนิด
         จริงๆผมควรจะเอะใจได้แล้ว แต่ว่าด้วยงานที่เร่งโปรเจค ใกล้เวลาจะต้องรีบปิด ผมก็ไปหาหมอบ้าง หมอว่าไงก็ว่าตามหมอ
          ก็อย่างว่าแหล่ะครับ อายุ 23 หมอก็คงไม่คิดว่าผมเป็นมะเร็งหรอก
    ไม่คิดจะซักไซ้ไล่เรียงให้รู้เรื่อง ด้วยความรีบจะทำงานให้จบด้วย เกิดหมอว่าเป็นอะไรรุนแรงขึ้นมาต้องนอนโรงบาล
           งานผมเจ๊งแน่ (ก็ปกติอีกแหล่ะครับ คนเรามักแคร์ชาวบ้านมากกว่าตัวเราเอง แต่ก็นั่นแหล่ะงานของผมถ้าช้ามันก็จะกระทบกับผู้อื่นด้วย)
         
    3 หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ปวดแบบข้อ 1 ครับ คราวนี้เป็นบ่อย แต่ไม่หนักเท่าครั้งแรก ผมก็ไปหาหมอ ประมาณ 5-6 ครั้ง ก็ได้รับคำตอบแตกต่างกันออกไป ผมก็ไม่ได้อะไรมาก
          คิดแต่จะเข้าข้างตัวเอง ว่าไม่เป็นไรมาก ดีแล้วจะได้ไม่ต้องนอนโรงบาล หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ทั้งๆที่ตัวเองไม่ใช่หมอ

    4 ผมทานข้าวแค่ 1 จาน แต่มันแน่นท้องมาก บ่ายทั้งบ่ายผมนั่งแทบไม่ได้เลย ทั้งๆที่ปกติ ในเรซุเม่เขียนความสามารถพิเศษลงไปคือ กินข้าว 5 จานไม่อิ่ม -*-

    5 ผมนอนปวดท้องทรมาณมาก มันเหมือนคุณมีลมมีอาหารอยู่เต็มลำไส้ แต่มันไม่สามารถระบายออกไปได้เพราะไอ้ก้อนเนื้อมันจะปิดลำไส้อยู่แล้ว ทั้งๆที่แค่จะตดนิดตดหน่อย มันยังไม่ยอมผมเลย(คนจะตด มันยังห้ามกันได้อะ คิดดู) มันเลยอืดแน่นอยู่เต็มท้อง วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ผมต้องกลับมา กทม ครับ เพราะวันจันทร์ทำงานด้วย
           แม่ผมรู้สึกแปลกๆ เลยตามมาด้วย บอกว่าถ้ายังเป็นอีก วันจันทร์แม่จะให้ลางาน แล้วพาไปหาหมอ แม่แกคงรู้นิสัยละเลยสุขภาพของผม แล้วก็เป็นอย่างที่คิด คืนวันอาทิตย์ ผมก็เป็นจนไม่ได้นอนทั้งคืน แม่บอกว่าผมลุกๆนั่งๆ ตลอดทั้งคืนเลย มาหลับได้ซักหน่อยตอนช่วงเช้า

    เราแม่ลูกก็ไปหาหมอครับ ก็เข้า OPD ของประกันสังคม พอพบหมอ หมอคงเห็นว่าผมมาหลายรอบแล้ว ปวดท้องแบบเดิมๆด้วย
    หมอก็เลยส่งผมไปหา หมอศัลย์ เพราะอาจต้องส่องกล้อง พอพบคุณหมอศัลย์ คุณหมอท่านก็ถามๆอาการ ละคิดว่าผมน่าจะเป็น ไส้ติ่งอักเสบ ต้องผ่าตัด
    ผมก็แปลกใจ ว่าแล้วที่มันถ่ายเป็นเลือดเนี่ย จึงได้ถามหมอไปว่ามันเกิดจากอะไร คุณหมอก็ทำท่าตกใจ "ว่าเอ้ย มีถ่ายเป็นเลือดด้วยหรอ"
    (ในที่สุด ผมก็ได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิตออกไป ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าวันนั้นผมไม่ถามหมอไป ผมคงผ่าไส้ติ่งฟรีๆ แล้วคงไม่มีวันนี้ที่ผมมานั่งเล่าเรื่องราวของผมแน่ๆ)

