จากไข้หวัดใหญ่ MEXICO ถึงไข้หวัดใหญ่ 200 9 บทเรียนสาธารณสุขไทย
แนวหน้า 9/05/2552
สัปดาห์ที่ผ่านมามีภาวะโรคติดต่อที่เป็นข่าวไปทั่วโลกคือ ไข้หวัดใหญ่MEXICO จากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์เอช 1 เอ็น 1 โดยมีกำเนิดจากเชื้อไข้หวัดของหมู ที่กลายพันธ์ โดยล่าสุดเปลี่ยนชื่อเพื่อป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ ไม่หมู เป็นไข้หวัดใหญ่ 2009
ซึ่งยังคงสร้างความหวาดระแวง ไปทั่วโลกผ่านสื่อมวลชนนานาชาติ ออกข่าวทุกวันจนแทบทุกบ้านรู้จักชื่อดี แม้อาจไม่เข้าใจรายละเอียดของโรคมากนัก และยังมีข่าวแปลกๆตามมาหลายรูปแบบ เช่น บีบีซีรายงานว่ารัฐบาลฟิลิปปินส์ขอให้แมนนี่ ปาเกียว ฮีโร่ขวัญใจชาวฟิลิปปินส์ ที่เพิ่งสยบ ริกกี้ ฮัตตัน นักชกอังกฤษในการแข่งขันไฟต์หยุดโลก ที่นครลาสเวกัส รัฐเนวาดา อย่าเพิ่งกลับประเทศ ด้วยเกรงว่าคณะจะนำเชื้อมาแพร่กับประชาชนจำนวนมหาศาลที่มารอรับ จนต้องเลื่อนงานฉลองเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นไลต์เวลเตอร์เวตของไอบีโอไปก่อน เป็นที่ขัดใจของแฟนคลับทั่วประเทศอย่างมาก
องค์การอนามัยโลก เปิดเผยตัวเลขล่าสุดของผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเ อ สายพันธุ์เอช 1 เอ็น 1 พุ่งแตะ 1,893 คน ใน 23 ประเทศ (8 พค.)โดยประเทศที่ยืนยันพบผู้ติดเชื้อรายใหม่มากที่สุด คือ เม็กซิโก และสหรัฐฯ
ในประเทศไทยเองแม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีโรคนี้ปรากฏ แต่นับว่ามีความสำคัญ เพราะทำให้เกิดการเตรียมพร้อมของระบบสาธารณสุขต่อการระบาดของโรคใหญ่ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในโลกนี้ได้ในอนาคตอย่างจริงจัง และรัฐบาลยังได้โอกาสเป็นเจ้าภาพให้กลุ่มรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน+3มาประชุ มหารือเรื่องนี้ในไทยระหว่างวันที่7-8พค.ที่ผ่านมาเพื่อแก้ปัญหานี้อีกด้วย
ศ.นพ.อมร ลีลารัศมี นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และ ประธานวิชาการของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 14 ราชวิทยาลัยฯที่ตั้งขึ้นโดยแพทยสภาได้ออกแถลงข่าวให้ความรู้นับแต่วันแรกๆของการระบาดโดยมีสาระสำคัญพอสรุปได้ง่ายๆ คือ
1. โรคนี้มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ที่มีการเกิดแรกเริ่มจากหมูก่อนจะกลายพันธ์มาระบาดในมนุษย์และมีรายงานครั้ง แรกใน MEXICO โดยมีหลักฐานว่ามีผู้เสียชีวิตโดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีโรคประจำตัวและมีความต้า นทานต่ำ แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่แข็งแรงดีก็มีรายงานการเสียชีวิตด้วยเช่นกัน
2. มีการระบาดต่อเนื่องในประเทศอื่น ๆ เช่นสหรัฐอเมริกาและมีรายงานกระจายไปทั่วโลก กว่า 23 ประเทศ ทำให้เกิดความ หวาดกลัว โรคเฉพาะเมื่อสื่อมวลชน กระจายข่าวสารไปทั่วโลกยิ่งเกิดการตระหนกมากขึ้น แม้การติดเชื้อจะมีจำนวนมากแต่การเสียชีวิตเกิดขึ้นไม่มากนัก
3. สามารถใช้ยาต้านไวรัสรักษาได้หากแพทย์วินิจฉัยได้ในระยะเริ่มต้น และประเทศไทยมีการเตรียมยาพร้อมจำนวนมากโดย องค์การเภสัชกรรม ทั้งนี้ ท่านผู้อำนวยการ (นพ.วิทิต อรรถเวชกุล) ได้ให้ข้อมูลว่ามีสำรองไว้หลายแสนเม็ดเพียงพอหากเกิดการระบาดแน่นอนอุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง
4. ระบบการป้องกันโรคระบาดถูกนำมาใช้ในสนามบินนานาชาติทั่วประเทศไทย โดยมีการจัดหาเครื่องสแกนอุณหภูมิเพื่อหาผู้ป่วยเป็นไข้ก่อน แล้วจึงมาแยกว่าเป็นจากเชื้อนี้หรือไม่ โดยมีการรายงานว่าสามารถตรวจแยกได้ในเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้นหากไม่พบหลักฐานว่าเป็นเชื้อนี้ก็สามารถกลับบ้านได้ โดยรอติดตามอาการอีก7วัน และยังไม่พบผู้ที่เป็นในขณะนี้