    คุณหมอ ก็ส่งผมไป อัลตร้าซาวด์ ปรากฏว่า คุณหมอพบก้อนเนื้อบริเวณลำไส้ใหญ่ ถ้าเรื่องราวมันไม่ซีเรียส ผมก็คงแหย่หมอว่า "ตกลง ผมได้ลูกผู้หญิง รึผู้ชายครับ"
    แต่อารมณ์ตอนนั้นมันไม่ใช่ครับเพราะผมได้ยินหมอบอกว่าผมต้องแอดมิดแล้วจะต้องไปส่องกล้องด้วย
    ผมก็เห้ย เกิดคำถามขึ้นในใจ "ส่องกล้องทางก๊น" (ทำเสียงสูงด้วย ส่องกล้องทางก๊น!!!) ปรกฏว่า ผมต้องดื่มยาระบาย 2แกลอน คิดแล้วอยากจะอ้วกมาก
    ต้องดื่มให้หมดภายใน 2 ชั่วโมง แม่ก็นั่งเชียร์ ประมาณว่าสาวเชียร์เบียร์เลยทีเดียว ส่วนผมนั้นจะอ้วกให้ได้ และแล้ว ก็มีบุรุษพยาบาลร่างกายกำยำ เดินมาพร้อมเตียงนรก
    ที่จะพาผมไปห้องส่งก้น(ส่องกล้อง)

    พอไปถึงห้อง เค้าก็ให้ผมนอนตะแคง ผมก็นอนตะแคงแต่หันหน้าเข้าหาหมอ หมอก็ขำใหญ่ หมอบอกว่า "หันผิดทางแล้ว หันก้นให้หมอครับ"
    (อ่าววว โง่นี่) หมอก็เปิดเพลงของ พี่ออฟปองศัก(จริงๆ นะครับ ไม่ได้โกหก)
    ให้ผมผ่อนคลาย จากนั้นหมอก็จัดท่าทาง แล้วก็เอาเจลเย็นๆมาป้ายทางเข้าห้องฉุกเฉินของผม แล้วหมอก็เอามือไปคว้า กล้องขึ้นมาครับ มันแท่งประมาณ ตะเกียบได้อะครับ

    หมอก็ค่อยๆกดลงไป โหยมันจุกมากเลยครับ หมอก็บอกใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ(ไม่ยักจะให้หายใจออกซักที) หมอกะผู้ช่วยคงจะสนิทกันมั้ง พูดคุยแซวกัน หัวเราะคิกคักๆ
    ผมนี่น้ำตาเล็ด พอส่องกล้องเข้าไปถึงจุดหนึ่ง หมอบอก มันต้องเลี้ยวกล้องครับ เจ็บหน่อยนะ โหยยย  เจ็บจริงๆครับ มันจุกมากเลย พอเลี้ยวไปได้หน่อย ก็เจอทางตันครับ
    เจอไอ้ก้อนเนื้อ ตัวปัญหา หมอก็พยายาม ดันกล้องเข้าออก เหมือนจะโฟกัส รึอะไรซักอย่าง รึคงจะพยายามจะถ่ายหลายๆแอ๊คแบบตู้สติ๊กเกอร์ พอถ่ายเสร็จหมอก็เอากล้องออก จุกเหมือนกันครับ
    แต่ไม่เท่าขาเข้า พอจัดการอะไรเสร็จ ผมก็นอนรอบนเตียง หมอก็เดินมาบอกว่า ก้อนมันใหญ่มาก จนส่องกล้องต่อไปไม่ได้แล้ว หมอได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ สองสามวันคงจะทราบผล

    ผมก็สงสัย "ผลอะไรครับหมอ" หมอก็ชี้แจงว่า มันอาจจะเป็นได้ทั้งก้อนเนื้อธรรมดา หรือเป็นมะเร็ง ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้รู้ว่ามะเร็วนี่มันเลวร้ายแค่ไหน  รู้แค่ว่าชื่อมันไม่เท่
    แต่หมอบอกว่า พรุ่งนี้วันที่ 5 สิงหา ผมต้องผ่าตัด  ไอ้นี่แหล่ะครับทำให้ผมซีเรียส เกิดมาไม่เคยนอนโรงบาลมาก่อน ครั้งแรกก็โดนซะผ่าตัดใหญ่
    พอกลับมาห้อง แม่ผม(พยาบาลเก่า) ก็ปลอบใจว่ามันไม่มีอะไร ว่าให้ดมยา ละที่เหลือก็เป็นหน้าที่หมอ ผมก็พยายามจะไม่คิดอะไร พอเช้าวันที่ 5สิงหา
    ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่มีคนเปิดประตูห้อง พยาบาลบอกว่าจะมีเตียงมารับตอน 11โมง ยิ่งใกล้เวลาผมยิ่งตื่นเต้น แต่ดูหน้าแม่แล้ว ยิ่งกังวลยิ่งกว่าผม ถึงตอนนี้เอง ผมก็ยิ่งต้องทำให้เหมือนว่าผมไม่กล้วเพื่อแม่ของผม

    ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้ ผมต้องมาเก๊กไม่เป็นอะไรต่อหน้าแม่ของผม พอ 11 โมง เตียงมารับ ผมก็ต้องจำใจขึ้นไปนอนบนเตียง และทำหน้าอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    พอไปถึงห้องเตรียมใจ(ผมว่าน่าจะเป็นห้องเตรียม ก่อนเข้าห้องผ่าตัด) ก็มีหมอมาถามนู่นถามนี่ ถามประวัติ ตามปกติ จากนั้นไม่นาน เค้าก็เข็นผมไปผ่าตัด
    เหมือนในหนังเลยครับ มีโคมอันใหญ่ๆ ไฟหลายๆดวง อยู่เหนือเตียง ลำแสงพรุ่งตรงกระทบม่านตา หมอและผู้ช่วยแต่งชุดคลุม ขมักขะเม่นกับการเตรียมอุปกรณ์ ก๊องแก๊งๆ ผมรู้สึกเหมือนโดนเอเลี่ยนจับตัวไปงั้นแหล่ะ

    ผู้ช่วยก็เอาผ้ามาคลุมแล้วบอกให้ผมถอดกางเกงครับ แล้วก็ยึดแขนผมทั้งสองข้าง จากนั้นผมก็สลบไป(เค้าวางยาผมตอนไหน ปัจจุบันนี้ผมยังไม่รู้คำตอบเลย) ~

    ผมตื่นมาอีกทีประมาณทุ่มหรือสองทุ่มนี่แหล่ะ ผมตื่นมาเห็นหน้าหัวหน้าผม นั่งคุยกะคุณแม่อยู่ แล้วผมก็สลบไป ~

    ผมตื่นมาอีกทีในเช้าอีกวันนึง แม่บอกว่าผมเข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ 11โมง จนถึง 6โมงเย็น ผมก็แปลกใจทำไมนานมาก เพราะหมอบอกว่าจะใช้เวลาแค่ สองสามชั่วโมง
    แม่ก็บอกว่า หมอเลาะผังผืดบริเวณหน้าท้องออกเป็นกะละมัง แล้วก็ตัดไส้ใหญ่ผมออกไป ประมาณ ฟุตนึง ^0^