5. คนไทยผู้กลับมาจากพื้นที่ที่ระบาดแม้ว่าจะไม่มีไข้ก็ต้องติดตามไป 7 วัน เช่นกันโดยควรแยกตัวจากผู้อื่นโดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ภูมิคุ้มกันน้อยกว่าปกติ เช่น โรคเบาหวาน โรคไต ฯลฯ ก่อนจนแน่ใจ หากพ้น 7 วันไปแล้วถือได้ว่าปลอดภัย
6. กรณีหากคนไทยที่ต้องเดินทางไปในพื้นที่ระบาดนั้น ถึงจะสบายดีก็มีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แม้ว่าจะป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่ได้ แต่ทำให้ลดโอกาสการเกิดไข้หวัดปกติซึ่งเกิดได้ง่ายกว่า จะได้ไม่เกิดปัญหาโดนกักตัวจากโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดอื่นที่มีไข้ขึ้นได้โดยไม่จำเป็น แต่อย่างไรก็ตามคำแนะนำนี้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อผู้เดินทาง ดังนั้นควรพิจารณาเป็นรายๆ โดยปรึกษาแพทย์ เพื่อดูข้อบ่งชี้ว่าจะได้ประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่เสียก่อน
7. ในพื้นที่ที่มีโอกาสติดเชื้อง่ายๆ ที่สำคัญได้แก่พื้นที่ ที่มีอากาศปิด เช่น ในรถปรับอากาศ ,ในเครื่องบิน ,ในโรงภาพยนตร์ ฯลฯ ในกรณีที่มีผู้ติดเชื้ออยู่สามารถแพร่เชื้อได้ ดังนั้นหากเป็นไปได้การใช้ผ้าปิดปากและจมูก ป้องกันละอองเชื้อจากการไอ จาม จะช่วยลดอุบัติการณ์ได้ รวมถึงการล้างมือเมื่อสัมผัสพื้นที่สาธารณะต่างๆ ในที่ไม่แน่ใจความสะอาด ทั้งนี้ยังช่วยลดโรคติดต่ออื่นๆได้อย่างดีด้วย
8. กรณีมีผู้เป็นไข้ไม่ทราบสาเหตุและมีโอกาสเสี่ยง เช่น สัมผัสกับบุคคลที่เดินทางจากพื้นที่ที่มีการระบาดควรจะต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องต่อไป
บทเรียนครั้งนี้สร้างความตื่นตัวต่อการระบาดของโรคในระดับโลก โดยเป็นครั้งแรกที่รุนแรงต่อจากการระบาดของไข้หวัดนกในปีที่ผ่านมา และส่งให้เห็นอิทธิพลของข่าวสารสุขภาพ ที่ให้ทั้งแง่บวกคือการให้ความรู้ รับรู้ และ ป้องกัน ถึงในเชิงลบ คือ การตื่นตระหนก หวาดกลัวนำไปสู่การกักกันและ ถูกรังเกียจได้ ดังเช่นในข่าวหลายกรณี
สำหรับทิศทางของการระบาดแม้ว่ามีผู้ให้ความเห็นว่าโรคนี้ไม่น่าจะเกิดในประเทศไทย เพราะอากาศร้อนไม่เหมาะสมนั้น ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับและการระบาดจากหมูสู่คน หรือคนกลับไปสู่หมูก็ยังไม่มีรายงานมาก่อน แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติมท่านศึกษาได้ที่เว็บไซด์ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ www.rcpt.org ที่ผมได้บันทึกการบรรยายของ ศ.นพ.อมรฯ เป็นเป็นไฟล์วีดีโอคลิปขนาด 9 นาทีไว้ให้แล้วครับ
สิ่งที่แพทยสภาคาดหวัง คือ สนับสนุนประชาชนให้เห็นความสำคัญของการติดตามข่าวสารสุขภาพ รวมถึงรู้จักนำมาคิด วิเคราะห์ข้อมูล ประยุกต์เพื่อใช้ดูแลป้องกันตนเองก่อนที่จะต้องใช้บริการของรัฐที่มีอยู่จำกัด โดยพี่ๆน้องๆสื่อมวลชนจะมีบทบาทช่วยประชาชนมากในการนี้
ในท้ายสุดข้อที่ดีของการระบาดครั้งนี้ คือช่วยมาลดพื้นที่นำเสนอข่าวความขัดแย้ง บรรเทาความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับเป็นการช่วยเยียวยาจิตใจของหลากผู้คนหลายสีในสังคมยุคนี้ได้อย่างหนึ่งครับ
นาวาอากาศเอก(พิเศษ)นพ.อิทธพร คณะเจริญ
รองเลขาธิการแพทยสภา
แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 52 13:31:45
จากคุณ :
หมอหมู
- [
วันวิสาขบูชา 13:28:08
]