    ในตอนนั้นเองเนี่ย ผมไม่ได้คิดถึงเรื่อง ถ้าผมเป็นมะเร็ง ในหัวสมองเลย ผมยังพยายามลุกนั่ง เดิน โดยอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด
    พอผ่าไปสองวัน หมอก็มาแจ้งว่าผมเป็นมะเร็ง ในใจผมก็รู้แค่ว่า "เป็นมะเร็ง มะเร็งหรอ แล้วกุต้องทำไงต่อไป ใครก็ได้บอกกุที" สีหน้าของผมนั้นงงๆ ครับ เพราะไม่ค่อยรู้ไรมากเกี่ยวกับมะเร็ง
    แต่ต่างจากสีหน้าของแม่ สีหน้าของแม่นั้น น้ำตาท่านจะไหลออกมาให้ได้ แต่ท่านต้องพยายามเก็บอารมณ์ให้ถึงที่สุด หลังจากนั้น ผมก็แทบไม่ได้เห็นสีหน้ากังวลของแม่อีกเลย

    ผมมารู้ตอนหลังว่า ในขณะที่ผมหลับเพราะยา เพราะความเพลีย แม่ผมครับ แม่นั่งข้างๆ ตลอดเวลา แล้วแม่ก็ร้องไห้ตลอดเวลาอีกด้วย
    ผมรู้ครับว่ามันคงเป็นอะไรที่แย่มาก สำหรับผู้หญิงคนนึงที่ ต้องมารู้ว่าลูกชายคนเดียวของเค้า ต้องมาเป็นมะเร็ง ในขณะที่ชีวิตมันกำลังเดินต่อไปได้ด้วยดี
    ตลอดเวลาที่ผมพักฟื้น ผมอยู่กับแม่แค่สองคน (เพราะพ่อต้องทำงาน ส่วนแม่ลาออกจากพยาบาล ตั้งแต่ผมเรียนจบ) ผมว่ามันคงจะเป็นอะไรที่รับได้ยาก
    กับผู้หญิงคนนึง ที่มีอาชีพเห็นคนเจ็บป่วย แล้วตายมาตลอดชีวิตการทำงาน มิหนำซ้ำ มันยังเกิดขึ้นกับลูกของเธอด้วย

    มาถึงตอนนี้ตอนที่ผมนั่งพิมพ์อยู่ตอนนี้ผมยอมรับว่าผมน้ำตาไหล ผมสงสารแม่มาก~

    เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็ง แม่ผมก็บอกว่า ลองไปคุยกับแฟนดูนะ ว่าเป็นเพื่อนกันก็ได้ แม่ไม่อยากให้ผมเอาเปรียบแฟน เพราะแฟนผมก็ยังมีโอกาสเลือกคนดีๆ(เราเลิกกันเถอะ เธอดีเกินไป 555+)
    อันนี้ผมก็เข้าใจแล้วก็เต็มใจ ผมจึงคุยกับแฟนผม (ตอนนั้นเราคบกันได้ประมาณ 7-8 แปดเดือน) ผมบอกเธอว่า ผมไม่โกรธถ้าจะมีคนใหม่ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันได้
    "คบกันมาขนาดนี้แล้ว จะให้ทิ้งกันเพราะเรื่องนี้ มันก็เห็นแก่ตัวเกินไป ยังไงก็จะคบต่อ ไม่เลิก"
    คำตอบที่ได้รับจากแฟนมันทำให้ผม ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกว่ายังมีคนอืกเยอะ ที่จะสู้ไปกับผม

    //***********************************************************************
    //มาถึงตอนนี้เองเนี่ย ผมอยากจะบอกกับหลายๆคนว่า ถ้าวันนึงคุณเจอปัญหา ที่ดูแล้วมันเหนื่อยมากๆ จนคุณท้อใจ จนคุณไม่อยากจะสู้แม้กระทั่งเพื่อตัวคุณเอง
    //อยากให้คุณลองมองหาเพื่อน(ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ พี่น้อง คนรัก ให้คนเหล่านี้สู้ไปกับคุณ และให้คนเหล่านี้เป็นความหวังของการต่อสู้ของคุณ)
    //มองหาคนที่จะคอยต่อสู้ไปกับคุณ มันจะทำให้คุณ มีกำลังใจ และรักคนเหล่านี้อีกมาก อยากจะสู้เพื่อคนเหล่านี้อีกมาก
    //***********************************************************************

    จากคุณ : dybydx - [ 16 ก.พ. 52 17:48:40 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป


Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com